ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Gintama fanfic) Cannot fly away Yaoi

    ลำดับตอนที่ #14 : Chapter 12

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.ย. 55


    Chapter 12

     

                   วันนี้ยังคงเป็นวันที่เงียบสงบ ไร้เสียงกรีดร้อง เสียงระเบิด มีเพียงเสียงความวุ่นวายของคนตีกันธรรมดาตามข้างถนนเท่านั้น


                   คาซึระมองจากหน้าต่างนวัตกรรมต่างแดนนาม เครื่องบิน ลงมองพื้นด้านล่าง บอกลาคาบุกิโจเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะย้ายที่อยู่อย่างเป็นทางการ หรือ ถ้าพูดให้ถูก คือ จะหนีปัญหาจากความวุ่นวายทั้งหลายไปสักพัก ซึ่งไม่รู้ว่าการพักร้อนนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่


                   บางทีอาจจะ...อีกนาน


                   ก็เขาเบื่อเกาะทางใต้เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ!


                   “ไปลันล้ากันเถอะอลิซาเบธ!


                   เป็ดสีขาวใส่แว่นกันแดดยกป้ายยิ้มแฉ่งให้ ก่อนจะลากกระเป๋าไปยังจุดเช็คอินของสนามบิน ส่วนคนสวยของเราก็เดินตามไปติด ๆ ส่งรอยยิ้มราวกับโปรยเสน่ห์ไปทั่ว จนหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ต้องเผลอมองไปตาม ๆ กัน จนลืมสังเกตบริเวณหน้าอกของเขาไปเสียสนิท


                   เอ่อ...มันควรจะ...เรียกว่าอะไรดีล่ะ


                   ยัดซิลิโคนดี ๆ สิครับคนสวย... เดี๋ยวเขารู้หมดว่าเป็นผู้ชายน่ะ เฮ้อ


                   อย่าลืมว่า อย่างไรซะ เขาก็เป็นผู้ถูกประกาศจับ ทางที่ดี เนียน ๆ ซะหน่อยก็ดี


                   แต่ไอ้พวกเนียน อย่างมาต่อแถวข้างหลังนี่แล้วแต๊ะอั๋งก็ไม่ไหว!


                   คาซึระมองตาลุงหัวขาวฟูฟ่องที่ซ่อนหน้าตาตัวเองไว้ใต้แว่นกันแดดอย่างหงุดหงิด ทว่า สิ่งที่ได้รับกลับมากลับเป็นเพียงรอยยิ้มกวน ๆ และมือสองข้างที่ยกขึ้นพร้อมยักไหล่ ประมาณว่า ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย อย่างหน้าด้าน ถ้าไม่ติดว่าเขาไม่อยากมีปัญหาก่อนได้ไปเที่ยวละก็จะจับหมอนี่สั่งสอนซะหน่อย แต่... เหอะ ช่างมันเหอะ ให้จับนิดจับหน่อย ไม่ถึงกับสึกหรออะไรหรอก


                        ยังไงก็ตัวผู้เหมือนกันละวะ!


                   คาซึระเมิน ๆ ตาลุงโรคจิตแล้วเข้าไปเช็คอิน ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คนข้างหลังพยายามแกล้งเขาหรือเรียกร้องความสนใจเพื่ออะไรก็ไม่รู้อยู่ตลอด แต่เขาว่ากันว่า ถ้าไม่สนใจ คนโรคจิตก็จะหยุดไปเอง คนสวยจึงได้แต่พยายามนับหนึ่งถึงสิบ นับแกะถึงร้อยเก้าสิบ กับไก่อีกเก้าร้อยเก้าสิบ เพื่อเมินตาลุงนี่ ผู้พยายามใช้มือปัดให้เฉียดบั้นท้ายเขาให้มากที่สุด


                   ตั้งแต่แอบชอบเพื่อนตัวเองก็พบแต่คนประเภทนี้มากหน้าหลายตา...อย่างนี้เขาเรียกกรรมตามสนองรึเปล่า(วะ)


                   ไม่น่าจะใช้ในความหมายนี้มั้ง...



