ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic TVXQ] 2U : A time traveller

    ลำดับตอนที่ #2 : A time traveller ,, chapter 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 142
      1
      25 ต.ค. 54

     

    A Time Traveller : Chapter 2




                "เออ..ว่าไงแจจุง" ผมหยิบโทรศัพท์ที่สั่นไม่หยุดจากกระเป๋ากางเกงก่อนกรอกเสียงเรียกชื่อตามหน้าจอที่โชว์เบอร์ไว้ว่าเป็นของใครอย่างนึกรำคาญ

     

              "อยู่ไหนวะทำไมวันนี้ไม่เข้าบริษัท..หรือว่าแกไปเฝ้าคุณลุงอีก" ปลายสายดูวิตกต่อการไม่ปรากฎตัวของผมที่ทำงานวันนี้มากเกินไปจนผิดสังเกต ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าเกิดปัญหาขึ้นกับงานที่ทิ้งให้เขาดูแลตามลำพังหรือเปล่า

     

              "มีอะไร งานมีปัญหาหรือไง?" ผมไม่ชอบอ้อมค้อมขอแบบตรงประเด็น เพราะเรื่องที่พ่อไหว้วานมาก็ทำเอาสมองผมหนักอึ้งจนไม่อยากรับรู้เรื่องวุ่นวายหนักสมองอะไรอีกต่อไปแล้ว..

     

              "งานเข้าเว้ย!"

     

              อยากตะโกนด่ากลับไปว่างานบ้าอะไรเข้ามาอีกก็เห็นจะโวยวายออกไปอย่างที่อยากทำไม่ได้ ได้แต่กดเก็บอารมณ์ไว้เพราะผู้โดยสารสายการบินต่างๆยังคงนั่งรอเที่ยวบินของตัวเองกันอยู่รอบตัวผมมากมาย ผมลุกจากที่นั่งเดินมาหาที่ว่างเพื่อไม่เป็นการรบกวนคนอื่นหรืออีกอย่างหนึ่งคือเผื่อสะกดอารมณ์ตัวเองไม่ไหวพลั้งด่าไปใครแถวนั้นจะได้ไม่มองผมแปลกๆ

     

              "งานอะไรเข้ามาอีกวะ" ผมยกมือขึ้นกุมขมับตัวเองพลางถอนหายใจยาว

     

              "แล้วตอนนี้แกอยู่ไหน วันนี้จะเข้าบริษัทมั้ย?"

     

              "อยู่สนามบิน..จะไปปูซาน แกว่าฉันจะเข้าบริษัทมั้ยล่ะ"

     

              "เฮ้ย ไปทำไมวะปูซาน..งานอยู่เชจูทะลึ่งไปปูซานทำไมเนี่ย แล้วนี่จะไปไหนมาไหนไม่คิดจะบอกใครหน่อยหรอครับเจ้านาย บริษัทน่ะทิ้งได้ไม่เป็นไรเพราะมีข้ารับใช้อย่างพวกผมคอยดูแลให้อยู่ แต่คนของเจ้านายพวกผมไม่ได้รับหน้าที่ให้ดูแลแทนนะครับ"

     

              คำพูดคำจาของแจจุงเล่นเอาคิ้วผมพันกันไปร้อยรอบ..มันบ่นอะไรของมันวะ หรือผมจะให้มันทำงานหนักไปจนสมองชาไปแล้ว

     

              "พูดจาให้มันรู้เรื่องกว่านี้ไม่ได้หรือไง ภาษาคนนะไม่ใช่ภาษาขอม"

     

              "ก็เจ้านายเล่นทิ้งแฟนไปปูซานไม่บอกกล่าวใครแบบนี้พวกผมจะรับหน้ากันยังไงล่ะครับ!" แจจุงแผดเสียงแหบๆของมันซะแหลมปี๊ดเข้าหู นอกจากผมจะปวดประสาทอยู่แล้วยังต้องมาปวดหูเพราะมันอีกหรอเนี่ย..

