คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : [SF] BACK TO ME
Author: Micky1st
Couple: 2U
Rating: PG-13
Genre: A/U , Flangst
ผมปล่อยผ้าขนหนูผืนเล็กห้อยอยู่บนหัวพลางเปิดซองหยิบแผ่นการ์ดสีหวานเหมือนตัวซองแต่ส่งกลิ่นหอมจางๆตามออกมาอ่านก่อนยกมือขึ้นจับผ้าขนหนูซับผมที่ยังเปียกชื้นอยู่ ไม่นานนัก.. ผ้าขนหนูผืนเล็กนั้นก็ไม่ได้มีหน้าที่เช็ดผมอีกต่อไปเพราะมันย้ายตำแหน่งมาอยู่บนใบหน้าผมแทน
มีความยินดีขอเรียนเชิญเพื่อร่วมเป็นเกียรติและเป็นสักขีพยาน
ในพิธีสมรสศักดิ์สิทธิ์
ในวันเสาร์ที่ 26 เมษายน ค.ศ. 2000
ณ คริสตจักร เซนท์โซเฟีย
(ขออภัยหากมิได้มาเรียนเชิญด้วยตนเอง)
***
“ความรักไม่มีวันสูญสิ้น...ดังนั้นตั้งอยู่สามสิ่ง คือความเชื่อใจ ความมั่นใจ
และความรัก ..แต่ความรักเป็นใหญ่ที่สุด”
ชื่อเจ้าของงานแต่งงานช่างเป็นชื่อที่ผมคุ้นเคยเสียเหลือเกิน อักษรที่สะกดออกมาเป็นชื่อเขาคนนั้น เหมือนจะสลักติดอยู่ในหัวผมเสียด้วยซ้ำ ถึงแม้จะไม่ได้เจอกันเลยตลอดระยะเวลา 3 ปี แต่ผมก็ไม่ต้องเสียเวลานึกสักนาทีว่าเขาคือใคร เพราะ ‘ชอง ยุนโฮ’ คนนี้ คืออดีตคนรักเก่าของผมเอง
เราเลิกกันด้วยเหตุผลปกติที่ว่าระยะทางและกาลเวลาทำให้คนเราไกลห่างกัน แต่ผมไม่คิดหรอกว่านั่นจะเป็นเหตุผลจริงๆที่ทำให้เขาหมดรักผม เพราะตัวผมเองไม่เคยเลิกรักเขาด้วยเหตุผลนี้เลย แต่ผมยังคงเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า เวลา.. ทำให้คนเปลี่ยนไปได้จริงๆ เพราะเมื่อใดที่ผมนึกย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องของเรา ผมกลับเห็นแต่ความงี่เง่าของตัวเอง.. กาลเวลาทำให้คนเราเติบโตขึ้นและตระหนักได้ว่าสิ่งใดสำคัญต่อตัวเอง แต่กว่าที่เราจะรู้..เวลามันก็ผ่านไปมากจนอะไรๆก็สายไปเสียแล้ว..
