คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 4
Chapter 4
โรงเรียนมัธยมปลายชอนจู
หรือที่รู้จักกันดีในนามของโรงเรียนศิลปะชอนจู เป็นโรงเรียนเอกชนขนาดเล็กที่มีชื่อเสียงด้านการเรียนการสอนเป็นอันดับต้นๆของประเทศเกาหลีใต้โดยเฉพาะทางด้านศิลปะ แม้จะอยู่ในจังหวัดเล็กๆอย่างชอลลาเหนือก็ตาม
ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้คนที่มีความฝันอยากจะเข้าเรียนด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์อย่างมินกยูตัดสินใจเลือกที่ที่เพื่อติวเข้ามหาวิทยาลัย
และแน่นอนว่าความคาดหวังเขาต่อที่นี่คงไม่ได้รวมถึง
‘ของแถม’ ที่นั่งอยู่ข้างๆอย่างแน่นอน
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอยามจับดินสอวาดไปตามกระดาษสีขาวเบื้องหน้า
สายลมเอื่อยอ่อนที่พัดวนมาช่วยให้บรรยากาศของคลาสเรียนไม่เงียบจนเกินไปนัก
รอบข้างของเขาเต็มไปด้วยเพื่อนร่วมชั้นที่กำลังตั้งสมาธิกับการสเก็ตภาพของตัวเอง
เว้นก็แต่เด็กสาวที่นั่งอยู่ด้านข้างของมินกยู...
เจ้าหล่อนกำลังนั่งบนขอบหน้าต่างของห้องศิลปะที่พวกเขาอยู่พลางเหม่อออกไปด้านนอก
เส้นผมสีดำสนิทที่ประบ่านั้นยาวเพียงพอที่จะปกปิดไม่ให้เขามองเห็นหน้าเธอได้(ซึ่งมินกยูก็รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก)และไม่ขยับสักนิดแม้จะมีสายลมพัดผ่านไปก็ตาม
อันที่จริงถ้าไม่นับเรื่องไม่ตั้งใจเรียน
เด็กสาวก็ดูปกติทุกอย่าง เว้นแต่เจ้าหล่อนเปียกชุ่มโชกไปทั้งตัวก็เท่านั้น...
มินกยูที่กลืนน้ำลายฝืดคอเริ่มเปลี่ยนเป็นกลั้นหายใจเมื่ออยู่ๆเธอก็ลุกขึ้นยืน
สายน้ำมากมายพรั่งพรูไปตามจังหวะที่ขยับตัว บางส่วนสลายหายไปก่อนจะตกกระทบพื้น
หากบางส่วนที่กระทบมาโดนเขากลับสร้างความรู้สึกเย็นวาบได้เป็นอย่างดี
เด็กหนุ่มหันกลับมาทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปยังภาพสเก็ตของตัวเองอย่างแน่วแน่ด้วยความรวดเร็วเพื่อหลบสายตาไร้แววที่หันกลับมามองคู่นั้น ส่วนในใจก็กำลังกรีดร้องหาเพื่อนร่วมบ้านอย่างซองยอนที่ให้สัญญาไว้อย่างดิบดีว่าจะคอยอยู่ช่วยเหลือ
หากแค่เริ่มเรียนคาบแรก คุณเธอก็หายจ้อยไปไหนก็ไม่รู้แล้วซะงั้น
ทั้งนี้ก็เนื่องจากห้องเรียนของพวกเขาเป็นห้องสำหรับเด็กที่ต้องการเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์
โดยซองยอนนั้นต้องการเรียนสาขาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม ดังนั้นในบางครั้ง เด็กสาวจึงต้องแยกเรียนกับมินกยูที่เลือกติวสาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์
แต่นั่นก็ไม่ควรจะเป็นแคบแรกไม่ใช่รึไง...
มันควรจะไม่เป็นปัญหา เพราะตามปกติแล้วมินกยูมั่นใจว่าตัวเองเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี แต่พออาจารย์จับเขาลงนั่งที่โต๊ะซึ่งว่างอยู่
เด็กหนุ่มก็ไม่กล้าแม้แต่จะปริปากกับคนรอบข้างแม้แต่คำเดียว
ก็โต๊ะนี้มันมีเจ้าของโต๊ะอยู่...