     

              "แทมินมาที่บริษัทหรอ?"

     

              "ก็เอออะดิ..แถมยังบอกอีกว่าแกนัดกันไว้ว่าจะช่วยดูแบบแปลนที่เค้าต้องส่งอาจารย์"

     

              "อืม....นัดกันวันนี้จริงๆด้วยสิ" ผมยกข้อมือพลิกขึ้นดูนาฬิกาจำได้ลางๆว่านัดแทมินเอาไว้ตอนเก้าโมงนี่ปาไปสิบโมงครึ่งแล้ว..

     

              "ดูไม่เดือดร้อนเลยนะครับเจ้านาย..." ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนผมซะทุกเรื่อง

     

              "แกก็บอกเขาไปว่าเดี๋ยวฉันโทรนัดทีหลัง ตอนนี้ฉันติดงานอยู่" พอรู้ว่าไม่ใช่เรื่องงานอย่างที่กังวล ผมก็เดินสบายใจกลับมานั่งที่เดิม

     

              "ทำเหมือนคุยงานกับลูกค้า นั่น..ม...แฟนนะครับเจ้านาย"

     

              "เออ..แทมินไม่ว่าอะไรหรอก หรือถ้างานต้องรีบส่งอาจารย์แกก็ช่วยดูแทนฉันก็ได้นี่หว่า นะ..ฝากด้วยแล้วกัน"

     

              "เฮ้อ..ฉันพูดจริงๆนะ ฉันสงสารน้องเขาว่ะ แกน่ะหัดดูแลเขาดีดีหน่อยสิวะ ไม่ใช่เอาแต่ทิ้งขว้างให้คนโน้นคนนี้ดูแลเหมือนทิ้งงานให้คนอื่นทำแทนแบบนี้.." นี่มันกะเอาเรื่องแทมินด่าบังหน้าเรื่องที่ผมทิ้งการทิ้งงานใช่ไหมเนี่ย

     

              "ไม่ได้ตั้งใจนี่หว่า ทางนี้เองก็งานเข้าเหมือนกัน"

     

              "แกก็พูดแบบนี้ทุกที.." ผมไม่ค่อยพอใจในคำพูดประโยคนี้ของแจจุงสักเท่าไร แม้จะรู้ตัวดีว่าผมมักชอบสร้างปัญหาให้เขาอยู่เรื่อยก็ตามที

     

              "พอดีต้องไปดูที่ไว้ร่างแบบสุสานของพ่อ..เหตุผลแค่นี้คงพอให้ฉันหยุดงานได้สักสองสามวันใช่ไหม"

     

              ความเงียบเข้าครอบงำทั้งผมและคู่สนทนา เสียงถอนหายใจของผมคงทำให้อีกฝ่ายเกร็งอยู่ไม่ใช่น้อย ใช่..ผมกำลังโกรธ ไม่สิ ไม่ถึงขนาดนั้น ผมเพียงแค่ไม่พอใจเขานิดหน่อยก็เท่านั้นเอง

     

              "เอ่อ..โทษที"

     

              มันไม่ใช่ว่าผมจะไม่พอใจเขาอย่างเดียวหรอกนะ ผมกลับนึกโกรธตัวเองที่เอาความหงุดหงิดไปพาลใส่เขาเสียด้วยซ้ำ  โมโห..ที่ต้องไปปูซานดูที่ทางทำแบบร่างสุสานให้พ่อตัวเองที่ยังนอนรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล ใช่.. ทั้งๆที่เขายังมีชีวิตอยู่ดีที่โรงพยาบาลทำไมผมถึงต้องมาทำอะไรที่ดูเหมือนเป็นการแช่งพ่อตัวเองอย่างการสร้างสุสานนี่ด้วย..

     

              "แล้ว..แกจะกลับมาเมื่อไหร่? อีกสองสามวันใช่ไหม?" แจจุงเห็นผมเงียบไปจึงเป็นคนเริ่มบทสนทนาใหม่ด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบกว่าเดิม เขาเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของผม จึงไม่แปลกที่จะรู้ว่าตอนนี้ผมกำลังอยู่ในภาวะอารมณ์แบบไหน

     

              เขาเป็นคนดี.. แม้บางทีปากจะไม่ดีไปบ้างก็ตาม..

