คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 1 แอบอ้าง (3)
“เกล้าโกหก”
เพราะน้ำเสียงไม่มั่นใจเพียงน้อยนิดของรัดเกล้าทำให้ประโยคต่อมาของวิศรุจถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเหนือกว่าและได้ใจ
“ถ้าพูดเรื่องจริงแล้วรุจยังไม่เชื่อ
เกล้าจะทำอะไรได้อีก” รัดเกล้าปรับสีหน้าให้ราบเรียบแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังมั่นคง
เธอประสานสายตาที่ปั้นแต่งให้แน่วแน่กับดวงตาจับผิดของอีกฝ่ายนิ่ง
“ถ้าจริงอย่างที่เกล้าพูด ก็แนะนำเขาให้เรารู้จักหน่อยสิ
แล้วเราจะไม่ยุ่งกับเกล้าอีก เราจะเป็นแค่เพื่อนที่ดีต่อกันอย่างที่เกล้าต้องการ”
“...”
รัดเกล้าเม้มปากแน่น
หนักใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายร้องขอพลางคิดหาทางแก้ไขในสิ่งที่ตัวเองหลุดปากพูดออกไปอย่างไม่หยั่งคิด
แต่วิศรุจก็ไม่ให้เวลาเธอคิดนานนัก ซึ่งอันที่จริงต้องเรียกว่าเขาไม่ให้เวลาเธอคิดเลยมากกว่า
“ไหนล่ะคนรักของเกล้า
อยากให้เราเลิกยุ่งกับเกล้ามากไม่ใช่เหรอพามาแนะนำให้รู้จักหน่อยสิหรือไม่ก็ยอมรับออกมาเถอะว่าเกล้าโกหก”
“ก็ได้ รุจพูดแล้วนะ
ถ้าเกล้าพาเขามาให้รุจรู้จักต่อไปรุจจะไม่มายุ่งกับเกล้าอีก และเราจะเป็นเพียงแค่เพื่อนที่ดีต่อกัน”
แม้จะหนักใจกับคำพูดของวิศรุจ
แต่จะให้เธอยอมแพ้แล้วบอกความจริงว่าเธอโกหก อีกฝ่ายก็คงไม่ยอมเลิกยุ่งกับเธอแน่นอน
เธอจึงจำเป็นต้องเก็บความรู้สึกไว้ภายใต้ความสงบนิ่ง สมองของรัดเกล้ากำลังเครียดเคร่ง
เธอพยายามหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับตัวเองและเพื่อนสนิทอย่างวิรัญญา
นัยน์ตาหวานกวาดไปทั่ว แต่ยิ่งเธอมอง ความหวังของเธอก็ยิ่งริบหรี่ลงเรื่อยๆ
เพราะแม้ว่าร้านหาหารกึ่งไนต์คลับแห่งนี้จะมีคนมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก
แต่ส่วนมากถ้าไม่มาเป็นกลุ่มๆ ก็เป็นคู่ และไม่เห็นใครจะช่วยเธอได้สักคน
ส่วนวิศรุจ
แม้จะมั่นใจและเชื่อมั่นว่าหญิงสาวตรงหน้าโกหกเพราะสี่ปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นเธอให้ความสนใจใคร
หรือสนิทสนมกับผู้ชายคนไหนเกินคำว่าเพื่อนหรือพี่ชาย
แต่คำยืนยันหนักแน่นของเธอก็ทำให้เขาอดหวั่นใจไม่ได้
