คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1
Chapter 1
มันเป็นเช้าที่สดใสของ คิม
มินกยู
เด็กหนุ่มออกจากบ้านมาพร้อมกับแสงแดดอ่อนๆที่ช่วยทำให้เขารู้สึกสดชื่น
สายลมฤดูร้อนที่พัดมาก็ช่วยให้รู้สึกกระปี้กระเปร่า แม้กระทั่งกระเป๋าใบใหญ่ที่ต้องยกขึ้นบนที่เก็บกระเป๋าของรถไฟก็ไม่ได้รู้สึกหนักเท่าเมื่อคืนตอนที่จัดของ
เพราะแบบนั้น... มินกยูเลยมั่นใจมากว่าวันนี้มันต้องเป็นวันที่ดีของเขาแน่
ๆ
และความเชื่อนั้นก็ยังคงอยู่แม้ว่าจะมาถึงหมู่บ้านเล็ก
ๆ อันเป็นจุดหมายปลายทางในยามเย็นก็ตาม
ดวงตาสีดำสนิทกวาดตามองไปรอบตัวอย่างตื่นเต้น
แสงอาทิตย์ยามอัสดงทอประกายเหนือเนินเขา
ทำให้บรรยากาศรอบตัวของเด็กหนุ่มช่างสวยงามราวกับว่ากำลังยินดีต้อนรับเขาอยู่
มินกยูลากกระเป๋าไปตามทางเดินอันคดเคี้ยว
มีบ้างที่สวนทางกับคนในหมู่บ้านที่มองมาอย่างสนใจ หากเด็กหนุ่มก็ทำแค่ส่งยิ้มบาง
ๆให้เท่านั้น
จุดหมายของเขาคือหอพักที่คาดว่าคงอยู่ไม่ไกลนัก
อาศัยจากแผนที่ที่แม่ของเขาส่งมาให้ ว่าหอพักของเขาน่าจะอยู่ใกล้กับโรงเรียนซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของที่นี่
ใช่แล้ว...
มินกยูคือนักเรียนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาในภาคเรียนฤดูร้อนที่มีขึ้นเพื่อติวนักเรียนม.ปลายปีสุดท้ายสำหรับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีหน้า
อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มคงอยู่แค่ช่วงปิดเทอมฤดูร้อนเท่านั้นแหละ
ทั้งนี้เป็นเพราะพ่อและแม่ของเขา อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยโซลมีเหตุจำเป็นต้องไปทำงานที่ต่างประเทศ
ดังนั้นลูกชายคนเดียวอย่างมินกยูจึงได้รับสิทธิพิเศษให้อยู่คนเดียวเป็นเวลาเกือบ 3 เดือน
และมันคงจะเป็นอย่างนั้น
ถ้าไม่ใช่ว่าบ้านของเขาจำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซมกะทันหันจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่มีสาเหตุมาจากตัวเขาเอง
ซึ่งจากเหตุผลทั้งหลายทั้งแหล่นั่น
ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องกระเด็นออกจากบ้านมายังหอพักและโรงเรียนที่มีชื่อด้านกวดวิชาเป็นอันดับต้นๆของเกาหลีใต้
หากค่อนข้างอยู่ห่างไกลพอสมควร
แต่มันก็คงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเท่าไรหรอก
เด็กหนุ่มคิดอย่างคนมองโลกในแง่ดี
มินกยูคงจะเดินตรงเข้าสู่หอพักของเขาไปแล้ว
ถ้าดวงตาสีดำสนิทไม่บังเอิญกวาดตาไปเห็นบ้านหลังนั้นซะก่อน
เขาสังเกตเห็นมันทันทีที่เลี้ยวเข้าสู่ถนนเส้นใหม่อันเป็นทางแยก
ถนนเส้นซ้ายมือที่ปูด้วยหินตรงเข้าสู่ใจกลางของหมู่บ้านอันเป็นจุดหมายของเขา
ส่วนทางขวา... ถนนเส้นเล็กนั้นทอดยาวไปยังเนินเขา
