คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : CHAPTER 01
01
พลั่ก!
เสียงตำราหนังสือสามสี่เล่มตกลงกระทบพื้นไม้ปาเก้เสียงดังเมื่อเจ้าของนั้นเผลอเดินชนกับร่างของหญิงสาวที่เดินสวนกันโดยบังเอิญ
“ เอ่อ ขอโทษครับ”
“นี่!! เดินยังไงไม่ดูทางเลยหรือไงยะ
ซื่อบื้อจริงๆ เสียฤกษ์หมด!”
มือเล็กดันแว่นตาขึ้นชิดสันจมูกพลางก้มหัวขึ้นลงขอโทษหญิงสาวอยู่หลายครั้งด้วยความรู้สึกผิดจนร่างของหญิงสาวเดินพ้นตัวเองไปก่อนที่จะค่อยๆนั่งลงไปเก็บหนังสือที่ตนทำตกพื้นไปเมื่อกี้ โดคยองซูก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม หญิงสาวคนนั้นต้องทำท่าอารมณ์เสียแบบนั้นด้วยทั้งๆที่คนที่เป็นฝ่ายมาชนเขาก็คือเจ้าหล่อนเองนั่นแหละ
“ สงสารมินอาจัง ชนเข้ากับโดคยองซู มืดมนแต่เช้าเลยว่าไหม? ”
“ ฉันก็ว่างั้นแหละ คยองซูทำอะไรก็ดูเหมือนว่าจะเกะกะคนอื่นเค้าไปทั่วเลยนะ ”
“ เฉิ่มชะมัด! ไปกันเหอะ เดี๋ยวไปดูห้องใหม่ไม่ทัน ”
มืดมน เกะกะ
เขาทำให้คนอื่นรู้สึกแบบนั้นจริงๆน่ะเหรอ
แต่ถึงอย่างนั้นคยองซูก็คิดว่าเขาคงจะทำเป็นไม่สนใจกับประโยคที่เพิ่งได้ยินอย่างเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกกับการใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ตั้งแต่มัธยมต้นจนตอนนี้ก็จะขึ้นมัธยมปลายปี1เขาเจอเข้ากับเรื่องแบบนี้จนชินชาซึ่งถ้าถามว่าคยองซูโกรธไหม โมโหบ้างหรือเปล่า เขาก็ต้องขอบอกว่า ไม่รู้จะรู้สึกไปเพื่ออะไร ก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตายอมให้ตัวเองถูกแกล้งถูกนินทาต่อไป
พอเก็บหนังสือขึ้นแนบอกได้เรียบรอย ขาเรียวก็มุ่งหน้าเดินตรงเข้าไปที่บอร์ดติดประกาศรายชื่อนักเรียนของแต่ละห้องและแต่ละชั้นปีของโรงเรียนทันทีเพื่อที่จะได้ดูว่าช่วงชีวิตการเรียนในชั้นมัธยมปลายของเขานั้นจะเริ่มต้นที่ห้องไหน
ใช่ วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกของเขา
คยองซูก็แค่หวังว่าจะได้มีเพื่อนใหม่ๆที่ยอมจะเป็นเพื่อนกันไป จนจบบ้างแต่ทว่าความจริงแล้วถึงจะหวังยังไงมันก็คงได้แค่หวังเพราะรู้ตัว เองว่ายังไงก็คงเป็นตัวเกะกะ มืดมนของคนรอบข้างอยู่ดี พอมาถึงก็พบว่าตอนนี้เด็กนักเรียนเริ่มซาลงไปบ้างแล้วเพราะใกล้ จะเข้าแถว ไม่รอช้ามือเล็กก็บรรจงทาบไล่หารายชื่อของตัวเองไปทีละแผ่นจนเจอ
ห้อง B
โดคยองซู
อา เขาได้อยู่ห้อง B
“ ห้อง D สินะ ”
หืม คยองซูแน่ใจนะว่าเขาไม่ได้เปล่งเสียงของตัวเองออกมาว่าได้อยู่ห้องอะไร และแน่ใจว่าเสียงของตัวเองไม่ได้ทุ้มใหญ่ขนาดนั้นด้วย จนเมื่อได้หันไปสบตาเข้ากับร่างสูงโปร่งที่ซ้อนอยู่ด้านหลังเขาเพื่อดูใบรายชื่อเหมือนกัน
และไม่ทันไรก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องรอบๆบริเวณของเด็กนักเรียนสาวที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นเด็กชั้นมอต้นหลายๆคนครางออกมาเบาๆเมื่อรู้ว่าใครที่กำลังยืนดูใบรายชื่อหน้าบอร์ดประกาศอยู่ ซึ่งจากการที่ได้หันไปมองแค่แวบเดียวคยองซูก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร
“ แก๊! รุ่นพี่ชานยอล ”
“ โอ้ยหล่อลืม! ตายจะเป็นลมขอยาดมหน่อย ”
ปาร์คชานยอลหนึ่งในคนที่มีอิทธพลที่สุดในโรงเรียน ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมคนที่มีเพื่อนเป็นหนังสือกับห้องสมุดอย่างคยองซูจะรู้จักได้ ไม่รู้จักน่ะสิ แปลก