ยังดี ที่พอเขากลั้นใจเดินไปใกล้ ผู้เป็นเจ้าของโต๊ะก็ขยับตัวที่คล้ายกับการ ‘เลื้อย’ ไปยังขอบหน้าต่างที่อยู่ติดกันแทน และนั่งอยู่ตรงนั้นมาตลอด โดยมีเด็กหนุ่มคอยฝึกสเก็ตภาพอย่างไม่มีสมาธิเลยแม้แต่น้อยอยู่ข้างๆ
และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าเด็กสาวกำลังเริ่มเบื่อ
เพราะหลังจากที่ลุกขึ้นมาเธอก็เริ่มเลื้อยไปยังเก้าอี้ของคนที่อยู่ด้านหน้าเขา
มินกยูเห็นเพื่อนร่วมห้องหันมามองอย่างงุนงงเมื่อเธอขยับผ่านไป
ก่อนที่เจ้าหล่อนจะไปหยุดที่รูปปั้นที่ตั้งเป็นแบบอยู่กลางห้องในลักษณะแบบเดียวกับงูรัดเหยื่อ
ปึก
ดินสอไม้อย่างดีหลุดจากมือร่วงลงสู่พื้นพร้อมกับที่เขาลุกพรวดขึ้นอย่างกะทันหัน
“ขออนุญาตไปห้องน้ำครับ”
ไม่ไหวแล้วโว๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
มินกยูเดินสะโหลสะเหลเข้าห้องน้ำอย่างไร้เรี่ยวแรง
ก่อนใช้แขนยันอ่างล้างหน้าไว้เป็นพยุงตัว แล้วจึงเปิดก๊อกน้ำเพื่อวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าเป็นการเรียกสติ
“ไม่เห็น... ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
ริมฝีปากบางพึมพำกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมาอย่างพยายามให้มันซึมทราบเข้าไปในใจ แม้จะรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ตาม
ให้ตายสิ ก็แค่ทำเป็นมองไม่เห็น
ทำไมถึงได้ยากขนาดนี้(วะ)
จากที่ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองกลัวผี สงสัยจะต้องมายอมรับคราวนี้แล้ว
ว่าแล้วความรู้สึกก็เริ่มเปลี่ยน
จากที่คิดว่าไม่ได้โกรธแวมไพร์ตัวต้นเหตุ ก็เริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เด็กหนุ่มยืนหลับตาอยู่อย่างนั้นชั่วครู่ด้วยต้องการสงบสติอารมณ์ให้มากเพียงพอที่จะกลับไปเผชิญกับสิ่งที่เพิ่งมองเห็นอีกครั้ง
จนกระทั่งมีเสียงของผู้มาใหม่เข้ามานั่นแหละ ถึงได้ขยับตัวอย่างเหนื่อยอ่อน
ดวงตาสีดำเป็นประกายแวววาวคือสิ่งแรกที่เห็นผ่านกระจก
ก่อนที่สายตาของมินกยูจะเริ่มปรับโฟกัสให้รู้ว่าเขากำลังสบตาผ่านกระจกกับเด็กหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่
ในมือของเจ้าตัวเปรอะไปด้วยสีน้ำที่ใช้วาดรูป ผู้มาใหม่ส่งยิ้มยิงฟันมาให้เขา
“ขอโทษครับ” เอ่ยเบาๆ
เมื่อเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของอ่างล้างมือเอาไว้
เด็กหนุ่มขยับตัวให้ผู้มาใหม่เข้ามาที่อ่างล้างมือด้านข้าง
ก้มไปล้างหน้าลวกๆอีกครั้ง ก่อนหันกลับไปเพื่อที่จะออกจากห้องน้ำ
หากใครบางคนที่พิงประตูห้องน้ำมองอยู่ก็ทำให้ต้องหยุดชะงักงัน
มินกยูตัวแข็งทื่อยามมองเด็กหนุ่มอีกคนในชุดนักเรียนเต็มยศอย่างหาได้ยากยิ่งในวันปิดภาคเรียน
ดวงตาสีดำไร้แววและผิวขาวซีดนั่นทำให้เขาต้องคิดถึงเพื่อนร่วมบ้านอย่างควอน
ซูนยองอย่างช่วยไม่ได้
ดวงตาสีดำสนิทหันกลับไปมองในกระจกอีกครั้ง
ไม่ว่าอย่างไรก็เห็นเพียงแต่ตัวเขาเองกับเด็กหนุ่มคนที่กำลังล้างมืออยู่เท่านั้น
แจ็คพอต!!!!