     


                   คาซึระเช็คอินเสร็จแล้วก็ไปนั่งรอที่คอฟฟี่ช็อปแถวนั้น สั่งคัพเค้กกับกาแฟมากินอย่างสบายใจ อลิซาเบธเองก็กินลาเต้มีลาเต้อาร์ตรูปเป็ดอยู่ข้างบน แถมขนตางอนเฟี้ยวเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าบาริสต้าต้องการจะล้อเลียนหรือเกิดความผิดพลาดขณะทำกันแน่ ทว่า เป็ดตัวจริงกลับดูยินดีเป็นพิเศษ ถึงขั้นถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ทำท่าดี๊ด๊าจนคนแถวนั้นต้องแอบเหลียวกลับมามองอย่างหวาด ๆ


                   คาซึระไม่ได้สนใจสายตาผู้อื่น นั่งจัดการธุระของตัวเองอย่างเรื่อยเฉื่อย มองเวลาที่นาฬิกาเรือนใหญ่ริมห้องเป็นพัก ๆ และนั่น...ทำให้เขาสังเกตว่า นอกจากคนที่มองพวกเขาอย่างประหลาด ๆ นั้น ยังมีอีกคนหนึ่งที่แปลกออกไป


                   คน ๆ นั้นนั่งห่างออกไปไม่มาก สวมแว่นกันแดดพร้อมอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจ อยากถามเหมือนกันว่าทำไมถึงมาใส่เอาตอนอยู่ในที่ร่ม หรือแค่เก๊กหล่อ... ไม่หรอกม้าง... หวังว่าคงไม่ใช่นะ


                   ไม่รู้สิ มันน่าหงุดหงิดนะถ้าเป็นอย่างงั้น


                   แถมที่สำคัญ ไอ้แว่นกันแดดอันนั้นก็ชอบเหลียวมาทางนี่บ่อย ๆ ด้วย ไม่รู้พยายามจะแผ่ออร่ามาให้ถึงหรือแค่อวดเฉย ๆ กันแน่ แถวนี้ไม่เห็นมีผู้หญิงสักคน ถ้าอยากจะม่อก็เลือกสถานที่ดี ๆ หน่อย อย่างสนามบินนี่คงไม่เหมาะมั้ง สาวที่ไหนเขาจะสนใจคนบุคลิกเหมือนโรคจิตอย่างงี้ล่ะ


                   อา...แต่จะว่าไป นอกจากแว่นกันแดดกับหนังสือพิมพ์แล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรผิดแปลก อาจจะเรียกได้ว่า เป็นผู้ชายที่ดูดีมาก ๆ คนหนึ่งเลยก็ได้มั้ง


                   ดูเท่แบบซาดิสม์หน่อย ๆ คุ้น ๆ เหมือนใครบางคนที่เขาทิ้งมาจริง ๆ


                   เห็นแบบนี้... สมน้ำหน้าหมอนั่น! ไม่กลับไปแล้ว ไม่สนใจอะไรแล้วด้วย เขาจะไปเที่ยว ไปเที่ยว ไม่สนใจไอ้คนที่นอนแบ่บอยู่บนเตียงเด็ดขาด!


                        คาซึระก้มหน้าสั่งตัวเองซ้ำ ๆ ก่อนจะถูกอลิซาเบธสะกิดจึงฉีกยิ้มให้ ลบเรื่องของคนที่เขาทิ้งไว้ข้างหลังทันที ทุ่มเทความสนใจทั้งหมดให้กับลาเต้กับลาเต้อาร์ตที่อลิซาเบธสั่งมาเป็นรอบที่สอง คราวนี้น่าขนลุกกว่าเดิม เหมือนเอาแก้วแรกเป็นหัวแล้วแก้วนี้เป็นตัว...ใส่กระโปรงสั้นโชว์ขนหน้าแข้งให้ชาวบ้านเขาขนลุกเล่น ๆ


                   แต่นั่นแหละ อลิซาเบธถูกใจอยู่ดี


                   ไม่ถึงสิบวินาทีถัดมา ใน -ตื๊ด-บุ๊ก ก็มีภาพแท็กมาให้เขาเป็นไอ้เป็ดทั้งหัวทั้งตัว คาซึระได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ขณะมองคอมเมนท์ที่เข้ามาอย่างรวดเร็วถึงความ “น่าขนลุก”


                   ไม่นะ อลิซาเบธน่ารักจะตาย แค่คราวนี้ มันเกินไปหน่อย...เท่านั้นเอง...


