คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 3
Chapter 3
“งั้นก็ตกลงว่าเด็กคนนี้จะมาอยู่กับเราสินะ”
แล้วในที่สุด... มินกยูก็ได้กลับมานั่งตัวลีบอยู่ในห้องนั่งเล่นห้องเดิมอีกครั้ง
เด็กหนุ่มมองไปยังสมาชิกของบ้านที่มาประชุมกันทุกคนอย่างพร้อมเพรียงในตอนเย็นด้วยความหวาดหวั่น
โดยเฉพาะเมื่อหลังจากที่อารอนกับวอนอูเล่าเรื่องทุกอย่างให้สมาชิกคนอื่นฟังเสร็จ
คัง
เยบินก็จัดการสรุปสถานการณ์ของเขาตอนนี้ด้วยประโยคเมื่อครู่เพียงแค่ประโยคเดียว
เจ้าหล่อนยังไม่ได้ทำอะไรเขาก็จริง หากดวงตาสีสนิมคู่นั้นที่มองมาด้วยแววตานิ่งๆ
รวมไปถึงน้ำเสียงและท่าทางที่อ่านไม่ออกนั่นก็ทำให้มินกยูอดไม่ได้ที่จะกลัวไว้ก่อน
“นานแค่ไหนเหรอครับ”
คำถามถูกส่งมาจากเวอร์นอนที่ยังคงอยู่ในชุดวอร์มของโรงเรียนเช่นเดียวกับซองยอนที่นั่งข้างๆ
คำถามของเด็กหนุ่มอาจดูเหมือนเป็นการคัดค้าน
ทว่าเมื่อมินกยูแอบมองไปก็พบเพียงแค่ความอยากรู้เท่านั้น
“จนกว่าฉันกับพี่อารอนจะหาทางออกได้”
คำตอบของวอนอูเรียกรอยยิ้มแปลกประหลาดจากเจ้าของคำถามได้เป็นอย่างดี
“wow…”
มินกยูสังเกตเด็กหนุ่มลูกครึ่งด้วยความสนใจแกมอยากรู้
ก็ในเมื่อตอนนี้เขารู้แน่ ๆ ว่า วอนอูเป็นแวมไพร์ ซูนยองเป็นวิญญาณ
ซองยอนเป็นแฟรี่ ส่วนอารอนก็เป็นพ่อมด
แล้วเยบินกับเวอร์นอนจะเป็นอะไรกันบ้างนะ?
“มีใครแจ้งคุณอีรึยัง?” เยบินถามต่อ
“ฉันบอกแล้วล่ะ” ซูนยองที่นั่งเท้าคางฟังอยู่ว่า
“ย้ำด้วยว่าไม่มีปัญหาอะไรจริง ๆ ไม่ให้คุณอีเป็นห่วง”
“คงจะได้ผลอยู่หรอก” หญิงสาวเจ้าของคำถามพึมพำพลางส่ายหน้าเล็กน้อย
ในขณะที่ซองยอนหันไปหาร่างโปร่งใสอย่างสนใจ
“แล้วมินกยูจะต้องจ่ายค่าเช่าบ้านไหมคะ” คำถามที่ทำให้เด็กหนุ่มต้องขมวดคิ้วอยู่เหมือนกัน
เออนั่นสิ... ประเด็นนี้ยังไม่ได้คิดแฮะ
เพราะมัวแต่กังกลเรื่องเพื่อนร่วมบ้าน เขาเลยลืมเรื่องนี้ไปซะสนิท
“วอนอูจะจ่ายให้น่ะ”
พ่อมดหนุ่มที่นั่งใกล้มินกยูที่สุดเป็นคนตอบราวกับเรื่องนี้ถูกคิดเอาไว้แล้ว
ส่วนคนที่ถูกพูดถึงทำเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น
“ดีจังเลยนะคะ”
ซองยอนว่าพลางหันมายิ้มให้เด็กหนุ่มที่ชะงักไปกับคำตอบของอารอน
มินกยูสบกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มของคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเล็กน้อย
ก่อนหลุดปากออกมาเป็นครั้งแรก
“ผมจ่ายเองได้...”
