ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เถื่อนรักจอมมาร

    ลำดับตอนที่ #32 : บทที่ 7 คืนแรกในฐานะภรรยา(รับจ้าง) (4)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 14.16K
      28
      30 พ.ย. 64


            ทันทีที่เสียงฝีเท้าหนักๆ ห่างออกไป         รัดเกล้าก็เงยหน้าขึ้นจากหมอนนุ่ม นัยน์ตาสีนิลมองตามร่างสูงที่เดินหายเข้าไปในห้องแต่งตัวพลางระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่เขาไม่ได้พูดอะไรหรือบังคับให้เธอขึ้นไปนอนบนเตียงเดียวกับเขาอีก

    ใช้เวลานานทีเดียวกว่าเธอจะตัดสินใจได้ว่าจะทำยังไงกับหนึ่งห้องนอน หนึ่งเตียง กับคนอีกสองคน แม้ว่าเตียงขนาดคิงส์ไซส์จะกว้างพอที่คนสองคนจะนอนด้วยกันได้อย่างสบาย แต่เธอก็ทำใจขึ้นไปนอนบนนั้นไม่ได้ ตอนแรกเธอตั้งใจจะเข้าไปนอนในห้องแต่งตัวเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะนึกขึ้นได้ว่าหลังจากอาบน้ำแล้วเขาต้องใช้ห้องนั้นในการแต่งตัวและการแต่งตัวมันก็ต้องเริ่มต้นด้วยการเปลื่อยเปล่า เธอก็รีบแจ้นออกมาจากห้องนั้นแทบไม่ทัน และเพราะเธอรู้ว่าคนอย่างแม็กซิมัส คาริโนคงไม่ยอมเสียสละเตียงนุ่มๆ ให้เธอแล้วลงมานอนบนพื้นเป็นแน่ และเธอก็ไม่มีทางทำใจนอนร่วมเตียงกับเขาได้ ดังนั้นเธอเลือกอัปเปหิตัวเองลงมานอนบนพื้นห้องโดยมีหมอนสองใบและเสื้อสูทของเขาเป็นเครื่องนอน

    แต่ไม่ว่าจะข่มตาหลับยังไงเธอก็นอนไม่หลับเสียที ไม่ใช่เพราะการต้องนอนบนพื้นที่ทำให้เป็นอย่างนั้น พื้นที่ถูกปูด้วยพรมราคาแพงนุ่มสบายใช้ได้ทีเดียว สูทที่เธอเอามาห่มก็ให้ความอบอุ่นได้พอสมควร แต่สิ่งที่ทำให้เธอนอนไม่หลับคือความคิดและความรู้สึกที่หมุนวนอยู่ในหัวของเธอต่างหาก

              เสียงกุกกักที่ดังขึ้น ตามด้วยเสียงฝีเท้าหนักๆ ที่เดินกลับมาทำให้รัดเกล้าต้องรีบหลับตาลง หัวใจของเธอเต้นโครมครามอยู่ในอก แต่เสียงไหวยวบเบาๆ ของที่นอน และไฟที่ดับลงทำให้รัดเกล้าพ่นลมหายใจออกมาอีกหน

    ห้องทั้งห้องเหลือเพียงความเงียบกริบ แต่ยิ่งเงียบความรู้สึกที่ปั่นป่วนอยู่ภายในก็ยิ่งเด่นชัด หญิงสาวพลิกตัวนอนหงาย ลืมตามองเพดานห้องผ่านความมืดสลัว

