ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Seventeen] Vanilla Twilight #minwon #soonhoon

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 3

    • อัปเดตล่าสุด 7 เม.ย. 61


    Matcha
     


    Chapter 3

     

     

                “งั้นก็ตกลงว่าเด็กคนนี้จะมาอยู่กับเราสินะ”

     

                แล้วในที่สุด... มินกยูก็ได้กลับมานั่งตัวลีบอยู่ในห้องนั่งเล่นห้องเดิมอีกครั้ง

     

    เด็กหนุ่มมองไปยังสมาชิกของบ้านที่มาประชุมกันทุกคนอย่างพร้อมเพรียงในตอนเย็นด้วยความหวาดหวั่น โดยเฉพาะเมื่อหลังจากที่อารอนกับวอนอูเล่าเรื่องทุกอย่างให้สมาชิกคนอื่นฟังเสร็จ คัง เยบินก็จัดการสรุปสถานการณ์ของเขาตอนนี้ด้วยประโยคเมื่อครู่เพียงแค่ประโยคเดียว

     

    เจ้าหล่อนยังไม่ได้ทำอะไรเขาก็จริง หากดวงตาสีสนิมคู่นั้นที่มองมาด้วยแววตานิ่งๆ รวมไปถึงน้ำเสียงและท่าทางที่อ่านไม่ออกนั่นก็ทำให้มินกยูอดไม่ได้ที่จะกลัวไว้ก่อน

     

    “นานแค่ไหนเหรอครับ” คำถามถูกส่งมาจากเวอร์นอนที่ยังคงอยู่ในชุดวอร์มของโรงเรียนเช่นเดียวกับซองยอนที่นั่งข้างๆ คำถามของเด็กหนุ่มอาจดูเหมือนเป็นการคัดค้าน ทว่าเมื่อมินกยูแอบมองไปก็พบเพียงแค่ความอยากรู้เท่านั้น

     

    “จนกว่าฉันกับพี่อารอนจะหาทางออกได้” คำตอบของวอนอูเรียกรอยยิ้มแปลกประหลาดจากเจ้าของคำถามได้เป็นอย่างดี

     

    wow…”

     

    มินกยูสังเกตเด็กหนุ่มลูกครึ่งด้วยความสนใจแกมอยากรู้ ก็ในเมื่อตอนนี้เขารู้แน่ ๆ ว่า วอนอูเป็นแวมไพร์ ซูนยองเป็นวิญญาณ ซองยอนเป็นแฟรี่ ส่วนอารอนก็เป็นพ่อมด

     

    แล้วเยบินกับเวอร์นอนจะเป็นอะไรกันบ้างนะ?

     

    “มีใครแจ้งคุณอีรึยัง?” เยบินถามต่อ

     

    “ฉันบอกแล้วล่ะ” ซูนยองที่นั่งเท้าคางฟังอยู่ว่า “ย้ำด้วยว่าไม่มีปัญหาอะไรจริง ๆ ไม่ให้คุณอีเป็นห่วง”

     

    “คงจะได้ผลอยู่หรอก” หญิงสาวเจ้าของคำถามพึมพำพลางส่ายหน้าเล็กน้อย ในขณะที่ซองยอนหันไปหาร่างโปร่งใสอย่างสนใจ

     

    “แล้วมินกยูจะต้องจ่ายค่าเช่าบ้านไหมคะ”  คำถามที่ทำให้เด็กหนุ่มต้องขมวดคิ้วอยู่เหมือนกัน

     

    เออนั่นสิ... ประเด็นนี้ยังไม่ได้คิดแฮะ

     

    เพราะมัวแต่กังกลเรื่องเพื่อนร่วมบ้าน เขาเลยลืมเรื่องนี้ไปซะสนิท

     

    “วอนอูจะจ่ายให้น่ะ” พ่อมดหนุ่มที่นั่งใกล้มินกยูที่สุดเป็นคนตอบราวกับเรื่องนี้ถูกคิดเอาไว้แล้ว ส่วนคนที่ถูกพูดถึงทำเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น

     

    “ดีจังเลยนะคะ” ซองยอนว่าพลางหันมายิ้มให้เด็กหนุ่มที่ชะงักไปกับคำตอบของอารอน มินกยูสบกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มของคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเล็กน้อย ก่อนหลุดปากออกมาเป็นครั้งแรก

     

    “ผมจ่ายเองได้...”