“ไม่เป็นไร...” วอนอูเอ่ยเสียงเรียบ ชายหนุ่มทำท่าว่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมาต่อ
หากถูกซูนยองขัดจังหวะขึ้นมาซะก่อน
“น่า... เดี๋ยวนายก็ได้จ่ายเป็นเลือดแทนไง”
เลือดฝาดที่มีอยู่น้อยนิดบนใบหน้าของมินกยูหายวับไปชั่วพริบตา
เด็กหนุ่มกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะนิ่งไปคล้ายกับสติหลุดลอยไปอีกครั้ง
และนั่นก็ทำให้คนที่มองอยู่ตลอดเรียกชื่อรูมเมทของตัวเองด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ควอน ซูนยอง”
“โอเค ฉันจะปิดปากให้สนิทเดี๋ยวนี้แหละ”
วิญญาณหนุ่มยิ้มแหยๆ แล้วกลับไปนั่งด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมเป็นพิเศษ
เรียกเสียงถอนหายใจจากสมาชิกคนอื่นในบ้านได้เป็นอย่างดี
“ซูนยองพูดเล่นน่ะ” อารอนว่าพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยนให้มนุษย์คนเดียวของบ้านเป็นเชิงปลอบใจ
“ไม่ต้องไปสนใจนะ”
มินกยูยิ้มเจื่อน
จะว่าร่างโปร่งใสนั่นพูดเล่นก็คงใช่... แต่ในคำพูดล้อเล่นก็มีเรื่องจริงปนอยู่ไม่น้อย
เพราะถ้ารอยกัดที่คอของเขาหายไปเมื่อไร
เด็กหนุ่มก็ต้องโดนกัดอีกครั้ง...
เมื่อมันเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาแล้วที่แวมไพร์หนุ่มจะต้องได้รับ
‘อาหาร’
และก็เพื่อไม่ให้นักล่าแวมไพร์รู้ว่าเขาคือโดเนอร์
มือเรียวไล้ไปตามต้นคอที่มีผ้าก๊อซแปะเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว
ไม่รู้ว่าอุปทานไปเองรึเปล่า มินกยูรู้สึกคล้ายกับว่ารอยแผลนั่นเจ็บแปลบขึ้นมาชั่ววูบ
ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว
เคร้ง!
เสียงซองยอนทำอะไรบางอย่างตกดึงเด็กหนุ่มให้ออกมาจากความคิดของตัวเองในที่สุด
ดวงตาสีดำสนิทหันไปมองตัวต้นเสียงที่ก้มไปเก็บนาฬิกาของตัวเองขึ้นมา ก่อนสะดุ้งเมื่อสบกับดวงตาสีทองของคนข้างๆ
มินกยูเพิ่งรู้สึกตัวเขากำลังกุมแผลเอาไว้อยู่
“เจ็บแผลเหรอ?” อารอนถามอย่างเป็นห่วง
“เปล่า... เปล่าครับ” เด็กหนุ่มปฏิเสธ
รับรู้ได้ถึงสายตาของสมาชิกคนอื่นในบ้านที่มองมาด้วยความสนใจ
โดยเฉพาะเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มฝั่งตรงข้ามที่มองมาด้วยสายตาคมกริบ
เขาหลบตาวอนอูโดยอัตโนมัติ
“ผมไม่เป็นไรจริง ๆ” มินกยูยืนยันอีกครั้ง
หลังจากที่คนเป็นหมอพยายามจะขอดูแผลให้ได้
คนถูกห้ามทำหน้าไม่เห็นด้วยเล็กน้อย
ก่อนหันไปมองวอนอูเป็นเชิงขอความช่วยเหลือ
“ถ้าปวดก็กินยาด้วยแล้วกัน” แวมไพร์หนุ่มบอกง่ายๆ
“สักวันหนึ่งพวกนายจะต้องเข้าใจความสำคัญของการติดเชื้อที่แผล”
อารอนว่า หากก็ยอมปล่อยมินกยูแต่โดยดี แต่ก็ยังมิวายบ่นงึมงำ
“แผลถูกกัดนี่มีโอกาสติดเชื้อสูงมากนะ”
