คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : A time traveller ,, chapter 1
Title: [FIC] A Time Traveller
Author: micky1st
Couple: 2U, etc.
Rating: PG
Genre: POV, A/U, Flangst
Status: 1st chapter
Summary: เรื่องของพวกเขาเป็นทั้ง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต..
Author ’s note: เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจากนิยายแปลญี่ปุ่นเรื่องนึงนะคะ แต่รายละเอียดปลีกย่อยไม่ซ้ำกันแน่นอนอยากให้ลองอ่านกันดู
A Time Traveller : Chapter 1
“ยุนโฮ..แกจะรอให้พ่อแกตายก่อนใช่ไหมถึงจะโผล่หน้ามาห๊ะ!! พ่อแกจะตายวันตายพรุ่งอยู่แล้วคิดจะมาเยี่ยมบ้างไหม แกนี่มัน....ชิ”
..........ตี๊ด
ให้ตายสิ ผมไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมง รู้แต่ว่าผมยังนอนไม่พอกับการอดหลับอดนอนนั่งเขียนแบบแปลนรีสอร์ทส่งให้ลูกค้าอย่างเฉียดเส้นตาย เสียงผู้หญิงสูงวัยกร่นด่าฝากไว้เป็นข้อความเสียงหลังจากโทรมาหลายรอบแต่ผมก็ไม่รับ หลายวันมานี้เธอพยายามติดต่อผมทุกวิถีทางทั้งโทรเข้ามือถือ โทรเข้าบ้าน โทรเข้าที่ทำงาน ซึ่งที่จริงแล้ว..ผมทำงานอยู่ที่บ้านมากกว่าเข้าบริษัทเสียอีก
ถ้าจำไม่ผิด อีกไม่นานก็ถึงกำหนดส่งแบบบ้านชั้นเดียวบนเกาะเชจูแล้วนี่นา..
“อ๊ากกกกกกกกกกกกก..เหนื่อยโว้ย!!”
“โฮ้ย..ตกใจหมดเลยไอ้บ้านี่”
หลังจากเด้งตัวขึ้นมาโวยวายเสียงดังลั่นห้องเพราะคิดว่าอยู่คนเดียวโดยลืมไปเลยว่าเมื่อคืนมีเพื่อนอยู่ช่วยเขียนแบบด้วย
“อ้าวแจจุง..ทำไมตื่นเช้าจังวะ” ผมพูดพร้อมลุกขึ้นยืนบิดตัวไปมาไล่ความเมื่อยล้าและความง่วงงุน จำได้ว่ายื่นแบบส่งให้ชางมินเมื่อรุ่งเช้าแล้วจากนั้นก็น็อคไม่รู้เรื่องรู้ราวอีกเลย แต่รู้สึกเหมือนนอนไปได้สองสามชั่วโมงเองนะเนี่ย
“หืม..เพิ่งรู้นะว่าบ่ายสามของแกนี่เช้า” เขายังไม่ละสายตาจากหน้าจอทีวีขณะพูดกับผม
“ห๊ะ!..บ่ายสามแล้วเหรอวะ นอนไปแป๊บเดียวทำไมเย็นเร็วจัง” แจจุงเหลือบตาขึ้นมองในตอนที่ผมยืนเกาหัวแกรกๆ
“จะยืนงงให้เสียเวลาอีกนานมั้ย ไหนแกจะต้องไปเยี่ยมพ่อแล้วต้องกลับมาปั่นแบบบ้านที่เชจูอีก รีบๆไปเลยไปก่อนฉันจะเปลี่ยนใจไม่อยู่ช่วยนะเว้ย” ไอ้เจ้านี่เวลาโกรธหน้าหวานๆของมันก็ดุเอาเรื่องเหมือนกันแฮะ
“เออๆตอนฉันไม่อยู่แกก็ทำไปก่อนดิวะ จะได้เสร็จไวไว” ผมลุกเดินออกจากห้องนั่งเล่นเข้าไปเปิดตู้เสื้อผ้าในห้องนอนก่อนได้ยินเสียงแจจุงโวยกลับ
“แหม..นั่นโปรเจคมึงนะครับไม่ใช่โปรเจคของผม มาช่วยทำก็บุญเท่าไรแล้ว แม่ง..ชอบดองงานไม่รู้จักรีบทำ”
ผมโผล่หน้าออกมาจากห้องนอนมองเห็นแจจุงย้ายที่นั่งไปนอนเอกเขนกบนโซฟายาวที่ผมผละมาเมื่อครู่ คิดจะตอกกลับไปสักหน่อยแต่อย่าเลยดีกว่า ต่อปากต่อคำมากไปเดี๋ยวจะพาลเสียเพื่อนช่วยงานกันพอดี ยิ่งไม่มีเวลาอยู่ด้วย..
เฮ้ย! ต้องรีบแล้วสิ...
...
ผมมาถึงโรงพยาบาลนานแล้วและก็ยืนอยู่หน้าห้องที่จะต้องเข้าไปอยู่นานแล้วด้วยเช่นกัน ตอนที่เพิ่งมาถึงผมเห็นนางพยาบาลเดินออกมาจากห้องจึงเข้าไปถามอาการของพ่อเสียหน่อย เธอบอกว่าอาการยังทรงตัวไม่ต้องเป็นห่วงอะไรแถมยังทิ้งท้ายว่าให้รีบเข้าไปเพราะลูกชายของคนไข้ทั้งสองคนเพิ่งมาถึงเช่นกัน
นั่นแหละที่ไม่สมควรรีบเข้าไป...