“ เห้ยแก!!! นั้นมันรุ่นพี่จงอินกับรุ่นพี่แบคยอน เดินมาโน่นแล้ว อร้ายยย! ”
เสียงคนเก่ายังไม่ทันสิ้น ก็กรีดร้องต้อนรับคนมาใหม่ซะแล้ว แต่ทว่าคยองซูก็มองตามมือไม้ของเด็กนักเรียนหญิงที่ยืนกรี๊ดแล้วชี้ไปยังคนที่พวกเธอหลงไหลเหมือนกัน
พอได้หันไปมองก็เห็นคนสองคนที่ความสูงดูเหมือนจะต่างกันพอสมควร กำลังเดินคู่กันตรงมาทางเขา ถึงจะไม่ค่อยรู้อะไรกับเรื่องคนดังในโรงเรียนมากแต่คยองซูกลับจำได้ว่าทั้งสองคนนั้นชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไรกันบ้าง คนที่ดูตัวเล็กกว่าถ้าคยองซูจำไม่ผิดก็คงจะเป็น บยอนแบคฮยอน ส่วนคนที่ตัวสูงๆข้างแบคฮยอนเจ้าของสีผมสีบลอนด์สว่างก็คือ คิมจงอิน ก็ไม่แปลกอีกอ่ะแหละที่คนอย่างเค้าที่ไม่ค่อยจะสนใจอะไรเท่าไหร่จะรู้จักทั้งสามคนนี้
สามคนนี้เป็นใครน่ะหรอ เดี๋ยวคยองซูจะเริ่มให้ฟัง
‘ วง KCB ‘
วงดนตรีสากลที่ดังที่สุดในโรงเรียน แข่งชนะการประกวดคว้าถ้วยรางวัลสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนมานับไม่ถ้วนแต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ความสามารถอย่างเดียวที่ทำให้สามคนนี้ดังได้ขนาดนี้ คยองซูรู้มาว่าถึงขนาดดังกันไปข้ามโรงเรียนเลยทีเดียว
ชานยอล มือกลองของวง ลูกชายคนเดียวของโรงเรียนแห่งนี้ที่เค้าว่ากันว่ามีส่วนสูงเป็นจุดเด่นรวมไปถึงหน้าตาที่หล่อเหลาไม่แพ้ความสามารถ ความเป็นผู้ชายอบอุ่นและสุภาพขี้เล่นของชานยอลทำเอาคนทั้งในและนอกโรงเรียนต่างพากันหวั่นไหว คยองซูว่าก็จริงนะ เมื่อกี้ที่หันไปคยองซูก็ได้รับรอยยิ้มที่เป็นมิตรจากชานยอลเหมือนกัน
แบคฮยอน มือเบสของวงและเป็นนักร้องนำ ฉายาคาสโนว่าหน้าสวยประจำโรงเรียน คยองซูไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแบคฮยอนถึงได้ฉายานี้มาครอบครอง อาจจะด้วยความที่แบคฮยอนมีรูปร่างเล็กบอบบางและใบหน้าที่เป็นผู้ชายยังสวย ถ้าเป็นผู้หญิงคยองซูว่าแบคฮยอนจะต้องยิ่งสวยมากแน่ๆ คยองซูจำได้ว่าแบคฮยอนน่ะถึงขนาดเกือบได้ตำแหน่งดาวโรงเรียนมาแล้วถ้าไม่ติดตรงที่ว่าโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนชายหญิง
ส่วนคนสุดท้าย…จงอิน มือกีต้าร์มีร้องนำบ้างบางคร่าว คนที่กำลังซุกมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงทำหน้าเบื่อหน่าย คยองซูว่าคงอาจจะหงุดหงิดที่ต้องตื่นเช้าก็ได้ เพราะเขาก็เป็นนะเวลาที่ต้องตื่นเช้าๆเพราะหม่าม๊าปลุก แต่ถึงจงอินจะทำหน้าแบบไหนหรือจะทำอะไรก็ติดจะดูดีไปหมดทุกอย่างเลยสำหรับสาวๆในโรงเรียน อาจเพราะหุ่นนายแบบที่สุดแสนจะเพอร์เฟ็คหรืออาจจะเป็นเพราะ เรือนผมสีบลอนด์สว่างของจงอิน ไม่ใช่ว่าโรงเรียนจะใจดีให้ย้อมหรือทำสีผมได้นะ แต่กับจงอินเป็นกรณียกเว้น เพราะจงอินเป็นนายแบบ รับงานถ่ายแบบถ่ายโฆษณา ที่คยองซูรู้เพราะคยองซูก็แอบเห็นโฆษณาของจงอินตามทีวีอยู่บ่อยๆ และนั่นแหละเป็นธรรมดาที่ทางโรงเรียนจะยกเว้นเพราะทำเพื่อการทำงานในวงการบันเทิง
ที่บรรยายมาเนี่ยคยองซูไม่ได้ลำเอียงพูดถึงจงอินมากกว่าชานยอลกับแบคยอนหรอกนะ ก็แค่เท่าที่จะรู้มาเท่านั้นเอง แต่วันนี้จงอินหน้าดูง่วงจริงๆนะ คยองซูอยากให้จงอินไปนอนจัง
และเหมือนว่าอยู่ๆคนที่ถูกพูดถึงอยู่จะหันมาสบตาเข้ากับคยองซูพอดีจนร่างเล็กๆสะดุ้ง
ตุบ!