“พี่จะบอกว่าวอนอูมีเชื้อเหรอ?” ซูนยองที่ฟังอยู่ถามพลางกลั้วหัวเราะไปด้วย
ในขณะที่คนถูกพาดพิงแค่ปลายตามองรูมเมทของตัวเองนิ่งๆ
“ใช่” คุณหมอหนุ่มตอบ เรียกให้วอนอูร้องอ้าวออกมาอย่างงงๆ
ก่อนที่อารอนจะรีบพูดต่อ
“ตามหลักการแล้วไม่ว่าจะโดนอะไรกัดมาก็ติดเชื้อได้หมดแหละ”
“ค่อยยังชั่ว...” ร่างโปร่งใสว่าอีกครั้ง
ก่อนที่หมอนใบเล็กจะปลิวผ่านเจ้าตัวไปอย่างรวดเร็วจากฝีมือของคนถูกพาดพิง
มีเสียงหัวเราะนิดหน่อยจากบรรดาเพื่อนร่วมบ้านที่มองอยู่
แม้กระทั่งมินกยูก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
ก่อนที่เยบินจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นพลางกับบิดขี้เกียจแล้วกล่าวตัดบทไปด้วย
“ไปนอนกันได้แล้วมั้ง” หญิงสาวว่า “พรุ่งนี้วันจันทร์
เด็ก ๆมีเรียนนะ พวกเราก็ทำงานกันด้วย”
มีเสียงพึมพำตอบรับเป็นเชิงเห็นด้วย ก่อนที่ทุกคนจะทยอยบอกลากันเล็กน้อย
แล้วจึงลุกขึ้นเพื่อกลับไปยังห้องพักของตัวเอง
เหลือแค่สมาชิกใหม่ที่เป็นมนุษย์เพียงคนเดียวของบ้าน
กับแวมไพร์หนุ่มที่กำลังบิดขี้เกียจอยู่เท่านั้น
“เอ่อ... ราตรีสวัสดิ์นะครับ” มินกยูพึมพำระหว่างลุกขึ้นยืน
มีความรู้สึกประหม่าเล็ก ๆ เมื่อพบว่าตัวเองอยู่ตามลำพังกับเจ้าของรอยกัดที่ต้นคอของตัวเอง
หากวอนอูเพียงแค่พยักหน้าให้ พร้อมถามเสียงเรียบ
“นอนห้องนั้นมีปัญหาอะไรรึเปล่า?”
“ไม่ครับ ผมอยู่ได้”
“ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอาโต๊ะอ่านหนังสือขึ้นไปให้นะ
เผื่อจะทบทวนบทเรียน” ชายหนุ่มบอก
“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มตอบอย่างกระตือรือร้น
นึกดีใจเล็กน้อยที่คนตรงหน้ายังจำได้อยู่ว่าเขามาที่นี่เพื่อติวหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ก่อนเสริมเมื่อนึกอะไรบางอย่างได้ “แต่จะเป็นอะไรรึเปล่า
ถ้าผมจะขอใช้พื้นที่ข้างล่างด้วย”
“เอาสิ ยังไงก็เป็นพื้นที่ส่วนกลางอยู่แล้ว”
คนฟังพยักหน้า
“คือผมจะต้องฝึกวาดรูปพวกสิ่งก็สร้างน่ะครับ
เลยอยากใช้บ้านหลังนี้เป็นต้นแบบ” มินกยูอธิบาย
อันที่จริงแล้วนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มยอมรับข้อตกลงของอีกฝ่ายง่ายนัก
เขาอยากได้บ้านหลังนี้เป็นแบบตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
ถ้าสามารถวาดเสร็จและทันส่งประกวด...
แน่นอนว่ามันต้องทำให้พอร์ตฟอลิโอของเขาน่าสนใจขึ้นมาแน่ ๆ
“นายจะเรียนต่อทางศิลปะเหรอ?” วอนอูถามต่ออย่างสนใจ
“ผมอยากเรียนด้านออกแบบ พวกสถาปัตน่ะครับ”
มีความประหลาดใจพาดผ่านสีหน้าของคนฟังเล็กน้อยแล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มกว้างที่ทำให้คนมองหัวใจกระตุก
ผู้ชายคนนี้ยิ้มสวย...
