คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : A time traveller ,, chapter 3
A Time Traveller : Chapter 3
หลังจากที่เราสามคนจัดการกับแพนเค้กกิมจิเสร็จเรียบร้อย ผมก็ออกมาเดินสำรวจรอบบ้านอย่างที่ตั้งใจเอาไว้
ลุงฮุกบอกว่าเมื่อสองสามวันก่อนมีฝนตกลงมา นั่นยิ่งทำให้ต้นไม้รอบบริเวณบ้านเขียวชะอุ่มมากยิ่งขึ้น การได้หายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปจนเต็มปอด และการที่ได้ทอดมองธรรมชาติของป่าสนหลังบ้าน แถมยังได้ยินเสียงนกแว่วมาในบางเวลา มันทำให้ผมรู้สึกสดชื่นจนลืมความเหน็ดเหนื่อยเมือยล้าจากการทำงานที่ผ่านมาจนหมดสิ้น..
ผมใช้เวลาเดินถ่ายรูปเล่นเสียมากกว่าจะจริงจังกับการหาทำเลสร้างสุสานของตระกูลเรา จนบางครั้งต้องด่าตัวเองให้เริ่มทำงานบ้างจะได้รีบกลับโซลไวไวแม้ว่ายังอยากอยู่พักผ่อนต่อก็ตาม
“ดีจังที่มาทันดอกเซฟเฟอร์บานเสียด้วย”
ผมเดินเรื่อยมาจนถึงแปลงดอกไม้ขนาดย่อมของป้ายองอา ที่ตรงนี้มีแต่ดอกเซฟเฟอร์ หรือที่เรียกว่าดอกบัวสวรรค์ หรือ เรนลิลลี่ และแฟรี่ลิลลี่ อย่างที่หลายคนรู้จักกัน มันเป็นดอกไม้ที่จะบานหลังฝนตกอยู่เพียงสองสามวันเท่านั้น ถ้าเมื่อไรที่ฝนไม่ตกก็จะมองเห็นพวกมันเป็นเพียงต้นหญ้าธรรมดาๆเท่านั้นเอง สมัยตอนผมเป็นเด็ก แปลงเซฟเฟอร์ยังมีขนาดเล็กกว่านี้มากและมีแต่ดอกสีขาวดูราวกับมีหิมะเกาะตามใบหญ้า แต่เดี๋ยวนี้ป้ายองอาปลูกดอกสีเหลืองและสีชมพูเข้าไปด้วย จึงดูมีสีสันและเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้หน้าห้องเก็บของขึ้นมาก
ห้องเก็บของ.. ใช่ มันถูกเรียกว่าห้องเก็บของก็จริง แต่ผมไม่รู้หรอกนะว่าไอ้ห้องเก็บของที่หน้าตาเหมือนบ้านชั้นเดียวติดกันสองหลังนั้นมันเก็บอะไรเอาไว้บ้าง อีกทั้งตัวบ้านยังได้รับการดูแลซ่อมแซมอย่างดีจนไม่มีสภาพเก่าทรุดโทรมเหลืออยู่เลย
น่าแปลก..
ห้องเก็บของที่สมควรปล่อยปละละเลยนี้กลับสะอาดสะอ้านและได้รับการดูแลเป็นอย่างดีอยู่เสมอ
ผมหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นกดเบอร์ของลุงฮุก เพราะไม่แน่ใจว่าแกออกไปทำธุระข้างนอกหรือยังอยู่ในบ้านกันแน่
“ลุงครับ นี่ลุงออกไปตลาดแล้วหรือยัง พอดีผมมีเรื่องรบกวนลุงฮุกหน่อย”
‘ยังครับคุณหนู ลุงกำลังนั่งจดรายการของที่ต้องซื้อจนมือจะหงิกอยู่เลยเนี่ย อาหารเย็นวันนี้ทำอย่างกับจะปิดหมู่บ้านเลี้ยงเชียว’ จบประโยค ผมได้ยินเสียงป้าบและตามด้วยเสียงโอดครวญของลุงฮุก สงสัยว่าป้ายองอาคงลงฟ้ามือพิฆาตใส่แน่ๆ
“โหย ไม่ต้องทำอะไรเยอะหรอกครับ กินไม่หมดเสียดายของเปล่าๆ สำหรับผมแค่รามยอนก็พอแล้ว”
‘ป้ายองอาของคุณหนูคงไม่ปล่อยให้คุณหนูสุดที่รักทานแต่รามยอนหรอกครับ แล้วนี่ คุณหนูโทรมามีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ หรืออยากได้ของใช้อะไรเพิ่มเติมเดี๋ยวลุงจะได้ซื้อเข้ามาให้’
“อ๋อ คือ..พอดีผมอยู่หน้าห้องเก็บของตรงแปลงดอกเซฟเฟอร์น่ะครับ ผมอยากรู้ว่าในห้องนี้มันเก็บของอะไรไว้ ลุงพอจะรู้หรือเปล่า?”