ผมยืนรออยู่แถวนั้นนานกว่าครึ่งชั่วโมง นึกสงสัยว่าทำไมสองคนนั้นถึงไม่พากันกลับเสียที ครึ่งชั่วโมงในการมาเยี่ยมคนป่วยโดยเฉพาะพ่อของตัวเองถือว่าไม่นานเอาเสียเลย แต่ถ้าสำหรับพี่ชายของผมแล้วนับว่านานจนผิดสังเกตเชียวล่ะ
ผมเดินไปเดินมาห่างออกจากห้องพักของพ่อไม่ไกลนัก หลังจากนั้นไม่นานเท่าไรประตูห้องก็เปิดออกพร้อมพี่ชายสองคนที่พยาบาลพูดถึง ทันทีที่เห็นประตูเปิด..ผมก็รีบเข้าไปซ่อนตัวในห้องผู้ป่วยแถวนั้นทันทีโดยไม่ต้องกลัวใครจับได้เพราะห้องนั้นว่างเปล่าไม่มีคนไข้พักอยู่เลย..
“ตาแก่นั่นหัวรั้นชะมัด..แล้วทีนี้จะทำยังไงให้ยอมเซ็นชื่อกันล่ะพี่”
“เอาเถอะน่า”
เฮ้อ...ได้ยินแค่นี้ก็หนักใจแทนตาแก่ที่พี่ชายสองคนพูดถึงแล้วล่ะ ไม่รู้มาหว่านล้อมขอทรัพย์สมบัติอะไรจากพ่ออีก ช่างเถอะ...เรื่องของเขาเราไม่เกี่ยว
ผมผิวปากเดินเข้าห้องไปมองเห็นสีหน้าตกใจของพ่อแล้วยิ่งอารมณ์ดี..
“จะมาทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะ” เสียงของพ่อแหบพร่าเสียจนต้องตั้งใจฟังกว่าปกติ แม้หลายเดือนก่อนพ่อจะผ่านการทำคีโมมาแล้วก็ตามเจ้ามะเร็งก็ยังกลับมาอยู่ที่ตับไม่หนีไปไหนอยู่ดี เราจึงต้องนำพ่อกลับมาทำเคมีบำบัดเฉพาะที่อีกครั้งเมื่ออาการของพ่อแย่ลง แต่ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้มันก็ยังทำให้พ่อเจ็บน้อยลงและยืดเวลาให้อยู่กับเราได้นานขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น..
“เซอร์ไพรส์ไงพ่อ!”
พ่อทำเสียงฮึดฮัดไม่ตลกไปกับมุขแห้งๆที่เอาไว้ให้คนแก่ดีใจ ผมจึงเดินไปลากเก้าอี้ข้างโต๊ะริมหน้าต่างไม่ไกลจากเตียงพ่อนักมานั่งใกล้ๆ ถ้าเดาไม่ผิดคุณนายมิฮยอนคงใช้โต๊ะนี้เป็นโต๊ะอาหารและโต๊ะทำงานของเธอ
“พ่อเป็นยังไงบ้างครับ”
“ก็ดี..”
“สงสัยใครมาเยี่ยมก็คงถามกันแบบนี้งั้นผมถามใหม่ดีกว่า..” ยังไม่ทันจะพูดต่อพ่อก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ตั้งใจจะถามว่าฉันจะตายเมื่อไรใช่ไหม” พ่อพูดเสียงเรียบ ไม่ได้บ่งบอกถึงอาการโกรธ หรือแสดงความน้อยใจอะไรเลย สายตาพ่อเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดมุ่งหมาย เพ่งมองบางสิ่งบางอย่างซึ่งไม่อาจรู้ได้ว่ากำลังมองไปยังเส้นทางไหน ก็คงเหมือนชีวิตที่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ว...จะจากไปอยู่ที่ไหนนั่นเอง
“หมอคงบอกแล้วว่าฉันจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน..น่าจะสักสามเดือนได้ใช่ไหม”
ผมละสายตาจากหน้าต่างหันหน้ากลับมามองยังผู้เป็นพ่ออีกครั้ง..ผมเงียบ..ที่เงียบไม่ใช่เพราะไม่อยากพูด..แต่เพราะไม่รู้จะพูดอะไรในเมื่อผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน
“แต่บางราย..บอกจะตายอีกสามเดือน..ไม่ถึงเดือนก็ตายเสียแล้ว”
“พ่อ...”
“บางคนบอกว่าอยู่ได้ไม่กี่เดือนกลับรอดมาได้เป็นปีปี..” เสียงหัวเราะในลำคอของพ่อเหมือนค่อนขอดประชดอยู่ในที
“พ่อคงเป็นแบบหลังมากกว่า”
“ฉันรู้ตัวเองดียุนโฮ..ฉันเหลือเวลาอีกไม่มากเท่าไรและฉันก็ไม่มีห่วงอะไรแล้วด้วย พี่แกทั้งสองคนก็แต่งงานแต่งการมีฐานะมั่นคงไปแล้ว และตัวแกเองก็มีบริษัทเป็นของตัวเอง..ฉันไม่ต้องห่วงอะไรพวกแกอีกแล้ว......ต..แต่ที่ฉันยังห่วง..ก็มีแต่...” พ่อหยุดกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ก่อนจะปิดตาลงเหมือนกำลังนึกถึงอะไรบางอย่าง เมื่อพ่อยังไม่ยอมพูดผมจึงเดาไปเรื่อย
“คุณนายมิฮยอน?..พ่อไม่ต้องห่วงคุณเธอหรอก สาวสองพันปีดีกรีเจ้าแม่นักธุรกิจแบบนั้นถึงไม่มีสามีก็ไม่ลำบากหรอกครับ ลำพังเงินทองที่มีอยู่ตอนนี้ก็ใช้ได้จนตายแล้วล่ะ”
พ่อชักสีหน้าไม่พอใจใส่แบบนี้ทุกครั้งที่ผมพูดถึงแม่..
