คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Chapter 9
Chapter 9
ฮันโซล เวอร์นอน ชเว กำลังหงุดหงิด
มันเป็นความรู้สึกที่น่ารำคาญไม่น้อยสำหรับเขา
อันที่จริงแล้ว เรียกได้ว่ามีแค่น้อยครั้งที่เด็กหนุ่มจะรู้สึกไม่สบอารมณ์
ไม่ใช่สิ ตามปกติแล้วเวอร์นอนแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลยมากกว่า
ลูกครึ่งปีศาจอย่างเขาหาได้ยากที่จะมีอารมณ์และความรู้สึกเหมือนมนุษย์ทั่วไป
มันคงจะมาจากพันธุกรรมหรืออะไรประมาณนั้น
ใช่แล้ว... เขาเป็นลูกครึ่งปีศาจ
แต่เดี๋ยวก่อน ปีศาจในที่นี้ไม่ได้หมายถึงปีศาจแบบในความเชื่อของศาสนาหรือในจินตานาอันหลากหลายพวกนั้นหรอกนะ
ปีศาจในความเป็นจริงน่ะ ก็คือเผ่าพันธุ์อื่นที่ไม่ใช่สปีชี่ส์ Homo sapiens sapiens ไง
เอ่อ...
เอาเป็นว่าปีศาจก็คืออีกสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่ไม่ใช่มนุษย์แค่นั่นแหละ
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ในความเป็นจริงแล้วพวกมนุษย์ก็ไม่เคยมองว่าพวกเขาเป็นเพื่อนร่วมโลกหรอก
อาจเป็นปีศาจคือสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังกว่า
งดงามกว่า และเต็มไปด้วยเวทมนต์อันน่าพิศวง
และนั่น... ก็ทำให้สงครามระหว่างมนุษย์และปีศาจดำเนินมาอย่างยาวนานนับพันปี
โดยเป็นสงครามที่รุนแรงกว่าการล่าแม่มด พ่อมด มนุษย์หมาป่า
หรือแม้กระทั่งแวมไพร์เสียอีก
จะว่าไป มีอะไรบ้างที่มนุษย์ไม่ทำสงครามด้วยบ้าง?
และนั่นก็ทำให้ความรู้สึกของเด็กหนุ่มต่อบรรดานักล่ารุนแรงกว่าสมาชิกของบ้านเสมอ
คนอื่นอาจพยายามหลบเลี่ยงเมื่อมีนักล่ามาใกล้ หากเวอร์นอนกลับเลือกที่จะวิ่งเข้าหาแทน
และในตอนนี้เขาก็พอเดาได้ว่าทำไมบรรดาสมาชิกรุ่นใหญ่ถึงมีท่าทีแบบนั้น
ซึ่งมันก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบอารมณ์จนถึงขั้นยอมโดดซ้อมว่ายน้ำกลับมาที่บ้านก่อน
“ไม่อยู่แฮะ” เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนพึมพำกับตัวเองเบา
ๆ หลังจากเดินสำรวจไปรอบบ้านแล้วไม่พบร่างโปร่งใสที่ตามหาแม้แต่เงา “ไปบ้านคุณอีอีกแล้วเหรอ?”
เวอร์นอนคิดอย่างฉงน ตามปกติแล้วเป้าหมายของเขาหรือวิญญาณประจำบ้านอย่างซูนยอง
มักจะไม่ค่อยออกไปไหน มีเพียงบ้านข้างเคียงอย่าง mocha dawn
เท่านั้นที่เจ้าตัวจะออกไปหาเพื่อนคุยในเวลาที่รู้สึกเบื่อ
แต่ครั้งนี้เด็กหนุ่มกลับไม่คิดว่าเพื่อนร่วมบ้านของเขาจะอยู่ที่นั่น
ไม่ใช่ว่ามีลางสังหรณ์อะไรหรอก แค่เมื่อกี้ตอนเดินผ่าน
เห็นว่าบ้านหลังนั้นปิดเงียบ แสดงให้เห็นว่าไม่มีคนอยู่ก็เท่านั้น
แล้วถ้างั้นซูนยองจะหายไปไหนกันนะ?
คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างหงุดหงิด ความรู้สึกอันน่ารำคาญนี้ดูราวจะเกาะกุมไปทั่วตัวของเขาจนสลัดไม่ออก
ถอนหายใจเล็กน้อย
ก่อนตัดสินใจยอมแพ้
ไว้เย็นนี้ค่อยหาโอกาสคุยกับวิญญาณประจำบ้านก็แล้วกัน
แต่จะให้เขากลับไปซ้อมตอนนี้
เวอร์นอนก็บอกได้เลยว่าเขาคงไม่มีสมาธิหรอก แถมหมดอารมณ์แล้วด้วย
ไปเดินเล่นในเมืองน่าจะดีกว่า
ตกลงกับตัวเองได้แล้ว
เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจออกมาจากบ้าน นิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อสัมผัสกับอากาศฤดูร้อนภายนอก
เวอร์นอนอาจจะสามารถเดินไปถึงจุดหมายของตัวเขาเองได้อย่างสงบสุข
ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กหนุ่มเผลอไปสบตากับใครบางคนเสียก่อน
ภายใต้ร่มเงาของต้นเมเปิ้ลข้างทาง
ผู้ชายคนนั้นคล้ายกับกำลังยืนรอเขาอยู่
ชายหนุ่มในชุทสูททางการสีดำนั่นดูโดดเด่นเสียจนเวอร์นอนเผลอชะลอฝีเท้าของตัวเองลง
ใครกันจะใส่ชุดสูทเต็มยศในวันที่อากาศแบบนี้...
แน่นอนว่าดูออกไม่ยากเลยว่าจะเจ้าตัวคงรู้สึกอึดอัดไม่น้อย
เห็นได้จากผิวบนใบหน้าทีเปลี่ยนจากสีขาวเป็นชมพูด้วยความร้อนของอากาศ
และชั่วขณะที่พวกเขาสบตากัน
ริมฝีปากสีสดนั่นก็คลี่เป็นรอยยิ้มอันสว่างไสวคล้ายกับกำลังที่ดีใจที่ได้เห็นเด็กหนุ่ม
“ขอโทษนะครับ”
ผู้ชายคนนั้นเข้ามาขวางเวอร์นอนเอาไว้
“ครับ?”
“ช่วยบอกทางผมหน่อยได้รึเปล่า”
ชายแปลกหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ ก่อนอธิบาย “คือผมคิดว่าตัวเองกำลังหลงทาง”
คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อย
หากเวอร์นอนยังคงจ้องเขม็งไปยังคนตรงหน้า ริมฝีปากบางของเด็กหนุ่มเหยียดออกเป็นรอยยิ้มเยาะหยัน
ยามเมื่อสังเกตเห็นสัญลักษณ์บางอย่างบนกระดุมของคนแปลกหน้า
“คุณจะไปไหนล่ะครับ”
เด็กหนุ่มถามกลับด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “เดี๋ยวผมไปส่งก็ได้”
คิ้วเรียวของเด็กหนุ่มขมวดมุ่นเข้าหากัน
ในขณะที่ดวงตาคมฉายแววเคร่งเครียด ริมฝีปากบางขยับคล้ายกำลังพึมพำกับตัวเอง
มันเป็นภาพที่ทำให้คนที่มองอยู่อดไม่ได้ที่จะต้องถอนหายใจ
“หาเลขอะไรอยู่?”