‘แปลงดอก...ซ....เซ... ..อะไรนะครับ?’
“อ่า.. ดอกบัวสวรรค์น่ะครับ”
‘อ๋อ! เป็นห้องเก็บพวกงานเขียนของคุณท่านน่ะครับคุณหนู’
“หรอครับ นี่ยังมีภาพวาดของพ่อเหลือเก็บไว้ในนี้อยู่อีกหรอเนี่ย” ผมนึกว่าภาพที่พ่อวาดไว้ทั้งหมดจะกระจายไปอยู่บนฝาผนังของที่บ้าน ที่ทำงาน และที่ต่างๆหมดแล้วเสียอีก
‘ในห้องนั้นยังมีอยู่เต็มไปหมดเลยล่ะครับ รู้สึกว่าส่วนใหญ่จะเป็นรูปวาดสมัยที่คุณท่านยังเรียนวิทยาลัยอยู่ ท่านสั่งให้พวกผมเข้าไปทำความสะอาดอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง แต่คุณหนูอย่าไปฟ้องคุณท่านเชียวนะครับ เพราะบางทีพวกผมก็ไปทำสองอาทิตย์ครั้ง ไม่ก็เดือนละครั้งเอง อุ่ย..ตายแล้ว ไม่น่าหลุดพูดให้คุณหนูรู้เลย’
“ฮะฮะ อย่างนี้มีความลับอะไรคงบอกลุงฮุกไม่ได้แล้วล่ะ ได้เผลอตัวพูดออกมาหมดแน่” ผมเดินเข้าไปหน้าประตูห้องเก็บของ เห็นแม่กุญแจอันใหญ่ล็อคไว้อย่างแน่นหนา “งั้นลุงก็มีกุญแจห้องเก็บของใช่ไหมครับ ผมขอหน่อยได้หรือเปล่า พอดีช่วงนี้รายได้บริษัทไม่ค่อยจะมี จะได้แอบเอารูปดีดีในนี้ไปขายตัดหน้าพ่อเสียก่อน”
‘คุณหนูก็พูดเล่นไปได้.. อย่าทำเชียวนะครับ ของทุกชิ้นในนั้นคุณท่านสั่งห้ามแตะต้องหรือเคลื่อนย้ายเด็ดขาด เล่นเอาผมจนปัญญาไม่รู้ว่าจะทำความสะอาดกองรูปพวกนั้นยังไงดี ไอ้จะปัดฝุ่นให้ก็ไม่กล้า เลยได้แต่กวาดถูพื้นตรงที่พอจะทำได้’
“หวงขนาดนั้นแล้วจะเอามาเก็บในนี้ทำไมนะ...ตาแก่คนนี้แปลกคนจริงๆ ช่างเถอะ เดี๋ยวก่อนลุงออกไปแวะเอากุญแจมาให้ผมที่นี่หน่อยแล้วกันนะครับ”
‘ได้เลยครับคุณหนู เดี๋ยวลุงเอาไปให้’
“ขอบคุณมากครับลุง”
.
.