     

    “ไม่เป็นไร...” วอนอูเอ่ยเสียงเรียบ ชายหนุ่มทำท่าว่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมาต่อ หากถูกซูนยองขัดจังหวะขึ้นมาซะก่อน

     

    “น่า... เดี๋ยวนายก็ได้จ่ายเป็นเลือดแทนไง”

     

    เลือดฝาดที่มีอยู่น้อยนิดบนใบหน้าของมินกยูหายวับไปชั่วพริบตา เด็กหนุ่มกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะนิ่งไปคล้ายกับสติหลุดลอยไปอีกครั้ง

     

    และนั่นก็ทำให้คนที่มองอยู่ตลอดเรียกชื่อรูมเมทของตัวเองด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

     

    ควอน ซูนยอง

     

    “โอเค ฉันจะปิดปากให้สนิทเดี๋ยวนี้แหละ”

     

    วิญญาณหนุ่มยิ้มแหยๆ แล้วกลับไปนั่งด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมเป็นพิเศษ เรียกเสียงถอนหายใจจากสมาชิกคนอื่นในบ้านได้เป็นอย่างดี

     

    “ซูนยองพูดเล่นน่ะ” อารอนว่าพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยนให้มนุษย์คนเดียวของบ้านเป็นเชิงปลอบใจ “ไม่ต้องไปสนใจนะ”

     

    มินกยูยิ้มเจื่อน

     

    จะว่าร่างโปร่งใสนั่นพูดเล่นก็คงใช่... แต่ในคำพูดล้อเล่นก็มีเรื่องจริงปนอยู่ไม่น้อย

     

    เพราะถ้ารอยกัดที่คอของเขาหายไปเมื่อไร

     

    เด็กหนุ่มก็ต้องโดนกัดอีกครั้ง...

     

    เมื่อมันเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาแล้วที่แวมไพร์หนุ่มจะต้องได้รับ อาหาร

     

    และก็เพื่อไม่ให้นักล่าแวมไพร์รู้ว่าเขาคือโดเนอร์

     

    มือเรียวไล้ไปตามต้นคอที่มีผ้าก๊อซแปะเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว

     

    ไม่รู้ว่าอุปทานไปเองรึเปล่า มินกยูรู้สึกคล้ายกับว่ารอยแผลนั่นเจ็บแปลบขึ้นมาชั่ววูบ ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว

     

    เคร้ง!

     

    เสียงซองยอนทำอะไรบางอย่างตกดึงเด็กหนุ่มให้ออกมาจากความคิดของตัวเองในที่สุด ดวงตาสีดำสนิทหันไปมองตัวต้นเสียงที่ก้มไปเก็บนาฬิกาของตัวเองขึ้นมา ก่อนสะดุ้งเมื่อสบกับดวงตาสีทองของคนข้างๆ

     

    มินกยูเพิ่งรู้สึกตัวเขากำลังกุมแผลเอาไว้อยู่

     

    “เจ็บแผลเหรอ?” อารอนถามอย่างเป็นห่วง

     

    “เปล่า... เปล่าครับ” เด็กหนุ่มปฏิเสธ รับรู้ได้ถึงสายตาของสมาชิกคนอื่นในบ้านที่มองมาด้วยความสนใจ โดยเฉพาะเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มฝั่งตรงข้ามที่มองมาด้วยสายตาคมกริบ

     

    เขาหลบตาวอนอูโดยอัตโนมัติ

     

    “ผมไม่เป็นไรจริง ๆ” มินกยูยืนยันอีกครั้ง หลังจากที่คนเป็นหมอพยายามจะขอดูแผลให้ได้

     

    คนถูกห้ามทำหน้าไม่เห็นด้วยเล็กน้อย ก่อนหันไปมองวอนอูเป็นเชิงขอความช่วยเหลือ

     

    “ถ้าปวดก็กินยาด้วยแล้วกัน” แวมไพร์หนุ่มบอกง่ายๆ

     

    “สักวันหนึ่งพวกนายจะต้องเข้าใจความสำคัญของการติดเชื้อที่แผล” อารอนว่า หากก็ยอมปล่อยมินกยูแต่โดยดี แต่ก็ยังมิวายบ่นงึมงำ “แผลถูกกัดนี่มีโอกาสติดเชื้อสูงมากนะ”