สบถดุเดือดในใจ
โรงเรียนนี้มีผีเยอะแค่ไหนกันนะ
ทว่ายังไม่ทันให้เขารวบรวมสติได้
ดวงหน้าขาวซีดนั้นก็ปรากฏแววแปลกใจขึ้นมา
“มองเห็น?” น้ำเสียงนั้นเย็นเยือก แต่ที่น่าประหลาดใจไปมากกว่านั้นก็คือเด็กหนุ่มที่กำลังล้างมืออยู่หันกลับมามองอย่างงุนงง
“หือ?”
“เขามองเห็นฉัน” น้ำเสียงเย็นเยือกนั้นดังต่อราวกับกำลังบอกคนที่เพิ่งหันมา
และคราวนี้ก็เป็นมินกยูบ้างที่ต้องมองสลับทั้งคู่ไปมาอย่างงุนงง
อย่าบอกนะว่าผู้ชายคนนี้ก็มองเห็น...
นัยน์ตาสีดำเป็นประกายของเด็กหนุ่มที่ล้างมืออยู่มองเขาอย่างพินิจ
ก่อนเลื่อนไปสายตาไปยังบริเวณต้นคอ แล้วจึงเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ
“คิม มินกยูรึเปล่าครับ?”
“อี ซอกมิน อยู่ม.ปลายปี 2 ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
มินกยูมองคนที่นั่งข้างๆอย่างไม่แน่ใจนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าตัวเอ่ยต่อ
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจ อ่า... ไม่ใช่สิ ผมเองก็ตกใจเหมือนกันที่พี่มองเห็นหมิงฮ่าว”
หลังจากสถานการณ์งุนงงอันน่าประหลาดในห้องน้ำและได้คำยืนยันว่าเขาคือคิม
มินกยูแล้ว อี ซอกมิน คนนี้ก็ลากเขาออกมาที่ระเบียงทางเดินอันไร้ซึ่งผู้คน
แต่มินกยูก็รู้สึกว่าตัวเองยังไม่เข้าใจอะไรสักเท่าไรอยู่ดี
อี ซอกมิน... ชื่อนี้เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนนะ...
ดังราวจะรู้ว่าเขากำลังงงๆ อยู่
ซอกมินจึงอธิบายต่อ “ผมเป็นลูกชายเจ้าของบ้าน vanilla twilight ไงครับ”
“อ๋อ...” เด็กหนุ่มร้องออกมาอย่างนึกขึ้นได้
“ลูกชายคุณอี...”
เจ้าของบ้าน... เพื่อนบ้าน... และมีสัมผัสพิเศษ
คือคำอธิบายที่อารอนเคยให้ไว้สำหรับบ้านใกล้เรือนเคียงอย่าง
mocha dawn
“ใช่แล้วครับ” ซอกมินยิ้มกว้างให้เขา
“ผมได้ยินเรื่องของพี่มาจากพ่อล่ะ ตอนแรกจะไปแนะนำตัวแล้วแต่แม่บอกว่ายังไม่ต้อง
เดี๋ยวพี่จะตกใจไปมากกว่านี้ ก็เลยยังไม่ได้ไปหา
ไม่คิดว่าจะได้เจอกันที่นี่นะครับ”
คนฟังพยักหน้าตามกับคำพูดยาวเหยียดนั่น
ก่อนหันไปหาใครอีกคนที่ยืนเงียบอยู่
“แล้วนี่...?”
“นี่หมิงฮ่าว สวี่ หมิงฮ่าว
เพื่อนของผมเอง” ซอกมินตอบอย่างกระตือรือร้น ในขณะที่เด็กหนุ่มผิวซีดก้มหัวให้มินกยูเล็กน้อย
ดวงตาของคนฟังมีรอยฉงนแม้ในใจกำลังจดบันทึกข้อมูลไว้ด้วยความรวดเร็ว
อี ซอกมิน มนุษย์ธรรมดา มีเพื่อนบ้านเป็นแวมไพร์
พ่อมด มนุษย์หมาป่า etc.
