ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ALL MY SHORT FIC 2U]

    ลำดับตอนที่ #2 : [SF] BACK TO ME

    • อัปเดตล่าสุด 22 พ.ค. 52


    Title: BACK TO ME
    Author: Micky1st
    Couple: 2U
    Rating: PG-13
    Genre: A/U , Flangst
    Status: FINISHED
     
                ซองสีหวานที่ไม่ทันเดาก็ต้องรู้ว่าภายในบรรจุการ์ดแต่งงานอยู่เป็นแน่ สงสัยก็ตรงที่ว่ามันมาอยู่บนโต๊ะคอมในห้องนอนของผมได้อย่างไร เมื่อครู่ตอนที่ผมกำลังอาบน้ำอยู่ได้ยินเสียงเหมือนแม่เคาะประตูเรียก ท่าทางจะเป็นคุณแม่นี่เองที่ถือวิสาสะเอามันเข้ามาวางให้ผมที่นี่

                ผมปล่อยผ้าขนหนูผืนเล็กห้อยอยู่บนหัวพลางเปิดซองหยิบแผ่นการ์ดสีหวานเหมือนตัวซองแต่ส่งกลิ่นหอมจางๆตามออกมาอ่านก่อนยกมือขึ้นจับผ้าขนหนูซับผมที่ยังเปียกชื้นอยู่ ไม่นานนัก.. ผ้าขนหนูผืนเล็กนั้นก็ไม่ได้มีหน้าที่เช็ดผมอีกต่อไปเพราะมันย้ายตำแหน่งมาอยู่บนใบหน้าผมแทน
     
     
    นาย ชอง ยุนโฮ
    มีความยินดีขอเรียนเชิญเพื่อร่วมเป็นเกียรติและเป็นสักขีพยาน
    ในพิธีสมรสศักดิ์สิทธิ์

    ในวันเสาร์ที่ 26 เมษายน ค.ศ. 2000
    ณ คริสตจักร เซนท์โซเฟีย
    (ขออภัยหากมิได้มาเรียนเชิญด้วยตนเอง)

    ***

    “ความรักไม่มีวันสูญสิ้น...ดังนั้นตั้งอยู่สามสิ่ง คือความเชื่อใจ ความมั่นใจ
    และความรัก ..แต่ความรักเป็นใหญ่ที่สุด”
     
     

                ชื่อเจ้าของงานแต่งงานช่างเป็นชื่อที่ผมคุ้นเคยเสียเหลือเกิน อักษรที่สะกดออกมาเป็นชื่อเขาคนนั้น เหมือนจะสลักติดอยู่ในหัวผมเสียด้วยซ้ำ ถึงแม้จะไม่ได้เจอกันเลยตลอดระยะเวลา 3 ปี แต่ผมก็ไม่ต้องเสียเวลานึกสักนาทีว่าเขาคือใคร เพราะ ‘ชอง ยุนโฮ’ คนนี้ คืออดีตคนรักเก่าของผมเอง

                เราเลิกกันด้วยเหตุผลปกติที่ว่าระยะทางและกาลเวลาทำให้คนเราไกลห่างกัน แต่ผมไม่คิดหรอกว่านั่นจะเป็นเหตุผลจริงๆที่ทำให้เขาหมดรักผม เพราะตัวผมเองไม่เคยเลิกรักเขาด้วยเหตุผลนี้เลย แต่ผมยังคงเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า เวลา.. ทำให้คนเปลี่ยนไปได้จริงๆ เพราะเมื่อใดที่ผมนึกย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องของเรา ผมกลับเห็นแต่ความงี่เง่าของตัวเอง.. กาลเวลาทำให้คนเราเติบโตขึ้นและตระหนักได้ว่าสิ่งใดสำคัญต่อตัวเอง แต่กว่าที่เราจะรู้..เวลามันก็ผ่านไปมากจนอะไรๆก็สายไปเสียแล้ว..

                ครั้งแรกที่ผมรู้จักกับพี่ยุนโฮคือเมื่อตอนเข้ามัธยมปลายปีแรก แม่ที่เพิ่งเลิกกับพ่อตัดสินใจย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านเกิด ผมจึงย้ายตามแม่มาด้วย คุณแม่ที่ยังไม่หายเสียใจกับการหย่าร้างจึงโหมงานหนักเพื่อให้ลืมเรื่องเลวร้ายนั้นทำให้ผมต้องพาคุณแม่เข้าตรวจในคลินิกแถวบ้านบ่อยๆ และนั่นเองที่ทำให้ผมได้พบกับพี่ยุนโฮบ่อยขึ้น เพราะที่นั่นเป็นกิจการของบ้านพี่ยุนโฮ

                ผมไม่รู้ตัวหรอกว่าตอนนั้นผมชอบพี่ยุนโฮหรือเปล่า ผมยังเป็นเด็กผู้ชายปกติที่เที่ยวเล่น เสเพล มีแฟนแล้วทำเรื่องอย่างว่าตามปกติแบบวัยรุ่นทั่วไป แต่เมื่อใดที่มีข่าวพี่ยุนโฮควงสาวมากระทบหูเข้าเมื่อใดผมเป็นต้องโมโหหรืออึดอัดใจขึ้นมาทุกทีสิน่า! ถึงหน้าตาท่าทางพี่ยุนโฮจะดูเป็นคนน่ากลัวไปสักนิดแต่ที่จริงแล้วพี่เขาเป็นคนจิตใจดี มีน้ำใจ ชอบห่วงใยและใส่ใจคนรอบข้างอยู่เสมอ นี่อาจเป็นเพราะว่าพี่เขาเกิดในตระกูลหมอก็เป็นได้

                ครั้งแรกที่ผมได้พูดกับพี่ยุนโฮคือครั้งที่สี่ที่ผมพาแม่ไปหาหมอในคลินิกนั้น

                “นายอยู่โรงเรียนเดียวกับฉันนี่ เห็นมาที่นี่บ่อยจัง เป็นอะไรงั้นหรอ?”