ตกใจอย่างเดียวไม่เท่าไหร่หนังสือในมือของคยองซูมันดันหล่นไปนอนแอ้งแม้งบนพื้นด้วยเนี่ยสิ ดวงตากลมโตภายใต้แว่นตากรอบหนาลู่ลงมองพื้นทันทีเพราะไม่อยากให้จงอินรู้ว่าตนกำลังแอบมอง ก่อนรีบก้มเก็บบรรดาหนังสือบนพื้นด้วยความรวดเร็ว คยองซูไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองเพราะรู้สึกได้ว่าจงอินยังไม่เลิกมองจ้องมาที่เขาเสียที
อา น่าอายจังเลยคยองซู
จงอินที่กำลังเซงๆเพราะนอนไม่พอ มองออกไปรอบๆบริเวณเพื่อจะหาว่าไอ้ชานยอลที่มันบอกว่าถึงแล้วๆเนี่ยมันอยู่ไหนแต่ทว่าก็บังเอิญหันไปสบตากับร่างเล็กที่มองจากสายตาแล้วคงสูงประมาณไหล่เขาได้มั้ง ท่าทางดูเนิร์ดนิดๆของเจ้าตัวทำให้เขาไม่ได้คิดจะสนใจอะไรมากมาย จงอินไม่ได้ไม่ชินที่ต้องมีสายตาของคนอื่นจับจ้องมาที่เขาตลอดเวลา เด็กเนิร์ดนั่นก็คงเป็นอีกคนที่รู้จักเขาแล้วก็มองล่ะมั้ง แต่พอสบตากันได้แปปเดียวก็เห็นว่าอีกฝ่ายสะดุ้งจนทำหนังสือที่อุ้มไว้ตกลงพื้น
ตกใจอะไรขนาดนั้นก็แค่มอง
สบตากับเขาถึงกับทำหนังสือตกเลยหรือไง
สงสัยได้ไม่นานก็ต้องยักไหล่เลิกสนใจเมื่อได้ยินเสียงเรียกของชานยอลที่ยืนโบกมือบอกพิกัดอยู่ตรงบอร์ด พอเดินเข้าไปหาชานยอลก็เหลือบมองคนขี้ตกใจนิดๆ พอเห็นว่าอีกคนเก็บหนังสือขึ้นมาหมดแล้วก็หันมาสนใจเพื่อนของตัวเองต่อ
ก็แค่จะเดินไปช่วยเก็บหนังสือแต่เก็บหมดแล้วก็คงจะไม่ต้อง
“ไงมึง! สุขสันต์วันเปิดเทอมมอปลายครับ ”
“ มึงอยู่ห้องอะไรวะชานยอล? ” แบคยอนเอ่ยถามชานยอลด้วยตาที่ยังไม่เปิดดีพร้อมกับของแถมเป็นห่าววอดๆสองทีส่งไปให้จนโดนมือใหญ่ของชานยอลผลักเข้าที่หัว
“ อ้าวๆ เล่นของสูง ” ปากว่าไปแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรกลับ ทำเพียงแต่ลูบหัวตัวเองเบาๆ ยังๆ แบคฮยอนยังไม่อยากมาเล่นมวยปล้ำกับชานยอลมันตอนนี้หรอก ยังเช้าอยู่ นี่ก็ยังไม่หายง่วงเลย เล่นเกมส์LoLดึกไปหน่อย แพ้ด้วยเนี่ย สาดด พูดแล้วมันขึ้น
“ แบคมึงกับกูอยู่ห้อง D ส่วน จงอิน มึงอยู่ห้อง B ”
คนตัวเล็กที่ยังคงยืนกอดหนังสือของตัวเองอยู่แบบนั้นได้ยินในสิ่งที่ชานยอลพูดชัดเจนทุกคำ ไม่ได้ตั้งใจแอบฟัง แต่อยู่ใกล้กันแค่นี้ไม่ได้ยินก็แปลกแล้ว
ห้อง B หรอ งั้นแสดงว่าจงอินก็อยู่ห้องเดียวกับเราสินะ
แอ้ดด!