ครั้งแรกที่ผมรู้จักกับพี่ยุนโฮคือเมื่อตอนเข้ามัธยมปลายปีแรก แม่ที่เพิ่งเลิกกับพ่อตัดสินใจย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านเกิด ผมจึงย้ายตามแม่มาด้วย คุณแม่ที่ยังไม่หายเสียใจกับการหย่าร้างจึงโหมงานหนักเพื่อให้ลืมเรื่องเลวร้ายนั้นทำให้ผมต้องพาคุณแม่เข้าตรวจในคลินิกแถวบ้านบ่อยๆ และนั่นเองที่ทำให้ผมได้พบกับพี่ยุนโฮบ่อยขึ้น เพราะที่นั่นเป็นกิจการของบ้านพี่ยุนโฮ
ผมไม่รู้ตัวหรอกว่าตอนนั้นผมชอบพี่ยุนโฮหรือเปล่า ผมยังเป็นเด็กผู้ชายปกติที่เที่ยวเล่น เสเพล มีแฟนแล้วทำเรื่องอย่างว่าตามปกติแบบวัยรุ่นทั่วไป แต่เมื่อใดที่มีข่าวพี่ยุนโฮควงสาวมากระทบหูเข้าเมื่อใดผมเป็นต้องโมโหหรืออึดอัดใจขึ้นมาทุกทีสิน่า! ถึงหน้าตาท่าทางพี่ยุนโฮจะดูเป็นคนน่ากลัวไปสักนิดแต่ที่จริงแล้วพี่เขาเป็นคนจิตใจดี มีน้ำใจ ชอบห่วงใยและใส่ใจคนรอบข้างอยู่เสมอ นี่อาจเป็นเพราะว่าพี่เขาเกิดในตระกูลหมอก็เป็นได้
ครั้งแรกที่ผมได้พูดกับพี่ยุนโฮคือครั้งที่สี่ที่ผมพาแม่ไปหาหมอในคลินิกนั้น
“นายอยู่โรงเรียนเดียวกับฉันนี่ เห็นมาที่นี่บ่อยจัง เป็นอะไรงั้นหรอ?”
ผมยืนนิ่งไม่ได้ตอบอะไรเพราะในหัวผมมันขาวโพลงไปหมด ไม่ได้นึกดีใจว่าพี่เขาจำเราได้หรอก ก็เพราะใส่ชุดนร.เดียวกันอยู่ต่างหากถึงรู้ว่าเรียนที่เดียวกัน แต่ที่มันอดดีใจไม่ได้ ก็ตรงประโยคหลังที่เขาถามว่าเราเป็นอะไรหรือเปล่านี่แหละ
“หือ..ว่าไง? ขี้ก้างขนาดนี้.. เป็นโรคขาดสารอาหารหรือว่าโลหิตจาง?”
“ยูชอนจ้ะ นี่ยาบำรุงและวิตามินเสริมต่างๆนะ อย่าลืมให้คุณแม่ทานให้ตรงเวลาจนกว่าจะหมดนะจ้ะ แล้วก็ให้คุณแม่พักผ่อนเยอะๆด้วย”
“ครับ”
จนแล้วจนรอดวันนั้นผมก็ไม่ได้ตอบพี่ยุนโฮ เพราะผมชิ่งหนีกลับบ้านมาก่อน จนเราบังเอิญมาเจอกันอีกครั้งที่หน้าตู้กดเครื่องดื่มอัตโนมัติในโรงอาหาร
“อะไรวะยูชอน นายกดนมมากินอีกแล้วเหรอเนี่ย จะให้มันสูงไปไหนวะ”
“นายเอาด้วยมั้ยจุนซู..จะได้สูงๆมั่งไง”
“ไอ้.... ไม่เอาเว่ย วานกดโคล่าให้ทีแล้วกัน”
“อ๊ะ กดโคล่าเผื่อฉันด้วย” เงาผู้ชายที่มายืนต่อหลังเพื่อนของผมพูดขึ้น
“พี่ยุนโฮ!”