                ผมยืนนิ่งไม่ได้ตอบอะไรเพราะในหัวผมมันขาวโพลงไปหมด ไม่ได้นึกดีใจว่าพี่เขาจำเราได้หรอก ก็เพราะใส่ชุดนร.เดียวกันอยู่ต่างหากถึงรู้ว่าเรียนที่เดียวกัน แต่ที่มันอดดีใจไม่ได้ ก็ตรงประโยคหลังที่เขาถามว่าเราเป็นอะไรหรือเปล่านี่แหละ

                “หือ..ว่าไง? ขี้ก้างขนาดนี้.. เป็นโรคขาดสารอาหารหรือว่าโลหิตจาง?”

                “ยูชอนจ้ะ นี่ยาบำรุงและวิตามินเสริมต่างๆนะ อย่าลืมให้คุณแม่ทานให้ตรงเวลาจนกว่าจะหมดนะจ้ะ แล้วก็ให้คุณแม่พักผ่อนเยอะๆด้วย”

                “ครับ”

                จนแล้วจนรอดวันนั้นผมก็ไม่ได้ตอบพี่ยุนโฮ เพราะผมชิ่งหนีกลับบ้านมาก่อน จนเราบังเอิญมาเจอกันอีกครั้งที่หน้าตู้กดเครื่องดื่มอัตโนมัติในโรงอาหาร

                “อะไรวะยูชอน นายกดนมมากินอีกแล้วเหรอเนี่ย จะให้มันสูงไปไหนวะ”

                “นายเอาด้วยมั้ยจุนซู..จะได้สูงๆมั่งไง”

                “ไอ้.... ไม่เอาเว่ย วานกดโคล่าให้ทีแล้วกัน”

                “อ๊ะ กดโคล่าเผื่อฉันด้วย” เงาผู้ชายที่มายืนต่อหลังเพื่อนของผมพูดขึ้น

                “พี่ยุนโฮ!”

                “อ้อ..นายนี่เอง นายควรจะซื้อนมให้แม่นายด้วยนะ ผู้หญิงวัยนี้ควรจะได้รับแคลเซียมและเสริมด้วยวิตามินKเยอะๆ”


                ในช่วงนั้น ยิ่งผมเจอพี่ยุนโฮบ่อนขึ้นเท่าไรระดับความประทับใจที่ผมมีต่อพี่เขาก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ไม่นาน..เราก็สนิทกัน พวกเราใช้ชีวิตนร.ม.ปลายอย่างที่หลายๆคนเป็น พอมีเวลาว่างก็ไปเที่ยวเล่นกัน แต่เมื่อไรที่เป็นช่วงสอบพี่ยุนโฮมักจะเอ่ยปากถามว่าจะให้พี่เขาช่วยติวไหม

                “ก็นายชอบแอบหลับเวลาเรียนไม่ใช่หรือไง จะไปทำข้อสอบได้ไหมล่ะ หรือตอนสอบต้องหลับเอาจะได้เห็นสูตรเลขลอยขึ้นมา”

                “ผมเปล่าหลับซะหน่อย”

                “อย่ามาเถียง.. ฉันผ่านไปทีไรก็เห็นนายเฝ้าพระอินทร์ทุกที”

                มันอาจดูเหมือนพี่ยุนโฮก็มีใจให้ผมเหมือนกัน ผมคงคิดเข้าข้างตัวเองได้ถ้าเกิดตอนนั้นพี่ยุนโฮไม่ได้คบกับสาวโรงเรียนสตรีข้างๆอยู่ ถึงผู้หญิงสวยๆโรงเรียนเราจะมีเยอะแต่คนที่ทั้งหล่อทั้งรวยทั้งเรียนเก่งแถมเรื่องกีฬาก็ไม่เป็นรองใครอย่างพี่ยุนโฮจะคบผู้หญิงธรรมดาพวกนี้ได้ยังไง อย่างพี่เขาก็เหมาะแล้วกับดาวโรงเรียนคนนั้น

                เมื่อนึกถึงเรื่องราวของผู้หญิงคนนั้น สายตาผมก็สอดส่ายหาของชิ้นหนึ่งที่ตั้งอยู่บนตู้ใส่ซีดี บนนั้นมีหุ่นยนตร์และรถจำลองเรียงรายกันอยู่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นออกมาเพราะไม่เข้าพวกกับของที่อยู่รอบข้าง นั่นคือ กล่องเพลงไม้ที่เคลือบเงาไว้อย่างสวยงาม เมื่อเปิดออกมาเพลง Canon ที่พี่ยุนโฮชอบก็จะดังขึ้นพร้อมกับนางฟ้าตัวน้อยค่อยๆหมุนไปรอบๆเหมือนกำลังร่ายรำไปตามบทเพลง อันที่จริงแล้วพี่ยุนโฮไม่ได้ตั้งใจให้ผมหรอก

                “ขอโทษนะที่ชวนนายออกมาช่วยเลือกของแบบนี้”

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่..ที่เพื่อนพี่ยุนโฮไม่ยอมออกมาเพราะมัวแต่อ่านหนังสือเตรียมสอบเอนท์กัน แล้วตัวพี่ยุนโฮเองไม่กลัวว่าจะอ่านไม่ทันกับเค้าเหรอครับ?”

                “เรื่องแค่นั้นเอง พอดีพี่กะว่าจะต่อนอกอยู่แล้วเลยไม่ค่อยห่วงอะไรเท่าไหร่”

                “เอ๊.. จะไปเรียนต่างประเทศเหรอครับ?”

                “อื้ม... เออนี่ ซื้ออะไรดีอ่ะ กำไร? แหวน?”

                ถ้าผมจำไม่ผิด วันนั้นน่าจะเป็นวันเกิดของแฟนพี่ยุนโฮที่บอกว่าอยู่โรงเรียนสตรีประจำจังหวัดนั่นแหละ เธอโทร.มาโวยวายใส่พี่ยุนโฮตั้งแต่นาฬิกาชี้เลยเวลาเที่ยงคืนมายังไม่ถึงสิบนาที อ้างว่าอยากให้พี่ยุนโฮบอกสุขสันต์วันเกิดกับเธอเป็นคนแรก แต่ตัวพี่ยุนโฮน่ะลืมสนิทและกำลังหลับสบายอยู่ต่างหาก ถึงได้รีบลากผมออกมาหาของขวัญไปง้อเธอตั้งแต่ห้างเพิ่งเปิดแบบนี้

                “พี่รู้หรือเปล่าล่ะว่าแฟนพี่รสนิยมแบบไหน?”