“เขาเป็นแม่แกนะยุนโฮ ถึงแกจะรู้ว่าเขารักพี่ชายทั้งสองของแกมากกว่าก็เถอะ” พ่อเบิกตากว้างทำตาขวางใส่ผม ช่างเป็นคนที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกผ่านทางสายตาได้ดีจริงๆ
“ช่างเถอะ..เพราะถึงยังไงผมก็ยังเป็นลูกพ่อ” ผมเอื้อมตัวเข้าไปจับแขนพ่อไว้แน่น ไม่นานตาแก่ที่นอนหน้าซีดอยู่ก็ระบายยิ้มบางๆเมื่อเห็นผมยิ้มให้ เขาค่อยๆยกแขนขึ้นมาลูบหัวผมเหมือนเมื่อครั้งที่ผมยังเด็ก พ่อไม่เคยยีหัวผมเล่นด้วยความรักหรือเอ็นดูแต่กลับค่อยๆลูบเพื่อมอบความรักความอบอุ่นให้ผมอยู่เสมอ..
คงเพราะ..เราสองคนมีฐานะไม่ต่างกัน จึงเข้าใจกันและกันมากกว่าคนอื่นละมั้ง
ตอนที่พ่อแต่งงานกับคุณนายมิฮยอนเธอก็มีลูกชายติดจากสามีเก่าอยู่แล้วสองคน เธอแอบแต่งงานมีลูกและใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาในตอนที่เธอไปเรียนต่อและฝึกงานอยู่ที่นั่น พอถึงเวลาที่ผู้ใหญ่ของเธอและพ่อต้องการเชื่อมสัมพันธ์ทางธุรกิจให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจนต้องบังคับให้ลูกๆแต่งงาน..ทั้งพ่อและเธอคงจะเจ็บปวดมากแต่ก็ไม่สามารถคัดค้านอะไรได้ เพราะความเห็นแก่ตัวของคนเพียงคนเดียวอาจทำให้พนักงานหลายร้อยคนเดือดร้อนก็เป็นได้
เพราะอย่างนั้น..
ลูกชายทั้งสองของเธอจะเคารพพ่อผู้ไม่ได้ให้กำเนิดสักเท่าไรกันเชียว
ในขณะเดียวกันลูกชายซึ่งเกิดจากผู้ชายที่โดนบังคับให้แต่งงาน..เธอจะรักได้แค่ไหนกันเชียว
“ว่าแต่..พ่อยังมีอะไรต้องห่วงอีกหรอ? เอ...หรือห่วงกิ๊ก? ถ้าไม่แก่เท่าพ่อผมรับช่วงต่อให้ก็ได้นะ...โอ๊ย!” คนป่วยใกล้ตายทำไมแรงเยอะจัง..นี่ขนาดป่วยความแข็งแรงยังไม่ลดลงเลยนะเนี่ย ผมได้แต่ลูบหัวโอดครวญถึงความเจ็บปวดที่ได้รับ “แค่มะเหงกยังเจ็บขนาดนี้ พ่ออยู่ได้อีกเป็นปีปีแน่เชื่อผมเถอะ”
ตาแก่หัวเราะร่าด้วยความชอบใจ เพิ่งรู้ว่าพ่อเราก็แอบชอบความรุนแรงเหรอเนี่ย เฮ้อ..
“ถ้าฉันอยู่ได้เป็นปีฉันจะเขกกะโหลกแกไปทั้งปีเลยคอยดูสิ”
“..อยู่ไม่ถึงปีก็โดนเขกมะเหงกอยู่ดีแหละ” ก็ตั้งแต่เล็กยันโตพ่อเอาแต่เขกหัวไม่เคยทำโทษผมด้วยวิธีอื่นเลยนี่นา รักก็ลูบหัวโกรธก็เขกหัว ไม่รู้เป็นอะไรกับหัวผมมากหรือเปล่าเนี่ย
“จะได้จำพ่ออย่างฉันใส่กะโหลกแกไว้ไง..ไอ้ยุนโฮ” ผมเบะปากกับคำพูดไม่เข้าท่าของพ่อทั้งยังลูบหัวเพื่อคลายความเจ็บไม่หยุด
“ไหนเข้ามาดูใกล้ๆซิ..ยังไม่หายเจ็บอีกเหรอ” ผมขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้พ่อทำตัวออดอ้อนเหมือนเด็กๆแต่แล้วก็โดนพ่อเขกซ้ำที่เดิมอีกรอบ “สำออย..พ่อกระหม่อมบาง...เขกนิดเขกหน่อยทำเป็นโอดเป็นโอย แกเป็นผู้ชายหรือเปล่าเนี่ย..ฮึ..ยุนโฮ ผู้ชายหรือเปล่า..สำออยไปได้”
เฮ้ย..ใครหาว่าพ่อจะตายในอีกสามเดือน ไม่มีทาง! มือข้างนึงดึงแขนผมไม่ให้ลุกหนีไปไหนส่วนอีกข้างก็รัวมะเหงกใส่ผมไม่ยั้ง ผมทั้งดึงทั้งปัดก็ยังสู้แรงพ่อไม่ไหวเลย....
ซะที่ไหนกันเล่า!
ถ้าสะบัดทีพ่อคงลอยลงมากองกับพื้นแล้วล่ะ...
“พ่อลูกคู่นี้ทะเลาะอะไรกันอีกแล้วล่ะ นี่แกจะหาเรื่องจนกว่าพ่อแกจะตายเลยใช่มั้ย?..ยุนโฮ” นั่นไง..คุณนายมิฮยอนมาทันเวลาคัทพอดี ผมกำลังคิดอยู่เลยว่าจะเลิกเล่นเป็นเด็กอ่อนแอนี่ยังไง แต่ไม่ใช้ตัวแสดงแทนแบบนี้ก็เล่นจริง เจ็บจริง.. เหมือนกันนะ
“คนที่หาเรื่องคือพ่อต่างหาก..คุณนายอย่าใส่ร้ายผมข้างเดียวสิครับ”
“เจ้าลูกคนนี้นี่..”
