ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บัญชารักจอมเถื่อน

    ลำดับตอนที่ #46 : บทที่ 10 (5)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.57K
      38
      28 ส.ค. 64

      หลังจากนั่งแท็กซี่ออกจากโรงแรมจนถึงบ้าน อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า หาอะไรทำให้ยุ่งเพื่อลืมเรื่องที่หมุนวนอยู่ในหัว และทั้งๆ ที่พยายามห้ามตัวเองแล้ว แต่เธอก็ยังพาตัวเองกลับมาที่นี่อีกจนได้... 

    บิ๊กไบค์สีดำยังคงจอดอยู่ที่เดิม หลังจากสอบถามพนักงานคนเดิมก็รู้ว่าของที่เธอฝากให้หา ถูกส่งไปที่ห้องเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังอดเป็นห่วงเขาไม่ได้อยู่ดี

     ก่อนหน้านี้เธอด่าตัวเองต่างๆ นาๆ แต่พอมาเห็นสภาพเขาตอนนี้เธอคิดไม่ผิดเลยที่กลับมา... 

    ใบหน้าขาวแดงจัดเพราะพิษไข้ เหงื่อผุดพรายเต็มกรอบหน้า อุณหภูมิร่างกายร้อนจัด ไม่แปลกหรอกที่จะเป็นอย่างนี้ เพราะเขาไม่กินทั้งข้าวและยาที่เธอให้พนักงานซื้อมาให้ 

    หลังจากโทรสั่งให้พนักงานส่งข้าวต้มขึ้นมาใหม่ หญิงสาวก็เดินเข้าห้องน้ำ เปิดน้ำใส่กะละมังที่ขอจากพนักงาน ก่อนจะถือกะละมังกับผ้าขนหนูผืนเล็กมาวางไว้ข้างเตียง ช่วงนี้เธอเคยชินกับการใช้มือข้างเดียวแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ง่ายแลยเมื่อเทียบกับการมือใช้การได้ทั้งสองข้าง

     รัตน์วลีทรุดกายลงนั่งข้างเตียง เอื้อมมือไปกระตุกเชือกที่มัดไว้ที่เอวสอบออก ก่อนจะแหวกชุดคุลมเผยให้ทรวงอกกว้างและกล้ามเนื้อเป็นลอนแน่น ลำคอของเธอแห้งผาก สมองเอาแต่คิดหวนไปถึงเรื่องเมื่อสี่ชั่วโมงก่อนทุกที

    แม้จะรู้ว่าไม่ควรใจสั่นกับเขาอีก แต่เวลาแค่สองชั่วโมง มันไม่อาจทำให้เธอตัดใจจากเขาได้

    หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเริ่มเช็ดตัวให้เขา สีหน้าของเขาดีขึ้นหลังจากที่เช็ดตัวเสร็จ แต่อีกสิบนาทีต่อมาร่างหนาก็เริ่มกระสับกระส่ายอีกครั้ง ตัวของเขาแดงจัด และชื้นเหงื่อไปทั้งตัวจนเธอต้องเช็ดตัวให้เขาอีกรอบ ทว่าครั้งนี้มันไม่ง่ายเหมือนครั้งแรกเพราะคนไข้ที่เธอดูแลกลับลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนที่เธอวางผ้าขนหนูชุบน้ำหมาดลงบนใบหน้าของเขา

    “รัตน์” 

    มือหนายึดข้อมือของเธอไว้ ก่อนที่เสียงทุ้มที่แหบนิดๆ จะหลุดออกมาจากลำคอ ชายหนุ่มนิ่วหน้า หัวที่ปวดจนแทบระเบิดอื้ออึงทำให้ยากเกินกว่าจะคิดอะไรออก

    “ค่ะ รัตน์เอง”

    “ทำไมถึงยังอยู่นี่”

    “ทำไมพี่ไม่กินข้าว กินยาล่ะคะ” รัตน์วลีไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่เลือกที่จะถามกลับไปแทน เธอไม่อยากโกหก แต่ก็ไม่อยากบอกความจริงว่าเธอเป็นห่วงเขาเหมือนกัน 

    “ไปซะ”

    “ปล่อยมือก่อนค่ะ รัตน์จะเช็ดตัวให้”

    “พูดไม่ได้ยินหรือไง”

    “ได้ยินค่ะ”

    “งั้นก็พูดไม่รู้เรื่อง”

    “รู้เรื่องค่ะ แต่ยังไม่ไปตอนนี้ สัญญาถ้าพี่หายป่วย รัตน์จะไปทันที” 

    พูดเองก็เจ็บเอง บ้าชะมัด! ยิ่งมือหนาที่คลายออก เมื่อได้ยินคำพูดของเธอก็ยิ่งทำให้หัวใจบีบรัดอย่างรุนแรง รัตน์วลีสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกพลังใจให้ตัวเองก่อนจะเช็ดตัวให้เขา โดยความยินยอมจากเจ้าตัว... เขาคงอยากหายเร็วๆ เพราะเธอจะได้ไม่อยู่ตรงนี้อีกต่อไป