ความคิดแรกที่พุ่งเข้ามาในหัว
ตามมาด้วยความรู้สึกเสียดายที่มักจะเห็นเจ้าตัวทำหน้านิ่งๆมากกว่า
“งั้นนายก็ควรคุยกับซูนยอง”
“ครับ?” มินกยูที่เพิ่งดึงสติตัวเองกลับมาได้ถามอย่างงุนงง
“หมอนั่นเป็นสถาปนิก”
วอนอูบอกด้วยคำพูดที่ทำให้คนฟังต้องทำโตอย่างแปลกใจ
ก่อนอ้าปากค้างเมื่อชายหนุ่มอธิบายต่อ
“แล้วมันก็เป็นคนออกแบบบ้านหลังนี้ด้วยนะ”
เช้าวันใหม่ของมินกยูยังคงเริ่มต้นด้วยความสดใส
แสงแดดอ่อนๆที่มาพร้อมเสียงนาฬิกาเป็นฝ่ายปลุกเขาขึ้นมา
นอนลืมตาอยู่บนเตียงสักพักนั่นแหละ ถึงจะนึกออกว่าตัวเองนอนอยู่ที่ไหนแล้วต้องทำอะไรต่อ
คว้าผ้าเช็ดตัวกับชุดได้ก็ลงไปอาบน้ำข้างล่างแล้วค่อยกลับขึ้นมาบนห้องอีกครั้งหนึ่ง
เพราะเป็นแค่การเรียนช่วงฤดูร้อนดังนั้นเด็กหนุ่มจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องใส่ยูนิฟอร์มของโรงเรียน
ดังนั้นหลังจากตรวจความเรียบร้อยเสร็จแล้ว มินกยูในชุดลำลองเรียบง่ายจึงสะพายกระเป๋าลงไปที่ห้องครัวในที่สุด
บรรยากาศภายในห้องครัวค่อนข้างวุ่นวายเล็กน้อย เมื่อสมาชิกของบ้านเกือบทุกคนพร้อมใจมาอพยพตัวเองมาอยู่ที่นี่
ดวงตาสีดำสนิทมองไปรอบ ๆด้วยความฉงน เยบิน ซองยอน
นั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวของบ้านพร้อมกับอาหารเช้าง่ายๆอย่างเบคอนและไข่ดาว
ในขณะที่เวอร์นอนกำลังรินนมลงในแก้วใบใหญ่ และอารอนที่ยืนปิ้งขนมปังอยู่ใกล้ๆ
คุณหมอหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาพอดี
“มาแล้วเหรอ? เอาขนมปังมั้ย” อารอนถาม “หรือถ้าจะกินไข่ดาว
หรือเบคอนก็ทอดเองได้เลยนะ”
มินกยูส่ายหัว “แค่นมกับขนมปังก็พอครับ”
เขานั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่ ก่อนที่ซองยอนจะเลื่อนขนมปังกับแยมมาให้
ส่วนเวอร์นอนก็เดินมานั่งข้างๆพร้อมกับนมแก้วใหญ่ในมือ
เด็กหนุ่มกำลังทาแยมผิวส้มบนขนมปังอยู่เมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้
“ของพวกนี้ ผมต้องจ่ายเงินที่ใครรึเปล่าครับ”
สมาชิกคนอื่นมองหน้ากันชั่วครู่
“จริง ๆแล้วเราจะจ่ายเงินให้กองกลางกันทุกเดือนนะ
เป็นค่าของสดในตู้เย็น ค่าน้ำ ค่าไฟไรงี้ แต่ของนายเดี๋ยววอนอูคงออกให้” อารอนตอบ
“ผมจ่ายเองได้” มินกยูยืนยันอีกครั้ง
“อันนี้ก็ไปคุยกับวอนอูเองล่ะ” เยบินว่าพลางยักไหล่
หญิงสาวกินอาหารเช้าหมดแล้ว และกำลังลุกขึ้นเพื่อนำจานไปวางที่ซิงค์น้ำ
ก่อนหันมาบอก “วันนี้ฉันอยู่เวร ไปก่อนนะ”