“เอาเถอะน่ามิฮยอน..เราก็แค่หยอกล้อกันตามประสาพ่อลูกเท่านั้นเอง แล้วนั่นหอบอะไรมาเยอะแยะล่ะ?”
“ผมช่วยครับ” ผมรีบตรงเข้าไปถือถุงผลไม้มาวางไว้บนโต๊ะข้างหน้าต่าง
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะ” พ่อถามซ้ำเมื่อพยายามชะโงกมองแล้วก็ยังไม่รู้ว่าของในถุงคืออะไร
“ของว่างของคุณไงคะ นอกจากอาหารหลักสามมื้อแล้วคุณยังต้องมีของว่างระหว่างมือด้วย” เธอพูดพลางจัดการนำสัมภาระต่างๆจัดเก็บเข้าตู้ให้เรียบร้อย ผมได้แต่ยืนดูเฉยๆเพราะรู้ดีว่าเธอไม่ชอบให้ใครยุ่งวุ่นวายเว้นเสียแต่ว่าเธอจะเป็นคนออกปากขอให้ช่วยเอง
..ผมไม่รู้จริงๆว่าที่คุณปู่บอกพ่อเอาไว้ว่า “อยู่กันไปก็จะรักกันเอง” นั้น มันจริงหรือเปล่า.. คุณมิฮยอนเธอรักพ่อหรือเป็นแค่การทำหน้าที่ตามความรับผิดชอบในฐานะที่ผูกพันกันเป็นคู่สามีภรรยาก็ไม่รู้สิ
แต่มีคนเคยบอกเอาไว้ว่า ความรักกับความผูกพันนั้นต่างกัน เพราะการผูกพันกับใครสักคนเราไม่จำเป็นต้องรัก มันเป็นเพียงความรู้สึกนึกคิดถึงความทรงจำที่เคยอยู่ด้วยกัน แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของความคิดถึงซึ่งก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความรักนั่นเอง เพราะฉะนั้นทั้งความรักความผูกพันจึงควรมีอยู่ร่วมกัน
เพราะถ้าไม่ผูกพัน..ไม่รัก...คุณมิฮยอนเธอคงไม่ดูแลพ่อผมดีขนาดนี้หรอก
“เอ่อ..ในเมื่อคุณนายก็มาแล้ว ถ้างั้นผมกลับก่อนแล้วกันนะพ่อ” อยู่ไปก็คงไม่ได้ช่วยคุณเธอเท่าไรเพราะดูเหมือนเธอเองก็ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากผมอยู่แล้ว ปล่อยให้เธออยู่กับพ่อตามลำพังจะดีกว่า
“ในเมื่ออยู่นานๆไม่ได้ก็มาให้มันบ่อยๆหน่อยแล้วกัน..เข้าใจมั้ย?”
“ครับแม่ ผมไปนะครับพ่อ” ผมโค้งให้คุณนายก่อนจะหันมาโบกมือให้พ่อซึ่งฝ่ายนั้นเองก็ปัดมือไล่ให้ผมรีบๆไปเสียที
“เออยุนโฮ..” แต่แล้วเหมือนเจ้าตัวนึกอะไรขึ้นมาได้จึงรั้งผมไว้ตอนที่ผมกำลังจะเปิดประตูออกไปพอดี ผมเดินกลับตัวเข้าหาพ่ออีกครั้งเพื่อตั้งใจฟังว่าพ่อจะพูดอะไร
“ครับ?”
“สถาปนิกอย่างแกออกแบบสุสานได้ใช่ไหม?” นับวันพ่อยิ่งทำตัวน่าขนลุกเข้าไปทุกที..หรือนี่จะเป็นคำขอร้องสุดท้ายหรือไงกัน
“รีบๆกลับไปทำงานของแกซะ ฉันรู้ว่าแกยุ่งกับแปลนบ้านที่เชจูอยู่ แต่หลังเสร็จงานนี้แล้วแกไม่ต้องรับโปรเจคไหนมาทำนะเพราะฉันจะจ้างแกเอง”
“พ่อพูดอะไรของพ่อเนี่ย” เรื่องสร้างสุสานนี่พูดจริงหรอ..พูดเป็นเล่นน่า แล้วยังรู้เรื่องโปรเจคบ้านที่เชจูอีก สงสัยพ่อคงถามเอาจากแจจุงแน่เลย หนอย..หมอนั่นก็ทำตัวเป็นนักสืบลับลับของพ่อไปได้ ไม่รู้ว่าเจ้าแจจุงแอบรายงานเรื่องอื่นให้พ่อฟังด้วยหรือเปล่า กลับไปต้องเล่นงานหน่อยแล้ว เป็นลูกน้องแต่กลับมาหักหลังเจ้านายตัวเองแบบนี้..ฉันจะรีบไปบอกชางมินให้ตัดโบนัสปีนี้ของแกทิ้งซะ!
“ให้แจจุงดูแลโปรเจคแทนแกไป ส่วนแกก็มารับงานจากฉันนี่..”
“พ่อ..” นี่เอาจริงใช่มั้ยเนี่ย..โปรเจคสุสานของพ่อเนี่ยนะ?
“คุณคะ..” คุณนายวางมือจากของบนโต๊ะรีบเดินเข้าหาสามีตัวเอง เธอแตะแขนพ่อเหมือนจะปรามไม่ให้พูดจาเหลวไหลไปมากกว่านี้ ผมสังเกตเห็นสีหน้าเธอหมองลงอย่างชัดเจน คำพูดของพ่อทำให้ผมหายใจขัดเหมือนมีอะไรจุกอยู่ที่คอ
“เอ้า..มีลูกเป็นถึงสถาปนิกทั้งคน ฉันไม่ยอมนอนจมกองดินร่วมกับคนอื่นหรอกนะ ที่ทางเราก็มีตั้งเยอะแยะ เอามาทำสุสานของตระกูลเราก็ดีไม่ใช่หรือไง”
“ถ้าอย่างนั้น..” เธอปล่อยมือออกจากแขนพ่อขึ้นมากอดอกพร้อมทั้งยืดตัวสูดหายใจลึกก่อนจะปล่อยลมหายใจยาวอย่างหนักอก แม้จะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่อยากขัดใจคนป่วยใกล้ตายจึงทำได้แต่เพียงตามใจเท่านั้น “ไหนๆก็ไม่เคยทำอะไรเพื่อพ่อแกอยู่แล้วนี่นา ถือว่าครั้งนี้ฉันขอด้วยก็แล้วกัน”
ดูคุณเธอพูดเข้า..