“วันนี้ลูกชายตัวดีของคุณไม่มาเหรอคะ”
คนถูกถามพยักหน้าช้าๆ
“ยุนฮัก..ฉันขอถามคุณหน่อยได้ไหม ทำไมคุณถึงต้องให้ลูกเราไปสร้างสุสานที่ปูซานด้วย ทำไมคุณถึงไม่....อยู่กับ คุณพ่อคุณแม่คุณ.....ที่นี่” แม้เธอจะไม่สะดวกใจที่จะพูดออกมา แต่ในที่สุด การคิดไม่ตกว่าเหตุใดยุนฮักสามีเธอถึงเลือกที่จะเก็บกระดูกตัวเองไว้ยังบ้านที่ปูซานมากกว่าจะไปอยู่ในที่ที่เดียวกับบรรพบุรุษถึงทำให้เธอต้องพูดออกมา
“ที่ปูซาน...... อากาศดีนะ”
_____________________
ในขณะที่ผมกำลังเพลินกับการตามถ่ายรูปเจ้าผีเสื้อบินวนอยู่รอบดอกเซฟเฟอร์นั้นเอง ลุงฮุกก็เดินเข้ามายืนข้างผม พลางหยิบหาลูกกุญแจห้องเก็บของจากพวงกุญแจหลายสิบดอก
“อ่ะ นี่ครับกุญแจห้องเก็บของ” ลุงฮุกดึงลูกกุญแจออกจากพวงส่งมาให้ผม
“ขอบคุณครับลุง”
“พอดีว่าลุงจะเข้าไปตลาด คุณหนูอยากได้อะไรไหมครับ?”
“ไม่ล่ะครับ ลำพังแค่อาหารมื้อเย็นที่ป้ายองอาเตรียมจะทำก็คงกินไม่หมดแล้วมั้ง”
ทั้งผมและลุงร่วมหัวเราะกันอยู่ชั่วครู่ ลุงฮุกก็ขอตัวออกไปซื้อของก่อน ส่วนผมก็ตามถ่ายผีเสื้ออีกสักพักก่อนที่จะพาตัวเองไปยืนหน้าประตูห้องเก็บของอีกครั้ง
“ภาพวาดของพ่อสมัยเรียนงั้นหรอ...” ผมครางกับตัวเอง เคยได้ยินเหมือนกันว่าพ่อไปแอบเรียนวาดรูปแต่ก็ไปไม่รอด เพราะคุณปู่บังคับให้กลับมาเรียนบริหารจนได้
ผมหยิบลูกกุญแจมาไขอย่างตื่นเต้น อยากเห็นผลงานสมัยแรกๆของพ่อเต็มที บางที..ไม่แน่นะ กลับไปอาจได้ล้อพ่อยกใหญ่ถึงรูปไม่ได้เรื่องของพ่อก็เป็นได้ คิดได้อย่างนั้นใบหน้าผมก็ฉีกยิ้มขึ้นมาเองอย่างไม่ทันรู้ตัว ..หาอะไรไปแกล้งพ่อได้อีกแล้วสิเรา
พอไขเสร็จก็วางแม่กุญแจอันใหญ่ลงบนพื้นมันนั่นแหละ ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ที่ไหนดี จะยัดใส่กระเป๋ากางเกงก็ไม่ได้เพราะขนาดมันใหญ่เกินไป พอจับลูกบิดได้หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมาจนน่าตกใจ ทำไมผมถึงตื่นเต้นนักก็ไม่รู้สิ หรือที่จริงแล้วผมอาจจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ภาพวาดของพ่อก็ได้นะ
ผมเปิดประตูเข้าไปแว้บแรกที่เห็นคือแสงสว่างจ้าจนต้องหลับตาแน่น ขายังพาตัวเองก้าวเข้าไปภายในห้องแล้วค่อยๆหรี่ตาขึ้นมองดู.... มืดสนิท
ภายในห้องมืดสนิท!
หรือตาผมคงจะพร่าเพราะแสงแวบแรกนั่นก็เป็นได้ ผมจึงพยายามหลับตาบ้างล่ะ กระพริบตาถี่ๆบ้างล่ะ ไม่รู้หรอกนะว่ามันจะทำให้อะไรดีขึ้นได้หรือเปล่า แต่เท่าที่ทำไปแล้วนั้น.. ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ห้องยังคงมืดสนิทอยู่ทั้งๆที่ตอนนี้ยังไม่เย็นเลยด้วยซ้ำ
ผมหันซ้ายหันขวา ตาที่ชินกับสภาพมืดบอดนั้นเริ่มเห็นอะไรลางๆ
“นี่ กลับมาแล้วหรอ”
“เอ๊ะ?” ผมไม่แน่ใจว่าเสียงนั้นมาจากที่ไหน
“ช่วยหยิบหลอดไฟให้หน่อยสิ”
“ล..หลอดไฟ?”