“อ้อ..นายนี่เอง นายควรจะซื้อนมให้แม่นายด้วยนะ ผู้หญิงวัยนี้ควรจะได้รับแคลเซียมและเสริมด้วยวิตามินKเยอะๆ”
ในช่วงนั้น ยิ่งผมเจอพี่ยุนโฮบ่อนขึ้นเท่าไรระดับความประทับใจที่ผมมีต่อพี่เขาก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ไม่นาน..เราก็สนิทกัน พวกเราใช้ชีวิตนร.ม.ปลายอย่างที่หลายๆคนเป็น พอมีเวลาว่างก็ไปเที่ยวเล่นกัน แต่เมื่อไรที่เป็นช่วงสอบพี่ยุนโฮมักจะเอ่ยปากถามว่าจะให้พี่เขาช่วยติวไหม
“ก็นายชอบแอบหลับเวลาเรียนไม่ใช่หรือไง จะไปทำข้อสอบได้ไหมล่ะ หรือตอนสอบต้องหลับเอาจะได้เห็นสูตรเลขลอยขึ้นมา”
“ผมเปล่าหลับซะหน่อย”
“อย่ามาเถียง.. ฉันผ่านไปทีไรก็เห็นนายเฝ้าพระอินทร์ทุกที”
มันอาจดูเหมือนพี่ยุนโฮก็มีใจให้ผมเหมือนกัน ผมคงคิดเข้าข้างตัวเองได้ถ้าเกิดตอนนั้นพี่ยุนโฮไม่ได้คบกับสาวโรงเรียนสตรีข้างๆอยู่ ถึงผู้หญิงสวยๆโรงเรียนเราจะมีเยอะแต่คนที่ทั้งหล่อทั้งรวยทั้งเรียนเก่งแถมเรื่องกีฬาก็ไม่เป็นรองใครอย่างพี่ยุนโฮจะคบผู้หญิงธรรมดาพวกนี้ได้ยังไง อย่างพี่เขาก็เหมาะแล้วกับดาวโรงเรียนคนนั้น
เมื่อนึกถึงเรื่องราวของผู้หญิงคนนั้น สายตาผมก็สอดส่ายหาของชิ้นหนึ่งที่ตั้งอยู่บนตู้ใส่ซีดี บนนั้นมีหุ่นยนตร์และรถจำลองเรียงรายกันอยู่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นออกมาเพราะไม่เข้าพวกกับของที่อยู่รอบข้าง นั่นคือ กล่องเพลงไม้ที่เคลือบเงาไว้อย่างสวยงาม เมื่อเปิดออกมาเพลง Canon ที่พี่ยุนโฮชอบก็จะดังขึ้นพร้อมกับนางฟ้าตัวน้อยค่อยๆหมุนไปรอบๆเหมือนกำลังร่ายรำไปตามบทเพลง อันที่จริงแล้วพี่ยุนโฮไม่ได้ตั้งใจให้ผมหรอก
“ขอโทษนะที่ชวนนายออกมาช่วยเลือกของแบบนี้”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่..ที่เพื่อนพี่ยุนโฮไม่ยอมออกมาเพราะมัวแต่อ่านหนังสือเตรียมสอบเอนท์กัน แล้วตัวพี่ยุนโฮเองไม่กลัวว่าจะอ่านไม่ทันกับเค้าเหรอครับ?”
“เรื่องแค่นั้นเอง พอดีพี่กะว่าจะต่อนอกอยู่แล้วเลยไม่ค่อยห่วงอะไรเท่าไหร่”
“เอ๊.. จะไปเรียนต่างประเทศเหรอครับ?”
“อื้ม... เออนี่ ซื้ออะไรดีอ่ะ กำไร? แหวน?”
ถ้าผมจำไม่ผิด วันนั้นน่าจะเป็นวันเกิดของแฟนพี่ยุนโฮที่บอกว่าอยู่โรงเรียนสตรีประจำจังหวัดนั่นแหละ เธอโทร.มาโวยวายใส่พี่ยุนโฮตั้งแต่นาฬิกาชี้เลยเวลาเที่ยงคืนมายังไม่ถึงสิบนาที อ้างว่าอยากให้พี่ยุนโฮบอกสุขสันต์วันเกิดกับเธอเป็นคนแรก แต่ตัวพี่ยุนโฮน่ะลืมสนิทและกำลังหลับสบายอยู่ต่างหาก ถึงได้รีบลากผมออกมาหาของขวัญไปง้อเธอตั้งแต่ห้างเพิ่งเปิดแบบนี้
“พี่รู้หรือเปล่าล่ะว่าแฟนพี่รสนิยมแบบไหน?”