“ก็ได้..ถ้าพ่ออยากมีที่ฝั่งศพให้สมกับมีลูกเป็นสถาปนิกจริงๆ ผมจะทำให้สมใจพ่อเลย แต่พ่อต้องเลิกพูดเรื่องที่ตัวเองจะตายเสียที มัวแต่คิดเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ช่วยมาคิดว่าจะยกที่แปลงไหนให้ผมสร้างเรือนหอผลิตหลานให้พ่ออุ้มดีกว่า..โอเคมั้ย?”
เปล่านะครับ..ผมไม่ได้ละโมบอยากได้ที่ดินหรือทรัพย์สมบัติของพ่อแต่อย่างใด มันเป็นเพียงโจ๊กตลกนิดๆเพื่อให้พ่อหันเหความสนใจจากสุสานมาเป็นลูกหลานของตัวเองก็เท่านั้นเอง แต่ถ้าพ่อคิดจริงจังก็ดีเหมือนกันนะ เพราะผมคิดจะขยายสาขาบริษัทของผมลงต่างจังหวัดอยู่พอดีเลย
“อย่างแกเนี่ยนะจะมีครอบครัว!! โถพ่อคุณของแม่..ดูแลตัวเองให้ได้ก่อนไหมเจ้าลูกชาย” เธอถึงกับขำจนตัวงอ จะว่าไปก็คุ้มกับการถูกหลอกด่าอยู่นะเพราะนานๆทีจะเห็นแม่ผ่อนคลายสบายอารมณ์กับการขบขันชีวิตไม่ได้เรื่องของลูกชายตัวเอง...ผิดกับปรกติที่เธอต้องรักษาภาพลักษณ์หรือที่เรียกว่าวางมาดเป็นเจ้าของบริษัทให้คนที่อยู่ใต้อำนาจยำเกรง
“ได้..นี่คือข้อตกลงในโปรเจคของเรา” ตาแก่มีสีหน้าดีขึ้นจนผิดสังเกตเมื่อผมยอมตกลงด้วย “แล้ววันหลังค่อยมาลงรายละเอียดข้อตกลงกันใหม่” รอยยิ้มของพ่อยังไม่จางไปแม้จะไม่มองหน้าผมแล้วก็ตาม...
ดูเหมือนว่า..ข้อตกลงจะมีมากกว่านั้นสินะ
.
.
“สุสาน?..ถ้าพ่อแกไม่บ้าก็คงเข้มแข็งมากจนทำใจเรื่องมะเร็งได้แล้วมั้ง” แจจุงละสายตาจากโต๊ะเขียนแบบขึ้นมองหน้าผมหลังจากฟังผมเล่าเรื่องที่คุยกับพ่อในโรงพยาบาลให้ฟังทั้งหมด แถมเขายังเห็นดีเห็นงามว่าความคิดพ่อเข้าท่าอีกด้วย
“ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อจะอยู่ได้ถึงเมื่อไหร่” ผมพูดพลางลุกเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเบียร์ออกมาสองกระป๋องแล้วยื่นให้แจจุงกระป๋องนึงเพื่อบอกเป็นนัยว่าเวลานี้เป็นช่วงพักการเขียนแบบของเรา
“ทำไมแกไม่ถามแม่วะ” ผมซดเบียร์อึกใหญ่เพื่อเลี่ยงการตอบบทสนทนานี้ มันพูดยากนะ เอาจริงๆผมไม่กล้าถามแม่หรอกว่าพ่อจะตายเมื่อไหร่ มันคงทำให้เธอเสียใจและผมอาจโดนด่ากลับมาอีกเป็นชุดด้วยก็ได้ โทษฐานไม่สนใจแม้กระทั่งเวลาตายของพ่อตัวเอง
“ถ้าไม่กล้าถามแม่ไปถามหมอก็ได้นี่หว่า” แจจุงเอนตัวพิงพนักเก้าอี้พร้อมยกขาข้างหนึ่งขึ้นไขว้อีกข้างแล้วจึงปล่อยให้ข้างที่วางอยู่บนพื้นเหวี่ยงเก้าอี้และตัวเขาให้หมุนซ้ายทีขวาที ผมเห็นเขาทำแบบนี้ทุกครั้งก่อนจะลงมือวาดแบบ บางทีเห็นแล้วก็เวียนหัวนะ หมุนไปหมุนมาอยู่ได้น่ารำคาญ แต่ก็ว่าอะไรมันไม่ได้เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้นมันคงคิดแบบช้ากว่าปกติหรือไม่ก็อาจคิดไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
แต่ก็จริงอย่างที่แจจุงพูด..ถึงถามแม่ไม่ได้ไปถามหมอเอาคงง่ายกว่า แต่ผมจะยอมรับได้หรอ ผมจะรับรู้วันตายของพ่อและรออยู่เฉยๆจนวันนั้นมาถึงได้อย่างนั้นหรอ ผมตระหนักได้ทันทีว่าพ่อเป็นคนที่เข้มแข็งมาก เพราะพ่อยอมรับชะตากรรมชีวิตได้ถึงขนาดเตรียมสร้างสุสานให้ตัวเองเอาไว้เลย..