                “อืม.. จะว่ารู้ก็ไม่เชิงหรอกนะ”

                สรุปแล้วเราก็เลือกที่จะเดินดูของไปเรื่อยๆมากกว่า เผื่อว่าจะเจออะไรที่เข้าตามากกว่า ให้ผู้ชายสองขึ้นเดินดูเครื่องประดับของผู้หญิงนี่....มันเลือกยากอยู่นะ เราเลยตัดสินใจไปเดินดูตุ๊กตาและของกระจุกระจิกต่างๆ

                “โอ๊ะ ไอ้นี่น่ารักจัง” พี่ยุนโฮหยิบนาฬิกาขึ้นมาดู ส่วนผมเหลือบไปเห็นกล่องไม้ที่ว่างข้างๆกันเข้าเลยสงสัยว่าอะไรมันอยู่ข้างในก็เลยหยิบมาเปิดดู ทันทีที่ฝาเปิดออกเสียงเพลงเพราะดังก้องขึ้นมาทันที

                “Canon.. ฉันชอบเพลงนี้นะ”

                “เหรอครับ เพลงก็เพราะ นางฟ้าตัวนี้ก็น่ารักดี ผมว่าแฟนพี่ต้องชอบมันแน่เลย”

                “อืมมม ก็อาจจะนะ เอาอันนี้ก็ได้ ฉันขี้เกียจหาอย่างอื่นแล้ว” พี่ยุนโฮหยิบออกไปจากมือผมแล้วเดินหาเคาน์เตอร์จ่ายเงินทันที

                “ทำไมพูดจาไม่ใส่ใจขนาดนั้นเลยล่ะพี่ นี่ของขวัญวันเกิดให้แฟนพี่เลยนะ”

                “แล้วทำไมต้องจริงจังกับมันมากด้วยล่ะ ฉันซื้อให้ก็เพราะยัยนั่นอยากได้ของขวัญจากฉันก็เท่านั้นเอง ถ้าไม่รีบหาไปให้เดี๋ยวจะโทร.มาโวยวายอีก น่ารำคาญ”

                “พี่ยุนโฮ...”

                “หืม?”

                “พี่ไม่ได้จริงจังกับเขาขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

                “จริงจังเหรอ.. นั่นสินะ เรายังอยู่ม.ปลายกันอยู่เลย....”

                ในเวลานั้นผมรู้สึกใจชื่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อย..พี่ยุนโฮก็ยังไม่ได้คิดจริงจังกับใคร ถึงผมจะดูไม่มีความหวัง แต่ในเมื่อพี่ยุนโฮยังไม่ได้รักใครจริงจังขึ้นมาก็เท่ากับว่าผมยังมีโอกาสอยู่ไม่ใช่หรือไง? อย่างน้อย... หัวใจพี่เขาก็ยังว่าง..ไม่มีใครเป็นเจ้าของ นั่นมันทำให้ผมรู้สึกดีใจจริงๆ

                “ถ้าไม่จริงจังขนาดนั้นก็ไม่เห็นต้องรีบมาซื้อของขวัญให้ขนาดนี้เลยนี่ครับ”

                “ไม่รู้สิ.. เราไม่รู้หรอกนะว่าอนาคตจะเป็นยังไง วันพรุ่งนี้ของเราอาจจะไม่มีแล้วก็ได้”

                “เอ๊ะ?”

                “เดี๋ยวฉันก็จะเอนท์แล้ว อีกอย่างก็ไม่รู้ด้วยว่าต้องไปเรียนต่อนอกหรือเปล่า ถึงจะบอกว่าไม่จริงจังแต่ฉันก็ชอบซึลกีมากนะ ถึงได้ตกลงคบกัน แต่ก็นั่นแหละ..เดี๋ยวฉันก็เรียนจบแล้ว ช่วงที่ยังเจอกันได้ก็ควรจะรีบทำอะไรให้ได้มากที่สุดจะดีกว่า”

                อย่างที่พี่ยุนโฮพูด.. เราไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าของขวัญที่พวกเราอุตส่าออกไปซื้อกันและเดินหากันอยู่นานเธอคนนั้นกลับไม่ชอบมันเอาเสียเลย

                “ยัยนั่นบอกว่าเพลงไม่เห็นจะเพราะเลย ฉันก็เลยเอามาให้นายจะดีกว่า”

                “เฮ้ย! ไม่เอาอ่ะ เอาไปให้แฟนพี่สิ”

                “ก็ยัยนั่นบอกไม่ชอบอ่ะ ใครจะไปรู้ว่าไม่มีดนตรีในหัวใจเอาเสียเลย” พี่ยุนโฮพูดไปพลางเปิดกล่องดนตรีให้เสียงเพลงดังเรื่อยออกมา

                “นี่มันอาจไม่ใช่แนวเค้าไงพี่”

                “นั่นแหละ ฉันถึงได้เอามาให้นายไง วันนั้นนายบอกว่าเพลงก็เพราะ นางฟ้าก็น่ารักไม่ใช่หรือไง? ยัยนั่นเอาแต่ด่าว่าน้องนางฟ้าหน้าตาโบราณ ยัยนี่ก็สมัยนิยมเกิน”

                ผมได้แต่หัวเราะและยอมรับของชิ้นนั้นมาแต่โดยดี.. ถึงมันจะเป็นของที่แฟนพี่เขาไม่เอาก็ตาม แต่อย่างน้อยมันก็เป็นของที่ผมเลือกเองกับมือ ผมดีใจที่ยังเก็บมันไว้ แม้บางครั้งที่เหลือบไปเห็นจะเจ็บปวดอยู่ก็ตาม แต่มันก็ทำให้ผมได้รู้ว่า ครั้งหนึ่งเราเคยมีความสุขด้วยกันมากแค่ไหน