     

    “พี่จะบอกว่าวอนอูมีเชื้อเหรอ?” ซูนยองที่ฟังอยู่ถามพลางกลั้วหัวเราะไปด้วย ในขณะที่คนถูกพาดพิงแค่ปลายตามองรูมเมทของตัวเองนิ่งๆ

     

    “ใช่” คุณหมอหนุ่มตอบ เรียกให้วอนอูร้องอ้าวออกมาอย่างงงๆ ก่อนที่อารอนจะรีบพูดต่อ “ตามหลักการแล้วไม่ว่าจะโดนอะไรกัดมาก็ติดเชื้อได้หมดแหละ”

     

    “ค่อยยังชั่ว...” ร่างโปร่งใสว่าอีกครั้ง ก่อนที่หมอนใบเล็กจะปลิวผ่านเจ้าตัวไปอย่างรวดเร็วจากฝีมือของคนถูกพาดพิง

     

    มีเสียงหัวเราะนิดหน่อยจากบรรดาเพื่อนร่วมบ้านที่มองอยู่ แม้กระทั่งมินกยูก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

     

    ก่อนที่เยบินจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นพลางกับบิดขี้เกียจแล้วกล่าวตัดบทไปด้วย

     

    “ไปนอนกันได้แล้วมั้ง” หญิงสาวว่า “พรุ่งนี้วันจันทร์ เด็ก ๆมีเรียนนะ พวกเราก็ทำงานกันด้วย”

     

    มีเสียงพึมพำตอบรับเป็นเชิงเห็นด้วย ก่อนที่ทุกคนจะทยอยบอกลากันเล็กน้อย แล้วจึงลุกขึ้นเพื่อกลับไปยังห้องพักของตัวเอง

     

    เหลือแค่สมาชิกใหม่ที่เป็นมนุษย์เพียงคนเดียวของบ้าน กับแวมไพร์หนุ่มที่กำลังบิดขี้เกียจอยู่เท่านั้น

     

    “เอ่อ... ราตรีสวัสดิ์นะครับ” มินกยูพึมพำระหว่างลุกขึ้นยืน มีความรู้สึกประหม่าเล็ก ๆ เมื่อพบว่าตัวเองอยู่ตามลำพังกับเจ้าของรอยกัดที่ต้นคอของตัวเอง หากวอนอูเพียงแค่พยักหน้าให้ พร้อมถามเสียงเรียบ

     

    “นอนห้องนั้นมีปัญหาอะไรรึเปล่า?

     

    “ไม่ครับ ผมอยู่ได้”

     

    “ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอาโต๊ะอ่านหนังสือขึ้นไปให้นะ เผื่อจะทบทวนบทเรียน” ชายหนุ่มบอก

     

    “ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มตอบอย่างกระตือรือร้น นึกดีใจเล็กน้อยที่คนตรงหน้ายังจำได้อยู่ว่าเขามาที่นี่เพื่อติวหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก่อนเสริมเมื่อนึกอะไรบางอย่างได้ “แต่จะเป็นอะไรรึเปล่า ถ้าผมจะขอใช้พื้นที่ข้างล่างด้วย”

     

    “เอาสิ ยังไงก็เป็นพื้นที่ส่วนกลางอยู่แล้ว” คนฟังพยักหน้า

     

    “คือผมจะต้องฝึกวาดรูปพวกสิ่งก็สร้างน่ะครับ เลยอยากใช้บ้านหลังนี้เป็นต้นแบบ” มินกยูอธิบาย อันที่จริงแล้วนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มยอมรับข้อตกลงของอีกฝ่ายง่ายนัก

     

    เขาอยากได้บ้านหลังนี้เป็นแบบตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น

     

    ถ้าสามารถวาดเสร็จและทันส่งประกวด... แน่นอนว่ามันต้องทำให้พอร์ตฟอลิโอของเขาน่าสนใจขึ้นมาแน่ ๆ

     

    “นายจะเรียนต่อทางศิลปะเหรอ?” วอนอูถามต่ออย่างสนใจ

     

    “ผมอยากเรียนด้านออกแบบ พวกสถาปัตน่ะครับ”

     

    มีความประหลาดใจพาดผ่านสีหน้าของคนฟังเล็กน้อยแล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มกว้างที่ทำให้คนมองหัวใจกระตุก

     

    ผู้ชายคนนี้ยิ้มสวย...