“อืม.. จะว่ารู้ก็ไม่เชิงหรอกนะ”
สรุปแล้วเราก็เลือกที่จะเดินดูของไปเรื่อยๆมากกว่า เผื่อว่าจะเจออะไรที่เข้าตามากกว่า ให้ผู้ชายสองขึ้นเดินดูเครื่องประดับของผู้หญิงนี่....มันเลือกยากอยู่นะ เราเลยตัดสินใจไปเดินดูตุ๊กตาและของกระจุกระจิกต่างๆ
“โอ๊ะ ไอ้นี่น่ารักจัง” พี่ยุนโฮหยิบนาฬิกาขึ้นมาดู ส่วนผมเหลือบไปเห็นกล่องไม้ที่ว่างข้างๆกันเข้าเลยสงสัยว่าอะไรมันอยู่ข้างในก็เลยหยิบมาเปิดดู ทันทีที่ฝาเปิดออกเสียงเพลงเพราะดังก้องขึ้นมาทันที
“Canon.. ฉันชอบเพลงนี้นะ”
“เหรอครับ เพลงก็เพราะ นางฟ้าตัวนี้ก็น่ารักดี ผมว่าแฟนพี่ต้องชอบมันแน่เลย”
“อืมมม ก็อาจจะนะ เอาอันนี้ก็ได้ ฉันขี้เกียจหาอย่างอื่นแล้ว” พี่ยุนโฮหยิบออกไปจากมือผมแล้วเดินหาเคาน์เตอร์จ่ายเงินทันที
“ทำไมพูดจาไม่ใส่ใจขนาดนั้นเลยล่ะพี่ นี่ของขวัญวันเกิดให้แฟนพี่เลยนะ”
“แล้วทำไมต้องจริงจังกับมันมากด้วยล่ะ ฉันซื้อให้ก็เพราะยัยนั่นอยากได้ของขวัญจากฉันก็เท่านั้นเอง ถ้าไม่รีบหาไปให้เดี๋ยวจะโทร.มาโวยวายอีก น่ารำคาญ”
“พี่ยุนโฮ...”
“หืม?”
“พี่ไม่ได้จริงจังกับเขาขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“จริงจังเหรอ.. นั่นสินะ เรายังอยู่ม.ปลายกันอยู่เลย....”
ในเวลานั้นผมรู้สึกใจชื่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อย..พี่ยุนโฮก็ยังไม่ได้คิดจริงจังกับใคร ถึงผมจะดูไม่มีความหวัง แต่ในเมื่อพี่ยุนโฮยังไม่ได้รักใครจริงจังขึ้นมาก็เท่ากับว่าผมยังมีโอกาสอยู่ไม่ใช่หรือไง? อย่างน้อย... หัวใจพี่เขาก็ยังว่าง..ไม่มีใครเป็นเจ้าของ นั่นมันทำให้ผมรู้สึกดีใจจริงๆ
“ถ้าไม่จริงจังขนาดนั้นก็ไม่เห็นต้องรีบมาซื้อของขวัญให้ขนาดนี้เลยนี่ครับ”
“ไม่รู้สิ.. เราไม่รู้หรอกนะว่าอนาคตจะเป็นยังไง วันพรุ่งนี้ของเราอาจจะไม่มีแล้วก็ได้”
“เอ๊ะ?”