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก 

    เสียงประตูดังขึ้นอีกครั้งหลังจากเช็ดตัวเสร็จไม่ถึงนาที รัตน์วลีลุกจากเตียงเดินไปที่ประตู แล้วรับข้าวต้มมาจากพนักงานโรงแรม

    “กินข้าวหน่อยนะคะ จะได้กินยา” รัตน์วลีวางถาดที่มีถ้วยข้าวต้มไว้ที่โต๊ะข้างเตียง ช่วยพยุงร่างสูงลุกขึ้นนั่งก่อนจะยกถาดมาวางไว้ที่ตัก หญิงสาวตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าเบาๆ ก่อนจะยื่นไปใกล้ริมฝีปากของคนที่ขมวดคิ้วมองตามการกระทำของเธออย่างไม่ละสายตา แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

    “อ้าปากค่ะ” เมื่อเขาไม่ยอมอ้าปากรับข้าวจากช้อนที่จ่อตรงริมฝีปากรัตน์วลีก็พูดขึ้นอีกครั้ง แล้วพอสิ้นคำริมฝีปากหยักได้รูปที่ตอนนี้ซีดเซียวและแห้งผากก็อ้าขึ้น

    ข้าวทุกคำที่เขาอ้าปากรับมันเขาไปสร้างความเจ็บปวดให้เธอเหลือนับคณา ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขายอมกินก็เพราะเขาอยากให้เธอไปเร็วๆ แต่เธอก็ยังป้อนมันให้เขาเรื่อยๆ จนมันหมดชาม เพราะถึงเธอจะอยากอยู่ตรงนี้ให้นานที่สุด แต่เธอก็อยากให้เขาหายมากกว่า 

    หลังจากกินยา เขาก็หลับไป และหลังจากปลุกให้เขาลุกมากินข้าวกินยาอีกสองครั้ง เช็ดตัวให้อีกหลายหน อาการของเขาก็ดีขึ้น เมื่อรอจนแน่ใจว่าไข้จะไม่กลับมาสูงอีก รัตน์วลีก็ออกจากห้องโดยไม่รอให้คนป่วยที่หลับอยู่ตื่นขึ้นมาไล่

     

    แดดอุ่นๆ ลอดผ่านกระจกใสที่ไม่มีผ้าม่านกั้นขวางเข้ามาถึงเตียงกว้างส่งผลให้เจ้าของร่างกำยำใต้ผ้าห่มผืนหนาต้องค่อยๆ ขยับเปลือกตาขึ้นอย่างรำคาญ หัวของเขาหนักอึ้งราวกับใครเอาหินหนักๆ มาถ่วงไว้ เขาไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน รู้แค่ว่าความฝันมันช่างเหมือนจริงเหลือเกิน ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงเดินเข้าไปในห้องน้ำหยิบเสื้อผ้าที่ตากไว้ตั้งแต่เมื่อวานมาใส่ ตอนแรกเขาคิดว่ามันจะแค่หมาดๆ แต่เขาคิดผิดเสื้อผ้าของเขาแห้งสนิท

    ชายหนุ่มเดินมาหยิบโทรศัพท์ที่แบตหมดไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ กระเป๋าเงิน และกุญแจรถมาไว้ในมือ แล้วเดินออกจากห้องทันที เมื่อไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ในห้องนี้อีกต่อไป ไม่มีประโยชน์ที่จะถ่วงเวลา เพราะถึงยังไงเขาก็ต้องหยุดความรู้สึกทั้งหมด เรื่องระหว่างเธอกับเขามันเป็นไปไม่ได้ 

    ทว่าทันทีที่ลงมาถึงล็อบบี้โรงแรม นาฬิกาไม้โบราณเรือนใหญ่ที่แขวนอยู่ตรงเค้าน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ก็ทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว

    “นาฬิกาเสียหรือเปล่า” เอริคถามขึ้นหลังจากส่งคีย์การ์ดคืนให้พนักงาน

    “ไม่เสียนะคะ”

    คำตอบของประชาสัมพันธ์สาวทำให้เขารู้ว่าตัวเองเข้าใจผิดไปถนัด เมื่อวานตอนที่เขาส่งข้อความตอบวิลเลียม ตอนนั้นเป็นเวลาแปดโมงครึ่ง ทว่าเวลาเข็มนาฬิกาโบราณ บ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงตรง...

    มันทำให้เขารู้ว่าเขาไม่ได้หลับไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง แล้วเรื่องที่เขาคิดว่าเป็นเพียงความฝัน มันก็ไม่ใช่แค่ฝัน มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง 

    แต่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ จะมีประโยชน์อะไรที่จะรู้สึกดีกับเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ให้มันเป็นแค่ความฝันต่อไปน่ะดีแล้ว

    __________________________

    มาต่อให้แล้วจ้า อ่านให้สนุกนะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×