     

              "อืม อีกสองสามวัน ฝากดูแลงานให้ด้วยแล้วกัน แล้วฉันจะรีบกลับไปเคลียร์ แค่นี้นะ"

     

              พูดเสร็จผมก็ชิงตัดสายทันที หลังจากเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงถึงจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้นั่งอย่างคนหมดแรงก่อนจะหลับตานิ่งแล้วอมลมไว้ในปากแน่น ค่อยๆผ่อนลมออกมาทางปากจนแก้มกลับมาสู่สภาพเดิม.. ผมทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้นจนรู้สึกว่าความหงุดหงิดงุ่นง่านในใจหรือความอัดอั้นหายไปแล้วจึงเลิกทำ  มันเป็นวิธีคลายเครียดที่แปลกดีว่ามะ แต่การที่ได้หายใจเอาลมเข้าปอดแน่นๆแบบนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกดีได้อย่างน่าประหลาดเชียวล่ะ..

     

              .

              .

     

     

     

              ผมใช้เวลาเดินทางโดยเครื่องบินไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดีก็มาถึงปูซานเป็นที่เรียบร้อย ได้รับการติดต่อจากผู้ดูแลบ้านที่ปูซานว่ากำลังเดินทางมารับขอให้ช่วยรอแกก่อน สงสัยว่าพ่อคงติดต่อแกไปเพราะผมไม่ได้โทรบอกใครทางนี้เลยว่าจะมา

     

              ผมรอแกอยู่ไม่นาน คุณลุงฮุกหรือลุงคิมซังฮุกก็ลงมาเปิดประตูให้ผมด้วยหน้าระรื่น รอยยิ้มกว้างแห่งความยินดีที่ได้พบผมอีกครั้งนั้น ถ้าคนไม่รู้จักแกจริงๆคงจะเห็นยิ้มนั้นเป็นเพียงการแสยะยิ้มให้เป็นแน่

     

              "โห..ลุงฮุ๊ก ยังไม่เปลี่ยนสไตล์การไว้หนวดอีกเหรอครับเนี่ย ฮะฮะ"

     

              ปกติผู้ชายเวลาเขิน มักจะลูบท้ายทอยกันใช่ไหมครับ แต่สำหรับลุงฮุกแล้ว แกมักจะลูบหนวดไม่ด้านซ้ายก็ด้านขวาของแกเป็นประจำ ใช่แล้วครับ หนวดที่แกไว้น่ะเหมือนกัปตันฮุ๊คไม่มีผิด! จนผมเรียกแกว่ากัปตันฮุ๊คมาตั้งแต่เด็กๆเลยแหละ แต่จะให้มาเรียกกัปตันฮุ๊คเอาตอนนี้ก็....ผมแก่เกินไปที่จะชอบเล่นเป็นปีเตอร์แพนแล้วล่ะครับ

     

              "แหม ลุงก็กลัวคุณหนูจะจำลุงไม่ได้เลยไว้มาเรื่อยๆนี่ล่ะครับ"

     

              "เอ่อ..ลุงครับ ผมโตขนาดนี้แล้วเลิกเรียกผมว่าคุณหนูได้แล้วมั้ง"

     

             

              ลุงฮุกเดินเข้ามาชกเข้าต้นแขนผมอยากเอ็นดู...

     

              นั่น เรียกเอ็นดูใช่มั้ย!?