ที่สุดสายของถนนเส้นนั้นมีบ้านสไตล์ยุโรป 2 หลังตั้งอยู่คู่กัน
ตัวบ้านหลังแรกทำจากอิฐบล็อกสีขาวสะอาดตัดกับหลังคาสีน้ำเงินเข้ม
ในขณะที่อีกหลังเป็นอิฐบล็อกสีน้ำตาลและหลังคาสีเทา
ทั้งคู่มีสนามหญ้าหน้าบ้านสีเขียวขจีล้อมรอบโดยมีต้นไม้ใหญ่และเนินเขาเป็นฉากหลัง
มินกยูเลือกถนนทางด้านขวาอย่างไม่ลังเล
เด็กหนุ่มใฝ่ฝันอยากเป็นสถาปนิกมาตั้งแต่เด็ก
ดังนั้นบ้านสไตล์ยุโรป 2 หลังที่ตั้งอยู่ในเมืองเล็ก
ๆที่มีแต่บ้านทรงเกาหลีจึงเป็นอะไรที่ดึงดูดเขาได้เป็นอย่างมาก
มาก... จนน่าประหลาด
ท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงทำให้แสงไฟจากถนนค่อยๆสว่างขึ้นทีละนิด
เช่นเดียวกับหน้าต่างของบ้านทั้ง 2 หลังที่เริ่มมีแสงสว่างอย่างอบอุ่นเช่นกัน
มินกยูมองรั้วสีขาวเตี้ยๆที่กั้นระหว่างเขากับบ้านทั้ง
2 หลังนั่นอย่างลังเล
จะถือว่าเป็นการบุกรุกรึเปล่านะ?
ทว่ารู้ตัวอีกทีเด็กหนุ่มก็พบว่าตัวเองเปิดประตูรั้วเข้าไปซะแล้ว
โดยไม่มีเหตุผล อยู่
ๆบรรยากาศรอบตัวของเขาก็เย็นเยือกขึ้นมาอย่างกะทันหัน มินกยูขมวดคิ้ว
อะไรบางอย่างบอกว่าเขาควรจะหันหลังกลับไปซะ
หากแรงดึงดูดนั้นมีมากกว่า...
เขาก้าวเท้าเข้าหาบ้านหลังสีขาวช้า ๆ
ดวงตาคมจับจ้องไปยังตัวบ้านราวกับต้องการเก็บทุกรายระเอียด เด็กหนุ่มไม่กล้าเสี่ยงที่จะเคาะประตู
ดังนั้นจึงทำแค่เดินดูรอบ ๆบ้านเท่านั้น
มือเรียวกำลังเอื้อมไปหยิบสมุดบันทึกในกระเป๋าเป้เมื่อเท้าของเขาเหยียบลงไปบนอะไรบางอย่าง
ความเจ็บแปลบที่พุ่งเข้าอย่างรวดเร็วทำให้มินกยูต้องนิ่วหน้า
ดวงตาคมค่อยๆเหลือบมองไปยังรองเท้าผ้าใบสีขาวที่บัดนี้กลายเป็นสีแดงจากเศษกระจกอันใหญ่ที่วางอยู่ใต้เท้าของเขาเอง
กลิ่นคาวเลือดเริ่มทำให้เด็กหนุ่มเวียนหัว
ก่อนทิ้งตัวลงกับพื้นหญ้าด้วยหวังบรรเทาอาการที่เกิดขึ้น
รวมทั้งเพื่อรวบรวมสติของตัวเอง แม้ในใจจะกำลังสบถอย่างดุเดือด
ใครเอาของแบบนี้มาวางไว้แถวนี้กันนะ
มินกยูนิ่วหน้ายามก้มลงมองรองเท้า
และเพราะกำลังจดจ่ออยู่กับบาดแผลของตัวเองทำให้เด็กหนุ่มไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ามีใครบางคนกำลังยืนอยู่ด้านหลังเขา
ก่อนที่อะไรบางอย่างซึ่งบางทีอาจจะเป็นสัญชาตญาณเขาเองจะทำงาน
ใบหน้าคมเงยขึ้นอย่างช้า ๆ แล้วต้องชะงักงันไปคล้ายถูกสาปให้เป็นหิน
ชั่วขณะหนึ่งที่ทำให้รู้สึกราวกับโลกหยุดหมุน
เพียงเสี้ยววินาทีเดียวที่เขาสบกับดวงตาสีแดงเจิดจ้าคู่นั้น
มินกยูรับรู้ได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรงในตัวของเขาเอง
ก่อนที่ทุกอย่างจะกระจัดกระจายออกไปด้วยแรงกระชากจากคนตรงหน้า
ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ต้นคอคือสิ่งเดียวที่ชัดเจนก่อนที่สติของเด็กหนุ่มจะหลุดลอยออกไป