                   เพียงแค่ชั่วขณะที่เขาหันไปสนใจ –ตื๊ด-บุ๊ก ผู้ชายที่แอบมองเขาอยู่เมื่อครู่ก็เดินออกไปจากร้าน


                   ก่อนจะถอดแว่นออก มองที่หน้าจอแสดงเวลาขึ้นเครื่อง ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดส่งเมล


                   อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมง ฉันชนะ


                   ยังไม่ทันจะเก็บมือถือลงไป เมลตอบก็เข้ามาทันที


                   ของแบบนั้นก็ไม่แน่...ยังไม่เห็นที่นั่งไม่หลั่งน้ำตา


                   ชายหนุ่มยิ้ม ก่อนจะทำเป็นไม่สนใจ ปิดมือถือ แล้วไปนั่งรอขึ้นเครื่องที่เกท โดยไม่ลืมเอาแว่นตากลับมาสวมแล้วซ่อนตัวเองต่อไป





     

                   ในที่สุดก็ถึงเวลาเดินทาง คาซึระมองเอโดะเป็นครั้งสุดท้ายด้วยอารมณ์หลากหลาย บอกตัวเองว่าไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่จะได้มาที่นี่... แค่ไปลันล้าเท่านั้นเอง คิดอะไรมาก แต่ก็...รู้สึกเหงา ๆ ขึ้นมาซะเฉย ๆ เพราะอะไรก็ไม่รู้...


                   ทันใดนั้น มือ ๆ หนึ่งซึ่งลอดมาผ่านที่นั่งด้านหลังจับไหล่เขาไว้จนอารมณ์ซึ้งหดหาย


                   ตาลุงโรคจิตนี่!


                        “ช่วยปล่อย...ด้วยค่ะ” เขายังไม่ลืมหรอกนะว่าตัวเองอยู่ในชุดผู้หญิง อย่าทำอะไรให้เสียงดังจะดีกว่า ทำได้แค่หันไปมองตาลุงโรคจิตตาขวาง อย่างเปิดเผยและทำให้เขาได้สบตามันตรง ๆ เป็นครั้งแรก


                   ตาสีแดงเหมือนปลาตาย


                   “กินโทกิ!” คาซึระมองด้านซ้ายซึ่งเป็นอลิซาเบธ ด้านขวาซึ่งเป็นหนุ่มหัวทองที่ไหนไม่รู้ ก่อนจะเหลียวหลังไปกระซิบแบบดุ ๆ


                   “มาได้ไง”


                   “ขึ้นเครื่องบินแล้วเดินขึ้นมา”


                   “...” ถึงไม่ได้เจอกันสักพัก แต่ไอ้ความกวนส้นยังไม่หายตามกาลเวลา คาซึระได้แต่ฮึดฮัด ก่อนจะถอนหายใจเมื่อเหลียวไปมองรอบข้างแล้วไม่เห็น อีกคน


                   “แกมาคนเดียวใช่มั้ย หมอนั่นไม่ได้มาด้วยใช่รึเปล่า”


                   กินโทกิมองคนสวยถามย้ำเพื่อความแน่ใจ ดวงตาเริ่มปรากฏความลังเลอีกครั้งจึงไม่ยอมตอบให้ชัด เพียงแค่ยักไหล่ และบอกว่า “ไม่รู้”


                   คาซึระถึงขั้นนั่งไม่ติดที่เลยทีเดียว


                   ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นอารมณ์ไหนกันแน่ ระหว่าง กลัว ดีใจ ตกใจ หรือลังเล... พูดจริง ๆ นะ ที่เขาหนีออกมานี่กะจะลบทุกอย่างทิ้ง ลืม
    ว่าตัวเองเคยคบกับใคร เคยชอบใคร แล้วกลับมานับหนึ่งใหม่อีกครั้ง บางทีอาจจะได้คนรักใหม่ในต่างแดนหรืออะไรสักอย่างก็ได้ แต่...อยู่ดี ๆ หนึ่งในคนที่อยากหนีให้พ้น ๆ ดันมาอยู่บนเครื่องบินลำเดียวกัน ตำแหน่งข้างหลังเขาพอดีอีกต่างหาก...ทริปนี้ชักไม่สนุกแล้วนะ


                   เอาเหอะ เขาจะมองโลกในแง่ดี อย่างน้อยที่สุดกินโทกิก็ยังเอาใจเขามากกว่าอีกคน ถ้ายอมตามมาแล้วจะใช้เป็นเบ๊แบกของให้เต็มที่ คอยดูสิ!