พูดจบก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว ตามด้วยอารอนที่กินเสร็จพอดี
พ่อมดหนุ่มหันมาโบกมือให้เขาเล็กน้อย แล้วจึงเดินออกไปอีกคน
เห็นดังนั้นเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจเร่งการกินของตัวเองให้เร็วขึ้น
โดยเฉพาะเมื่อพบว่าซองยอนกับเวอร์นอนก็ทยอยกันออกไปจากห้องครัวเช่นกัน
เขาเพิ่งวางจานลงในซิงค์น้ำตอนที่ร่างโปร่งใสท่าทางงัวเงียลอยเข้ามา
“หวัดดี กินข้าวแล้วเหรอ”
ซูนยองทักพร้อมกับหาวไปด้วย
“ครับ”
“ไม่ต้องล้างนะ เดี๋ยวมีคนทำให้”
“เอ่อ... ครับ” มินกยูตอบอย่างเกร็ง ๆ
วิญญาณหนุ่มพยักหน้าให้เขา ก่อนลอยทะลุกำแพงหายไป
ทิ้งไว้เพียงสายตางุนงงของคนที่มองตามไปด้วย
ไม่ว่ายังไงก็ทำใจให้ชินได้ยากจริง ๆ
ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วตัดสินใจว่าคงถึงเวลาที่ต้องไปโรงเรียนแล้ว
หากความคิดของเด็กหนุ่มยังคงวนเวียนกับเรื่องสมาชิกของบ้าน แม้กระทั่งตอนเดินออกมาจากบ้านและพบกับซองยอนกับเวอร์นอนที่ยืนรออยู่ที่ประตูรั้วก็ตาม
“ป่ะ เดี๋ยวจะสายนะครับ” เวอร์นอนกวักมือเรียกเขา
“พวกคุณ... จะไปโรงเรียนกับผมเหรอ?”
มินกยูหลุดปากถามอย่างงงๆ และแล้วในที่สุดเขาก็เดินไปตามทางที่ปูด้วยหินกับสมาชิกของบ้านจนได้
“เรียกซองยอนก็ได้ค่ะ ฉันก็อยู่ม.ปลายปีสุดท้ายเหมือนคุณนั่นแหละ”
เด็กสาวตอบ “แล้วก็ใช่ค่ะ พวกเราเรียนด้วยกันนี่”
“เธอรู้ได้ไงน่ะว่าฉันอยู่ชั้นไหน” เขาถาม
หรือนี่จะเป็นความสามารถพิเศษของแฟรี่... อดไม่ได้ที่จะคิดอย่างเบลอๆ
ปีกบางใสคู่นั้นเด่นช่างเด่นสะดุดตามินกยูเหลือเกิน
“ฉันเป็นหัวหน้าห้องค่ะ แล้วเมื่อวานก็มีประชุมเกี่ยวกับนักเรียนใหม่”
เด็กหนุ่มร้องอ๋อออกมา เพิ่งเข้าใจว่าทำไมซองยอนกับเวอร์นอนถึงไปโรงเรียนเมื่อวาน
ก่อนอดไม่ได้ที่จะถามต่อ
“อย่าบอกนะว่าเราอยู่ห้องเดียวกัน”
“เสียใจด้วยนะคะ แต่ว่า... ใช่แล้วล่ะ”
ซองยอนตอบพร้อมกับหัวเราะบาง ๆ
“นายก็ด้วยเหรอเหรอ”
เขาหันไปหาเวอร์นอนที่เดินอยู่ข้างๆ เพราะมีแต่นักเรียนม.ปลายปีสุดท้ายเท่านั้นที่ยังคงไปโรงเรียนช่วงนี้
และเด็กหนุ่มก็ควรทำใจให้ชินได้แล้วว่าเขาจะมีหัวหน้าห้องเป็นแฟรี่หรืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่มนุษย์
“เปล่าครับ ผมอยู่ม.ปลายปี 2” คนอายุน้อยกว่าว่า
“ช่วงนี้ผมมาทำกิจกรรมของชมรมน่ะ”
มินกยูพยักหน้ารับรู้
“นี่.. “ เวอร์นอนเรียกเขา “พี่รู้สึกยังไงบ้างอ่ะ?”