     

     

     

     

              "โตขึ้นมาเป็นหนุ่มหล่อเหมือนคุณยุนฮักไม่มีผิดเพี้ยนเลยนะครับ มา..เดี๋ยวลุงเอากระเป๋าไปเก็บท้ายรถให้"

     

              "ไม่เป็นไรฮะ เป้ใบเดียวเองเอาไว้เบาะหลังก็ได้"

     

              ลุงฮุกพยักหน้าก่อนเดินนำไปเปิดประตูรถให้ผม หลังขับรถออกจากสนามบินมาลุงฮุกก็เปิดบทสนทนาถึงเรื่องเก่าๆสมัยที่ครอบครัวผมมักมาพักในช่วงปิดเทอมอยู่บ่อยๆ

     

              "นานแล้วที่ท่านไม่ได้แวะมาที่บ้านหลังนี้เลย แต่ก็มักจะโทรมาถามและให้ลุงตรวจตราดูแลว่ามีตรงไหนชำรุดทรุดโทรมบ้างหรือเปล่า บ้านน่ะ..สึกหรอตรงไหนก็ยังซ่อมได้ ห่วงก็แต่อาการของท่านนั่นแหละ ท่านไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมครับ"

     

              ผมลอบถอนหายใจ "ก็..กำลังเข้ารับการซ่อมแซมครั้งใหญ่อยู่น่ะครับ"

     

              "คุณหนูนี่ชอบพูดจาล้อเล่นอยู่เรื่อยเลยเชียว แต่ก็ดีนะครับ คุณยุนฮักแกคงอารมณ์ดีขึ้นบ้างจากอารมณ์ขันของคุณหนู"

     

              "ผมว่าพ่อคงเครียดหนักกว่าเดิมสิไม่ว่า ถึงได้ไล่ผมมาทำธุระที่นี่เนี่ย" แอบได้ยินลุงฮุกหัวเราะเบาๆ

     

              "ถ้าการเข้าศูนย์ซ่อมแซมครั้งใหญ่นี้สำเร็จด้วยดี ท่านคงมาพักฟื้นที่บ้านหลังนี้สินะครับ ถึงได้ให้คุณหนูมาตรวจตราดูแลบ้านด้วยตัวเอง ตอนนี้บ้านก็ค่อนข้างจะเก่ามากแล้ว คงมีหลายส่วนที่ต้องตกแต่งใหม่ แต่อย่าหาว่าลุงพูดมากหรือก้าวก่ายงานของคุณหนูเลยนะครับ ลุงมันก็แค่คนดูแลบ้านแก่ๆคนนึง ไม่รู้เรื่องงานออกแบบอะไรนักหรอก ลุงรู้แค่ว่าท่านน่ะรักบ้านหลังนี้มาก เลยอยากจะบอกคุณหนูไว้ว่าถ้าจะปรับเปลี่ยนอะไรก็ขอให้ปรึกษาคุณยุนฮักก่อน ท่านน่ะ..ไม่เคยสั่งให้ต่อเติมบ้านหลังนี้เลยตั้งแต่สร้างเสร็จ

     

              ...ท่านไม่เคยทำให้บ้านผิดแผกไปจากรูปนั้นเลย"

     

     

              ผมครางรับในลำคอ เข้าใจถึงความปราถนาดีของลุงฮุกด้วยความเคารพรักพ่อผมมากอย่างเห็นได้ชัด ทั้งๆที่ลุงฮุกแก่กว่าพ่อผม แต่ลุงก็ยังภักดีและทำตามหน้าที่โดยไม่อิดออดเลยสักนิด ด้วยฐานะการเป็นคนดูแลบ้านของลุงฮุกนั้น มันก็คล้ายๆกับการคอยเป็นคนรับใช้สารพัดอย่างด้วยนั่นเอง ที่บ้านหลังนั้นมีคนรับใช้คอยทำความสะอาดอยู่หนึงคน และมีแม่ครัวอีกหนึ่งคนคือภรรยาของลุงฮุก น่าเสียดายที่ลูกชายคนเดียวของลุงเสียชีวิตไปได้สี่ปีแล้วจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ 

     