“เดี๋ยวฉันก็จะเอนท์แล้ว อีกอย่างก็ไม่รู้ด้วยว่าต้องไปเรียนต่อนอกหรือเปล่า ถึงจะบอกว่าไม่จริงจังแต่ฉันก็ชอบซึลกีมากนะ ถึงได้ตกลงคบกัน แต่ก็นั่นแหละ..เดี๋ยวฉันก็เรียนจบแล้ว ช่วงที่ยังเจอกันได้ก็ควรจะรีบทำอะไรให้ได้มากที่สุดจะดีกว่า”
อย่างที่พี่ยุนโฮพูด.. เราไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าของขวัญที่พวกเราอุตส่าออกไปซื้อกันและเดินหากันอยู่นานเธอคนนั้นกลับไม่ชอบมันเอาเสียเลย
“ยัยนั่นบอกว่าเพลงไม่เห็นจะเพราะเลย ฉันก็เลยเอามาให้นายจะดีกว่า”
“เฮ้ย! ไม่เอาอ่ะ เอาไปให้แฟนพี่สิ”
“ก็ยัยนั่นบอกไม่ชอบอ่ะ ใครจะไปรู้ว่าไม่มีดนตรีในหัวใจเอาเสียเลย” พี่ยุนโฮพูดไปพลางเปิดกล่องดนตรีให้เสียงเพลงดังเรื่อยออกมา
“นี่มันอาจไม่ใช่แนวเค้าไงพี่”
“นั่นแหละ ฉันถึงได้เอามาให้นายไง วันนั้นนายบอกว่าเพลงก็เพราะ นางฟ้าก็น่ารักไม่ใช่หรือไง? ยัยนั่นเอาแต่ด่าว่าน้องนางฟ้าหน้าตาโบราณ ยัยนี่ก็สมัยนิยมเกิน”
ผมได้แต่หัวเราะและยอมรับของชิ้นนั้นมาแต่โดยดี.. ถึงมันจะเป็นของที่แฟนพี่เขาไม่เอาก็ตาม แต่อย่างน้อยมันก็เป็นของที่ผมเลือกเองกับมือ ผมดีใจที่ยังเก็บมันไว้ แม้บางครั้งที่เหลือบไปเห็นจะเจ็บปวดอยู่ก็ตาม แต่มันก็ทำให้ผมได้รู้ว่า ครั้งหนึ่งเราเคยมีความสุขด้วยกันมากแค่ไหน
ไม่มีงานเลี้ยงใด ไม่มีวันเลิกรา.. ก็เหมือนกับความสุขที่ไม่เคยจีรังเสมอไป ความสุขของผมกับพี่ยุนโฮจบลงในวันจบการศึกษาของพี่เขา มันเป็นวันสุดท้ายแล้ว...วันสุดท้ายแล้วนะที่ผมจะได้เจอกับพี่เขา
“เราไม่รู้หรอกนะว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร”
“ช่วงที่ยังเจอกันได้ก็ควรจะรีบทำอะไรให้ได้มากที่สุดจะดีกว่า”
“ว่าไงยูชอน นายจะไปฉลองกับพวกฉันไหม เพื่อนนายก็ไปนะ พวกจุนซูน่ะ”
“อ๋อ.. เอ่อ คงไม่ดีกว่าครับ ผมเป็นห่วงแม่ที่บ้าน”
“เออ คุณน้าเป็นหวัดอยู่นี่เน้อะ งั้นนายก็รีบกลับบ้านเถอะ ..ฉันไปละ เดี๋ยวพวกนั้นมันรอ”
“เดี๋ยวครับพี่ยุนโฮ”
“หืม? ว่าไง?”
ผมพยายามมองซ้ายแลขวาดูว่ามีใครอยู่ใกล้เราเกินไปหรือเปล่า มันน่าอายออกนะครับที่ต้องมาสารภาพรักกับเพศเดียวกันแบบนี้ ผมไม่ได้หาว่าการชอบเพศเดียวกันมันน่าอาย มันผิดปรกติ หรือเป็นเรื่องผิดอะไร ผมแค่รักพี่ยุนโฮที่เป็นพี่ยุนโฮและพี่เขาเป็นผู้ชายเท่านั้นเอง ไม่ได้หมายความว่าผมจะชอบผู้ชายอื่นได้ ใครก็ได้ที่ไม่ใช่พี่ยุนโฮ... ผมรู้ มันไม่มีทางหรอก เพราะผมรักพี่ยุนโฮคนเดียว
แค่คิดว่าพรุ่งนี้จะไม่ได้เจอพี่ และไม่รู้จะได้เจอพี่ยุนโฮอีกเมื่อไร ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดีแล้ว.. ผมอยู่ได้ ผมรู้ว่าผมอยู่ได้ แต่ผมคงอยู่โดยที่ไม่เป็นสุขเท่าไรแน่ถ้าไม่มีพี่ยุนโฮ
“คือผม... ผม”
“อะไร? นายเป็นอะไร?”