ใคร อะไร ที่ไหน ยังไง ทำไม.. คำถามผุดขึ้นมาเต็มหัวผมไปหมด
ผมอยู่ในห้องที่เพิ่งไขกุญแจเข้ามาด้วยตัวเอง แล้วนี่ทำไม..ทำไมเหมือนมีใครอยู่ในห้องก่อนหน้าผมล่ะ
“นี่! ไม่ได้ยินหรือไงบอกให้หยิบหลอดไฟให้หน่อยไงเล่า!! หลอดมันเสียมาตั้งแต่เมื่อคืนฉันบอกให้นายเปลี่ยนให้ก่อนออกไปเรียนตอนเช้าก็ไม่ยอมเปลี่ยนให้..”
“หลอดไฟเสีย?” หรือลุงฮุกไม่รู้ว่ามีคนซ่อมหลอดไฟอยู่ในห้องแล้วเผลอล็อคกันนะ แน่เลย..ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ
“เออ วางอยู่ข้างล่างเนี่ย มันมืด ระวังๆหน่อยแล้วกัน”
“อ๋อ ข้างล่าง”
ตาผมชินในที่มืดแล้ว ผมมองเห็นขาของใครสักคน คงเป็นเจ้าของเสียงพูด เขากำลังเขย่งอยู่บนเก้าอี้ ผมจึงมองลงไปข้างล่างซึ่งมีอุปกรณ์ช่างอยู่สองสามชิ้นและแน่นอน..หลอดไฟทรงกลมที่คนนั้นพูดถึงก็วางอยู่ด้วย
“อ่ะ นี่หลอดไฟ” ผมยื่นขึ้นไปให้ เห็นแต่มืออีกฝ่ายยื่นมารับทั้งๆที่ใบหน้ายังคงแหงนมองข้างบน
ผมได้ยินเสียงเสียดสีของอะไรบางอย่าง คนนั้นคงกำลังหมุนหลอดไฟเข้าไปอยู่ ไม่นานนัก ไฟหลอดนั้นก็สว่างจ้าขึ้นมาทันที
ผมมองเห็นเรือนหน้าที่อยู่หลังแสงเลื่อนต่ำลงมาจนบังแสงไฟ..
“เห็นมั้ย ฉันไม่เห็นต้องพึ่งนายเลยยุน....ฮ...เฮ้ย!!!”
ทันทีที่คนพูดก้มลงมองหน้าผมแบบเต็มๆ..ชัดๆ เขาถึงกับผงะจนเกือบหงายหลังล้มลงไป แน่นอน..มือผมไวกว่าความคิดเยอะ แขนยาวๆของผมเอื้อมออกไปฉุดแขนเล็กนั้นเข้ามาเพื่อไม่ให้หงายหลังแต่ผลของมันคือเค้าดันล้มลงมาทางผมแทน
ผมเคยคิดนะ..คิดว่าหลายคนก็คงเคยคิดเหมือนๆกัน ละครน้ำเน่าหลังข่าวมักจะมีฉากนี้อยู่บ่อยๆใช่ไหมล่ะ พระนางล้มใส่กันเป็นภาพสโลโมชั่นแบบมองตากันอย่างหวานซึ้ง.. ให้ตายเถอะ! การได้มีประสบการณ์ตรงแบบนี้ทำให้ผมเข้าใจเป็นอย่างดีเลยว่าทำไมต้องทำฉากชวนฝันแบบนั้นด้วย!!
มันเหมือนเวลาค่อยๆเดินช้าลงแต่หัวใจกลับเต้นเร็วขึ้น คนที่ตกลงมาอยู่ในอ้อมกอดของผมนั้นเบิกตาโตเพ่งมองผมอย่างตกตะลึง...ไม่แปลก เพราะตอนนี้ผมเองก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมรอบตัวผมเหมือนหยุดนิ่ง ให้ตายเถอะ! ผมเพิ่งรู้ตัวว่าลืมหายใจ!!