และมีเพื่อนเป็นผี
เออ ดี
ตอนแรกรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองน่าประหลาดใจแล้ว
ยังมีคนที่อเมซิ่งกว่าเขาอีกแฮะ
มินกยูมองเพื่อนสนิทของซอกมินพลางนึกเพื่อนร่วมบ้านของตัวเองไปด้วย
หมิงฮ่าวไม่ได้ดูโปร่งแสงเท่ากับซูนยอง
หากเมื่อเพ่งพินิจดูดีๆแล้วกลับดูลางเลือนไปกับสิ่งรอบข้างเลยมากกว่า
“จริงๆแล้วที่ชอนจูนี่ก็ไม่ได้มีวิญญาณเยอะเท่าไรนะครับ
พี่น่าจะพอปรับตัวได้” คนอายุน้อยกว่าพูดต่อ
จ่ะ...
เด็กสาวในห้องศิลปะลอยเข้ามาในหัวคนฟังทันที
ปริมาณน้อยแต่มีคุณภาพสินะ
หากยังไม่ทันให้เขาเอ่ยอะไรออกมาต่อ
หมิงฮ่าวก็สะกิดซอกมินเป็นเชิงเตือน ทำให้คนถูกสะกิดหันมาเอ่ยกับมินกยูคล้ายเกรงใจ
“ผมต้องไปแล้ว ว่าจะออกมาล้างมือแปปเดียว
เดี๋ยวโดนดุ” เด็กหนุ่มบอกอย่างร่าเริง “โชคดีนะครับ”
“เฮ้ย เดี๋ยว”
มินกยูคว้าคนที่กำลังเดินออกไปได้ทัน เรียกแววตาคำถามจากทั้งคนที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตให้มองกลับมาได้เป็นอย่างดี
“คือฉัน...”
“ครับ?”
“ในห้องศิลปะน่ะ...”
คนฟังมีสีหน้าเข้าใจในทันที
ก่อนหันไปมองหน้ากันเป็นเชิงปรึกษา
“หมายถึงคุณอิมสินะ” หมิงฮ่าวเอ่ยกับเขา “เธอ...
ดูเปียกๆหน่อยใช่ไหม”
มินกยูพยักหน้าหงึกหงักทันที
“เธอรู้รึเปล่าว่าพี่มองเห็นเธอ” ซอกมินถาม
“คิดว่าไม่นะ” เสียงคนตอบไม่แน่ใจนัก แต่มินกยูก็ค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองพยายามเก็บอารมรณ์ไว้อย่างดีที่สุดแล้ว
แล้วถ้ารู้จะเป็นอะไรรึเปล่า...
ดังราวจะรู้ถึงความกังวลของเขา
ร่างโปร่งใสที่ยืนอยู่จึงบอกเบาๆ “คุณอิมไม่มีอะไรหรอก เธอแค่เป็นคนชอบแกล้งน่ะ
ถ้ารู้ว่ามีคนมองเห็นอาจจะโดนกวนหนักหน่อยเท่านั้นแหละ”
“ซองยอนบอกว่าอย่าให้ใครรู้” คนฟังว่างึมงำ
“ใช่ครับ ถ้ารู้ ส่วนมากก็จะโดนกวน
แต่ไม่ค่อยทำอันตรายหรอก ที่นี่ไม่มีวิญญาณอาฆาต” ซอกมินอธิบาย
มองหน้ากับเพื่อนของตัวเองนิดหน่อย “แต่ถ้าพี่ไม่สบายใจ
ให้หมิงฮ่าวไปกับพี่ก็ได้นะ”
มินกยูชะงักงัน
“เอ่อ... ไม่เป็นไร”
“ถ้ามีหมิงฮ่าวจะไม่มีใครมายุ่งกับพี่
เพราะปกติวิญญาณจะไม่มายุ่งเกี่ยวกัน พวกเขาจะมีระยะห่างเป็นของตัวเองนะครับ”
แต่หมิงฮ่าวก็เป็นผีไง
คนฟังคิดในใจเงียบๆ
แม้ความกลัวจะไม่มากเท่าคุณอิมอะไรนั่น
แต่จะให้เขาไว้ใจวิญญาณที่เพิ่งเจอก็ดูจะไม่ควรเท่าไรมั้ง...