                        จังหวะนั้นเอง หนุ่มหัวทองข้าง ๆ ก็หันไปคุยกับใครสักคนที่เดินมา เขาฟังภาษาชาวสวรรค์ไม่ออก ไม่แน่ใจว่าคุยอะไรกัน แต่หลังจากนั้น คนข้าง ๆ ก็ลุกไปนั่งที่ใหม่ แล้วคนอีกคนหนึ่งมานั่งแทน


                   อ๋อ...สลับที่นั่งกันสินะ


                   คาซึระหันไปมองสักหน่อย ก่อนจะชะงักเมื่อพบว่าเป็นคนที่อยู่ในคอฟฟี่ช็อป นึกในใจว่า บังเอิญเกินไปหรือเปล่า ก่อนจะค้าง... เมื่อเขาคนนั้นส่งยิ้มให้...อย่างมีเอกลักษณ์ โน้มหน้าเข้ามา เหลียวมองกินโทกิผ่านช่องว่างระหว่างเบาะ แล้วบีบกรามคาซึระเข้ามาจูบ


                   คนสวยช็อกค้าง ไอ้นี่มันเป็นบ้าอะไรกันวะ!?!



                        ถ้าคุณมีสมองไวกว่าเขา คุณคงตอบได้ใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นต่อไป


                   ผู้ชายคนนั้นถอดแว่นกันแดดออก ฉีกยิ้มกว้างให้เขา พร้อมกับประกาศด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม


                   “ฉันชนะ”


                   ทาคาสึกิ!



                        เอาล่ะ... ทั้งสองคนที่เขาหนีมาพร้อมใจมาขึ้นเครื่องบินลำเดียวกัน ซวยไปมั้ยครับ

     




                        บรรยากาศในเครื่องเป็นไปอย่างมาคุ คาซึระตั้งใจหุบปากสนิท หันไปคุยกับอลิซาเบธบ้างเป็นครั้งคราว ส่วนเวลาที่เหลือ ถ้าไม่นอนก็ทุ่มความสนใจทั้งหมดให้หูฟัง ทั้งหนังในเครื่อง ทั้งเพลงที่พกมาเอง ทำทุกทางเพื่อไม่ต้องหันไปสนใจส่วนเกินสองคนที่ติดสอยห้อยตามมาเหมือนปลิง แม้ว่าทั้งคู่นั้นจะพยายามหาเรื่องให้เขาสนใจมากเท่าไหร่ก็ตาม


                   อย่างกินโทกิ...พยายามเอาขนมมาแบ่งเขาตลอด แนว ๆ ยัดเยียดให้รับไปแล้วก็หันมาคุยซะที ส่วนอีกคนนึง... ตรงกันข้าม พยายามให้แย่งของกินเขาตลอด ตอนแอร์โฮสเตสเอามาเสิร์ฟก็จะพูดประมาณว่า เขากำลังลดความอ้วน ไม่รับอาหารมื้อนั้น อะไรประมาณนั้น...จนตอนนี้กระเพาะเขาร้องโครกครากอย่างน่าอาย...


                   และสุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายแพ้ หันกลับไปสบถใส่คนนั่งข้าง ๆ อย่างหงุดหงิดว่า “ต้องการอะไร” และได้รับคำตอบกลับมาสั้น ๆ ว่า
    “แก” จนทำหน้าไม่ถูก ทำได้เพียงก้มหน้าทนกระเพาะร้องโครกครากต่อไปเท่านั้น


                   ไม่ทันไร เค้กก้อนเล็ก ๆ ก็ถูกป้อนถึงปาก... เปล่า ไม่ใช่โดยฝีมือผู้ก่อสงครามเย็นข้าง ๆ แต่มาจากอลิซาเบธต่างหาก


                   และ...พูดต่อให้จบ มาจากหนึ่งในผู้ก่อสงครามเย็นที่นั่งด้านหลังซึ่งยัดเค้กส่งผ่านมืออลิซาเบธให้ไปถึงเจ้าตัวนั่นเอง


                   “ถามจริงเหอะ พวกแกสองคนจะทำอย่างงี้ไปถึงเมื่อไหร่” คาซึระเริ่มทนไม่ไหว จนในที่สุดก็ตัดใจถามตรง ๆ ส่วนคำตอบที่ได้รับ... กลับเป็นยิ้มตามแนวของตัวเองของทาคาสึกิ ส่วนกินโทกิก็ยักไหล่ ทำหน้าตาย ๆ แต่ตามมาด้วยประโยคเอาแต่ใจ “จนกว่าแกจะเลือกฉัน” ทำให้อีกคนนึงกระชากแขนเขาเข้าหาตัวทันทีเพื่อกีดกัน ส่วนคนตรงกลางได้แต่ทำหน้าลำบากใจ มองประกายไฟเปรี๊ยะ ๆ ของทั้งคู่ แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่