“หือ?”
“ก็เรื่องที่ต้องมาอยู่ที่ vanilla twilight ไง”
ดวงตาสองคู่ที่มองมามีความอยากรู้อย่างปิดไม่มิดจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัด
“กลัว” เขาตอบตามตรง
ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะจากคนฟังทั้งสองได้เป็นอย่างดี “แต่ตอนนี้ปลงแล้วล่ะ”
“ทำใจได้เร็วจังเลยนะครับ” เวอร์นอนเอ่ยคล้ายกำลังชม
ในขณะที่คนฟังหัวเราะหึๆ ในลำคอ
ปลงแล้วนี่ไม่ได้หมายความจะเลิกกลัว หรืออะไรหรอกนะ...
เพราตอนนี้เด็กหนุ่มก็คิดว่าตัวเองกำลังสติแตกอยู่หน่อยๆเช่นกัน
“ก็มันไม่มีทางเลือกแล้วนี่”มินกยูตอบ
อันนี้ขอบอกว่าเรื่องจริงที่สุด
“งั้นถ้าหมดช่วงซัมเมอร์แล้วพี่จะทำไงอ่ะ”
คนอายุน้อยกว่ายังคงสงสัยต่อด้วยคำถามที่เขาเองก็ตอบไม่ได้เช่นกัน
“ถึงตอนนั้นก็คงหาทางออกได้แล้วล่ะ” มินกยูว่าเป็นเชิงปลอบใจตัวเองไปด้วย
แล้วจึงเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายตั้งคำถามบ้าง “ที่โรงเรียนน่ะ... ส่วนมากแล้วทุกคนเป็นมนุษย์รึเปล่า?”
ผู้ที่ไม่ใช่มนุษย์ทั้งสองมองหน้ากันเล็กน้อย
ก่อนที่เวอร์นอนจะเป็นคนตอบ
“มีแค่ส่วนน้อยนะครับที่ไม่ใช่มนุษย์”
“แล้วก็อย่าพูดถึงเรื่องนี้ที่โรงเรียนล่ะ
มันเป็นความลับน่ะ” ซองยอนเสริม
“แต่ฉันก็จะมองเห็นใช่มั้ย...” มินกยูพึมพำ
“ก็ต้องทำเป็นไม่เห็นแล้วล่ะ” แฟรี่สาวว่า “แต่คุณก็ไม่ได้เห็นชัดเจนมากนี่”
ดวงตาสีดำสนิทหันกลับมาจ้องปีกของคนพูดอีกครั้งแทนคำตอบ
“งั้นก็ท่องไปเลยนะคะ ว่าคุณมองไม่เห็น” ซองยอนตอบพร้อมถอนหายใจออกมา
“พยายามอยู่ใกล้ๆฉันหน่อยก็ดี”
“...”
มีความงุนงงเล็กน้อยในสายตาของคนฟัง หากเด็กสาวก็ยังคงเอ่ยต่อไป
“แล้วก็... ที่โรงเรียนมีวิญญาณอยู่บ้าง
อย่าให้พวกเขารู้ล่ะว่าคุณมองเห็น”
คนฟังกระพริบตาปริบๆอย่างพยายามจะตั้งสติกับคำบอกเล่านั่น
มินกยูนึกอยากตะโกนใส่โชคชะตาอันโหดร้ายของตัวเองอีกครั้ง ไม่สิ
หลายพันครั้งเลยดีกว่า
แค่ควอน ซูนยองนี่ยังไม่พออีกเหรอ...? ทำไมยังจะต้องมีวิญญาณที่อื่นอยู่อีก
ทว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มทำได้ก็คือการพึมพำเป็นเชิงรับรู้เบาๆเท่านั้น
“จะพยายามนะ...”
TBC
ควอน ซูนยอง >>
วิญญาณประจำบ้าน vanilla twilight >>
สถาปนิก |
ความคิดเห็น