“ฉันไม่มีปัญหากับเธอเท่าไรหรอก
แค่มันกวนสมาธิน่ะ” เด็กหนุ่มตอบเสียงอ้อมแอ้ม
“งั้นก็พาหมิงฮ่าวไปเถอะ พี่จะได้มีสมาธิติวไง”
ซอกมินบอก “รับรองว่าเธอจะไม่มากวนพี่อีก ใช่ป่ะ” ท้ายประโยคหันไปถามคนเป็นเพื่อน
ร่างโปร่งใสพยักหน้า
“แล้วนายจะไม่เป็นไรเหรอ”
“โอ๊ย สบายมาก ผมชินแล้วครับ” คนที่อายุน้อยกว่ายืนยัน
แล้วสุดท้ายมินกยูก็ได้เพื่อนใหม่กลับไปห้องเรียนด้วยอย่างงงๆ
“เป็นไงบ้างคะ?”
เสียงสดใสที่ดังขึ้นเรียกให้มินกยูหันไปหาคนที่วางถาดอาหารลงฝั่งตรงข้าม
“ก็พออยู่ได้”
เด็กหนุ่มอ้อมแอ้มตอบซองยอนที่เพิ่งมีโอกาสได้เจอหลังจากผ่านคาบเรียนครึ่งเช้ามาแล้ว
มีรอยยิ้มขอโทษขอโพยถูกส่งมาให้
“ขอโทษจริงๆนะคะที่ทิ้งไป”
“ไม่เป็นไรหรอก”มินกยูส่ายหน้า
“แล้วอันที่จริงก็ไม่ต้องพูดเป็นทางการกับฉันก็ได้นะ”
“งั้นก็ได้”คนฟังพยักหน้ารับ “เดี๋ยวเพื่อนของฉันมานั่งด้วยได้ไหม?”
“เอาสิ” เด็กหนุ่มตอบ ริมฝีปากบางขยับเป็นเชิงจะเล่าอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรพูดอะไรออกมาในสถานที่ที่คนพลุกพล่านอย่างโรงอาหาร
“เมื่อกี้ฉันเจอหมิงฮ่าวด้วย”
หากซองยอนกลับเป็นฝ่ายเปิดประเด็นขึ้นมา “นายโอเคแน่นะ?”
“อือ วันนี้เขาช่วยฉันไว้มากเลย” มินกยูว่า เขาไม่ได้กล่าวเกินจริงสักเท่าไรนัก
ดูเหมือนว่าวิธีของคู่หูนั่นจะได้ผล เพราะคุณอิมกลับไปนั่งเหม่อลอยตลอดทั้งช่วงเช้าเมื่อเด็กหนุ่มกลับเข้าไปในห้องศิลปะพร้อมหมิงฮ่าว
และนั่นก็ทำให้เขาแทบจะสัญญากับร่างโปร่างใสว่าจะทำบุญไปให้
เนื่องด้วยการสำนึกในบุญคุณเป็นอย่างสูง
“ดีแล้วล่ะ” คนฟังพยักหน้า
“ตอนแรกฉันก็ห่วงนายอยู่”
“มีที่ไหนที่ฉันต้องระวังอีกรึเปล่า?”
“ไม่นะ” ซองยอนส่ายหัว “ปกติแล้ว เอ่อ... ‘ทุกคน’ จะไปไหนมาไหนทั่วโรงเรียน ยกเว้นคุณอิมที่เอาแต่อยู่ในห้องศิลปะ”
มินกยูขมวดคิ้ว
ทำไมฟังดูไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรเลยแฮะ
“กลับมาแล้วค่ะ”
“กลับมาแล้วครับ”
ทันทีที่เปิดประตูบ้าน
ทั้งซองยอนและเวอร์นอนก็ตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกัน
โดยมีอารอนที่นั่งรออยู่ลุกมาหาอย่างกระตือรือร้น
“เป็นไงกันบ้าง”
สายตาของพ่อมดหนุ่มบอกให้รู้ว่าพูดกับมินกยูมากกว่าคนอื่น
“โอเคครับ” เขาตอบ “แต่ก็เหนื่อยอยู่”
“ไม่เป็นไร วันแรกก็งี้แหละ”
คนอายุมากกว่าตบไหล่เป็นเชิงให้กำลังใจ
“ทำไมวันนี้พี่กลับเร็วจัง”
เวอร์นอนถามอย่างสงสัย “ไม่มีคนไข้เหรอครับ”
“ไม่มีเวรบ่ายน่ะ” อารอนตอบ
“ขึ้นไปพักกันก่อนเถอะ ถ้าอาหารเย็นเสร็จแล้วจะเรียก”
คำบอกกล่าวนั้นทำให้มินกยูต้องหันมามอง
“คุณเป็นคนทำอาหารเหรอครับ”
“เปล่าๆ” คนถูกถามรีบตอบพลางโบกมือเป็นพัลวัน
“เรามีแม่บ้านเป็นคนทำให้น่ะ”
“แม่บ้าน...”