“ อ้าวมาอยู่นี่เองหรอมึง ” ร่างสูงของปาร์คชานยอลเอ่ยปากทักทายเมื่อพบว่าในห้องซ้อมดนตรีของวงกลับมีคนมาอยู่ก่อนแล้ว ทั้งๆที่คิดว่าห้องเขาพักเที่ยงเร็วกว่าชาวบ้านแล้วนะแต่สงสัยจะมีห้องอื่นที่ปล่อยก่อนเวลาอย่างห้องของเพื่อนรักของเขาที่ตอนนี้นอนดีดกีต้าร์อยู่บนโซฟาด้วยท่าทางสบายใจก่อนจะเงยหน้าจากกีต้าร์ตัวโปรดมาพยักหน้ารับคำทักทายของเขา
ไม่แปลกที่พวกเขาจะมาอาศัยสิงร่างอยู่ที่ห้องนี้ ห้องซ้อมดนตรีเรียกได้ว่าได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของลูกชายคนเดียวของผู้อำนวยการโรงเรียนอย่างชานยอลในการอ้อนให้สร้างที่สำหรับพวกเขาให้หน่อยซึ่งก็ทำให้ได้ห้องซ้อมดนตรีที่มีครบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีสากลทุกชนิด ห้องน้ำห้องครัวขนาดย่อมมีหมด เรียกได้ว่าย้ายสำมโนครัวมาทำกินที่ห้องนี้ได้เลย ซึ่งห้องนี้ก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับตึกเรียนของพวกเขาเท่าไหร่แต่ก็ลึกลับพอที่จะสามารถแอบหลบมางีบได้โดยที่อาจารย์ไม่สามารถหาเจอ
“ นี่มึงอย่าบอกนะว่ามึงไม่ได้เข้าคาบเช้าทั้งคาบแล้วมาอยู่เนี่ยอ่ะ ? ” ดูจากสภาพแล้วมันไม่น่าจะเพิ่งมาแน่ๆดูได้จากกองเศษซากขนมขบเคี้ยวที่ได้มาจากเหล่าบรรดาแฟนคลับของพวกเขาทั้งหลายที่กองอยู่ตามพื้นตามโซฟาที่ดูเหมือนตัวก่อขยะก็ไม่คิดจะเก็บกวาดแถมยังปรับตัวอาศัยอยู่รวมกันได้โดยไม่มีปัญหา
“
อือ ขี้เกียจ
”
“
เออๆ
แล้วแต่มึงเลยครับเพื่อน แล้วนี่มึงกินข้าวเที่ยงยัง? ” จงอินตอบคำถามของเขาสั้นๆได้ใจความ แบบฟังแล้วรู้เรื่องและเขาก็ไม่ได้คิดจะเซ้าซี้อะไรต่อเลยเปลี่ยนเรื่องเป็นถามสารทุกข์สุขดิบแท้
แต่ดูจากกองขนมที่กินไปมันคงไม่หิวแล้วมั้ง
“ …นี่ไอ้เตี้ยมันไปไหนไม่มาด้วยกัน? ”
“ สัด! ”
เออ ขอบคุณมากนะ สนใจคำถามกูมากเลย
“ ไรนินทาไรกูกัน เดี๋ยวกูโบก ไอ้พวกเวรตะไลมาช่วยกันถือของหน่อยดิ๊!! เร็วหนักโว้ยยย ” เสียงทุ้มเล็กติดจะแหลมไปซักนิดของแบคยอนดังมาจากหน้าประตู ทำให้คนที่ยืนอยู่เพียงคนเดียวในห้อง (ไอ้จงอินมันนอน) ต้องเดินเข้าไปช่วยถือพวกขนมช็อกโกแลตลูกอมจากบรรดาแฟนคลับที่คงจะให้มาอีกตามเคย
แต่แล้วจู่ๆจงอินที่นอนอยู่บนโซฟาก็ลุกขึ้นมาก่อนจะเดินตรงมายังหน้าประตู
แบคยอนที่กำลังถ่ายทอดกองขนมจากแฟนๆไปให้ชานยอลถือยกยิ้มอย่างซึ้งใจเมื่อคิดว่าน้ำใจจากมิตรภาพของจงอินมันช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน
อุตส่าห์ลุกเดินมาเพื่อจะมาช่วยเขาที่กำลังถือของเยอะแยะ เอ่อ ไม่ต้องแยกกันนะเพื่อนรักของแบคทั้งสอง
มีของจะให้ช่วยถือมากพอสำหรับพวกมึงทั้งสองคนแน่นอนเว้ย ว่าแล้วก็จึงหยิบกล่องขนมกล่องหนึ่งยื่นไปให้เพื่อนผิวแทนที่กำลังเดินตรงเข้ามาพร้อมด้วยรอยยิ้มหวานแฉ่งเป็นสิ่งตอบแทน
เดินเข้ามารับขนมไปสิเพื่อนรัก
จ๊ะ อย่างงั้นแหละ
อะ อ้าว กูยื่นกล่องขนมเก้อเลย แม่งเดินผ่านกูออกประตูเฉยเลย
“ เห้ย! เดี๋ยวไอ้จงอิน มึงจะไปไหน ”
เดี๋ยวนะมันคาใจ
แถมกูถือขนมเก้อให้ชานยอลมันหัวเราะด้วยเนี่ย ไม่มีจิตสำนึกจะช่วยเพื่อนแล้วยังจะเดินออกไปข้างนอกคืออะไร
เลวมาก!