                ไม่มีงานเลี้ยงใด ไม่มีวันเลิกรา.. ก็เหมือนกับความสุขที่ไม่เคยจีรังเสมอไป ความสุขของผมกับพี่ยุนโฮจบลงในวันจบการศึกษาของพี่เขา มันเป็นวันสุดท้ายแล้ว...วันสุดท้ายแล้วนะที่ผมจะได้เจอกับพี่เขา

                “เราไม่รู้หรอกนะว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร”
                “ช่วงที่ยังเจอกันได้ก็ควรจะรีบทำอะไรให้ได้มากที่สุดจะดีกว่า”



                อย่างที่พี่ยุนโฮพูด.. ในเวลาที่ยังเจอกันได้ ผมควรจะบอกให้พี่ยุนโฮได้รับรู้ความรู้สึกของผมบ้าง ผมไม่ได้ต้องการให้พี่ยุนโฮตอบรับ พอพอกับการที่ไม่อยากรับคำปฏิเสธจากพี่เขาเหมือนกัน ขอแค่ให้ได้บอก..บอกความรู้สึกที่มันท่วมท้นอยู่นี่ให้เจ้าตัวได้รู้ ไหนๆเราก็จะไม่ได้เจอกันแล้ว และก็ไม่รู้ด้วยว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไร

                “ว่าไงยูชอน นายจะไปฉลองกับพวกฉันไหม เพื่อนนายก็ไปนะ พวกจุนซูน่ะ”

                “อ๋อ.. เอ่อ คงไม่ดีกว่าครับ ผมเป็นห่วงแม่ที่บ้าน”

                “เออ คุณน้าเป็นหวัดอยู่นี่เน้อะ งั้นนายก็รีบกลับบ้านเถอะ ..ฉันไปละ เดี๋ยวพวกนั้นมันรอ”

                “เดี๋ยวครับพี่ยุนโฮ”

                “หืม? ว่าไง?”

                ผมพยายามมองซ้ายแลขวาดูว่ามีใครอยู่ใกล้เราเกินไปหรือเปล่า มันน่าอายออกนะครับที่ต้องมาสารภาพรักกับเพศเดียวกันแบบนี้ ผมไม่ได้หาว่าการชอบเพศเดียวกันมันน่าอาย มันผิดปรกติ หรือเป็นเรื่องผิดอะไร ผมแค่รักพี่ยุนโฮที่เป็นพี่ยุนโฮและพี่เขาเป็นผู้ชายเท่านั้นเอง ไม่ได้หมายความว่าผมจะชอบผู้ชายอื่นได้ ใครก็ได้ที่ไม่ใช่พี่ยุนโฮ... ผมรู้ มันไม่มีทางหรอก เพราะผมรักพี่ยุนโฮคนเดียว

                แค่คิดว่าพรุ่งนี้จะไม่ได้เจอพี่ และไม่รู้จะได้เจอพี่ยุนโฮอีกเมื่อไร ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดีแล้ว.. ผมอยู่ได้ ผมรู้ว่าผมอยู่ได้ แต่ผมคงอยู่โดยที่ไม่เป็นสุขเท่าไรแน่ถ้าไม่มีพี่ยุนโฮ

                “คือผม... ผม”

                “อะไร? นายเป็นอะไร?”

                “ผมเป็นบ้าพี่”

                “เฮ้ย นายเพ้อไรเนี่ย ติดไข้มาจากแม่หรือไงเรา”

                “ก็ผมชอบพี่ ผมบ้าไปแล้วไง”

                สีหน้าพี่ยุนโฮอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด เขายังพยายามส่ายหน้าหาว่าที่ผมพูดนั้นมันเป็นเรื่องล้อเล่น แต่น้ำตาที่เอ่อล้นออกมานั้นคงเป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่าผมไม่ได้พูดไปเล่นๆ ผมจริงจังพอจะพูดมันออกไป

                “ดีใจด้วยที่เรียนจบนะครับ และขอให้พี่โชคดี... ผม รักพี่จริงๆ”

                ผมทำเหมือนกับครั้งแรกที่ได้คุยกับพี่ยุนโฮ คือชิงวิ่งหนีออกมาก่อน ได้ยินเสียงพี่ยุนโฮเรียกอยู่ด้านหลังแต่ก็ไม่ได้วิ่งตามมา นั่นมันก็ดีแล้วล่ะ..เพราะผมตั้งใจไว้แล้วว่าแค่ได้บอกออกไปก็พอ มันไม่มีทางอยู่แล้วที่จะสมหวัง แต่คุณรู้อะไรไหม พระเจ้ามักจะเล่นตลกกับเราอยู่เสมอ เหมือนท่านต้องการดูความพยายามและความมุ่งมั่นของเรา จากการที่ผมยังไม่เลิกคิดถึงพี่ยุนโฮ ผมยังใช้ชีวิตม.ปลายปีสุดท้ายสนุกสนานกับเพื่อนไปจนจบการศึกษานั้น..แต่ผมก็ยังไม่ลืมพี่ยุนโฮ และหวังอยู่ลึกๆว่าจะได้เจอพี่เขาอีกสักครั้ง

                ผมยังคงพาแม่ไปหาหมอที่คลินิกเดิมอยู่เสมอ พอรู้มาบ้างว่าพี่ยุนโฮยังเรียนอยู่ที่เกาหลี จำชื่อมหาลัยได้ในตอนแรกแต่พอผ่านไปนานเข้าก็ลืม อีกอย่างหนึ่งเพราะผมเอนท์ไม่ติดด้วย เลยหมดหนทางที่จะตามพี่ยุนโฮแล้ว ช่วงนั้นเองมีแพทย์หนุ่มในคลินิกที่คอยตามจีบแม่ผมได้ขอแม่แต่งงาน เขาเป็นคนดีผมเลยไม่ได้ค้านอะไร หลังจากที่แม่แต่งงานใหม่เราก็ย้ายไปอีกเมืองเพราะพ่อใหม่ผมได้บรรจุเข้าในโรงพยาบาลใหญ่ที่นั่น และที่นั่นเองที่ผมได้เริ่มชีวิตใหม่ จากที่ตั้งใจว่าจะหางานทำแต่พ่อใหม่ก็แนะนำให้เข้าวิทยาลัยศิลป์ที่นั่นจะดีกว่า เพราะผมมีพรสวรรค์ทางศิลปะมากกว่าพวกเรื่องทางวิชาการ