“คนของ mocha dawn จะสลับกันมาทำงานบ้านให้เราน่ะ” อารอนอธิบายเพิ่มเติม
ทำให้เด็กหนุ่มพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนโค้งให้ชายหนุ่ม แล้วจึงเดินกลับห้องตัวเองตามคนอื่น
“เอ่อ...”
มินกยูมองคนที่ยืนอยู่หน้าห้องเขาอย่างงุนงง
เรียกให้ดวงตาสีน้ำเข้มเงยหน้ามามอง
“กลับมาแล้วเหรอ” วอนอูทัก
“ครับ” ผู้เป็นเจ้าห้องพยักหน้า
“มีอะไรรึเปล่าครับ”
“ฉันว่าจะมาเอาหนังสือน่ะ
แต่นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ขออนุญาตนายเลย”
คำบอกเล่านั่นทำให้เด็กหนุ่มคิดออกว่าแท้จริงแล้วห้องนอนของเขาคือห้องอ่านหนังสือของคนตรงหน้า
“เชิญครับ” มินกยูกุลีกุจอเปิดประตู
“ปกติผมก็ไม่ได้ล็อคห้องนะ คุณขึ้นมาเอาได้เลย”
“ฉันอยากขออนุญาตนายก่อน” ชายหนุ่มยักไหล่
ก่อนเดินตามเขาเข้ามาในห้อง
มินกยูเดินไปวางกระเป๋าข้างเตียงพลางลอบมองคนที่ยืนเลือกหนังสือไปด้วย
“หนังสือพวกนี้เป็นของคุณทั้งหมดเลยเหรอครับ?”
“ใช่”
วอนอูตอบสั้นๆยามหยิบหนังสือออกมาเล่มหนึ่งมาพลิกดู
“อยากอ่านเล่มไหนก็ตามสบายเลยนะ”
“อ่า... ครับ” มินกยูตอบอย่างเกร็งๆ
โดยที่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องรู้สึกขัดเขินกับคนตรงหน้าด้วย
ทั้งที่เมื่อเช้ายังนึกหงุดหงิดกับเจ้าตัวอยู่เลยแท้ๆ
“ที่โรงเรียนพออยู่ได้ไหม” น้ำเสียงนุ่มๆนั้นอ่อนโยนจนคนฟังต้องรีบพยักหน้า
สบกับดวงตาที่มองมาแล้วจึงตอบ
“ได้ครับ ไม่มีปัญหาเลย”
“งั้นก็ดีแล้ว”
เด็กหนุ่มนั่งลงบนขอบเตียง
มองวอนอูเลือกหนังสืออยู่สักพัก ก่อนที่เจ้าตัวจะหันมาหาเขาพร้อมหนังสือในมือ
“ฉันไปก่อนนะ”
ท่าทางหอบหนังสือกองโตนั่นทำให้คนมองต้องต่อสู้กับตัวเองอยู่พักใหญ่
“เอ่อ...”
แล้วในที่สุดมินกยูก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับตัวเองจนได้
“อันที่จริงแล้วคุณมาอ่านหนังสือที่นี่เหมือนเดิมก็ได้นะครับ”
มีร่องรอยงุนงงในใบหน้าเรียบเฉยนั่น
“ก็...