“พ่อแกอายุแค่สี่สิบกว่าๆเองไม่ใช่หรอวะ” ผมกับแจจุงเราเป็นเพื่อนกันตอนเข้ามหาวิทยาลัยก็จริง แต่เพราะเขาอัธยาศัยดีจึงเข้ากับทุกคนได้ง่ายและด้วยความมีมารยาทนอบน้อมถ่อมตนซึ่งผมดูแล้วไม่เข้ากับมันเลยสักนิดแต่ก็ทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดูเป็นพิเศษ (โดยเฉพาะแม่ของผม) เขาจึงค่อนข้างสนิทกับคนในครอบครัวผมมากทีเดียว
“..พ่อชอบพูดว่าคนที่ได้ทำงานจนเกษียณนี่เป็นโชคดีของคนพวกนั้นจริงๆ ฉันไม่เข้าใจเลยว่ะ ทำงานยันอายุหกสิบมันจะโชคดียังไงวะ” ผมนิ่งไปสักพัก “จน...วันนี้แหละ..พ..เพิ่งเข้าใจ..” ผมลูบกระป๋องเบียร์ไปมาพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย มันรู้สึก...ใจหายละมั้ง พอรู้ว่าพ่อเข้าโรงพยาบาลอีกรอบผมคิดเลยว่าเดี๋ยวทำคีโมก็คงหายเหมือนครั้งที่แล้ว แต่มันไม่ใช่เลย พ่อพูดถึงเวลาที่เหลือ..เวลาที่จะตาย..พูดถึงขนาดขอให้ผมทำสุสานให้ ฟังแล้วมัน..รู้สึกไม่ดีเอาซะเลย
“แกรักพ่อมาก..ยุนโฮ เป็นพวกรักแต่ไม่แสดงออกอย่างแกเนี่ยก็ลำบากเหมือนกันนะ อยู่ๆจะเข้าไปกอดหรือเข้าไปหอม..มีหวังพ่อแกคงนึกว่าลูกชายผีเข้าไม่ก็เขียนแบบจนเป็นบ้าไปแล้วก็ได้ แถมดีไม่ดีอาจจะคิดว่าแกแสร้งทำเพื่อเอาใจพ่อที่ใกล้ตายด้วยซ้ำ เพราะงั้นฉันว่าแกเป็นแบบนี้ของแกน่ะดีแล้ว..คุณลุงเค้ารู้อยู่แล้วแหละว่าลูกชายของเค้าแสดงออกว่ารักยังไง”
“รู้หรอวะ?” ที่ผ่านมาผมทำไม่ดีกับพ่อหลายอย่าง ทั้งไม่เชื่อฟังคอยเอาแต่ดื้อทำตามแต่ใจของตัวเอง แต่ทุกครั้งที่เราแขวะใส่กันหรือค่อนขอดเรื่องนั้นเรื่องนี้ใส่กัน..ในเวลานั้นผมรู้สึกเหมือนเราสนิทกันเกินกว่าคำว่าพ่อลูกจริงๆ มันให้ความรู้สึกเหมือนพ่อเป็นเพื่อนที่เข้าใจและสนิทกับผมจนหยอกล้อกันได้โดยไม่ต้องเคารพเทิดทูนถึงขนาดที่แตะต้องไม่ได้เลย..
“รู้ดิวะ..พ่อลูกกันนะเว้ย...แกยังเข้าใจเค้าเลยทำไมเค้าจะไม่เข้าใจแกวะ” แจจุงดึงกระป๋องเบียร์เปล่าของผมแล้วลุกเดินไปทิ้งลงถังขยะที่มุมห้องก่อนจะหายเข้าห้องน้ำไป ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หลับตาแน่นถอนหายใจยาวด้วยหวังว่าความคับแน่นในอกจะหายไปจากการถอนหายใจยาวๆนี้ได้บ้าง..แต่มันก็ไม่ได้ช่วยคลายความอึดอัดออกไปได้เลยแม้แต่น้อย
ผมเร่งปั่นแบบบ้านพักตากอากาศที่เชจูอย่างคร่าวๆแล้วจึงส่งไปให้แจจุงทำต่อ โดยไม่ลืมพูดให้เขาฟังถึงความต้องการของผู้ว่าจ้างว่าต้องการบ้านแบบไหน เนื่องจากเป็นเพียงการออกแบบเบื้องต้นไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมากนัก งานของผมจึงเสร็จภายในเวลาสามวันเท่านั้น หลังจากนั้นแจจุงจะเป็นคนเคลียร์แบบและรับผิดชอบงานต่อไปจนแล้วเสร็จเอง
“ช่วยไม่ได้..ก็มันตกลงกับพ่อเองว่าจะดูแลงานแทนผมนี่นา...” พ่อบ่นไม่หยุดเมื่อรู้ว่าทำไมผ่านไปแค่สามวันผมสามารถกลับมารับงานสุสานของพ่อได้ หาว่าผมเห็นแก่ตัวโยนงานให้เพื่อนบ้างล่ะ อู้งานบ้างล่ะ ขี้เกียจทำงานบ้างล่ะ โอ้ย..คนเค้ารีบปั่นงานเพื่อมาดูแลพ่อที่ป่วยมันสมควรมารับฟังคำบ่นด่าจนหูชาอย่างนี้หรอเนี่ย
“แต่แกก็น่าจะอยู่ช่วยจนงานเสร็จนี่นา” พ่อกอดอกเอนหลังพิงเตียงที่ปรับขึ้นมาพลางมองดูผมปอกแอปเปิ้ลไม่วางตา
“รอจนงานเสร็จก็เป็นเดือนๆแน่ะพ่อ ไม่เป็นไรหรอก..ผมร่างแบบไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”
แอปเปิ้ลนี่..กินทั้งเปลือกเลยได้มั้ย? ปอกยากปอกเย็นจังวะ
ผมกัดปากตัวเองแน่นเวลาที่ตั้งใจทำอะไรแบบสุดๆ นั่นหมายความว่าตอนนี้ผมกำลังปอกแอปเปิ้ลอย่างสุดความสามารถอยู่นั่นเอง
“แล้วไม่ต้องไปคุมงานหรือไง”
“เรื่องนั้นเดี๋ยวชางมินจัดการต่อให้เอง ไม่ต้องห่วงน่าพ่อ..นะ...ไม่ต้องห่วงๆ” ผมยิ้มกว้างหวังให้พ่อวางใจเรื่องงานของผมสักที แต่พ่อกลับถอนหายใจยาวแล้วส่ายหน้าไม่หยุด
“ฉันไม่ห่วงเรื่องงานแกนักหรอก ฉันเป็นห่วงว่าวันนี้จะได้กินแอปเปิ้ลที่แกปอกหรือเปล่าต่างหาก ที่แกปอกอยู่น่ะแน่ใจนะว่าเปลือก?”