ทิ้งไว้เพียงดวงตาสีแดงคู่นั้นให้ประทับอยู่ในความทรงจำเท่านั้น...
“แล้วทีนี้จะทำยังไงดีล่ะ”
“ยังไงก็ต้องรอให้ฟื้นก่อนล่ะน่า”
“แน่ใจนะคะว่าเขาจะไม่เป็นอะไร?”
“ไม่รู้สิ”
มินกยูรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นรายล้อมรอบตัวเขา
หากร่างกายของเขาหนักอึ้งจนไม่สามารถขยับตัวได้ รู้สึกปวดร้าวตามต้นคอและไหล่ไปหมด
รวมไปถึงยังคงมีความง่วงงุนและมึนงงที่ครอบงำสติของเด็กหนุ่มอยู่จนนึกอยากจะให้เสียงที่น่ารำคาญเหล่านี้หายไปได้แล้ว
มินกยูขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด
ทุกเสียงเงียบลงไปอย่างรวดเร็ว หากเด็กหนุ่มก็ยังไม่อยากลืมตาขึ้นมาแต่อย่างใด
ทุกอย่างล้วนแต่พร่ามัว เขานึกไม่ออกเลยสักนิดว่าเขาอยู่ที่ไหน หรือไปทำอะไรมา
มีแต่ความมึนงงและเจ็บปวดเต็มไปหมด
“มินกยู...”
เสียงอ่อนโยนของใครคนหนึ่งเรียกชื่อเขา
เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นในทันที
เพดานสีขาวคือสิ่งแรกที่มองเห็น
ก่อนจะตามมาด้วยใบหน้าของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชะโงกมองมาอย่างเป็นห่วง
ดวงตาสีทองคู่นั้นเป็นประกายเจิดจ้า
มินกยูสะดุ้งก่อนลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว
เรียกให้คนที่ก้มมองอยู่ต้องถอยออกไปเล็กน้อย
ความทรงจำทุกอย่างหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเขาราวกับสายน้ำ
เด็กหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบตัวอย่างหวาดระแวง
แล้วเขาก็ต้องอ้าปากค้าง
เขากำลังนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวในห้องนั่งเล่น แสงไฟสว่างอันอบอุ่นตัดกับความมืดมิดจากภายนอกหน้าต่างสาดส่องไปทั่วเผยให้เห็นคนแปลกหน้าหลากหลายที่กำลังจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียว
โดยเฉพาะชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีทองที่อยู่ติดกับเขามากที่สุด
ใบหน้าหล่อเหลานั่นมีร่องรอยความเป็นห่วงอยู่อย่างเห็นได้ชัด ถัดจากผู้ชายคนนั้นก็เป็นหญิงสาวร่างสูงโปร่ง
เส้นผมสีน้ำตาลแกมเทายาวคลอเคลียใบหน้าสวยจัดได้รูปนั่น
หากดวงตาสีสนิมที่มองมาด้วยสายตาแทงทะลุนั้นทำให้มินกยูอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ
ด้านข้างของผู้หญิงคนนั้นเป็นเด็กสาวอีกคนที่เห็นได้ชัดว่าอายุน้อยกว่า เธอกำลังมองมาที่เขาพร้อมกับพันผมที่ยาวจรดเอวของตัวเองเล่นไปมาอย่างเป็นกังวล
ปีกบางใสทว่าสวยงามโผล่ออกมาจากด้านหลังของเด็กสาว (มินกยูอ้าปากค้างอีกครั้ง)
เขาหันไปทางซ้ายมือของตัวเอง
คราวนี้เขาสบตากับดวงตาสีดำสนิทราวกับคืนเดือนมืดของเด็กหนุ่มอีกคน
ดวงหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักมองมาที่เขาอย่างสนใจ และถัดจากคนคนนี้...
