คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 1 แอบอ้าง (4)
“ไม่มีทางที่เกล้าจะเปลี่ยนใจ
แถมเกล้าก็จะเกลียดรุจด้วย จะไม่มีวันให้อภัยในสิ่งที่รุจทำ”
รัดเกล้าพยายามข่มความหวั่นใจเอาไว้และยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ก่อนจะจ้องเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง
แต่ก็ใช่ว่าวิศรุจจะสนใจในสิ่งที่เธอพูด
และคำพูดต่อมาของเขาก็ทำให้รัดเกล้าหมดความอดทนลงทันที
“เราไม่รู้หรอก
เกล้าก็ไม่รู้ด้วยว่าผลที่ออกมาจะเป็นยังไง จนกว่าเรื่องมันจะเกิดขึ้นแล้ว”
“เห็นแก่ตัว” รัดเกล้าต่อว่าอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
ก่อนจะรวบรวมแรงทั้งหมดดันร่างของวิศรุจออกห่าง
เบี่ยงตัวไปกดหมายเลขชั้นที่ใกล้ที่สุดเพื่อให้ประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้ง
เธอทำได้สำเร็จก่อนที่วิศรุจจะดึงเธอออกห่างจากปุ่มควบคุมลิฟต์แล้วรวบร่างเล็กของเธอไว้จากทางด้านหลัง
“ใช่เรามันเห็นแก่ตัว
แต่ก็เพราะเราไม่มีทางเลือกไง”
“ทางเลือกมีเสมอ ไหนบอกว่ารุจรักเกล้าไง คนรักกันเขาไม่ทำแบบนี้หรอก”
รัดเกล้าพยายามควบคุมความโกรธและความกลัวของตัวเองไว้แล้วพูดกับเขาอย่างใจเย็นอีกครั้ง
แต่คำพูดของเธอก็ไม่ได้ปลุกความถูกต้องที่เหมือนจะถูกฝั่งไว้ในส่วนลึกของหัวใจของวิศรุจขึ้นมาได้
“ใครว่าล่ะเกล้า คนรักกันเขาก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น
วันนี้เราจะเป็นของกันและกัน ไม่ต้องห่วงนะเกล้าเราจะรับผิดชอบเกล้าทุกอย่าง”
“แต่เราไม่ได้รักกัน เกล้าไม่ได้รักรุจ แล้วเกล้าก็มีคนรักอยู่แล้ว
รุจจะทำแบบนี้กับเกล้าไม่ได้”
“เราก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าเกล้าเป็นของเราแล้วผู้ชายคนนั้นจะรับเกล้าได้ไหม”
“คิดว่าคนรักของเกล้าจะสนใจกับการที่เกล้าโดน ‘เพื่อน’ ชั่วๆ ข่มขืนงั้นเหรอ” รัดเกล้าเน้นคำว่าเพื่อหนักๆ เพื่อมันจะซึมลึกเข้าไปปลุกจิตสำนึกของวิศรุจได้บ้าง
แต่ก็เปล่าเลย มันไม่ได้ผล
“เดี๋ยวก็รู้ว่าคนนั้นของเกล้าจะสนไหม แต่รู้อะไรไหม มาจนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่เชื่อว่าเกล้าจะมีคนรักอยู่แล้ว”
รัดเกล้าเม้มปากแน่น อารมณ์ที่เพิ่งควบคุมได้เดือดจัดขึ้นอีกครั้ง
เมื่อคนที่ทำให้เธอพยายามพูดให้คิดได้ไม่มีความสำนึกเลยสักนิด เธอไม่เคยคิดเลยสักนิดว่าเพื่อนที่ดีกับเธอมาตลอดแบบวิศรุจจะคิดเรื่องแบบนี้และตั้งใจจะทำแบบนี้กับเธอได้
ติ้ง!
เสียงเตือนของลิฟต์ดังขึ้นอีกครั้งแล้วประตูก็ค่อยๆ
เลื่อนเปิดในชั้นที่รัดเกล้าพุ่งตัวไปกดหมายเลขไว้ก่อนหน้านี้
วินาทีนั้นสิ่งเดียวที่เธอคิดมีเพียงอย่างเดียวคือการพาตัวเองออกไปจากสถานการณ์นี้ให้จงได้
รัดเกล้ารวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายกระแทกรองเท้าส้นสูงของตัวเองไปยังรองเท้าหนังของอีกฝ่ายด้วยแรงทั้งหมดที่มี
“โอ้ย!!!”
เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของวิศรุจดังขึ้น แล้วรัดเกล้าก็ใช้วินาทีที่แขนทั้งสองข้างของเขาเผลอคลายออกจากร่างของเธอผลักเขาออกห่างแล้วพุ่งตัวออกจากลิฟต์
แต่วิศรุจก็ตั้งตัวได้อย่างรวดเร็ว เขาเอื้อมมือมาจับแขนเธอไว้แล้วลากเธอที่เพิ่งออกมาได้เพียงสองก้าวกลับเข้าไปลิฟต์ตัวเดิม
ก่อนจะกระแทกมือไปยังปุ่มปิดลิฟต์แรงๆ เพื่อระบายอารมณ์
รัดเกล้ามองประตูลิฟต์ที่ค่อยๆ
เลื่อนปิดด้วยความหวาดกลัวและกระวนกระวาย
เพราะรู้ดีว่านี่คงเป็นโอกาสสุดท้ายของเธอที่จะหนีรอด แต่ก่อนที่ทางรอดสุดท้ายของเธอจะดับวูบไป
ในช่วงเวลาที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิดสนิทเธอก็เหลือบเห็นผู้ชายคนหนึ่งเสียก่อน
“นะ... นั่นไง แฟนเกล้า รุจปล่อยนะ
ไม่งั้นอย่าหาว่าเกล้าไม่เตือน” รัดเกล้ากลั้นใจว่าพลางชี้มือไปที่ผู้ชายคนหนึ่งที่ยังสวมสูทผูกไทเต็มยศแม้ว่าจะล่วงเลยเวลาทำงานมาหลายชั่วโมงแล้วก็ตาม
ก่อนจะใช้ช่วงเวลาที่วิศรุจหันมองตามทิศทางที่เธอชี้และไม่ทันได้ตั้งตัวสะบัดตัวออกจากการจับยึดของอีกฝ่ายแล้วพุ่งไปกดปุ่มรัวๆ
เพื่อให้ประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้ง ก่อนจะกระโจนออกจากลิฟต์
วิ่งตรงเข้าไปหาร่างสูงสง่าที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะรู้ตัวว่ามีคนเอาตัวเองเข้าไปพัวพันในเรื่องรักๆ
ใคร่ๆ
เธอไม่รู้หรอกว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร หรือหน้าตาเป็นยังไง
เธอรู้แต่ว่าว่าเธอกำลังตกที่นั่งลำบาก แม้ว่าวิศรุจจะตัวใหญ่กว่าเธอไม่มาก
แต่เขาก็ยังเป็นบุรุษเพศที่แข็งแรงกว่าเธอ ที่สำคัญเขากำลังโกรธจนลืมตัว
เธอไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีสติยั้งคิดพอที่จะคิดถึงผิดชอบชั่วดี
คิดถึงสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ
“จะแอบอ้าง
ชี้เลือกผู้ชายคนไหนก็ได้แล้วบอกว่าเขาเป็นแฟนเพื่อให้จบๆ ไปงั้นเหรอ
ไม่มีทางหรอกเกล้าเราไม่ได้โง่ขนาดนั้น”
“เปล่า ผู้ชายคนนั้นเป็นแฟนเกล้าจริงๆ”
“ไม่เอาน่า รับรองว่าผมจะทำให้เกล้ามีความสุข
และจะรับผิดชอบเกล้าด้วย”
“เขาเป็นแฟนเกล้าจริงๆ เลิกคิดจะทำเรื่องบ้าๆ
กับเกล้าเสียที”
รัดเกล้าว่าพลางจับยึดแขนเสื้อของชายหนุ่มแปลกหน้าในชุดสูทเนื้อดีไว้แน่น
เธอได้แต่หวังว่าคนที่เธอคว้าแขนเสื้อเขาไว้จะไม่ปัดมือเธอออกเสียก่อน
และก่อนที่เขาจะทำอย่างนั้นเธอต้องทำอะไรสักอย่าง...
“ช่วยฉันหน่อยนะคะ” รัดเกล้าหมุนตัวเข้าไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มร่างสูง
เธอรีบสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อรวบรวมความกล้า
ก่อนจะเขย่งเท้าขึ้นแตะริมฝีปากที่ปลายคางของเขาพร้อมกับกระซิบบอกเป็นภาษาอังกฤษเบาๆ
ให้ได้ยินกันสองกัน ตอนแรกเธอตั้งใจจะหอมแก้มเขา
แต่เพราะผู้ชายคนนี้สูงมากจนเธอเขย่งจนสุดปลายเท้า
ริมฝีปากของเธอยังแตะได้แค่ปลายคางเขาเท่านั้น
วินาทีนั้นเป็นวินาทีแรกที่เธอได้เห็นว่าผู้ชายที่เป็นที่พึ่งสุดท้ายให้กับเธอหน้าตาเป็นยังไง และแวบหนึ่งที่เธอเหลือบขึ้นสบตากับดวงตาของคนที่เธอยังจรดริมฝีปากอยู่บนปลายคางของเขา เธอก็แทบลืมหายใจ หัวใจเต้นกระหน่ำรัว ทั้งเร็วและแรงอย่างที่เธอก็ไม่เข้าใจ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเรื่องโกหกที่เธอกำลังหลอกลวงวิศรุจอยู่ แต่เธอรู้ดีว่าสาเหตุหลักเป็นเพราะนัยน์ตาสีน้ำเงินคู่นั้นต่างหาก สายตาที่หลุบลงจ้องมองเธออย่างสงสัย สำรวจตรวจตรา และพิจารณาไปพร้อมๆ กัน\
_____________________
ช่วงนี้ไม่ค่อยสบาย แต่จะพยายามมาให้ทุกวันนะคะ
ความคิดเห็น