“ผมเป็นบ้าพี่”
“เฮ้ย นายเพ้อไรเนี่ย ติดไข้มาจากแม่หรือไงเรา”
“ก็ผมชอบพี่ ผมบ้าไปแล้วไง”
สีหน้าพี่ยุนโฮอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด เขายังพยายามส่ายหน้าหาว่าที่ผมพูดนั้นมันเป็นเรื่องล้อเล่น แต่น้ำตาที่เอ่อล้นออกมานั้นคงเป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่าผมไม่ได้พูดไปเล่นๆ ผมจริงจังพอจะพูดมันออกไป
“ดีใจด้วยที่เรียนจบนะครับ และขอให้พี่โชคดี... ผม รักพี่จริงๆ”
ผมทำเหมือนกับครั้งแรกที่ได้คุยกับพี่ยุนโฮ คือชิงวิ่งหนีออกมาก่อน ได้ยินเสียงพี่ยุนโฮเรียกอยู่ด้านหลังแต่ก็ไม่ได้วิ่งตามมา นั่นมันก็ดีแล้วล่ะ..เพราะผมตั้งใจไว้แล้วว่าแค่ได้บอกออกไปก็พอ มันไม่มีทางอยู่แล้วที่จะสมหวัง แต่คุณรู้อะไรไหม พระเจ้ามักจะเล่นตลกกับเราอยู่เสมอ เหมือนท่านต้องการดูความพยายามและความมุ่งมั่นของเรา จากการที่ผมยังไม่เลิกคิดถึงพี่ยุนโฮ ผมยังใช้ชีวิตม.ปลายปีสุดท้ายสนุกสนานกับเพื่อนไปจนจบการศึกษานั้น..แต่ผมก็ยังไม่ลืมพี่ยุนโฮ และหวังอยู่ลึกๆว่าจะได้เจอพี่เขาอีกสักครั้ง
ผมยังคงพาแม่ไปหาหมอที่คลินิกเดิมอยู่เสมอ พอรู้มาบ้างว่าพี่ยุนโฮยังเรียนอยู่ที่เกาหลี จำชื่อมหาลัยได้ในตอนแรกแต่พอผ่านไปนานเข้าก็ลืม อีกอย่างหนึ่งเพราะผมเอนท์ไม่ติดด้วย เลยหมดหนทางที่จะตามพี่ยุนโฮแล้ว ช่วงนั้นเองมีแพทย์หนุ่มในคลินิกที่คอยตามจีบแม่ผมได้ขอแม่แต่งงาน เขาเป็นคนดีผมเลยไม่ได้ค้านอะไร หลังจากที่แม่แต่งงานใหม่เราก็ย้ายไปอีกเมืองเพราะพ่อใหม่ผมได้บรรจุเข้าในโรงพยาบาลใหญ่ที่นั่น และที่นั่นเองที่ผมได้เริ่มชีวิตใหม่ จากที่ตั้งใจว่าจะหางานทำแต่พ่อใหม่ก็แนะนำให้เข้าวิทยาลัยศิลป์ที่นั่นจะดีกว่า เพราะผมมีพรสวรรค์ทางศิลปะมากกว่าพวกเรื่องทางวิชาการ
วันหนึ่ง ทางวิทยาลัยของผมได้จัดให้ไปดูแกลลอรี่ในมหาลัยใกล้เคียง ผมและเพื่อนตื่นเต้นกันมาก เพราะผลงานของพวกเราได้รับเลือกให้นำไปจัดแสดงในงานครั้งนี้ด้วย ในขณะที่กำลังเดินชื่นชมภาพวาดของตัวเองอยู่นั้นร่างสูงที่ดูคุ้นตาดึงดูดให้ผมสนใจมากกว่างานศิลปะตรงหน้าพวกนี้ ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตั้งตัว ร่างนั้นก็รีบตรงมาทางผมทันทีและก็เป็นอีกครั้ง ที่ผมชิงวิ่งหนีออกมาก่อน ผมยังคงได้ยินเสียงเรียกจากทางด้านหลัง ห้องแสดงศิลปะเงียบมากจึงไม่แปลกเลยที่จะได้ยินเสียงนั้นชัดเจน.. เสียงที่ผมอยากได้ยิน และเจ้าของเสียงที่ผมอยากพบที่สุด