“ ยุ่ง!!
”
จงอินพูดแค่นั้นแบบไม่ลืมแถมรอยยิ้มพิมพ์ใจมาให้ด้วย
เออแล้วแต่เลย กูชินแล้ว กูแกร่ง กูจะไม่หลุดปากด่าอะไรมึงออกมาทั้งนั้นแหละเพื่อนรัก…ซะที่ไหนกันเล่า!!
“ ยุ่งกับหน้าแม่มึงสิ ไอ้ดำ ไอ้ผีห่า มึงจะไปไหนมึงก็ไปเลยแล้วไม่ต้องกลับมา ฟัคยูแมน!@#@$#$%% ”
“ เฮ้อ น่าเบื่อชะมัด ” พูดไปก็หาวไปพลางบิดขี้เกียจหลังจากที่ได้นอนมาตั้งแต่เช้า เอาจริงๆไอ้เรื่องกฏระเบียบมันไม่ได้ทำให้จงอินกลัวซักเท่าไหร่ เพราะถึงยังไงอาจารย์ก็ทำอะไรเขาไม่ได้อยู่ดีและคงไม่คิดจะมีเรื่องกับเขาให้ปวดหัว คงต้องขอบคุณการที่เขามีเพื่อนเป็นถึงลูกผอ.อย่างชานยอล แต่ก็นะปกติแล้วจงอินก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะเข้าห้องเรียนตลอดอยู่แล้วเพราะเขารับงานเดินแบบถ่ายแบบเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ค่อยได้เข้าเรียน วันนี้จะขาดสักวันจะเป็นอะไรไป
ไม่นานร่างสูงก็เดินเข้ามาในโรงอาหารที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเด็กนักเรียนที่ลงมาต่อแถวซื้ออาหารกันเต็มไปหมด
ดวงตาที่ติดเหมือนคนง่วงนอนตลอดเวลาของจงอินกำลังกวาดสายตาเพื่อจะได้ดูว่าพอจะมีอะไรที่ทำให้เขาอยากกินบ้างไหม
ถึงแม้ว่าเมื่อกี้จะกินขนมไปเยอะพอสมควรแต่เขาถือว่านั่นมันของหวานไม่ใช่ของคาว
“ นี่! อยากเห็นอะไรตลกๆม่ะ อึนฮา ”
“ อะไรวะ ”
“ เออน่าตามมาเหอะ ”
บทสนทนาของนักเรียนชายสองคนที่บังเอิญลอยเข้าหูร่างสูงโดยบังเอิญทำให้เขาเกิดความสงสัยขึ้นนิดๆ แต่ทว่าก็คงได้แต่สงสัยในเมื่อมันไม่ใช่เรื่องอะไรของเขาที่อยากจะรู้ไปกับสองคนนั้นด้วย จงอินไหวไหล่อย่างไม่แยแสอะไรก่อนจะมองหาร้านภายในโรงอาหารที่พอจะมีอะไรดึงดูดให้เขาอยากกินต่อไป
“ อ๊ะ!! ”
แต่ก็นะ ยังไม่ทันจะได้มองไปทั่วๆโรงอาหาร เสียงร้องของใครบางคนก็ต้องทำให้จงอินละสายตาไปมองด้วยความสนใจ
เมื่อหันไปเห็นก็พบกับเด็กผู้ชายสองคนเมื่อกี้ที่เขาบังเอิญไปได้ยินบทสนทนาเข้า มือของนักเรียนชายหนึ่งในสองคนนั้นถือแก้วเปล่าไว้ในมือโดยที่มีอีกคนยืนหัวเราะอะไรบ้างอย่างที่จงอินก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรเพราะตอนนี้คนเริ่มมายืนมุงดูกันเยอะแล้ว
จงอินพร่ำบอกกับตัวเองว่านี่มันไม่ใช่เรื่องของเขา เขาควรเดินเลี่ยงออกไปซะ แต่ไม่เลยขาของเขากลับเดินแทรกเข้าไปอยู่ในหมู่คนมุงเสียนี่ พอได้เข้าไปดูใกล้ๆก็ต้องพบกับสิ่งที่นักเรียนชายสองคนนั้นหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง เขาเห็นร่างของเด็กนักเรียนผู้ชายอีกคนที่นั่งก้มหน้าลงกับโต๊ะอาหาร โดยที่แว่นตาหนาๆที่เจ้าตัวใส่เต็มไปด้วยคราบน้ำสีแดงๆ ที่ทำให้จงอินกระจ่างว่าน้ำในแก้วของนักเรียนชายสองคนนั้นคือน้ำอะไรและก็เดาได้ไม่ยากว่าเจ้าแว่นนั่นคงต้องเป็นเจ้าของเสียงร้องเมื่อก่อนหน้านี้แน่