“เอ่อ...” คนตัวเล็กกว่าเอ่ยขัดพร้อมกับพยายามลุกออกจากตัวผม
“อ้อ ผมขอโทษ พอดี..” ผมปล่อยมือยกขึ้นเคว้งไว้กลางอากาศอย่างไม่รู้จะนำไปวางไว้ตรงไหนดี หลังจากที่อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนแล้วผมจึงยันตัวลุกขึ้นตาม “พอดีเมื่อกี้ผมกลัวคุณหงายหลังไปชน...” ตู้... โต๊ะ.. ผมว่าผมเห็นที่นอนอยู่ทางหางตาด้านขวานะ ผมไม่ปล่อยให้ตัวเองสงสัยอยู่นานจึงหันมองสำรวจรอบห้องที่มีทั้ง โต๊ะ ตู้ ที่นอน ชั้นวางหนังสือ ...และอะไรอีกหลายอย่างที่ประกอบกันแล้วไม่ได้เรียกว่าห้องเก็บของแน่ๆ
“นายเป็นใคร?” เจ้าของเสียงขมวดคิ้วมุ่น
ผมก็อยากถามคำถามนั้นบ้างเหมือนกัน “คุณต่างหากเป็นใคร? ทำไม..ม...มาอยู่ในห้องเก็บของได้?”
“ห้องเก็บของ! เหอะ.. นี่นายจะมาดูถูกกันแบบนี้ไม่ได้นะ ถึงห้องของเรามันจะแคบของจะเยอะแต่นายมีสิทธิ์อะไรมาเรียกที่อยู่ของคนอื่นว่าห้องเก็บของห๊ะ!”
ทำไมกันนะ.. ผู้ชายตัวผอมๆ แต่แก้มป่องๆ หน้าขาวอมชมพู รับกับผมดำหยักศกดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดูกลับยืนตะคอกผมเสียงดังลั่น ทำไมหน้าตากับพฤติกรรมถึงไม่ได้ไปด้วยกันอย่างนี้นะ..
“เดี๋ยวก่อนสิคุณ ใจเย็นๆก่อน..”
“ออกไปเลยนะ ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้เลย ไป!!!”
คนที่บอกว่าตัวเองเป็นเจ้าของห้องทั้งผลักทั้งดันผมไปที่ประตู ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนผิดที่บุกรุกเข้าห้องคนอื่นแถมยังหาว่าห้องเล็กๆและรกเหมือนรังหนูของเขาเป็นห้องเก็บของอีก แต่เดี๋ยวก่อน..นี่มันก็ห้องเก็บของของพ่อผมจริงๆไม่ใช่หรือไง
“ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ” ร่างเล็กแผดเสียงดังพร้อมทั้งเปิดประตูรอไว้แล้ว
เดี๋ยวก่อน..
ทำไม....หน้าประตูไม่ใช่แปลงดอกเซฟเฟอร์
ทำไม....หน้าประตูถึงเป็นทางเดิน...ทางเดินตรงไปยังประตูไม้ใหญ่อีกที
“แปลงดอกเซฟเฟอร์ล่ะ?” ผมพูดขึ้นมาอย่างตกใจ ไม่ได้ตั้งใจตั้งคำถามกับอีกคนแต่เหมือนเป็นการถามตัวเองเสียมากกว่าว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรที่อยู่ดีดีห้องเก็บของกลายเป็นห้องนอนของใครก็ไม่รู้แล้วยังแปลงดอกเซฟเฟอร์ของป้ายองอาอีกที่หายไปไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน
“ดอกอะไรนะ?”
“ดอกเซฟเฟอร์น่ะ..เอ่อ...ดอกบัวสวรรค์น่ะ มันมีแปลงดอกบัวสวรรค์อยู่หน้าห้องนี้นี่นา” ผมชี้นิ้วออกไปหน้าประตู คนฟังส่ายหน้าถอนหายใจก่อนสบถด่าผมเสียยกใหญ่
“นายเป็นบ้าหรือไง ดอกบัวอะไรนะ..ดอกบัวสวรรค์งั้นหรอ ถ้าอยากเห็นมากนักนายก็ไปอยู่บนสวรรค์ซะเลยสิ ออกไปเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นนายขึ้นไปดูดอกบัวบ้านั่นบนสวรรค์แน่ๆ”
บอกตรงๆ ตอนนี้ผมกำลังมึน.. มึนจริงๆ มึนแบบไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะคิดอะไรไม่ออก รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มีมือเล็กๆดันหลังผมให้ออกประตูไป
“ดะ..เดี๋ยวก่อนสิ ผมบอกให้คุณใจเย็นๆไง เฮ้ อย่าดันกันแบบนี้สิ”
“ก็ฉันบอกให้นายออกไปดีดีนายไม่ออกไปเองนี่นา ออกไปสิ ออกไป!!” ร่างเล็กพูดพลางดันตัวผมไม่หยุด แน่นอน.. คนผอมแห้งแรงน้อยแบบเขาไม่มีทางผลักผมไปได้หรอก ผมจึงหันมายึดมือเล็กเอาไว้ทำให้เราดึงดันกันไปมา
“ปล่อยนะ..ฉันบอกให้ออกไปไงเล่า ปัดโธ่เอ้ย!”