“ยูชอน ทำไมนายต้องวิ่งหนีทุกทีสิน่า” ผมไม่รู้ตัวเลยว่าพี่ยุนโฮวิ่งออกมาทันผมได้อย่างไร มือหนาของพี่เขาบีบที่ข้อมือของผมแน่นจนรู้สึกเจ็บไปหมด
“ปล่อยเถอะครับพี่ ผมเจ็บ”
“ปล่อยแล้วจะวิ่งหนีไปอีกไหม ฉันไม่วิ่งตามแล้วนะ..เหนื่อย” เสียงหอบของเราสองคนเป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่าต่างคนต่างก็เหนื่อยทั้งคู่ ผมพยักหน้าแทนคำตอบ พี่ยุนโฮจึงปล่อยมือ
“ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอนายที่นี่”
“อ่า...”
“นายไม่ดีใจเลยหรือไงที่เจอฉันน่ะ?”
“ก็...”
“ยูชอน..นายไม่รักฉันแล้วหรือไง?”
“พี่ยุนโฮ! พี่กำลังล้อผมเล่นหรือไง สนุกมากมั้ยที่เอาความรู้สึกของผมวันนั้นมาล้อเล่นแบบนี้” ผมรู้สึกโกรธปนเสียใจ หรืออาจจะน้อยใจด้วยก็ได้ จนน้ำตามันพาลจะไหลออกมาเดี๋ยวนั้น
“ฉันแค่ถามนายเฉยๆ” ผมถอนหายใจพลางส่ายหน้า ผมรู้สึกท้อ..
“และฉันแค่อยากจะบอกว่าฉันดีใจที่ได้เจอนายอีก” ผมคงทำหน้าประหลาดใจมาก เพราะทันทีที่พี่ยุนโฮเห็นเข้าพี่เขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“นายเองก็ดีใจใช่ไหมล่ะที่เจอฉันที่นี่อีก เอ๊ะ..หรือว่าแอบตามมาหาฉันที่นี่?” พอผมเริ่มทำหน้าไม่พอใจเหมือนเดิมพี่ยุนโฮก็รีบพูดขึ้นมา
“ดีแล้วล่ะที่เจอกันเร็วแบบนี้..”
“อ๊ะ..” ผมกำลัง....ถูกพี่ยุนโฮดึงเข้าไปกอด
“ฉันอยู่ได้โดยไม่มีนายนะยูชอน แต่มันก็ไม่ดีเท่าอยู่กับนาย นายเข้าใจฉันใช่ไหม?” ผมไม่รู้ ผมได้แต่กระชับกอดพี่ยุนโฮแน่นขึ้น
“ฉันไม่รู้ว่าฉันรักนายไหม ฉันรู้แค่ว่า ฉันอยากเจอนาย..แล้วก็ดีจัง ที่นายมาให้เจอ”
สุดท้ายแล้ว.. วันที่เราเริ่มคบกัน ผมก็ยังวิ่งหนีพี่ยุนโฮอยู่ดี นึกแล้วก็ขำนะ ทรมานกับการคิดถึงกันตั้งเป็นปีแต่ก็เพราะเวลาไม่ใช่หรือไงที่พิสูจน์ให้เห็นว่าการแยกห่างกันทำให้เรารู้ว่าเราโหยหากันมากแค่ไหน ไม่ว่าอะไรก็ตาม ผมก็อยากจะขอบคุณเวลา..ที่ช่วยพิสูจน์อะไรหลายๆอย่างตลอดมา
ความคิดเห็น