อันที่จริงผมก็พยายามปอกเปลือกนะครับ แต่สงสัยว่าเปลือกกับเนื้อคงรักกันมากไป..ยิ่งปอกยิ่งมีแต่เนื้อแอปเปิ้ลติดออกมา ผมหัวเราะกลบเกลื่อนโดยที่ยังพยายามปอกต่อไปไม่หยุด
“พอๆ ไปเอาส้มมาให้ฉันกินดีกว่าไป..” พ่อก็น่าจะบอกว่าอยากกินส้มเสียตั้งแต่แรก..เฮ้อ ผมหยิบเศษแอปเปิ้ลเข้าปากก่อนลุกไปหยิบส้มมานั่งแกะเปลือกใส่จานให้พ่อแทน
“เออพ่อ..เรื่องที่พ่อบอกว่ายังเป็นห่วงอยู่คือเรื่องสร้างสุสานน่ะเหรอ?” ผมพูดพลางหยิบส้มที่แกะเปลือกออกแล้วใส่จานยื่นให้พ่อรับไปกินเอง ตาแก่ขี้บ่นหยิบส้มเข้าปากก่อนจะส่ายหน้าช้าๆทำเอาคิ้วผมขมวดเป็นปมด้วยความสงสัยทันที
“อ้าว! แล้วพ่อเป็นห่วงเรื่องอะไรอีกล่ะ..ย...อย่าบอกนะว่ามีอีหนูลูกติ..ด..” ยังไม่ทันพูดจบพ่อก็ยัดส้มเข้าปากผมเสียก่อน
“อย่าพูดพล่อยๆ” ว่าผมเสร็จก็หยิบส้มเข้าปากกินอย่างสบายใจ..อีกทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะเปิดปากพูดเรื่องนั้นด้วย ผมรู้สึกได้ว่า ‘ห่วง’ ของพ่อคงเป็นเรื่องที่พูดออกมาได้ยาก เพราะไม่ว่าจะลองถามสักกี่ครั้งพ่อก็ไม่ยอมบอกผมตรงๆเสียที เนื่องจากเวลาจำกัดที่ไม่รู้จะหมดลงเมื่อไร อีกไม่นาน..พ่อก็คงพูดออกมาเอง ดังนั้นผมจึงไม่เร่งเร้าให้พ่อพูดแต่กลับเป็นคนชวนคุยเรื่องอื่นเสียเองเพื่อพ่อจะได้ไม่ต้องอึดอัดเพราะคิดว่าผมรอฟังคำตอบอยู่
วันนี้ผมใช้เวลาทั้งวันหมดไปกับพ่อเสียเป็นส่วนใหญ่ นานมากแล้วที่เราไม่เคยใช้เวลาร่วมกันอย่างนี้ เราคุยกันถึงสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก เคยเล่นซนอะไรบ้าง..เคยดื้อเคยร้องไห้หรือเอาแต่ใจเรื่องอะไรพ่อก็ยกออกมาแฉจนหมด ถึงผมจะเป็นลูกคนที่สามทางนิตินัยแต่ก็เป็นลูกคนแรกทางพฤตินัยของพ่อจึงไม่แปลกเลยที่เขาจะทั้งรักทั้งหวงผมจนญาติๆต่างพากันเบือนหน้าหนีเพราะความเอือมกับอาการเห่อลูกชายมากไปของพ่อนั่นเอง
“เขาน่าจะได้มาเห็นแกตอนนี้...” รอยยิ้มระบายเต็มหน้าพ่อขณะที่เขาจ้องมองผมนิ่ง สายตาภาคภูมิใจในตัวผมกลิ้งอยู่ในตาอย่างชัดเจน ผมมันไม่เก่งเรื่องบริหารธุรกิจเหมือนพี่ชายทั้งสอง แถมยังดื้อแพ่งอยากเอาดีด้านงานศิลป์จนทะเลาะกับแม่ใหญ่โตเลยต้องออกมาอยู่คนเดียว มีก็แต่พ่อนี่แหละที่ยังคอยเป็นกำลังใจและผลักดันให้ผมฝ่าฟันสิ่งต่างๆมาได้จนประสบความสำเร็จในงานที่ตัวเองชอบมาจนถึงปัจจุบันนี้
“..ขอบใจมากนะ” พ่อยิ้มกว้างจนตาปิดสนิท ผมไม่รู้ว่าพ่อขอบคุณผมเรื่องอะไรกันแน่เพราะถ้าแค่ปอกผลไม้ให้กินกับอยู่คุยด้วยทั้งวันพ่อคงไม่มีความสุขขนาดยิ้มจนหน้าเหี่ยวย่นไปหมดแบบนี้หรอก นึกแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน เมื่อก่อนพ่อเราออกจะหล่อเหลากว่านี้แท้ๆ ไม่แน่ว่าแก่ไปผมก็ต้องหน้าเหมือนพ่อแบบนี้สินะ คิดแล้วขนลุกชะมัด..ไม่อยากจะแก่เลยเรา
“ขอบคุณที่แกทำฝันของฉันจนสำเร็จ”
“ความฝันของพ่อ?” ผมยกมือขึ้นเกาหัวอย่างสงสัย
“ฉันเคยฝันว่าอยากเป็นสถาปนิกแบบแก..ลืมแล้วหรือไง” ผมทำได้แค่ยิ้มกลบเกลื่อนไปเท่านั้น นึกไม่ออกว่าพ่อเคยบอกเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไร สงสัยว่าจะเป็นตอนเด็กๆ..หรือเปล่านะ