“ เอ่อ… เป็นไรหรือเปล่าคยองซู โทษทีนะไม่ได้ตั้งใจชนน่ะ ” นักเรียนชายคนที่ถือแก้วน้ำไว้ในมือพูดขึ้น
ปากก็พูดขอโทษแต่สีหน้าท่าทางมันไม่ได้ดูเหมือนคนที่สำนึกผิดตามที่พูดเลยสักนิด
ใครๆก็มองออกว่านี้มันแกล้งกันชัดๆ
“ ม..ไม่เป็นไรหรอก
เราไม่เป็นไร ”
เออแต่แปลกดีเหมือนกัน รู้สึกเหมือนว่าไอ้เนิร์ดตัวเล็กที่แว่นเต็มไปด้วยน้ำเหนียวๆจะดูไม่ออกว่านะว่าถูกพวกมันแกล้ง
จงอินยกมือขึ้นกอดอกจ้องมองเหตุการณ์นั่นอย่างเงียบๆว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป แต่ยังทันไรเขาก็เห็นมือเล็กล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อขึ้นมาแล้วยื่นให้นักเรียนชายคู่กรณี
คิดจะทำอะไร
“ เอ่อ แล้วนายเป็นอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่รังเกียจนี่ผ้าเช็ดหน้า ร… ”
“ อุ๊บ! ตลกเป็นบ้าเลยว่ะ เมื่อกี้ยังแว่นขาวอยู่เลยตอนนี้แว่นแดงแล้วว่ะ ฮ่าๆๆ ” เสียงหัวเราะของของไอ้นักเรียนชายที่ถือแก้วอยู่ในมือดังลั่นจนทำให้ใครต่อใครที่หยุดมุงดูแต่ไม่คิดจะให้ความช่วยเหลือต่างพากันกลั้นขำไปด้วย มือเล็กที่ถือภาพเช็ดหน้าก็ค่อยๆลดมือลงวางไว้ที่ตักตัวเอง แวบหนึ่งเขาเห็นว่านัยต์ตากลมโตนั่นสั่นไหวก่อนจะหลบลงมองที่ตักของตัวเองอย่างไม่คิดจะทำอะไรคนตัวเล็กขบริมฝีปากของตัวเองไว้แน่นด้วยความประหม่า
ให้ตายสิ! ยังมีคนที่ยอมทนกับอะไรแบบนี้เหลืออยู่บนโลกอีกหรอวะ
“ พวกมึงตลกกันมากไหม? ”
“ ว้ายนั้นมันจงอิน นี้~ ”
“ กรี๊ดด ~ รุ่นพี่จงอินน ”
ถึงคราวพระเอกของเรื่องออกโรงแล้ว
“ ค…ครับ? ” นักเรียนชายสองคนนั้นเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนถามก็เริ่มหน้าซีดเหงื่อตกทันที ผู้คนเริ่มแตกตื่นและยอมแหวกทางให้กับจงอินอย่างพร้อมเพียง
นี่มันคิมจงอินเลยนะ
ใครจะกล้า
“ มานี่ดิ๊ ” จงอินพูดก่อนกระดิ๊กนิ้วเรียกอย่างไม่รีบร้อน ท่าทางที่ทำเอาทุกคนในที่แห่งนี้ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
ไม่ว่าใครก็ไม่อยากมีเรื่องกับคิมจงอินกันทั้งนั้นแหละ
สิ้นเสียงจากจงอิน นักเรียนชายสองคนนั้นก็เดินเข้าไปหาอย่างเก้ๆกังๆ เริ่มหวาดระแวงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองต่อจากนี้
“ โต๊ะมันเปื้อนอ่ะ ฝากเช็ดทำความสะอาดด้วยสิ ”
“ ดะ ได้ครับ แต่ว่าไม่มีผ้า…. ”
“ ใช้ ‘หน้า’ เช็ดคงไม่เสียหายหรอกมั้ง…? ”
“ คะ…ครับ T^T ”