วอนอูที่ยืนมองเพื่อนร่วมบ้านของตัวเองยืนอยู่หน้าชั้นหนังสือมาสักพักเอ่ยถามออกมาเบา
ๆ หลังจากที่เล็กเห็นแล้วว่าถ้าเขาไม่เข้ามาช่วย มินกยูคงไม่มีวันหาที่อยู่ของหนังสือในมือตัวเองเจอแน่
ๆ
“ไม่บอกครับ”
คำตอบสั้น ๆ ที่เรียกให้คนฟังต้องหรี่ตามองอย่างสงสัย ก่อนถอนหายใจอีกครั้งกับคำอธิบายที่ตามมา
“ก็ผมอยากหาเจอด้วยเองนี่นา”
มินกยูว่าพร้อมกับถือหนังสือในมือไปซ่อนไว้ด้านหลังของตัวเอง
“ก็ได้ ๆ” วอนอูยอมแพ้
“เอาเป็นว่าถ้าหาไม่เจอจริง ๆ ก็เรียกฉันก็แล้วกัน”
พูดจบบรรณารักษ์ประจำห้องสมุดก็ยอมถอยกลับไปนั่งที่เคาท์เตอร์เพื่อทำงานต่อเหมือนเดิม
โดยมีสายตาของมินกยูตามไปด้วย
คราวนี้เด็กหนุ่มกลับเป็นฝ่ายถอนใจให้กับหนังสือในมือของตัวเองแทน
ใครจะไปคิดว่าการเอาหนังสือกลับเข้าชั้นจะยากได้ขนาดนี้
มินกยูบ่นในใจ ก่อนจะตามหาที่อยู่ของหนังสือในมืออีกครั้ง
ในตอนแรกที่เขาฟังซองยอนกับเวอร์นอนคุยกัน
เด็กหนุ่มก็คิดว่าเรื่องที่วอนอูต้องการความช่วยเหลืออาจจะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อให้พวกเขาได้อยู่ในสายตาของบรรดาสมาชิกรุ่นใหญ่ของบ้านเท่านั้น
หากแต่พอทั้งเขาและซองยอนย่างเท้าเข้ามาในห้องสมุดแห่งนี้
ก็กลับกลายเป็นว่ามีงานมากมายที่เพื่อนร่วมบ้านต้องการให้ช่วยจัดการ
ดูเหมือนว่าห้องสมุดกำลังจะขาดคนจริง
ๆ แฮะ
“เจอแล้ว” มินกยูพึมพำกับตัวเองอย่างดีใจ
เมื่อสามารถนำหนังสือในมือกลับเข้าชั้นของมันได้ในที่สุด
เด็กหนุ่มขยี้ตาเล็กน้อย
งานง่าย ๆ อย่างขนหนังสือกลับเข้าชั้นที่วอนอูขอให้เขาช่วยกลับกลายเป็นงานยากได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ตัวหนังสือเล็ก ๆ
พวกนั้นทำเขาตาลายไปหมด
มินกยูเหลือบมองไปทางด้านหน้าของตัวเองอย่างไม่ตั้งใจ
ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ที่เด็กหนุ่มค้นพบว่าวิธีการพักสายตาที่ดีที่สุดของเขาคือการมองลอดผ่านชั้นหนังสือเพื่อมองผ่านไปยังเคาท์เตอร์บรรณารักษ์ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนักนั่น
มันอาจฟังดูแปลก
แต่การได้มองคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
สีหน้าอ่อนโยนยามมองหนังสือ หรือรอยยิ้มจาง ๆ เวลาคุยกับคนที่มาใช้บริการห้องสมุดทำให้มินกยูอดยิ้มตามไม่ได้
ถึงจะบอกกับตัวเองว่าอาจจะเป็นเพราะตรงนั้นเป็นที่เดียวที่มีสีเขียวของต้นไม้ซึ่งอยู่บนโต๊ะทำงานของบรรณารักษ์อยู่เถอะ
แต่เด็กหนุ่มก็พบว่าสายตาของเขาถูกดึงดูดไปหาคนที่นั่งทำงานอยู่นั่นบ่อยเกินไปแล้ว
ดังจะรู้ตัวว่าถูกแอบอยู่
วอนอูเงยหน้าขึ้นมามองหาเขาอีกครั้ง
ชั่วขณะหนึ่งที่ดวงตาสองคู่สบตากัน
ก่อนที่มินกยูจะเป็นฝ่ายหลบตาอย่างรวดเร็ว
เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
รู้สึกเหมือนแอบอู้งานแล้วโดนจับได้อย่างไรอย่างนั้น
ก้มลงหยิบหนังสือเล่มใหม่ขึ้นมาเพื่อจะเอาขึ้นชั้นต่อ
ทว่าดวงตาเจ้ากรรมของเขาก็ดูเหมือนจะแอบมองลอดชั้นหนังสืออีกครั้ง
มินกยูส่ายหัวเบา
ๆ เมื่อรู้ตัว และบอกตัวเองให้จดจ่อกับหนังสือในมือเท่านั้น
ทว่าเด็กหนุ่มก็ต้องยอมรับ...