“จำไม่ได้หรอว่าฉันเป็นคนหัดให้แกวาดรูปเองเลยนะ ฉันน่ะวาดรูปเก่งออกจะตายไป แกยังชมฉันออกบ่อย..ไอ้ยุนโฮ”
ใช่ครับ พ่อผมวาดรูปเก่งมากๆ รูปที่แขวนประดับอยู่ที่บ้าน หรือแม้กระทั่งที่บริษัทไม่ว่าจะเป็นสาขาใหญ่หรือย่อยทั้งหลาย รวมถึงรีสอร์ทและบ้านพักส่วนตัวของเราล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือพ่อทั้งนั้น งานเขียนของศิลปินท่านอื่นก็มีบ้างประปราย แต่งานเขียนของพ่อซึ่งไม่ใช่ศิลปินเต็มตัวก็สวยไม่แพ้ใคร งานเขียนของพ่อยังมักสร้างแรงบันดาลใจหลายๆอย่างแก่ผมด้วยเช่นกัน นี่ก็เป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันที่ทำให้ผมก้าวมาจนถึงทุกวันนี้ได้
“จำได้สิพ่อ..งานเขียนของพ่อติดอยู่เต็มผนังไปหมดทำไมผมจะจำไม่ได้ แล้วส่วนใหญ่ก็เห็นมีแต่บ้านรูปแบบต่างๆ เอาไปแขวนที่สำนักงานมีแต่ลูกค้าอยากสร้างบ้านตามแบบที่พ่อวาดทั้งนั้น”
“แล้วแกได้ทำให้เขาไหมล่ะ?”
“ไม่ล่ะ ผมแค่ดัดแปลงเอาจากของพ่อมาประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัยบนพื้นที่ที่มีอยู่จำกัด ภาพบ้านแต่ละภาพของพ่อมีแต่สวนรอบบ้านกว้างๆทั้งนั้น ลูกค้าผมส่วนใหญ่มีพื้นที่น้อยไปนิด”
“แกไม่ได้สร้างแบบจากรูปที่ฉันวาดบ้างเลยเรอะ” พ่อแสดงความไม่พอใจใส่ผมในหางเสียง ผมไม่เข้าใจว่าพ่อจะมานอยทำไมในเมื่อตัวเองไม่เคยบอกให้เอารูปไปสร้างแปลนเสียหน่อย
“จะว่าไม่เคยก็ไม่ใช่นะพ่อ..ก็ผมบอกแล้วไงว่าเอาไปประยุกต์น่ะ ไว้ใครมาติดต่อสร้างรีสอร์ทเดี๋ยวผมจะเสนอแบบบ้านของพ่อเลยดีมั้ย บ้านของพ่อเหมาะกับการสร้างเป็นรีสอร์ทที่สุดเลย” ผมยกนิ้วโป้งขึ้นแสดงเป็นสัญลักษณ์ว่าพ่อน่ะสุดยอดจริงๆแต่พ่อกลับส่ายหน้ายิ้มอย่างเอือมระอาใส่ผม
“แกนี่มันไหลลื่นจริงๆ”
“ไหลลื่นอะไรกันเล่า ผมไม่ใช่ปลาไหลเสียหน่อย” ไม่ดีเลย..พ่อนี่มองผมออกไปเสียหมด “...ผมไม่เห็นจะรู้เลยว่าพ่อเคยฝันอยากเป็นสถาปนิกด้วย”
“ใครๆเกิดมาก็ต้องมีฝันกันทั้งนั้นแหละ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองจะเริ่มก้าวเดินไปทางไหน เพียงแต่ฉันโชคไม่ดีเหมือนแกที่ทำตามฝันไม่ได้เท่านั้นเอง”
“ยังมีอีกหลายคนนะพ่อที่เค้ามีฝันแต่ไม่สามารถทำตามความฝันได้” ผมรู้สึกเสียใจกับหลายๆคนรวมทั้งพ่อด้วยที่ไม่สามารถทำสิ่งที่ตัวเองรักและอยู่กับมันได้อย่างที่ใจต้องการ
“พ่อถึงได้อยากให้เขามาเห็นแกไง.. อยากให้เขาได้เห็นแกจริงๆ...” รอยยิ้มเดียวกับเมื่อครู่หวนกลับมาสู่ใบหน้าพ่ออีกครั้ง ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่สายตาที่พ่อจับจ้องผมอยู่นั้นเหมือนกำลังมองคนอื่นที่ไม่ใช่ผมมากกว่า เหมือนมีใครทับซ้อนอยู่บนใบหน้าผมทำให้พ่อมองเหม่อและยิ้มค้างอยู่แบบนั้น
ผมสงสัยตั้งแต่ครั้งที่แล้วแล้วว่า..เขา..ที่พ่อพูดถึงนั้นคือใครเลยเซ้าซี้ถามออกไป “ใครหรอพ่อ?” ใครกันที่บิดเบือนตัวผมออกไปจนพ่อมองเห็นเขามากกว่าผมที่อยู่ตรงหน้า..
“..ย...ชอน...”
.
.
“ยูชอนน่าจะได้มาเห็นแกจริงๆ...”
TBC.
ความคิดเห็น