                   “ถ้างั้น ถ้าฉันไม่เลือกพวกแกทั้งคู่ พวกแกจะยอมหยุดมั้ย” เขาพยายามดึงแขนตัวเองออกจากทาคาสึกิที่ทำท่าทางพร้อมใช้ความรุนแรงได้ทุกเมื่อหากคำตอบไม่ถูกใจ อุตส่าห์คิดว่าจะอ่อนโยนลงหลังจากระเบิดครั้งนั้น ซึ่งหมอนั่นดูท่าทางแปลกไปจนคิดว่าอาจจะไม่ใช่คนเดิม ไม่ใช่อย่างที่เคยชอบ... แต่บางทีคงคาดหวังมากเกินไป


                   สุดท้ายผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม... ตัดใจจากใครไม่ได้สักคน


                   “ซึระ ยังไงแกก็เป็นของฉัน เป็นของที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่ให้หนี เพราะฉะนั้น อย่าคิดว่าจะหายไปไหนได้...เพราะให้ตายยังไง ของ ๆ ฉัน... มันก็กลับมาหาฉันอยู่ดี” ทาคาสึกิเอ่ยขึ้นมาก่อนด้วยเสียงเรียบแฝงแนวข่มขู่ ก่อนประโยคหลังจะพูดเบาลง พร้อมหันหน้าไปทางอื่นจนเกือบไม่ได้ยิน “แต่... ฉันไม่ได้รังเกียจการใช้ของสำคัญร่วมกับคนอื่นขนาดนั้น”


                   เหมือนเป็นประโยคที่ให้ความหวังคาซึระเต็มที่ ก่อนเขาจะหันกลับไปมองอีกคนหนึ่งซึ่งติดคำตอบเขาอยู่ อีกฝ่ายทำหน้ายุ่ง ๆ ตาปลาตาย ก่อนจะกลอกไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย


                   “ฉันยังไงก็ได้ แค่แกอยู่กับฉันแล้วมีความสุขก็พอ”


                   คาซึระยิ้ม ก่อนจะหลับตาลงเมื่อได้รับคำตอบที่พอใจ เหมือนเป็นคำตอบให้ทั้งคู่ไปด้วยในตัว ทาคาสึกิถึงเริ่มขยับตัวเข้ามาชิดกันมากขึ้น ในขณะที่กินโทกิก็พยายามเจรจากับอลิซาเบธอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้ได้นั่งข้างอีกฝั่งหนึ่งของคาซึระ ทว่า ทั้งหมดนั่นจะหยุดลงทันทีที่ได้ยินประโยคต่อไป


                   “แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันตกลงคบกับพวกแกแล้วนะ” สายตาสองคู่ฉายเครื่องหมายคำถามตัวเบ้อเริ่มอย่างตกใจ ก่อนคาซึระจะฉีกยิ้ม... หวาน ๆ แบบไม่น่ารักสักนิด


                   “ฉันอยากได้คนเอาใจมั่ง... ใครทำได้ก็คบกับคนนั้นนั่นแหละ ฮ่า ๆ โอ๊ย!


                   “ไร้สาระ” ทาคาสึกิดึงแก้มเขาทันทีจนต้องตื่นจากฝัน ในทางกลับกัน กินโทกิกลับไม่ได้ปฏิเสธ พร้อมกับค่อย ๆ ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์


                   “งั้นถ้าฉันชนะ ทิ้งไอ้หมอนี่ไปทันทีเลยนะ” ชายหนุ่มเอ่ยขอ สมองคิดหาวิธีเอาใจคนรัก(ในอนาคต) อย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนเรื่องจะไม่ง่ายอย่างนั้นเมื่อคนที่ไม่สนใจดันถูกสะกิดแผลเก่าขึ้นมา


                   “หึ... กะแค่ไอ้บ้าอย่างซึระ... จะยากสักเท่าไหร่เชียว”


                   สรุปได้ว่า ต่างคนต่างไม่ยอมแพ้...จนคนถูกเอาใจเริ่มอยากกลืนคำพูดลงคอทิ้งไปตะหงิด ๆ


                   มันอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ผิด ที่ขอให้คนงี่เง่าสองคนมาเอาใจตัวเองแบบนี้... ความบ้าของทั้งคู่มันมากขนาดไหน เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน

                   แต่จะว่าไป... สักครั้งที่ได้รับการเอาใจมันก็รู้สึกดีไม่น้อยแฮะ


                   ถึงทั้งสามคนจะทำตัวงี่เง่าไปหน่อย แต่ก็มีความสุขดีนี่นา...