                วันหนึ่ง ทางวิทยาลัยของผมได้จัดให้ไปดูแกลลอรี่ในมหาลัยใกล้เคียง ผมและเพื่อนตื่นเต้นกันมาก เพราะผลงานของพวกเราได้รับเลือกให้นำไปจัดแสดงในงานครั้งนี้ด้วย ในขณะที่กำลังเดินชื่นชมภาพวาดของตัวเองอยู่นั้นร่างสูงที่ดูคุ้นตาดึงดูดให้ผมสนใจมากกว่างานศิลปะตรงหน้าพวกนี้ ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตั้งตัว ร่างนั้นก็รีบตรงมาทางผมทันทีและก็เป็นอีกครั้ง ที่ผมชิงวิ่งหนีออกมาก่อน ผมยังคงได้ยินเสียงเรียกจากทางด้านหลัง ห้องแสดงศิลปะเงียบมากจึงไม่แปลกเลยที่จะได้ยินเสียงนั้นชัดเจน.. เสียงที่ผมอยากได้ยิน และเจ้าของเสียงที่ผมอยากพบที่สุด

                “ยูชอน ทำไมนายต้องวิ่งหนีทุกทีสิน่า” ผมไม่รู้ตัวเลยว่าพี่ยุนโฮวิ่งออกมาทันผมได้อย่างไร มือหนาของพี่เขาบีบที่ข้อมือของผมแน่นจนรู้สึกเจ็บไปหมด

                “ปล่อยเถอะครับพี่ ผมเจ็บ”

                “ปล่อยแล้วจะวิ่งหนีไปอีกไหม ฉันไม่วิ่งตามแล้วนะ..เหนื่อย” เสียงหอบของเราสองคนเป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่าต่างคนต่างก็เหนื่อยทั้งคู่ ผมพยักหน้าแทนคำตอบ พี่ยุนโฮจึงปล่อยมือ

                “ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอนายที่นี่”

                “อ่า...”

                “นายไม่ดีใจเลยหรือไงที่เจอฉันน่ะ?”

                “ก็...”

                “ยูชอน..นายไม่รักฉันแล้วหรือไง?”

                “พี่ยุนโฮ! พี่กำลังล้อผมเล่นหรือไง สนุกมากมั้ยที่เอาความรู้สึกของผมวันนั้นมาล้อเล่นแบบนี้” ผมรู้สึกโกรธปนเสียใจ หรืออาจจะน้อยใจด้วยก็ได้ จนน้ำตามันพาลจะไหลออกมาเดี๋ยวนั้น

                “ฉันแค่ถามนายเฉยๆ” ผมถอนหายใจพลางส่ายหน้า ผมรู้สึกท้อ..

                “และฉันแค่อยากจะบอกว่าฉันดีใจที่ได้เจอนายอีก” ผมคงทำหน้าประหลาดใจมาก เพราะทันทีที่พี่ยุนโฮเห็นเข้าพี่เขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ

                “นายเองก็ดีใจใช่ไหมล่ะที่เจอฉันที่นี่อีก เอ๊ะ..หรือว่าแอบตามมาหาฉันที่นี่?” พอผมเริ่มทำหน้าไม่พอใจเหมือนเดิมพี่ยุนโฮก็รีบพูดขึ้นมา

                “ดีแล้วล่ะที่เจอกันเร็วแบบนี้..”

                “อ๊ะ..” ผมกำลัง....ถูกพี่ยุนโฮดึงเข้าไปกอด

                “ฉันอยู่ได้โดยไม่มีนายนะยูชอน แต่มันก็ไม่ดีเท่าอยู่กับนาย นายเข้าใจฉันใช่ไหม?” ผมไม่รู้ ผมได้แต่กระชับกอดพี่ยุนโฮแน่นขึ้น

                “ฉันไม่รู้ว่าฉันรักนายไหม ฉันรู้แค่ว่า ฉันอยากเจอนาย..แล้วก็ดีจัง ที่นายมาให้เจอ”

                สุดท้ายแล้ว.. วันที่เราเริ่มคบกัน ผมก็ยังวิ่งหนีพี่ยุนโฮอยู่ดี นึกแล้วก็ขำนะ ทรมานกับการคิดถึงกันตั้งเป็นปีแต่ก็เพราะเวลาไม่ใช่หรือไงที่พิสูจน์ให้เห็นว่าการแยกห่างกันทำให้เรารู้ว่าเราโหยหากันมากแค่ไหน ไม่ว่าอะไรก็ตาม ผมก็อยากจะขอบคุณเวลา..ที่ช่วยพิสูจน์อะไรหลายๆอย่างตลอดมา
     
    *
     
           ฉันอยู่ได้โดยไม่มีนายนะยูชอน แต่มันก็ไม่ดีเท่าอยู่กับนาย..”
     
                เพราะคำพูดนั้นของพี่ยุนโฮ ทำให้ตอนนี้เรากลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม เอ..จะพูดว่าเหมือนเดิมก็คงไม่ใช่ทั้งหมด เพราะเมื่อก่อนผมกับพี่ยุนโฮไม่ได้พักอยู่ด้วยกัน แต่หลังจากเหตุการณ์วันนั้นไม่นาน พี่ยุนโฮก็ตัดสินใจเลิกเช่าห้องแล้วย้ายเข้ามาอยู่บ้านเดียวกับผม.. อยู่ห้องเดียวกับผม อยู่ห้องนี้...ห้องที่ที่มีความทรงจำมากมายระหว่างเรา
     
                ผมไล้ฝ่ามือไปยังเตียงนุ่ม อดีตที่ผ่านมาเริ่มไหลย้อนกลับมาในทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น ผมกับพี่ยุนโฮเราก็เหมือนคู่รักทั่วไป มีกระทบกระทั่งกันบ้าง สุขบ้าง เศร้าบ้าง งี่เง่าใส่กันบ้างตามความหงุดหงิดที่แล้วแต่ใครจะเริ่มก่อน
     
                พี่ไม่เห็นเคยบอกผมเลยว่าพี่รักผมอ่ะ มีแต่ผมพูดกับพี่อยู่คนเดียว เอาเปรียบชะมัด” ซึ่งแน่นอนว่าผมมักจะเป็นฝ่ายงี่เง่าใส่เค้าก่อนทุกที..
     