              บ้านพักที่ปูซาน เป็นบ้านไม้สองชั้นขนาดไม่ใหญ่มาก ชั้นล่างมีห้องนั่งเล่น ห้องครัวและห้องทานข้าวอยู่ติดกัน ส่วนชั้นบนเป็นห้องนอนใหญ่สองห้องและห้องนอนเล็กของผมห้องนึง เราไม่เคยมีแขกมาที่นี่เพราะฉะนั้นห้องนอนสำหรับแขกจึงไม่มี และเพราะอย่างนี้ผมถึงคิดเสมอว่าการมาพักที่นี่เหมือนได้กลับมาเยี่ยมญาติอย่างลุงฮุกและภรรยามากกว่าการเห็นว่าผู้ใหญ่ทั้งสองเป็นคนรับใต้บังคับบัญชาตัวเอง

     

     

              "ป้ายองอาสบายดีมั้ยครับ" ผมเปลี่ยนเรื่องหลังจากภาพวาดบ้านหลังนั้นผุดขึ้นในหัวซ้อนกับบ้านหลังจริงซึ่งแตกต่างกันแค่สภาพแวดล้อมโดยรอบ

     

              "ก็สบายดีตามภาษาคนแก่ค่ะ"

     

              "แต่ก็คงยังสวยเหมือนเดิมสินะครับ ลุงฮุกนี่แน่จริงๆคว้าหญิงงามของหมู่บ้านมาได้เนี่ย" ผมล้อลุงเรื่องนี้มาตั้งแต่ที่ลุงเริ่มเล่าความสัมพันธ์ครั้งยังเป็นหนุ่มสาวกับภรรยาสุดที่รักของตัวเอง

     

              "ใครว่าล่ะครับคุณหนู เดี๋ยวนี้ยิ่งแก่ยิ่งดูไม่ได้ ความสวยมันหายไปตามเวลาแต่คำบ่นนี่สิ..ดันมากขึ้นมาตามเวลาเสียนี่ ไม่เหมือนคุณแม่ของคุณหนูหรอกครับ ยิ่งอายุมากท่านยิ่งสวย"

     

              เหอะ.. ผมยกแขนขึ้นกอดอกเสมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างก่อนพึมพำกับตัวเองเบาๆ "ยิ่งแก่ยิ่งสวย หรือ ยิ่งแก่ยิ่งศัลย์ กันแน่" ถึงผมจะพูดกับตัวเองก็เถอะ แต่นั่งกันสองคนบนรถที่เงียบกริบแบบนี้ผมรู้ว่ายังไงลุงฮุกคงได้ยิน

     

              "ผมจะบอกคุณนายให้แล้วกันว่าลุงฝากชม ไม่แน่เดือนนี้อาจได้โบนัสสักเดือนสองเดือน"

     

              "ได้มาแล้วลุงเอาไปให้เมียลุงทำหน้าดีมั้ย ทั้งรอยตีนการอยฝ้าอะไรไม่รู้เต็มหน้าไปหมด ครีมที่คุณหนูเคยซื้อมาฝากก็ไม่ยอมใช้นะ บ่นว่าขี้เกียจทามั่งล่ะ เหนียวหน้ามั่งล่ะ แล้วยังมาบ่นให้ลุงฟังอีกว่าหน้าตาตัวเองดูไม่ได้ เฮ้อ..."

     

              เพราะความสนิทสนมกันมาตั้งแต่ผมยังเด็ก ทำให้ลุงฮุกรู้ถึงความสัมพันธ์ของผมและแม่เป็นอย่างดี ผมก็แค่ชอบแหย่แม่เล่นเท่านั้นแหละครับ ไม่ใช่ลูกอกตัญญูชอบว่าแม่ตัวเองสักหน่อย....เน้อะ

     

     

     

              .

              .