    นี่แม็กซิมัส คาริโนจะรู้ไหมนะ ว่ากำลังทำให้เธอประสาทเสียแค่ไหน

    สิ่งที่เขาเพิ่งทำกับเธอมันน่าหวั่นใจเกินกว่าเธอจะกล้าอยู่ใกล้เขาได้อย่างวางใจได้อีก และแม้ว่าจะรู้สึกหมั่นไส้กับท่าทางมั่นอกมั่นใจในตัวเองจนเกินไปของเขาแต่เธอก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกอย่างที่หลอมรวมเป็นแม็กซิมัส คาริโน ทำให้เขาเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มากล้นจนเกินจะต้านทาน มากจนเธอไม่รู้ว่าถ้าเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีกตัวเองจะมีสติมากพอที่จะต่อต้านความร้อนแรงแปลกใหม่ที่เขาปรนเปรอมาให้ได้อีกครั้งหรือเปล่า

    ตอนนั้นเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง มีเพียงเขาเท่านั้นที่อยู่ในความนึกคิด และแม้ว่าใจเธอจะไม่ได้ต้องการเลยสักนิดแต่ร่างกายของเธอกลับขัดขืนไม่ได้

    ดังนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร หรือมีเหตุจำเป็นแค่ไหนเธอก็ไม่มีทางขึ้นไปนอนบนเตียงที่มีเขานอนอยู่เด็ดขาด แค่นอนร่วมห้องกันมันก็อันตรายมากพอแล้ว

     

               สียงแตรที่ดังขึ้นต่อเนื่องอย่างไม่สนใจว่าเวลานี้เป็นเวลาไหนทำให้เด็กรับใช้ที่นอนไปตั้งแต่หัวค่ำต้องวิ่งกระหืดกระหอบออกจากห้องพักมาเปิดประตูให้พร้อมกับพร่ำบ่นอย่างเอือมระอาต่อพฤติกรรมของเจ้านายอีกคนของบ้านที่ไม่ว่าจะกี่เดือนกี่ปีก็ยังคงเส้นคงวาไม่เคยเปลี่ยน

    ทันทีที่ประตูถูกเลื่อนเปิดบีเอ็มดับบลิวสีขาวกลางเก่ากลางใหม่ก็แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านไม้ทรงไทยเก่าแก่ เครื่องรถถูกดับก่อนที่ร่างกลมกลึงในชุดรัดรูปสีดำเว้าหลังจะก้าวลงมาจากรถ หญิงสาวก้าวไปตามทางที่ทอดสู่ประตูบ้านพลางหมุนพวงกุญแจในมือและฮัมเพลงในลำคออย่างอารมณ์ดี ไม่ได้สนใจหรือรู้สึกผิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้คนทั้งบ้านต้องตื่นนอนกลางดึกเพราะเสียงหนวกหู

    “ไปไหนมา หายหัวไปเป็นอาทิตย์เลยนะ”

              เสียงที่ทักขึ้นทำให้เธอต้องชะงักฝีเท้า หันไปมองทางต้นเสียง แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ “ก็ไปหาเงินใช้หนี้ให้แม่ไงคะ”

              “ถ้าเพราะเรื่องนั้นที่ทำให้แกต้องตะลอนๆ ไปทั่ว เอาตัวไปแลกเงินไม่กี่ตังค์ ก็ไม่จำเป็นแล้วล่ะ”

    “ไม่จำเป็น หมายความว่ายังไงคะ แล้วถ้าคุณยายรู้เข้าจะทำยังไง แม่อยากถูกเฉดหัวออกจากบ้านหรือไง ไม่รู้เมื่อไรจะเลิกเสียทีไอ้การพนันบ้าๆ เนี่ย เล่นกี่ครั้งกี่ครั้งก็เสีย ทำไมยังไม่เข็ดสักทีก็ไม่รู้” ชมพูนุชขึ้นเสียงใส่มารดาอย่างหมดความอดทน

    ถ้าหากยายของเธอรู้ว่าแม่เป็นหนี้พนันอีกแล้ว หลังจากเคยช่วยมาแล้วหลายต่อหลายครั้งและตราหน้าว่าครั้งที่แล้วจะเป็นครั้งสุดท้าย ไม่มีทางแล้วที่ท่านจะยอมใช้หนี้ครั้งนี้ให้อีก และเรื่องนี้คงกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน

    “ยายแกรู้แล้ว”

    “อะไรนะคะ คุณยายรู้แล้ว” ชมพูนุชร้องออกมาอย่างตกใจและไม่เชื่อหู

    “แกฟังไม่ผิดหรอก”

    “แล้วจะทำยังไงละคะเนี่ย”

    “ก็ไม่เห็นต้องทำอะไร”

    “หมายความว่ายังไงคะ ไม่ต้องทำอะไร”

    “ก็ตอนนี้ยายของแกไม่อยู่แล้วน่ะสิ”

    “หมายความว่ายังไงคะ ที่แม่บอกว่าคุณยายไม่อยู่แล้ว”

    “ก็หมายความว่าตายแล้วน่ะสิ”

    “ตาย” ชมพูนุชร้องเสียงดัง

    “แล้วแกจะเสียงดังทำไม ใช่ยายแกตายแล้วแล้วก็เผาแล้วด้วย ก็แกเล่นหายหัวไปเป็นอาทิตย์ ติดต่อก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าโทรศัพท์จะซื้อมาทำไมราคาตั้งสามสี่หมื่น”

    “แบบนี้คุณแม่ก็มีเงินใช้หนี้แล้วสิคะ ในเมื่อคุณยายตาย สมบัติทั้งหมดก็ต้องเป็นของคุณแม่ ถ้าขายแล้วเอาไปใช้หนี้ก็ยังเหลืออีกตั้งหลายล้าน” ชมพูนุชว่าด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระต่อการจากไปของประมุขของตระกูล เธออาจจะตกใจต่อการจากไปของผู้เป็นยาย แต่ก็ใช่ว่าจะโศกเศร้าเสียใจอะไรมากมาย

    เพราะเธอไม่ได้ผูกพันกับนวลจันทร์ผู้เป็นยายมากนัก แม้จะให้ข้าวของและเงินทองไว้ใช้จ่าย แต่เธอก็ไม่เคยรู้สึกว่าท่านเป็นคนในครอบครัวเลยสักครั้ง อาจเป็นเพราะผู้เป็นยายไม่ชอบพ่อของเธอที่เป็นนักพนันตัวยงและชักชวนแม่ของเธอเข้าบ่อนจนติดการพนันไปด้วย เธอจึงไม่ได้ไปมาหาสู่กับคุณยายนัก พอพ่อของเธอเสียชีวิตและบ้านถูกยึดไปเพราะหนี้การพนันที่พ่อกับแม่ของเธอร่วมกันก่อ แม่ของเธอก็ยอมหน้าด้านซมซานมาขอพึ่งใบบุญของคุณยาย แต่ตอนนั้นเธอก็ไปเรียนต่อที่มหาลัยที่ต่างประเทศแล้ว

    เมื่อสิ้นท่านไปเธอจึงไม่อนาทรร้อนใจแต่อย่างไร ดีเสียอีกที่เป็นแบบนี้ เพราะเธอจะได้ไม่ต้องดิ้นรนตัวเป็นเกลียวเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ก้อนโตที่ผู้เป็นมารดาไปก่อไว้

    “ใครบอก ไอ้เสี่ยบ้านั่นมันโกงฉัน ฉันเอาเงินมันมาแค่ยี่สิบล้าน แต่ในสัญญากับระบุว่าฉันเป็นหนี้มันห้าสิบล้าน ขายบ้านกับสวนของยายแกยังใช้หนี้ไม่พอเลย”

    “อะไรนะคะ นี่แม้จะบ้าหรือไง” ชมพูนุชร้องเสียงหลง “จะเซ็นอะไรหัดอ่านเสียบ้างสิคะ ไม่ใช่อยากเอาเงินไปถลุงจนตัวสั่นยอมเซ็นได้ทุกอย่างที่มาวางอยู่ตรงหน้า”

    _________________________

    มาต่อให้แล้วจ้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×