                ไม่เห็นต้องพูดเลย.. แค่นี้นายยังไม่รู้อีกเหรอ” พี่ยุนโฮกระชับกอดแน่นขึ้น ตอบเสียงเนือยๆเพราะเรียนหนักมาทั้งวันจนดูเหมือนคนนอนละเมอมากกว่า
     
                ไม่รู้...” ผมก็แค่อยากจะอ้อนพี่เขาเท่านั้นเอง
     
                พี่ยุนโฮลืมตาขึ้นมามองหน้าผมนิ่ง เหมือนผมจะอ่านสายตาออกนะว่าให้ผมเงียบๆแล้วหลับไปเสียที แต่พี่เขาคงรู้ว่ายังไงผมก็คงไม่ยอมนอนง่ายๆ และถ้าไม่ทำอะไรเลยพี่ยุนโฮเองก็คงไม่ได้หลับง่ายๆเช่นกัน
     
                แต่งงานกันเลยไหมยูชอน?”
     
                หา........?” ไม่ได้อยากได้ถึงขนาดนั้นเสียหน่อย
     
                เป็นไงล่ะ ดีกว่าบอกรักตั้งเยอะ” พี่ยุนโฮพลิกตัวขึ้นมานอนทับบนตัวผมไว้..หนักนะ แต่มันก็อุ่นดี
     
                บ้าหรือไง ผมไม่ใช่พวกผู้หญิงที่ร้องขอความรับผิดชอบเสียหน่อย”
     
                พี่ยุนโฮจูบผมเบาๆก่อนพูดขึ้นอีกว่า แต่งงานกันนะ”
     
                พูดเป็นเล่น..” ผมแค่นหัวเราะ
     
                เอ้า พูดจริงๆนะเนี่ย.. เราจะได้สาบานต่อพระเจ้าว่าจะรักกันตลอดไปไง ถึงพี่บอกเราว่ารักวันนี้ วันหลังเราอาจจะไม่เชื่อว่าพี่รักเราก็ได้ จริงมั้ย?
     
                เท่าที่ผมจำได้กว่าเราทั้งคู่จะได้นอนกันคืนนั้นก็ดึกพอดู เพราะบรรยากาศที่พาไป ทั้งร่างกายและจิตใจที่อยากบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าต้องการกันและกันมากแค่ไหน... มันสำคัญอยู่ที่ว่า เราจะมีกันและกันไปอีกนานเท่าไหนก็แค่นั้นเอง
     
                *
     
                วันนี้เป็นเช้าวันศุกร์ที่ไม่ค่อยสุขสมชื่อเสียเท่าไรสำหรับผม อาการช็อคจากการ์ดที่ได้รับเมื่อเช้าทำให้ผมลงมาทานข้าวเช้าของวันเอาเกือบจะเป็นข้าวเที่ยง
     
                ทำไมลงมาซะสายเชียวล่ะลูก ไม่สบายหรือเปล่า?” ทันทีที่แม่เห็นผมลงมาก็รีบเข้ามาสำรวจร่างกายด้วยการแตะหน้าผากดูว่ามีไข้หรือเปล่า.. ผมส่ายหน้าให้แม่จึงสบายใจขึ้น
     
                แล้วการ์ดที่ยุนโฮเอามาให้เป็นการ์ดอะไรเหรอลูก?” ผมคงทำสีหน้าประหลาดใจมาก พอแม่เห็นก็หัวเราะน้อยๆก่อนจะพูดต่อ
     
                แม่ล่ะตกใจมากเลยนะ ยุนโฮเองก็ตกใจอยู่เหมือน เค้าไม่นึกว่าเรายังไม่ย้ายไปไหน”
     
                พี่ยุนโฮ... มาจริงๆเหรอครับแม่”
     
                ใช่จ้ะ เอ... สามปีแล้วใช่ไหมเนี่ยที่ไม่ได้เจอกันเลย หล่อขึ้นผิดหูผิดตาเลยล่ะ”
     
                จนถึงตอนนี้แม่ก็ยังไม่รู้ว่าผมกับพี่เขาคบกันในฐานะอะไร ตอนที่พี่ยุนโฮย้ายเข้ามาอยู่กับเราด้วย แม่ก็แค่ดีใจที่ได้ลูกชายเพิ่มขึ้นมาอีกคน และก็สบายใจขึ้นที่ผมจะได้มีพี่ชายคอยสอนและคอยเตือนแทนคุณแม่ด้วย
     
                พี่ยุนโฮ...”
     
                ยูชอน ลูกเป็นอะไรไป? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าลูก?”
     
                ผมกลั้นไม่อยู่ ความรู้สึกที่ท่วมท้นที่ไม่รู้จะระบายออกมาอย่างไรทำให้ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่จริงๆ ผมบอกแม่ว่าไม่เป็นไรก่อนรีบกลับขึ้นไปยังห้องดังเดิม ร้องห่มร้องไห้เสียใจให้พอเหมือนครั้งสุดท้ายที่ได้เจอพี่ยุนโฮ วันที่เราตัดสินใจเลิกกัน..จบความสัมพันธ์ดีดีที่สร้างกันขึ้นมา
     
                พี่บอกว่าไม่แต่งก็ไม่แต่งสิ..ใครก็บังคับพี่ไม่ได้หรอก”
     
                แต่ผู้ใหญ่เขาจัดการเรื่องเรียบร้อยแล้วไม่ใช่เหรอครับ คนในรพ.ก็รู้กันไปทั่วแล้วด้วยว่าพี่จะหมั้นกับลูกสาวผอ.โรงพยาบาลใหญ่”
     