ว่าเขาหยุดสายตาตัวเองไม่ได้จริง ๆ
เบ ซองยอน อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจให้กับภาพที่เห็นตรงหน้า
นี่เธอคิดไปเองรึเปล่า
หรือว่ามันมีอะไรบางอย่างจริง ๆ ระหว่างเพื่อนร่วมบ้านทั้งสองคนของเธอ
บางอย่าง...
ที่มากกว่าความสัมพันธ์ต้องคำสาปจากรอยกัดนั่น
เพราะวอนอูขอให้เธอช่วยรวบรวมรายชื่อหนังสือที่ผู้มาใช้บริการอยากให้นำเข้ามาไว้ในห้องสมุดแห่งนี้
ดังนั้นซองยอนจึงได้แยกตัวออกมานั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือพร้อมกองกระดาษและแลปท็อปในมือ
และดูเหมือนว่าที่ที่เธอนั่งอยู่จะเป็นมุมที่ดีที่สุดในการสังเกตการณ์
เพราะมันทำให้เธอเห็นแทบทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องสมุดแห่งนี้
เด็กสาวกรอกตาเล็กน้อยเมื่อเห็นมินกยูเหลือมองมายังโต๊ะทำงานของบรรณารักษ์อีกครั้ง
เอาเถอะ...
แต่จะให้เข้าไปยุ่งก็คงยังไงอยู่
ดังนั้นสิ่งที่ซองยอนทำได้ก็นั่งมองเท่านั้น
จะว่าไป...
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวเองหรือเรื่องของคนอื่น เธอก็ทำได้แค่เฝ้ามองดูอยู่ห่าง ๆ
มาตลอดเท่านั้นสินะ
คิดแล้วหัวใจเจ้ากรรมก็อดไม่ได้ที่จะเจ็บแปลบขึ้นมา
ซองยอนส่ายหัวเล็กน้อย
จะมีเรื่องอะไรที่วุ่นวายไปกว่าเรื่องของหัวใจอีกไหมนะ
แต่เมื่อเด็กสาวหันไปมองโทรศัพท์ที่ยังคงไร้การติดต่อจากเพื่อนร่วมบ้านอีกคนที่หายไปเพื่อตามหาวิญญาณประจำบ้านแล้ว
ซองยอนก็ต้องถอนใจ
ก็คงมีแหละ
ดังราวจะช่วยยืนยันความคิดของเธอ
ประตูของห้องสมุดประชาชนก็เปิดออกอีกครั้ง
พร้อมกับที่ผู้มาใหม่ก้าวเข้ามาอย่างเร่งรีบ
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีดำนั่นดึงดูดความสนใจทั้งหมดของเด็กสาวไปอย่างช่วยไม่ได้
รังสีอะไรบางอย่างที่ทำให้สัญญาณเตือนภัยในหัวเธอทำงานขึ้นมาแผ่ออกมารอบตัวของเขา
ซองยองเกร็งตัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน
เมื่อพบว่าผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นพาเพื่อนร่วมบ้านที่เธอกำลังรอฟังข่าวเข้ามาด้วย
ใบหน้าของเวอร์นอนดูไม่สบอารมณ์กว่าปกติ
ดวงตาของเด็กหนุ่มดูราวจะลุกเป็นไฟยามที่ไม่สามารถดึงมือตัวเองให้ออกมาจากผู้มาใหม่ได้
แต่สายตาของซองยอนกลับจับจ้องไปยังเสื้อของคนเป็นเพื่อนร่วมบ้านแทน
เสื้อเชิ้ตสีขาวที่บัดนี้เต็มไปด้วยเลือดสีแดงสดเปรอะไปทั่วนั่นทำให้แฟรี่สาวต้องยืนนิ่งอย่างตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะเนี่ย!
TBC.
ความคิดเห็น