     

    ความคิดแรกที่พุ่งเข้ามาในหัว ตามมาด้วยความรู้สึกเสียดายที่มักจะเห็นเจ้าตัวทำหน้านิ่งๆมากกว่า

     

    “งั้นนายก็ควรคุยกับซูนยอง”

     

    “ครับ?” มินกยูที่เพิ่งดึงสติตัวเองกลับมาได้ถามอย่างงุนงง

     

    “หมอนั่นเป็นสถาปนิก” วอนอูบอกด้วยคำพูดที่ทำให้คนฟังต้องทำโตอย่างแปลกใจ ก่อนอ้าปากค้างเมื่อชายหนุ่มอธิบายต่อ

     

    “แล้วมันก็เป็นคนออกแบบบ้านหลังนี้ด้วยนะ”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เช้าวันใหม่ของมินกยูยังคงเริ่มต้นด้วยความสดใส

     

    แสงแดดอ่อนๆที่มาพร้อมเสียงนาฬิกาเป็นฝ่ายปลุกเขาขึ้นมา นอนลืมตาอยู่บนเตียงสักพักนั่นแหละ ถึงจะนึกออกว่าตัวเองนอนอยู่ที่ไหนแล้วต้องทำอะไรต่อ

     

    คว้าผ้าเช็ดตัวกับชุดได้ก็ลงไปอาบน้ำข้างล่างแล้วค่อยกลับขึ้นมาบนห้องอีกครั้งหนึ่ง เพราะเป็นแค่การเรียนช่วงฤดูร้อนดังนั้นเด็กหนุ่มจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องใส่ยูนิฟอร์มของโรงเรียน ดังนั้นหลังจากตรวจความเรียบร้อยเสร็จแล้ว มินกยูในชุดลำลองเรียบง่ายจึงสะพายกระเป๋าลงไปที่ห้องครัวในที่สุด

     

    บรรยากาศภายในห้องครัวค่อนข้างวุ่นวายเล็กน้อย เมื่อสมาชิกของบ้านเกือบทุกคนพร้อมใจมาอพยพตัวเองมาอยู่ที่นี่

     

    ดวงตาสีดำสนิทมองไปรอบ ๆด้วยความฉงน เยบิน ซองยอน นั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวของบ้านพร้อมกับอาหารเช้าง่ายๆอย่างเบคอนและไข่ดาว ในขณะที่เวอร์นอนกำลังรินนมลงในแก้วใบใหญ่ และอารอนที่ยืนปิ้งขนมปังอยู่ใกล้ๆ

     

    คุณหมอหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาพอดี

     

    “มาแล้วเหรอ? เอาขนมปังมั้ย” อารอนถาม “หรือถ้าจะกินไข่ดาว หรือเบคอนก็ทอดเองได้เลยนะ”

     

    มินกยูส่ายหัว “แค่นมกับขนมปังก็พอครับ”

     

    เขานั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่ ก่อนที่ซองยอนจะเลื่อนขนมปังกับแยมมาให้ ส่วนเวอร์นอนก็เดินมานั่งข้างๆพร้อมกับนมแก้วใหญ่ในมือ

     

    เด็กหนุ่มกำลังทาแยมผิวส้มบนขนมปังอยู่เมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้

     

    “ของพวกนี้ ผมต้องจ่ายเงินที่ใครรึเปล่าครับ”

     

    สมาชิกคนอื่นมองหน้ากันชั่วครู่

     

    “จริง ๆแล้วเราจะจ่ายเงินให้กองกลางกันทุกเดือนนะ เป็นค่าของสดในตู้เย็น ค่าน้ำ ค่าไฟไรงี้ แต่ของนายเดี๋ยววอนอูคงออกให้” อารอนตอบ

     

    “ผมจ่ายเองได้” มินกยูยืนยันอีกครั้ง

     