ร่างโปร่งใสของผู้ชายคนหนึ่งก็กำลังจ้องมาที่มินกยูอีกเช่นกัน
“นายเป็นไงบ้าง” ร่างโปร่งใสเอ่ยกับเขา
มินกยูตัวแข็งทื่อ
“ฉันว่าเขาช็อกไปแล้วนะคะ” จากด้านขวา
เขาได้ยินเด็กสาวที่มีปีกว่า
มือของใครคนหนึ่งปัดผ่านใบหน้าเขาไปมาราวกับต้องการเรียกสติ
“ใจเย็นก่อนนะ ไม่มีใครทำอะไรนายหรอก”
ผู้ชายที่นั่งติดกับเด็กหนุ่มนั่นเอง มินกยูมองตามมือนั่นอย่างงุนงง
“ฉันชื่ออารอน... กวัก อารอน” ชายหนุ่มแนะนำตัว “ฉันเป็นคนทำแผลให้นายเอง”
ว่าแล้วก็ชี้ไปทางด้านขวามือของตัวเอง
“นี่ คัง เยบิน”
“เบ ซองยอน” เด็กสาวมีปีกส่งยิ้มจืดๆให้เขา
“ชเว เวอร์นอน”
มือของชายหนุ่มชี้ไปยังเด็กหนุ่มด้านซ้ายมือ
“ควอน ซูนยอง” ร่างโปร่งใสโบกมือให้มินกยู
“และ...” คราวนี้อารอนชี้มือไปยังโซฟาฝั่งตรงข้ามของเด็กหนุ่ม
“นั่น จอน วอนอู”
ถ้าสิ่งที่ผ่านมาทำให้เด็กหนุ่มกำลังช็อกแล้วล่ะก็
คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็อาจทำให้เขาตกใจจนตายได้เลยทีเดียว
เลือดในกายของมินกยูเย็นเฉียบเมื่อสบกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่เขามั่นใจว่ามันเคยเป็นสีแดงมาก่อน
ผิวของผู้ชายคนนั้นขาวจนซีดตัดกับเส้นผมสีดำสนิทที่ปรกบนใบหน้าได้รูปที่เรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดใดออกมา
ต้นคอของมินกยูเจ็บแปลบขึ้นมาอีกครั้ง
อารอนกระแอมออกมาเบา ๆ
“เอาล่ะ... เอ่อ
ก่อนอื่นเลยพวกเราก็ต้องของโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับนายด้วย”
“พวกคุณไม่ใช่คน” เด็กหนุ่มสวนขึ้นมาอย่างลืมตัวพร้อมกับขยับถอยหลังจนชิดพนักพิงของโซฟา
“นั่นมันคำพูดที่เจ็บปวดมากเลยนะ” ผี...