“ เดี๋ยวจะมาดูนะ ” จงอินเข้าไปตบบ่าสองคนนั้นไปสองสามทีโดยที่ไม่สนใจใบหน้าที่แสนจะซีดเผือกของนักเรียนชายสองคนนั้นเลยก่อนจะผละมาและเดินเข้าไปยืนอยู่หน้าโต๊ะอาหารที่มีคนตัวเล็กนั่งอยู่
“ แล้วนั่นจะนั่งมองมือตัวเองอีกนานไหม ลุก! ” เหมือนว่าอารมณ์ความเป็นพระเอกจะยังไม่จบ จงอินหันไปหาไอ้เนิร์ดตัวเล็กที่ยังคงก้มหน้าจนจะติดโต๊ะก่อนจะดึงให้ลุกขึ้นมาจากโต๊ะแต่พอจะพาไป กลับมีเสียงเรียกเขาเอาไว้ก่อน
“ เอ่ออ จงอิน มาเดี๋ยวพวกเราพาคยองซูไปเอง พวกเรารู้จัก ” เสียงของเด็กนักเรียนหญิงแถวนั้นดังขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาหมายจะเข้ามาหาร่างเล็กที่เขากำลังจับให้ลุกขึ้น
คยองซู? อ่อ ไอ้ตัวเล็กนี่สินะ
“ หึ! ไม่ต้องหรอก ถ้าคิดจะช่วยตั้งแต่แรกก็คงจะไม่ยืนขำอยู่ตั้งนานหรอกจริงไหม? ” คำพูดที่ทำเอากลุ่มนักเรียนหญิงที่จะอาสาทำดีให้จงอินเห็นหน้าเจื่อนลงไปในทันทีเมื่อได้รับคำตอบที่แทบไปต่อไม่เป็น จงอินไม่ทนเสียเวลากระชับมือของคนโดนแกล้งแล้วพาเดินออกไปทันที
แล้วเขาก็พาไอ้เนิร์ดที่จับใจความได้ว่าชื่อคยองซูเดินออกมาจนกระทั่งเดินมาหยุดอยู่ตรงสนามของโรงเรียนที่พอจะมีน้ำก็อกให้คนตัวเล็กที่เขาลากออกมาด้วยได้เช็ดล้างคราบน้ำแดงที่เปื้อนเต็มแว่นและย้อยลงมาที่เสื้อนักเรียนได้
“ ทำความสะอาดตัวเองซะ กูไปนะ ”
หมับ!
ในขณะที่จงอินกำลังหันหลังกลับมือของคนที่พามาด้วยก็จับเข้ากับชายเสื้อของเขาจนทำให้จงอินเดินต่อไม่ได้
“ อะไรอีก? ”
“ ค…คือ เรามองไม่เห็นน่ะ ช่วยหน่อยได้หรือเปล่า ”
จึกๆ
ในขณะที่จงอินกำลังเช็ดแว่นให้อีกคนอยู่ก็รู้สึกได้ถึงแรงกระตุกจากมือเล็กที่จับชายเสื้อของเขาเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยมาตั้งแต่เมื่อกี้
ด้วยเพราะสายตาของร่างเล็กสั้นมากจนเมื่อไม่มีแว่นก็จะมองอะไรมัวไปหมด
จงอินก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองมานั่งทำอะไรที่นี่ทั้งๆที่ตอนนี้เขาควรจะได้อาหารกลางวันกลับไปกินที่ห้องซ้อมแล้วแท้ๆ
แต่เอาเถอะ เขาก็แค่เห็นว่าอีกคนช่วยตัวเองไม่ได้หรอกนะเลยช่วยเช็ดแว่นให้ ถือว่าทำบุญก็แล้วกัน
“……” นี่ก็ปล่อยให้ไอ้ตัวเล็กมันดึงชายเสื้อมาได้สักพักโดยที่ไม่ตอบอะไรเพราะคิดว่าคงหยุดไปเอง แต่…
จึกๆๆ
“ ..นี่ ”
“ อะไร ถ้ามึงจะขอบคุณล่ะก็…. ” ส่งเสียงตอบออกไปเพราะรู้ว่าถ้าเขาไม่ตอบ เสื้อของเขาก็จะโดนกระตุกอยู่แบบนี้เรื่อยๆเพราะคนตรงหน้าคงมองอะไรไม่ชัดเจนถ้าหากว่าเขาแค่พยักหน้ารับ
และเขาก็มีความมั่นใจอยู่พอตัวว่าคนตรงหน้าจะต้องเอ่ยปากขอบคุณที่เขาทำตัวเป็นฮีโร่เข้าไปช่วยเป็นแน่ ซึ่งเอาจริงๆคำขอบคุณเขาก็ไม่ได้อยากได้อะไรขนาดนั้น ก็ตามภาษาคนมีน้ำใจชอบช่วยคนอ่อนแอโดนรังแกก็เท่านั้นเอง
“ ไปทำเขาทำไม.. ”
!!!