     

     

              "พี่ยุนโฮฮะ"

     

              "อ้อ ว่าไงแทมิน ขอโทษทีนะที่วันนี้พี่ผิดนัดเราอีกแล้ว" ผมกำลังนอนพักสายตาอยู่บนที่นอนในห้องตัวเอง นึกขัดใจอยู่เหมือนกันที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ กะว่าถ้าเป็นแจจุงจะปิดโทรศัพท์หนีหรือไม่ก็ด่ามันอีกสักทีเพื่อความสะใจ

     

              "อือ ไม่เป็นไร แทมินชินแล้วล่ะ"

     

              "พูดแบบนี้นี่เรากำลังงอนพี่ใช่มั้ย?" นึกถึงหน้าคนพูดแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ ถ้าอยู่ใกล้ๆนี่คงรวบตัวมาฟัดสักทีสองที น่ามันเขี้ยวชะมัดเด็กอะไรก็ไม่รู้

     

              "ถ้าพี่ยุนโฮรู้แล้วก็รีบกลับมาง้อเร็วๆนะครับ วันนี้พี่แจจุงดูจะอารมณ์ไม่ดีเลยไล่แทมินกลับไม่ยอมดูงานให้เลย พี่ยุนโฮรู้มั้ย..อาจารย์ฉะงานแทมินซะเละเลยอะ"

     

              "แล้วทำไมแทมินไม่รอให้พี่กลับไปดูงานให้ละครับ รีบส่งอาจารย์ทำไม?"

     

              "เรื่องมันแล้วไปแล้วช่างมันเถอะเน้อะ พี่ยุนโฮรีบๆกลับมาช่วยแทมินแก้งานดีกว่า"

     

              "พี่รู้สึก...อยากกลับไปแก้อย่างอื่นมากกว่าน่ะสิครับ"

     

              "ทะลึ่ง!" แทมินตัดสายไปแล้ว... ฮะฮะ

     

     

              แทมินเป็นเด็กน่ารักครับ ผมบอกไปหรือยังว่าผมกำลังคบกับรุ่นน้องหน้าตาน่ารักและโคตรจะน่าฟัดที่เพิ่งวางสายโทรศัพท์ไปเมื่อสักครู่ เราเจอกันตอนผมกลับไปเยี่ยมอาจารย์และรุ่นน้องในคณะหลังจากเปิดบริษัทไม่นานเพื่อเข้าไปบอกกล่าวฝากฝังบริษัทเผื่อใครอยากจะว่าจ้างงานนั่นแหละ ตอนนั้นแทมินยังเป็นเด็กเตรียมเอนฯอยู่เลย รุ่นน้องของผมคนหนึ่งพามาแนะนำให้รู้จักเพราะแทมินเรียนพิเศษกับเขาอยู่ หลังจากนั้นผมเลยอาสาเป็นติวเตอร์ให้แทมินด้วยอีกคน น่า..รู้ๆกันอยู่ว่าผมไม่ได้หวังให้น้องเขาเอนฯติดเข้ามาเป็นน้องคณะผมแค่นั้นหรอก

     

              เฮ้อ... รีบๆทำงานให้เสร็จแล้วกลับไปชาร์ทพลังกับแทมินให้ช่ำใจดีกว่า!

     

     

     

              ผมหยิบกล้องถ่ายรูปคู่ใจขึ้นมาคล้องคอหวังจะเก็บรูปรอบบริเวณบ้านดูว่าที่ตรงไหนเหมาะกับการสร้าง...สุสาน 

     

              หลังออกจากห้องนอนตัวเองเดินลงมาได้ยินเสียงคนคุยกันในห้องครัว เดาไม่ผิดว่าต้องเป็นลุงฮุกกับป้ายองอาจริงๆเสียด้วย

     

              "อ้าว คุณหนูของป้าตื่นแล้วหรอคะ หิวหรือยังคะ? ป้ากำลังทำแพนเค้กกิมจิที่คุณหนูชอบให้ทานรองท้องอยู่พอดีเลย มานั่งก่อนสิคะเดี๋ยวก็จะเสร็จแล้ว" ป้ายองอารีบหันกลับไปจัดการกับของบนกระทะทันทีที่พูดจบ

     

              "ผมตื่นก็เพราะกลิ่นอาหารของป้านี่แหละครับ" ผมยืนยิ้มอยู่ตรงประตูทางเข้าห้องครัว

     