ที่ชื่อควอน ซูนยอง(?)พึมพำ
“จะว่าไปก็คงใช่” อารอนดึงบทสนทนากลับมาอีกครั้ง
“แต่ไม่ต้องห่วง พวกเราไม่ทำอะไรนายหรอก”
มือของมินกยูยกขึ้นจับที่ต้นคอของตัวเองอัตโนมัติ
มันมีผ้าก๊อซขนาดใหญ่แปะอยู่
“นั่นมันเป็นเหตุสุดวิสัยค่ะ” ซองยอนรีบอธิบาย
“คือการที่คุณโผล่เข้ามาในบ้านพร้อมกับเลือดชุ่มขนาดนั้นมันทำให้พี่วอนอูที่ไม่ได้กินอะไรมาเกือบอาทิตย์ขาดสติ...”
เด็กหนุ่มหันไปมองฝั่งตรงข้ามของตัวเองอีกครั้ง
“แวมไพร์...” เสียงของเขาสั่นจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขายหน้าเบาๆ
ก่อนที่ดวงตาสีดำสนิทจะเบิกกว้างขึ้น “แล้วนี่ผมจะกลายเป็นแวมไพร์ใช่ไหม?”
“ไม่ ไม่ครับ” เด็กหนุ่มด้านข้างเขาว่า
(เวอร์นอน...?) ก่อนที่มินกยูจะสติแตกไปมากกว่านี้
“นายจะกลายเป็นแวมไพร์ก็ต่อเมื่อถูกดูดเลือดจนหมดตัวแล้วได้รับเลือดจากแวมไพร์ที่ดื่มเลือดของนายเข้าไป”
มินกยูตบหน้าตัวเอง เขาต้องกำลังฝันอยู่แน่ ๆ
“นายไม่ได้ฝันอยู่หรอกนะ”
อารอนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ “แต่ฉันขอรับรองอีกครั้งว่ามันจะไม่เป็นไร”
“งั้น... งั้นพวกคุณต้องการอะไร
ทำไมไม่ปล่อยผมไปเฉยๆก็ได้นี่”
“จริง ๆไม่ใช่พวกเราทุกคนหรอกที่ต้องการอะไรจากนาย”
ซูนยองเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งเรียกให้เด็กหนุ่มต้องสะดุ้ง คราวนี้ดวงตาชี้ๆเหล่ไปยังเพื่อนร่วมบ้านอีกคนราวกับต้องการให้เจ้าตัวเป็นคนพูด
ซึ่งคนถูกมองก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนยอมปริปากออกมา
“แต่ฉันต้องการนาย” น้ำเสียงนุ่มทุ้มนั้นว่า
มินกยูมองวอนอูด้วยสายตามึนงง
“เพราะว่าตอนนี้นายกลายเป็นโดเนอร์(Donor)ของฉัน”
“โดเนอร์...”
เด็กหนุ่มพึมพำตามด้วยน้ำเสียงกระซิบ
“คืออย่างนี้นะ...” อารอนเริ่มต้นอธิบายอีกครั้ง
“มันเป็นกฎ... ถ้านายเป็นแวมไพร์แล้วต้องการดื่มเลือดของมนุษย์
คนที่ถูกนายกัดคนนั้นต้องตายหรือไม่ก็ต้องถูกเปลี่ยนให้เป็นแวมไพร์
ไม่อย่างนั้นแล้วนายจะไม่สามารถดื่มเลือดของมนุษย์หรืออมนุษย์คนอื่นได้อีก”
“...”
“นอกจากมนุษย์คนนั้นเพียงคนเดียวเท่านั้น”
มินกยูคิดว่าตัวเองกำลังช็อกอีกครั้ง
“แผลที่คอของนาย มันเป็นแผลต้องคำสาปที่ฉันรักษาไม่ได้เหมือนแผลที่เท้าของนาย
เพราะอย่างนั้นมินกยู... วอนอูเลยต้องการนายยังไงล่ะ”
“...”