    “อันนี้ก็ไปคุยกับวอนอูเองล่ะ” เยบินว่าพลางยักไหล่ หญิงสาวกินอาหารเช้าหมดแล้ว และกำลังลุกขึ้นเพื่อนำจานไปวางที่ซิงค์น้ำ ก่อนหันมาบอก “วันนี้ฉันอยู่เวร ไปก่อนนะ”

     

    พูดจบก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว ตามด้วยอารอนที่กินเสร็จพอดี พ่อมดหนุ่มหันมาโบกมือให้เขาเล็กน้อย แล้วจึงเดินออกไปอีกคน

     

    เห็นดังนั้นเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจเร่งการกินของตัวเองให้เร็วขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพบว่าซองยอนกับเวอร์นอนก็ทยอยกันออกไปจากห้องครัวเช่นกัน

     

    เขาเพิ่งวางจานลงในซิงค์น้ำตอนที่ร่างโปร่งใสท่าทางงัวเงียลอยเข้ามา

     

    “หวัดดี กินข้าวแล้วเหรอ” ซูนยองทักพร้อมกับหาวไปด้วย

     

    “ครับ”

     

    “ไม่ต้องล้างนะ เดี๋ยวมีคนทำให้”

     

    “เอ่อ... ครับ” มินกยูตอบอย่างเกร็ง ๆ

     

    วิญญาณหนุ่มพยักหน้าให้เขา ก่อนลอยทะลุกำแพงหายไป ทิ้งไว้เพียงสายตางุนงงของคนที่มองตามไปด้วย

     

    ไม่ว่ายังไงก็ทำใจให้ชินได้ยากจริง ๆ

     

    ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วตัดสินใจว่าคงถึงเวลาที่ต้องไปโรงเรียนแล้ว หากความคิดของเด็กหนุ่มยังคงวนเวียนกับเรื่องสมาชิกของบ้าน แม้กระทั่งตอนเดินออกมาจากบ้านและพบกับซองยอนกับเวอร์นอนที่ยืนรออยู่ที่ประตูรั้วก็ตาม

     

    “ป่ะ เดี๋ยวจะสายนะครับ” เวอร์นอนกวักมือเรียกเขา


    “พวกคุณ... จะไปโรงเรียนกับผมเหรอ?” มินกยูหลุดปากถามอย่างงงๆ และแล้วในที่สุดเขาก็เดินไปตามทางที่ปูด้วยหินกับสมาชิกของบ้านจนได้

     

    “เรียกซองยอนก็ได้ค่ะ ฉันก็อยู่ม.ปลายปีสุดท้ายเหมือนคุณนั่นแหละ” เด็กสาวตอบ “แล้วก็ใช่ค่ะ พวกเราเรียนด้วยกันนี่”


    “เธอรู้ได้ไงน่ะว่าฉันอยู่ชั้นไหน” เขาถาม

     

    หรือนี่จะเป็นความสามารถพิเศษของแฟรี่... อดไม่ได้ที่จะคิดอย่างเบลอๆ ปีกบางใสคู่นั้นเด่นช่างเด่นสะดุดตามินกยูเหลือเกิน

     

    “ฉันเป็นหัวหน้าห้องค่ะ แล้วเมื่อวานก็มีประชุมเกี่ยวกับนักเรียนใหม่” เด็กหนุ่มร้องอ๋อออกมา เพิ่งเข้าใจว่าทำไมซองยอนกับเวอร์นอนถึงไปโรงเรียนเมื่อวาน ก่อนอดไม่ได้ที่จะถามต่อ

     

    “อย่าบอกนะว่าเราอยู่ห้องเดียวกัน”

     

    “เสียใจด้วยนะคะ แต่ว่า... ใช่แล้วล่ะ” ซองยอนตอบพร้อมกับหัวเราะบาง ๆ

     

     “นายก็ด้วยเหรอเหรอ” เขาหันไปหาเวอร์นอนที่เดินอยู่ข้างๆ เพราะมีแต่นักเรียนม.ปลายปีสุดท้ายเท่านั้นที่ยังคงไปโรงเรียนช่วงนี้

     

    และเด็กหนุ่มก็ควรทำใจให้ชินได้แล้วว่าเขาจะมีหัวหน้าห้องเป็นแฟรี่หรืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่มนุษย์

     

    “เปล่าครับ ผมอยู่ม.ปลายปี 2” คนอายุน้อยกว่าว่า “ช่วงนี้ผมมาทำกิจกรรมของชมรมน่ะ”

     

    มินกยูพยักหน้ารับรู้

     

    “นี่.. “ เวอร์นอนเรียกเขา “พี่รู้สึกยังไงบ้างอ่ะ?