              "ตายแล้ว ป้าขอโทษที่ทำให้คุณหนูตื่นนะคะ"

     

              "เพราะผมทนกลิ่นแพนเค้กแสนอร่อยของป้ายองอาจนทนนอนต่อไม่ไหวต้องรีบตื่นมากินต่างหากล่ะคร้า~" ผมเดินเข้าไปนั่งตรงข้ามลุงฮุก ในห้องครัวมีโต๊ะทานข้าวขนาดสี่คนนั่งสำหรับคนทำงานในบ้านนี้

     

              "ตายแล้วๆ ออกไปนั่งในห้องทานข้าวสิคะ หรือในห้องนั่งเล่นก็ได้ เดี๋ยวป้าทำเสร็จแล้วจะยกออกไปให้ อย่ามานั่งในนี้เลยค่ะคุณหนู เดี๋ยวคุณนายมาดุเอานะคะ"

     

              ด้วยความเคยชินหรืออะไรก็ไม่ทราบได้ ผมเข้ามานั่งกินบนโต๊ะนี้ทีไรป้ายองอาได้ไล่ผมออกไปทุกที คงเพราะพอแม่ผมรู้ทีไรก็ดุทั้งผมและป้าซะยกใหญ่ หาว่าปล่อยให้ลูกเธอมานั่งกินร่วมโต๊ะคนรับใช้ได้ยังไง มันไม่สมควร .. โอเค ถึงผมจะไม่เห็นว่ามันไม่สมควรตรงไหนแต่ก็เข้าใจล่ะนะว่าคุณนายเธอต้องรักษาหน้าตาในสังคม แต่ดูเอาเถอะครับ ตอนนี้บ้านหลังนี้มีสามคนอยู่ร่วมสังคมกันแค่นี้เอง

     

              "ไม่ต้องห่วงหรอกครับป้า! ถ้าผมไม่พูด ป้าไม่พูด ลุงฮุกไม่พูด ไม่รู้ถึงหูคุณนายเธอหรอก แล้วถ้าจะยังไล่ผมออกไปกินข้างนอกอีกละก็..ป้ากับลุงก็ต้องออกไปกินเป็นเพื่อนผมด้วย  กินคนเดียวไม่อร่อยเท่ามีคนมาแย่งกินหรอกเน้อะ"

     

              ป้ายองอาระบายยิ้มเสียจนตีนกาที่ลุงฮุกพูดถึงผุดขึ้นเต็มทั่วใบหน้า มันไม่ใช่แค่รอยเหี่ยวย่นของผู้หญิงอายุมากคนหนึ่ง หากแต่เป็นร่องรอยมากด้วยความทรงจำแห่งการตรากตรำทำงานมาตลอดช่วงชีวิตของผู้หญิงคนนั้นซึ่งเลือกทิ้งเส้นทางสุขสบายออกมาลำบากกับผู้ชายที่เธอรัก  ลุงฮุกเคยแสร้งเอาประวัติชีวิตของตัวเองกับภรรยามาเล่าเป็นนิทานก่อนนอนให้ผมฟัง ถึงลูกเศรษฐีคนหนึ่งที่หลงรักลูกคนหาปลาไร้การศึกษา ผมมาคิดได้ว่าเนื้อเรื่องมันช่างน้ำเน่าเหมือนละครหลังข่าวไม่มีผิด

     