“ตอนนี้วอนอูไม่สามารถดื่มเลือดของคนอื่นได้อีกแล้ว”
“นั่นมันไม่เกี่ยวกับผมเลยนะ”
เด็กหนุ่มหาเสียงของตัวเองเจอได้ในที่สุด มินกยูสูดหายใจเข้าลึกๆ
พยายามไม่แสดงความกราดเกรี้ยวออกไปในน้ำเสียง
“ที่ผมเลือดออกเยอะขนาดนั้นก็เพราะเศษกระจกบ้าๆในบ้านของพวกคุณไง”
นี่มันเรื่องบ้าบอที่สุดที่เขาเคยได้ยินมาทีเดียว
“กระจกนั่นมันเป็นของฉันเองค่ะ”ซองยอนเอ่ยขึ้นมาเบาๆ
เด็กสาวมองมาที่เขาคล้ายกับกำลังจะร้องไห้เต็มที “ฉันกำลังทำงานศิลปะ...”
“แต่เอาจริง ๆแล้ว
นายก็เป็นฝ่ายบุกรุกเข้ามาในบ้านหลังนี้เองนะ” วอนอูพึมพำ
และคราวนี้คนฟังก็เถียงไม่ออก
“เอ่อ... เอาเป็นว่าวันนี้นายนอนพักที่นี่ก่อน
แล้วพรุ่งนี้เราจะมาคุยเรื่องนี้กันอีกครั้งนะ” อารอนพูดพร้อมกับมองนาฬิกาไปด้วย
“จริงสิ... ผมต้องเข้าหอพัก”
มินกยูลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มเพิ่งนึกออกว่าใกล้จะเลยเวลาที่หอพักของเขาปิดเต็มที่แล้ว
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก
ฉันโทรไปบอกแล้วว่านายปลอดภัยดีและจะยังไม่เข้าหอพัก”
น้ำเสียงของหญิงสาวที่นั่งเงียบมาตลอดดังขึ้น ทำเอาคนฟังสะดุ้งเล็กน้อย
“พวกเขาไม่เชื่อคุณหรอก”
“ทำไมจะไม่เชื่อล่ะ ก็ฉันเป็นครูที่นั่นนะ”
น้ำเสียงราบเรียบนั่นทำเอาคนฟังพูดไม่ออก อารอนกดตัวเขาให้นั่งลงบนโซฟาอีกครั้ง
“งั้นก็ไม่มีปัญหาแล้วนะ ฉันเตรียมห้องให้นายแล้วล่ะ”
สมาชิกทุกคนขยับตัวเพื่อกลับไปยังห้องตัวเองเมื่อเห็นว่าเรื่องทุกอย่างน่าจะจบลงด้วยดี
หากคนเป็นแขกยังคงนั่งนิ่ง
“คุณเป็นครูที่โรงเรียน...” มินกยูคราง
“แปลกใจตรงไหนล่ะ อารอนก็เป็นหมอของที่นี่
วอนอูเป็นบรรณารักษ์ของห้องสมุดประจำเมือง
เวอร์นอนกับซองยอนก็เป็นนักเรียนที่เดียวกับนายนั่นแหละ”
ดวงตาคมกระพริบอย่างอับจนคำพูด
เขายังคงคิดอะไรไม่ออกอยู่เมื่อร่างโปร่งใสของซูนยองลอยมาหาพร้อมกับน้ำเสียงขบขันเล็กน้อยยามกล่าวกับเด็กหนุ่ม
“ยินดีต้อนรับสู่ vanilla twilight นะ คิม มินกยู”
TBC.
คิม มินกยู >>
มนุษย์ >>
นักเรียนมัธยมปลายปีสุดท้าย |
ปล. ในที่สุดเราก็เล่นทวิตเตอร์เป็นแล้ว >< เพราะแบบนั้น นิยายเรื่องนี้เลยมีแทคแล้วนะคะ แวะไปพูดคุยกันได้ที่ #MianamiFanfic ค่ะ
ความคิดเห็น