                นั่นแหละ ก็พี่จะไม่ยอมซะอย่าง”
     
                ผมว่าเราจบเรื่องของเราดีกว่าไหมพี่ยุนโฮ... เรื่องแบบนี้พี่จะเอาแต่ความคิดตัวเองไม่ได้นะ” ในเมื่อทางผู้ใหญ่กำหนดมา ใครหลายคนก็ต่างรู้กันไปทั่วแล้วด้วย ถ้าพี่ยุนโฮจะปฏิเสธการหมั้นขึ้นมารับรองว่าต้องกระทบหลายคนอยู่แล้ว โดยเฉพาะครอบครัวพี่ยุนโฮเอง
     
                นายหมายความว่านายจะยอมให้พี่ไปอยู่กินกับคนอื่นเหรอ?” ผมพยักหน้าให้
     
                นี่นายยอม... ชิ”
     
                ไม่มีบาทหลวงท่านไหนยอมทำพิธีให้เราหรอกพี่ยุนโฮ” เราต่างก็รู้กันดีว่าไม่มีใครยินดีกับความสัมพันธ์ของเรากันหรอก
     
                นายก็แค่ไม่พยายามทำอะไรเลยต่างหาก”
     
                เราไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย... ห้องทั้งห้องเงียบลงอยู่นาน และเริ่มอึดอัดมากยิ่งขึ้นเมื่อพี่ยุนโฮเดินออกจากห้องไป ผมเคยนึกกลัวว่าหลังจากประตูปิดลงจะไม่มีวันที่จะเห็นพี่ยุนโฮเปิดประตูนี้เข้ามาอีก  ความกลัวนั้นกลับเป็นจริงหลังจากวันนั้น ครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นพี่เค้า ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน ก็คือในห้องนอนนี้เอง
     
                หลายคนคงคิดว่ามันแปลกที่ผมยังทนอยู่ในห้องนี้มาตลอดได้ แต่ถึงแม้ห้องนี้จะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น แต่ความสุขหลายๆอย่างก็มีไม่น้อยเช่นกัน เวลาที่คิดเรื่องเศร้าวันนั้นขึ้นมาผมก็จะรีบคิดเรื่องสุขอื่นๆแทนทันที เรารักกันก็จริงแต่ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันเสมอไปก็ได้นี่นา.. ในเมื่อการอยู่ด้วยกันของเราอาจทำใครหลายคนทุกข์ใจก็เป็นได้
     
                แต่แล้ว หลังจากวันที่ตัดสินใจแยกกันของเรา ทั้งๆที่ผมทำใจเรื่องที่พี่ยุนโฮจะแต่งงานไว้แล้วเชียว กลับได้ยินคนที่รพ.บอกว่าพี่เขาตัดสินใจไปเรียนต่อนอก เพื่อเตรียมตัวกลับมารับตำแหน่งในรพ.ต่อ
     
                สงสัยว่านี่คงจะเรียนจบแล้วเลยกลับมาแต่งงานพร้อมรับตำแหน่งที่รพ.ใหญ่ละมั้ง...
     
                แล้วนี่ พี่ยุนโฮเอาการ์ดมาให้ถึงที่บ้าน... ผมควร จะไปดีหรือเปล่า?
     
     
                *
     
                เมื่อวานที่ผ่านมาผมไม่ทำอะไรเลยนอกจากนอนอยู่บนเตียงและคิดถึงอดีตที่ผ่านมา ร้องไห้จนเหนื่อยแล้วเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ แม้ขนาดหลับ ในฝันยังเห็นความทรงจำจางๆอยู่เลย เคยบอกตัวเองว่าดีแล้วที่ปล่อยพี่ยุนโฮไป แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้เข้มแข็งพอที่จะยอมรับความจริงเรื่องนี้ได้เลย ก็แค่เสียใจที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ผมอยู่มาได้เพราะยังรู้ว่าพี่ยุนโฮไม่ได้หมดรักผม พวกเราไม่ได้เลิกกันเพราะไม่ได้รักกัน เพียงแค่เหตุผลนี้ก็ทำให้ผมสามารถอยู่ต่อมาได้โดยไม่มีพี่ยุนโฮแล้ว
     
                แต่เรื่องที่จะให้ไปร่วมงานแต่งงาน ร่วมเป็นสักขีพยานนี่... ผมทำไม่ได้จริงๆ
     
                ถ้านายมีความสุข พี่ก็มีความสุข” พี่ยุนโฮเคยพูดอย่างนั้น เมื่อตอนที่ผมถามว่าพี่เขาอยากได้อะไรเป็นของขวัญวันเกิด คำตอบคือ ..ความสุขของยูชอน..
     
                ผมก็เหมือนกัน ถ้าพี่มีความสุข ผมก็มีความสุขด้วย”
     
                ...เพราะฉะนั้นงานแต่งงานของพี่ ผมก็ควรจะไปแสดงความยินดีด้วย ไม่ใช่หรือไง..
     
                .
                .
     
                ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงของวันเสาร์แล้ว ได้ยินเสียงเรียกของแม่มาเป็นระยะๆตั้งแต่เมื่อเย็นวาน และบางครั้งก็รู้สึกว่าแม่ขึ้นมาดูผมว่าไม่สบายมากหรือเปล่า.. ผมคงจะดีขึ้นหลังจากวันนี้ไป
     
                ยูชอน ตื่นแล้วเหรอลูก เป็นไงบ้าง” ผมเข้าไปกอดแม่ก่อนบอกว่าไม่เป็นอะไรแล้วจึงจัดการอาหารตรงหน้าให้ได้มากที่สุดแม้ว่าจะกินได้แค่ไม่กี่คำก็ตาม หลังจากกินเสร็จก็ขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว...
     