              ลูกสาวเศรษฐีที่มาล่องเรือเที่ยวดันผลัดตกเรือแต่โชคดีได้ลูกชาวประมงลงไปช่วยขึ้นมาได้ทัน ลุงฮุกเล่าให้ฟังว่า แม้ตอนนั้นป้ายองอาจะเปียกปอนผมเผ้ายุ่งจนดูไม่ได้แต่ลุงก็ไม่สามารถละสายตาไปจากเธอได้เลย มันเหมือนถูกมนต์สะกด เหมือนเวลาหยุดหมุน นับตั้งแต่วันนั้นมาชีวิตเด็กหาปลาคนนั้นก็เปลี่ยนไป วันรุ่งขึ้นลูกเศรษฐีกลับมาตามหาคนที่ช่วยชีวิตตนโดยอ้างว่าอยากจะขอบคุณ แต่ที่จริงเป็นเพราะเธอเองก็ถูกมนต์สะกดนั้นเล่นงานเช่นกัน หลังจากนั้นตลอดระยะเวลากว่าสองอาทิตย์ที่ทั้งคู่เทียวไปมาหากันก็ก่อเกิดความรักที่ยากจะลืมได้  ลูกสาวเศรษฐีกลับโซลโดยให้สัญญาว่าเธอจะกลับมาหาเขาอีก แต่ลูกคนหาปลากลับสัญญาว่าจะตั้งใจทำงานหาเงินเพื่อไปสู่ขอเธอให้กลับมาอยู่ด้วยกันให้จงได้

     

              ตลอดเวลาหลายปีผ่านไปโดยที่ทั้งคู่ได้แต่ใช้โทรศัพท์และเขียนจดหมายเพื่อระบายความคิดถึงหากัน จนวันหนึ่งขณะที่คนหาปลาได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเก็บเงินเหมือนทุกวัน ลูกเศรษฐีคนนั้นก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกระเป๋าเดินทางใบโต เธอบอกว่าเธอหนีมาเพราะไม่อยากแต่งกับคนที่ไม่ได้รัก เพื่อไม่ให้คนทางบ้านตามเจอ ทั้งคู่จึงพากันหนีมาถึงปูซาน ทำงานรับจ้างตามร้านอาหารไปวันๆพอช่วยกันหาเลี้ยงปากท้องไปได้ในแต่ละมื้อ ถึงเธอจะเป็นลูกคนรวยเคยแต่ใช้ชีวิตสุขสบาย แต่เธอก็ไม่ปริปากบ่นเอาแต่ทำงานอย่างขยันขันแข็ง คนจนๆอยากคนหาปลาได้แต่นึกเสียใจที่ต้องพาเธอมาลำบากลำบน แต่แล้ว.. ความดี ความขยัน และความรักของทั้งสองคนก็ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นกับคนทั้งคู่

     

              ตอนยังเด็ก ลุงฮุกเล่าว่าคนทั้งคู่ได้เจอกับเทวดาที่แสนใจดี เทวดาตนนั้นเมตตาให้ที่อยู่ที่กินแลกกับงานสบายกว่าที่เคยทำมา ผมมารู้ทีหลังว่าเทวดาที่พูดถึงนั้นคือพ่อของผมเอง

     

              เล่ามาให้ฟังตั้งนาน...เล่ามาตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็ก บางทีลุงแกอาจจะแค่อยากอวดชีวิตรักแสนน้ำเน่าให้ฟังแต่ผมกลับรู้ได้ถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากสิ่งที่ลุงเล่ามา ผมไม่รู้หรอกว่าแม่จะมีหนังสือนิทานเจริญปัญญามาอ่านให้ผมฟังหรือเปล่า เพราะแม่ไม่เคยอ่านนิทานให้ผมฟังก่อนนอน ลุงฮุกมักเดินตรวจตอนกลางคืนเพื่อความปลอดภัย แกเห็นผมยังไม่นอนถึงได้ยอมมานั่งเล่านิทานน้ำเน่าจากประสบการณ์ชีวิตจริงให้ฟัง คืนหนึ่งแกเคยพูดว่า..คนบางคนเกิดมาไม่ได้มีพร้อมทุกอย่างเหมือนที่ผมมี เราไม่รู้หรอกว่าในวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง แกขอให้ผมขยัน ให้ผมทำแต่ความดีแล้วจะมีเทวดามาเสกปาฏิหาริย์ให้ผมมีแต่ความสุขเข้าสักวัน...

     

              มันก็แปลกดีนะ... ในเมื่อเทวดาของลุงฮุกนั้นก็กำลังนอนรอปาฏิหาริย์จากเทวดาตนอื่นอยู่เหมือนกัน



    TBC.


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×