“ไม่! ผมถามว่าคุณเป็นใคร ทำไมมาอยู่ที่นี่ แล้วแปลงดอกเซฟเฟอร์หายไปไหน”
“ดอกบ้าอะไรอีกล่ะ ...ปล่อยนะเว่ย!!!”
“ไม่ปล่อย จนกว่าคุณจะตอบผมมา..”
“ปล่อย!”
“ไม่!”
“ปล่อย!!!”
“ไม่!!!”
.
.
“ปล่อยยูชอนซะ!”
ผมหันขวับไปทางต้นเสียง เห็นผู้ชายแปลกหน้าอีกคนรีบถอดรองเท้าเดินเข้ามาดึงมือของผมออกจากคนที่ชื่อ..ยูชอน
“ยูชอนเป็นอะไรมั้ย” เจ้าของชื่อส่ายหน้า ทันทีที่สำรวจว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่พูด เขาก็หันขวับมาหาผมทันที “...นายเป็นใคร?”
ผมถึงกับยกมือขึ้นมากุมขมับตัวเองหลังจบประโยคคำถามนั้น..
“ผมต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายถามพวกคุณว่าเป็นใครและทำไมถึงมาอยู่ที่ห้องเก็บของของคนอื่นแบบนี้!!?”
“ห้องเก็บของ?” ทำหน้าตาแบบนี้อีกแล้ว สีหน้าแบบเดียวกับคนชื่อยูชอนก่อนจะพ่นคำด่าใส่ผมออกมาเป็นขบวน ผมเลยยกมือขึ้นห้ามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มปริปากออกมา เดาได้ไม่ยากเลยว่าคงไม่พ้นคำด่าเดิมๆอีกแน่
“โอเค เอาล่ะ..ผมขอโทษที่หาว่าห้องพวกคุณเป็นห้องเก็บของ แต่ฟังผมก่อนนะ ในเมื่อนี่มันก็ห้องเก็บของจริงๆทำไมผมจะหาว่าคุณพักอยู่ในห้องเก็บของไม่ได้ล่ะ”
“ดูมันพูดสิยุนฮัก มันหาว่าห้องเราเป็นห้องเก็บของอีกแล้วอะ คนอะไร..ชอบพูดจาดูถูกคนอื่นไปทั่ว” ไม่พูดเปล่า คนชื่อยูชอนหันมาค้อนใส่ผมวงโต
“มันก็จริงอย่างที่เขาพูดนะ...”
“ห๊ะ?” ดูเหมือนว่า ผมกับยูชอนจะอุทานพร้อมกัน
“ได้ยินจากพี่ซังฮุกว่าป้าเจ้าของบ้านต่อเติมห้องเก็บของมาทำเป็นห้องเช่านี่ล่ะ”
“ป้าเจ้าของบ้านเช่า?”
หูผมไม่ได้ฝาด ตาผมไม่ได้บอด แต่สิ่งที่รับรู้และได้ยินมันช่างแตกต่างจากความจริงที่เคยรู้มาเลย อะไรกัน.. ทำไมห้องเก็บภาพของพ่อถึงกลายเป็นห้องเช่าของป้าที่ไหนก็ไม่รู้ไปได้ล่ะ
“ดะ..เดี๋ยวก่อนนะ นี่คุณจะบอกว่าห้องเก็บของนี่เป็นบ้านเช่าของป้า...”
ป้าที่ไหนวะ
“ป้าอะไรก็ช่างเถอะ..งั้นหรอ?”