ยังไงผมก็ไม่อยู่ที่ห้องช่วงกลางวันอยู่แล้ว
แล้วมันก็เป็นห้องอ่านหนังสือของคุณด้วย ถ้ายังไงคุณมาอ่านหนังสือที่นี่ก็ได้
จะได้ไม่ต้องหอบหนังสือไปมา” เด็กหนุ่มรัวคำอธิบายออกมาอย่างรวดเร็ว
พลางด่าตัวเองในใจไปด้วย
จะเขินทำไมล่ะมินกยู ก็แค่เป็นคนดีเองไงเล่า
สบกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นอีกครั้ง
ก่อนที่วอนอูขยับริมฝีปากเป็นรอยยิ้มบางแต่สามารถโจมตีคนมองให้นิ่งไปได้
“ขอบคุณนะ”
ให้ตายสิ คิม มินกยู
จะใจเต้นบ่อยเกินไปแล้ว!
วันนี้เป็นวันเสาร์... วันหยุดสุดสัปดาห์แรกหลังจากย้ายมาเรียนที่นี่
และเนื่องด้วยความหนักหน่วงจนสูบพลังของเขาไปเกือบทั้งหมดของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทำให้มินกยูเลือกใช้เวลาตอนพลบค่ำในการนอนเอื่อยบนห้องแทน
เวลาที่ผ่านไปไวจนแทบไม่รู้ตัว ทว่าใช้เวลาเพียงไม่นานนัก
มินกยูก็พบว่าตัวเองเริ่มปรับตัวให้เข้ากับชีวิตที่ vanilla twilight ได้อย่างไม่ยากเย็นอย่างที่คิดไว้
เด็กหนุ่มเริ่มคุ้นเคยกับการที่เปิดประตูห้องเข้ามาแล้วพบกับวอนอูที่มีหนังสือเล่มหนึ่งในมือ
ไม่มีปัญหาในอยู่ร่วมกับวิญญาณประจำบ้านอย่างซูนยองรวมไปถึงเวอร์นอนที่มาขอให้เขาสอนฟิสิกส์ให้เป็นบางครั้งแลกกับการติวภาษาอังกฤษให้
หรือรู้จักหลบหลีกซองยอนกับการครอบครองพื้นที่ส่วนหลังบ้านไว้ทำงานศิลปะ(ที่ถูกทุกคนบังคับให้เก็บข้าวของไว้ให้เป็นที่เป็นทางเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุอันน่าหวาดเสียวอีก)
รวมถึงกลายเป็นความเคยชินไปแล้วที่ในระหว่างรับประทานอาหารเย็นร่วมกันจะต้องมีเรื่องเล่าจากอารอนเสมอ
แม้กระทั่งบุคคลที่เขารู้สึกเกรงที่สุดอย่างเยบินหรืออีกนัยหนึ่งคือคุณครูสอนคณิตศาสตร์ของเขาเอง
เด็กหนุ่มก็เริ่มคุ้นเคยกับรอยยิ้มเย็นๆ
ที่รู้ดีว่าไม่มีอะไรไปมากกว่าการขี้เกียจพูด
อันที่จริงแล้ว
ชีวิตที่นี่เรียกได้ว่าสบายกว่าอยู่หอพักด้วยซ้ำ
ดังนั้นมินกยูจึงไม่ทันได้เตรียมใจยามเมื่อวอนอูเปิดประตูเข้ามาในห้องพร้อมกับสิ่งที่เป็นการทดสอบขวัญและกำลังใจในการอยู่ที่
vanilla twilight ของเขามากที่สุด
แวมไพร์หนุ่มเอ่ยเบาๆ
“ถึงเวลาแล้ว...”
สายตาที่มองมาทำให้คนที่นอนเล่นบนเตียงอยู่ยกมือขึ้นกุมที่ต้นคอโดยอัตโนมัติ
รอยแผลของเขาจางไปแล้ว
ซึ่งนั่นก็หมายความว่า
ได้เวลาบริจาคเลือดแล้วสินะ...
TBC.
เบ ซองยอน >>
แฟรี่ >>
นักเรียนมัธยมปลายปีสุดท้าย |
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์และกำลังใจค่ะ อย่าลืมมาเอาใจช่วยมินกยูกันนะคะ ^^
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
Mianami
ปล. สามารถมาพูดคุยกันได้ใน #MianamiFanfic หรือ @ Mianami17 ค่ะ
ความคิดเห็น