เดี๋ยวนะ ดูเหมือนว่าเขาจะคิดผิด
ถึงแม้ว่าจงอินจะไม่ค่อยสนใจเรื่องมารยาทในการเข้าสังคมเท่าไหร่แต่นี้หรอคือประโยคที่ควรพูดหลังจากได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นน่ะ
“ เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ? ” ไม่แน่ จงอินอาจจะหูฝาดไปเองก็ได้
“ ก..ก็เขาไม่ได้ทำอะไรนายซักหน่อย.. ”
อืม ชัดและ
“ ย..ย๊า!! นี่กูช่วยมึงมานะ!! ”
ที่พูดมาทั้งหมดคือจะหาว่าเขายุ่งไม่เข้าเรื่องสินะ
“ ต..แต่ว่าเราก็ไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย ” ถึงจะตกใจกับเสียงตะคอกของคนตรงหน้านิดหน่อย แต่คยองซูก็ยังคงพูดขยายความให้ร่างสูงเข้าใจ
เขาไม่เป็นอะไรจริงๆนะ
เยอะกว่านี้ก็เคยโดนมาแล้ว
“ เหอะ! ”
ไม่อยากจะเชื่อ
มือหนาเสยผมสีสว่างของตัวเองลวกๆอย่างระบายอารมณ์ นี้ตกลงว่าเขาทำคุณบูชาโทษหรือยังไงกัน พระเอกขี่ม้าขาวกับกลายเป็นผู้ร้ายเพียงเพราะเขาทำในสิ่งที่เรียกว่าปกป้อง'ไอ้ตานกฮูก’ นี่อย่างนั้นใช่ไหม
ยิ่งพอถอดแว่นออกยิ่งเหมือนเข้าไปใหญ่ ดวงตากลมโตที่กำลังหรี่ลงเพื่อจะพยายามเพ็งมองเขามันเหมือนกับนกฮูกหรี่ตาไม่มีผิด แต่ก็ไม่อยากจะยอมรับหรอกว่าตอนที่เห็นไอ้ตานกฮูกมันถอดแว่นออกมา ก็มีแอบทึ่งเหมือนกัน โครงหน้าได้รูปมันดูเข้ากับดวงตากลมโตนั่นมากแค่ไหน แล้วไหนจะจมูกโด่งรั้นกับริมฝีปากรูปหัวใจนั่นอีก ถ้าไม่สังเกตตอนที่กำลังนั่งเช็ดแว่นให้อีกคนอยู่ก็คงไม่รู้
“ แต่ก็…ขอบคุณนะที่เข้ามาช่วย ” พูดจบก็ยกยิ้มแบบที่คยองซูคิดว่ามันจริงใจที่สุดเท่าที่จะทำได้ส่งไปให้ร่างสูงที่กำลังเช็ดแว่นตาของให้ตัวเองด้วยอารมณ์หงุดหงิด แต่ถึงแม้ว่าจะหงุดหงิดแต่จงอินก็ยังตั้งหน้าตั้งตาเช็ดแว่นตาให้คยองซูอยู่ดี
“ ช่างมั...!!!! ”
ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!
นั่นเสียงอะไร
ทำไมมันถึงดังอยู่ที่อกข้างซ้ายของจงอินไม่หยุดแบบนี้
“ ห..หยุดยิ้ม!! ”
“ …. ” คยองซูรีบหุบยิ้มตามคำสั่งของจงอินทันที
ตั้งแต่เกิดมาคิมจงอินไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าจะมีใครที่มีรอยยิ้มเป็นอาวุธทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างได้ร้ายกาจขนาดนี้ และก็ไม่คิดเลยด้วยว่ารอยยิ้มนี้มันจะมาจากเด็กเนิร์ดใส่แว่นตาหนาเตอะทรงผมม้าปิดหน้าปิดตาตรงหน้าเขา
“ ให้ตายสิ ” เสียงทุ้มสถบคำฮิตติดปากออกมาเบาๆ คิมจงอินก็นับไม่ได้เหมือนกันว่าวันนี้พูดคำนี้มากี่รอบแล้ว พยายามหลบสายตาแต่คนตัวเล็กก็ยังคงส่งยิ้มมาให้เขาอยู่ จนต้องยกมือขึ้นเกาจมูกตัวเองอย่างไม่รู้จะทำตัวยังไง
“ นี่แว่นมึง เอาไปเร็วๆเลยไป ” ไม่วายรีบยัดแว่นลงไปบนมือของอีกคนอย่างกับว่ามันเป็นของร้อน จงอินไม่อยากจะยอมรับสักเท่าไหรว่ารอยยิ้มที่คยองซูส่งมาให้เขาเมื่อกี้ยังติดอยู่ในหัวของเขาอยู่เลย
ทำไมไอ้ตานกฮูกมันยิ้มน่ารักจังวะ!
น่าฟัดชิบหาย!
“ ท…ทำหน้าอย่างงั้นคิดว่าน่ารักหรือไง? *โอลแปลมิชัดๆ! ” ยัง นี่เขาว่าเขาบอกชัดเจนแล้วนะว่าให้หุบยิ้ม พอได้แว่นแล้วก็ยังจะยิ้มอยู่อีก จงอินว่าเขาต้องไปเสียที ไม่ไหวแล้วเหมือนจะหายใจไม่ออก
เขาเป็นอะไรวะเนี่ย ใจเต้นไม่หยุดเลยเนี่ย
(*โอลแปลมิ - นกฮูกในภาษาเกาหลี)
เธอสะกดฉันเอาไว้ ด้วยเวทมนต์ที่ใช้แค่เพียงมุมปาก~ เพลงนี้ให้จงอินเลยค่ะ 55555555
โอล แปล มิ = นกฮูก แต่จงอินของเราจะย่อให้สั้นๆ เป็น มิ
อย่าลืมคอมเม้น&เล่นแท็กฟิคกันด้วยนะ
ความคิดเห็น