“หรือว่านายเป็นหลานของป้าซกซุนที่หนีไปอยู่โซลแล้วไม่มาดูดำดูดีจนป้าแกตรอมใจตายไป..ใช่มั้ย? ต้องใช่แน่ๆ คนนิสัยไม่ดีเอาแต่ดูถูกคนอื่นอย่างนี้คงหนีไม่พ้นพวกเศรษฐีจากเมืองใหญ่หรอก”
“ยูชอน...” อีกคนปรามขึ้น เห็นได้ชัดว่าทำให้คนพูดไม่พอใจ เขากระฟัดกระเฟียดเดินกระแทกเท้ากลับไปนั่งบนเตียงหลังไม้กระดานวาดรูป
“ขอโทษแทนยูชอนด้วยแล้วกัน เขาค่อนข้างสนิทกับป้าซกซุนก็เลย...เป็นอย่างที่เห็น” เขาหันกลับไปมองคนที่อยู่หลังไม้กระดานผมจึงเบนสายตามองตามไป ถึงแม้จะมองไม่เห็นสีหน้าที่หลบอยู่หลังไม้กระดานวาดรูปนั้นแต่ผมก็รู้สึกได้ว่าเขายังรู้สึกโกรธเคืองผมจากสิ่งที่เขาพูดทิ้งไว้อยู่
“แล้วนี่ นายจะมาเก็บค่าเช่าใช่มั้ย?”
“เฮ้ย..ไม่ใช่! คือผม..”
“เอาล่ะๆ ฉันรู้ว่าพวกเราไม่ควรอยู่ต่อโดยไม่จ่ายค่าเช่า แต่พอดีว่าป้าซกซุนแกตายไปแล้ว เราเลยไม่รู้ว่าจะไปจ่ายค่าเช่าที่ใครดี อีกอย่างก็ไม่รู้ด้วยว่าจะติดต่อลูกหลานของป้าแกยังไง คุณมาก็ดีแล้ว..เราจะได้คุยกันเรื่องค่าเช่านี่เสียที” ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่สุภาพและสุขุมอยู่ไม่ใช่น้อย เขาพูดจาดีดูมีเหตุผลมากกว่าใครอีกคนที่อารมณ์เสียไปนั่งหลบอยู่หลังกระดานวาดรูปเสียอีก
“ขอโทษนะ แต่ผมไม่ได้มาเพราะต้องการค่าเช่าห้องของพวกคุณจริงๆ”
“อย่างน้อยก็ควรจะไปเคารพป้าซกซุนนะ แกตายอยู่ห้องข้างๆนี่ก็จริงแต่ฉันเอากระดูกไปไว้ที่เก็บกระดูกของหมู่บ้านแล้ว” เสียงดังมาจากด้านหลังกระดานวาดรูป
“เอ่อ...” นี่เรากลายไปเป็นหลานของป้าซกซุนอะไรนั่นไปแล้วใช่ไหมเนี่ย เอาไงดีวะ.. “..ที่นี่ ไม่ใช่ห้องเก็บของของคุณยุนฮักหรอกหรอ?”
ผู้ชายที่สูงเกือบเท่าผมแสยะยิ้มให้ “หึ.. ใช่ นี่ห้องเก็บของของผมเอง”
ผมไม่เข้าใจที่เขาพูดเท่าไหร่ เลยเตรียมจะอ้าปากถามแต่ก็ไม่รู้ว่าจะถามอะไรออกไปดี เลยเป็นเขาที่พูดขึ้นมาเสียเอง
“ผมเช่าห้องนี้อยู่กับยูชอน คุณจะเรียกมันว่าห้องเก็บของหรืออะไรก็ช่าง แต่มันคือห้องเช่าของผม..ชองยุนฮัก ที่เช่าอยู่กับ ปาร์คยูชอน”
.
.
มันทำให้ผมนึกถึงคำพูดของใครบางคนได้..
ชองยุนฮักพูดกับผมเอาไว้ว่า
“ฉันขอวานแกหน่อย.. ช่วยตามหาปาร์คยูชอนที่เคยเช่าห้องอยู่กับฉันที”
คำไหว้วานของพ่อไม่ได้มีแค่เรื่องสร้างสุสานเท่านั้น..
“ตามหาให้เจอ..ตามให้เจอเข้าใจมั้ย ยุนโฮ”
TBC.
ความคิดเห็น