                บ่ายกว่าๆ... ในการ์ดไม่ได้ระบุเวลาไว้ แต่ก็น่าจะมีพิธีไปตั้งแต่ตอนสายๆแล้ว แต่ก็นั่นแหละ แม้จะรู้ว่าพิธีอาจจะจบแล้วแต่ทำไมผมถึงได้มาอยู่ที่หน้าโบสถ์ก็ไม่รู้ ถ้าพิธียังไม่เสร็จล่ะ? ถ้าเข้าไปแล้วกำลังดำเนินพิธีอยู่ล่ะ? ถ้าเห็นพี่ยุนโฮกับเจ้าสาวแล้วผมจะทำยังไง? ผมจะบอกแสดงความดีใจกับเขาได้เต็มปากไหม? ผมจะทำยังไงดี..
     
                ความเงียบครอบคลุมโดยรอบโบสถ์ ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่าพิธีสมรสคงเสร็จสิ้นไปนานแล้ว จิตใจของผมมันไม่สงบเอาเสียเลย.. ตอนนี้พี่ยุนโฮกลับมาแล้ว เขาต้องเข้าทำงานที่รพ.แน่ๆ แม่ของผมยังคงเข้าออกรพ.นั้นอยู่เสมอ สักวัน ผมจะต้องเจอพี่ยุนโฮอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น...ผมจะยังคงทนเห็นเขาได้หรือเปล่า ถ้าผมยิ่งเห็น ยิ่งเจอพี่ยุนโฮ...ผมก็จะยิ่งอยากได้เขากลับมานี่นา...
     
                พระเจ้า.... ช่วยทำให้จิตใจของลูกเย็นลงด้วยเถิด
     
                ประตูโบสถ์บานหนาเปิดกว้าง.. ภายในโบสถ์เงียบสงบทำให้จิตใจผมผ่อนคลายลงไปบ้าง ความรักของลูกทำให้จิตใจและร่างกายสกปรก อยากจะขอให้พระเจ้าช่วยชำระล้างลูกที
     
                พ่อว่าลูกมาสายไปนะ” ผมหันไปมองตามเสียงที่เดินออกมายังประตูหลังรูปปั้นพระคริสต์
     
                ขอโทษครับ คือพอดีว่าในการ์ดเชิญไม่ได้ระบุเวลาไว้ ผมเลยไม่ทราบว่าพิธีเริ่มเมื่อไร”
     
                ท่านส่ายหน้าและยิ้มละไมให้ พิธียังไม่ได้เริ่มเลย”
     
                “เหรอครับ?” ทั้งๆที่คิดว่าจบไปแล้วเสียอีก รู้งี้ไม่น่าเข้ามาเลย
     
                อีกฝ่ายเพิ่งจะมา พ่อจะเริ่มพิธีได้อย่างไรกันล่ะ”
     
                อ๋อ... เหรอครับ” เจ้าสาวคงจะใช้เวลาแต่งตัวนานสินะ.. ว่าแต่ แล้วแขกล่ะ? ทำไมยังไม่มีใครมาสักคน
     
                เริ่มพิธีเลยไหม”
     
                เอ๋.. แล้วคุณพ่อจะมาถามผมทำไมกันล่ะครับเนี่ย
     
                เขาเพิ่งมา ให้เวลาเขาเตรียมตัวหน่อยไหมครับคุณพ่อ”
     
                พะ... พี่ยุนโฮ!?” ผมมองพี่เขาไม่นานก็เบนสายตามองดูรอบด้านเพื่อหาคนที่เป็นเจ้าสาว แต่แล้วทั้งโบสถ์ก็ยังมีเพียงแค่เราสามคน คุณพ่อ พี่ยุนโฮ และผม..
     
                นายคิดผิดยูชอน..”
     
                “…”
     
                “บาทหลวงท่านนี้ไงที่ยอมทำพิธีให้เรา”
     
                ...”
     
                ยูชอน...”
     
                ...”
     
                ไม่เอาน่า อย่าร้องไห้สิ..นายไม่ดีใจเหรอที่พี่กลับมาแล้ว”
     
                ดีใจบ้าอะไรเล่า หายไปสามปีแล้วอยู่ดีดีก็กลับมา... กลับมา…..ฮึก”
     
                “..กลับมาแต่งงาน” พี่ยุนโฮดึงตัวผมเข้าไปกอด ในที่สุด ความอบอุ่นที่เคยได้สัมผัสก็กลับมาอีกครั้ง
     
                แล้วลูกสาวผอ.โรงพยาบาลใหญ่ล่ะฮะ”
     
                ก็บอกแล้วไงว่าไม่แต่ง” ผมกอดตอบพี่ยุนโฮ..รับรู้ได้เลยว่าร่างกายของพี่ยุนโฮเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
     
                ไม่เห็นบอกเลยว่าไม่ได้แต่ง” เหมือนโดนหลอกยังไงก็ไม่รู้สิ ก็ในการ์ดไม่เห็นบอกอะไรเลยนอกจากว่าพี่ยุนโฮจะแต่งงาน
     
                โธ่.. ก็บอกไปตั้งแต่แรกแล้วไงว่าไม่แต่ง!” แรงโกรธที่เพิ่มขึ้นมานิดทำให้พี่ยุนโฮกระชับกอดแน่นขึ้นกว่าเดิม
     
                “ไม่เห็นต้องตะคอกกันเลยนี่” ผมก็เหมือนกัน ตะคอกกลับไปพร้อมๆกับกระชับแขนให้แน่นขึ้นไปด้วย
     
                ยูชอน...”
     
                ฮะ”
     
                แต่งงานกันนะ”
     
                หน้าผมคงบานเป็นชามไปแล้วแน่ๆตอนนี้.. พี่ยุนโฮมั่นใจได้ยังไงกันนะว่าผมจะยอมแต่งด้วย พี่เขาไม่คิดบ้างเลยเหรอว่าสามปีที่ผ่านมาผมจะลืมเขาไปแล้ว พี่ยุนโฮ..เอาอะไรมาเชื่อใจผมได้ขนาดนี้
     
                นายยังรักพี่เหมือนที่พี่รักนายอยู่ใช่ไหม” ...เพราะนี่นี่เอง
     
                .
     
                .
     
                ตลอดสามปีที่ผ่านมาผมอยู่ได้โดยไม่มีพี่ แต่มันก็ไม่ดีเท่าได้อยู่กับพี่ตอนนี้เลยฮะ”
     
     
    THE END.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×