     

    “หือ?

     

    “ก็เรื่องที่ต้องมาอยู่ที่ vanilla twilight ไง”

     

    ดวงตาสองคู่ที่มองมามีความอยากรู้อย่างปิดไม่มิดจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัด

     

    “กลัว” เขาตอบตามตรง ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะจากคนฟังทั้งสองได้เป็นอย่างดี “แต่ตอนนี้ปลงแล้วล่ะ”

     

    “ทำใจได้เร็วจังเลยนะครับ” เวอร์นอนเอ่ยคล้ายกำลังชม ในขณะที่คนฟังหัวเราะหึๆ ในลำคอ

     

    ปลงแล้วนี่ไม่ได้หมายความจะเลิกกลัว หรืออะไรหรอกนะ...

     

    เพราตอนนี้เด็กหนุ่มก็คิดว่าตัวเองกำลังสติแตกอยู่หน่อยๆเช่นกัน

     

    “ก็มันไม่มีทางเลือกแล้วนี่”มินกยูตอบ

     

    อันนี้ขอบอกว่าเรื่องจริงที่สุด

     

    “งั้นถ้าหมดช่วงซัมเมอร์แล้วพี่จะทำไงอ่ะ” คนอายุน้อยกว่ายังคงสงสัยต่อด้วยคำถามที่เขาเองก็ตอบไม่ได้เช่นกัน

     

    “ถึงตอนนั้นก็คงหาทางออกได้แล้วล่ะ” มินกยูว่าเป็นเชิงปลอบใจตัวเองไปด้วย แล้วจึงเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายตั้งคำถามบ้าง “ที่โรงเรียนน่ะ... ส่วนมากแล้วทุกคนเป็นมนุษย์รึเปล่า?

     

    ผู้ที่ไม่ใช่มนุษย์ทั้งสองมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่เวอร์นอนจะเป็นคนตอบ

     

    “มีแค่ส่วนน้อยนะครับที่ไม่ใช่มนุษย์”

     

    “แล้วก็อย่าพูดถึงเรื่องนี้ที่โรงเรียนล่ะ มันเป็นความลับน่ะ” ซองยอนเสริม

     

    “แต่ฉันก็จะมองเห็นใช่มั้ย...” มินกยูพึมพำ

     

    “ก็ต้องทำเป็นไม่เห็นแล้วล่ะ” แฟรี่สาวว่า “แต่คุณก็ไม่ได้เห็นชัดเจนมากนี่”

     

    ดวงตาสีดำสนิทหันกลับมาจ้องปีกของคนพูดอีกครั้งแทนคำตอบ

     

    “งั้นก็ท่องไปเลยนะคะ ว่าคุณมองไม่เห็น” ซองยอนตอบพร้อมถอนหายใจออกมา “พยายามอยู่ใกล้ๆฉันหน่อยก็ดี”

     

    “...”

     

    มีความงุนงงเล็กน้อยในสายตาของคนฟัง หากเด็กสาวก็ยังคงเอ่ยต่อไป

     

    “แล้วก็... ที่โรงเรียนมีวิญญาณอยู่บ้าง อย่าให้พวกเขารู้ล่ะว่าคุณมองเห็น”

     

    คนฟังกระพริบตาปริบๆอย่างพยายามจะตั้งสติกับคำบอกเล่านั่น มินกยูนึกอยากตะโกนใส่โชคชะตาอันโหดร้ายของตัวเองอีกครั้ง ไม่สิ หลายพันครั้งเลยดีกว่า

     

    แค่ควอน ซูนยองนี่ยังไม่พออีกเหรอ...? ทำไมยังจะต้องมีวิญญาณที่อื่นอยู่อีก

     

    ทว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มทำได้ก็คือการพึมพำเป็นเชิงรับรู้เบาๆเท่านั้น

     

    “จะพยายามนะ...”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    TBC

     

     

     

      

    ควอน ซูนยอง

    >> วิญญาณประจำบ้าน vanilla twilight

    >> สถาปนิก

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×