     

                   เพราะรัก...จึงเก็บกัก กับเพราะรัก...จึงปล่อยให้เป็นอิสระ ทางไหนคือทางที่ถูกกันแน่


                   บางที มันอาจจะแล้วแต่กรณี แล้วแต่คน แต่ละตัว ต่างกันไป


                   ไม่ต้องขังไว้ในโหลแก้ว ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจนขาดใจตาย แต่ก็ไม่ต้องปล่อยให้เผชิญกับโลกที่โหดร้ายเพียงลำพัง ไม่ต้องทำลายตัวเองเพื่อรักษาอีกฝ่าย เพียงแค่ดูแลและปกป้องอย่างพอประมาณ แค่นี้ ก็จะไม่มีใครอึดอัด...สำหรับเขา แค่นี้ก็พอแล้ว


                   เพราะสุดท้าย...ที่ ๆ จะกลับมาก็เป็นที่แห่งเดิมอยู่ดี


                   นี่อาจจะเป็นนิยามของคำว่า “ไปไหนไม่รอด” ก็ได้มั้ง


                   คาซึระเอนหัวพิงกับเบาะมนุษย์หัวดำ พร้อมกอดหมอนข้างมนุษย์หัวขาวอีกใบอย่างสบายอารมณ์


                   ไม่จำเป็นต้องหนีใครหรือทิ้งใคร...


                   เพราะเราจะได้อยู่ด้วยกัน...ตราบเท่าทีผีเสื้อยังไม่ตาย ขวดโหลยังไม่แตก หรือผีเสื้อตัวอื่นมาแย่งที่


                   ตอนนี้...แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ


    Fin
    _________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________

    สามคำ
    มัน จบ แล้ว!//ฟิน
    จบแบบมึน ๆ งง ๆ
    นัยหนึ่งคือต่อไม่ได้รึเปล่าก็ไม่รู้ OTL
    แต่พอใจกับตอนจบแบบนี้...ในระดับนึงนะ
    อยากจบเมพ ๆ แต่...ตอนคิดพล็อตมีแต่ตอนต้นไม่มีตอนจบ...เลยได้มาอย่างงี้จ้า =w=;;
    55+

    คอมเมนท์ได้นะคะ
    ตอนนี้พอมาทวนๆ ดู...ได้อะไรจากเรื่องนี้เยอะเหมือนกัน...
    อย่างหลัก ๆ คือ พล็อต...ขึ้นมาด้วย(การเค้น)ความเมพ แต่จบแบบมึน ๆ อึน ๆ ... ถือเป็นความบกพร่องในการคิด = =
    อันนี้ยอมรับผิดแต่โดยดี
    อย่างที่สองคือความน้ำเน่า...
    จริง ๆ แล้ว มีนไม่ดูละครนะ นับเรื่องที่ดูได้เลย = =
    ทำไมออกมาน้ำเน่าก็ไม่รู้...
    ไว้ไปฝึกสกิลดราม่าใหม่แล้วจะกลับมาลองแนวนี้...
    ห่างกันสักพักใหญ่ ๆ จนกว่าจะหายเน่าแล้วกัน 55+

    ตอนนี้จริง ๆ ก็แต่งนิยายอยู่นะ...ไม่น้ำเน่าแล้ว จริงจัง =w= (คิดว่านะ)
    สักวันหนึ่งอาจจะได้มาลงเน็ตใหม่...มั้ง

    สุดท้ายนี้...เนื่องจากเป็นการจบแบบมึน ๆ ...
    บิวต์อารมณ์ขอบคุณได้ไม่สุดแฮะ

    เอาเป็นว่า ขอบคุณที่อ่านกันมาถึงตรงนี้
    อาจจะมีบางครั้งที่เนื้อเรื่อง (และตัวมีนเอง) น่ารำคาญไปบ้าง... ขออภัยอย่างสูงค่ะ m_ _ m
    ถึงแค่เมื่อวาน แต่ก็เป็นเด็กของวันนี้
    คนเราโตขึ้นทุกวัน
    เพราะฉะนั้น ต่อไปจะพยายามปรับปรุงตัวให้มากขึ้นค่ะ 55+

    ขอบคุณ...ทุกอย่าง
    ตั้งแต่ความคิดชั่ววูบ ตัวละคร คนที่คุยด้วยแล้วเอามาจิ้น...
    ไปจนถึงคนที่ต้องขอบคุณมากที่สุด...
    ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ที่อยู่ด้วยกันมาถึงตรงนี้นะคะ >w<b

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×