แต่เมื่อเวลาผ่านไปอีกฝ่ายไม่ยอมพูดอะไรออกมาเสียทีก็ทำให้ความใจเสียของเขากลายเป็นความโล่งใจ
“ว่าไงล่ะเกล้า
ยอมรับมาเถอะว่าเกล้าโกหกเพื่อให้เราเลิกยุ่งกับเกล้า”
“เกล้าเปล่าโกหกจะให้บอกอีกกี่ครั้ง”
รัดเกล้าหวีดเสียงออกมาอย่างฉุนเฉียวเพื่อกลบเกลื่อนความเครียดขมึงจากการหาทางออกไม่ได้ออกตัวเอง
“พอเถอะ
เลิกโกหกสักที” วิศรุจว่าก่อนจะรั้งร่างบอบบางเข้ามาอ้อมแขน
กอดรัดร่างเล็กไว้แน่นพลางพยายามก้มลงมาที่ริมฝีปากอิ่มสวยที่เคลือบด้วยลิปกรอสสีชมพูพีช
“รุจ! จะทำบ้าอะไร”
รัดเกล้าสะบัดหน้าหนีริมฝีปากที่จู่โจมลงมาพร้อมกับร้องว่าอีกฝ่ายลั่น
ริมฝีปากของเขาพลาดเป้าจากริมฝีปากของเธอไปอยู่ที่ข้างแก้ม
แต่อีกฝ่ายก็เหมือนไม่อาทรร้อนใจเขากดลงตรงนั้นหนักๆ ค่อยๆ
จูบระเรื่อยไปตามแนวค้างมาที่มุปกมุมปาก
รัดเกล้ารู้สีกอกสั่นขวัญแขวน
เธอกัดฟันแน่นรวบรวมแรงทั้งหมดเพื่อดันร่างสูงเพรียวของวิศรุจให้ถอยห่างสุดแรง วินาทีนั้นร่างของวิศรุจผละห่างจากร่างของเธอเล็กน้อย
แต่วินาทีต่อมาเขาก็ตรงเข้ามาประชิดร่างของเธออีกครั้ง
ครั้งนี้ชายหนุ่มไม่ได้พยายามจูบเธออีกเขาทำเพียงดันร่างของเธอให้ก้าวไปตามทางที่ตรงไปยังลิฟต์
“คิดว่าจะทำอะไรล่ะ”
“ปล่อยนะ!” รัดเกล้าร้องต่อว่าชายหนุ่มพลางแกะมือของเขาออกจากเนื้อตัวของตัวเองออก
แต่มือของอีกฝ่ายก็ยึดแน่นราวกับติดกาวเอาไว้
“เกล้ารู้ไหมว่าตลอดสี่ปีมานี่เราต้องอดทนแค่ไหน ตลอดสี่ปีมานี่เราต้องลงทุนอะไรกับเกล้าไปบ้าง ทั้งดอกไม้
เลี้ยงข้าว แล้วรู้ไหมว่าเราไม่เคยต้องเสียอะไรฟรีๆ ให้ใคร” วิศรุจว่าพลางจับร่างเล็กที่ดิ้นขลุกขลักเพื่อหาอิสรภาพให้กับตัวเองไว้แน่นระหว่างรอลิฟต์ที่เขาเพิ่งกดเรียก
“แล้วใครใช้ให้รุจทน
ใครใช้ให้รุจเลี้ยงข้าว ใครใช้ให้ซี้อดอกไม้มาให้ เกล้าไม่เคยขอร้องให้รุจทำแบบนั้นเสียหน่อย”
“ก็เพราะเราจริงจังกับเกล้าไง ไม่ใช่อยากสนุกๆ ชั่วครั้งชั่วคราว รู้ไหมที่ผ่านมามีแต่ผู้หญิงวิ่งเข้าหาเรามากแค่ไหน
เราจะเลือกใครก็ได้
แต่เราก็ไม่เคยยุ่งกับใครสักคนเพราะเราคิดว่าเกล้าจะเห็นใจเราบ้าง หันมามองเราบ้าง”
“แน่ใจนะว่าไม่เคยยุ่งกับใครสักคน”
รัดเกล้าตะโกนใส่อีกฝ่ายอย่างเหลืออด
ความอดทนที่สิ้นสุดลงทำให้เธอเผลอพูดในสิ่งที่ตั้งมั่นไว้ว่าจะเก็บมันไว้เป็นความลับออกไป
“พูดแบบนี้เกล้าไปรู้อะไรมา”
ติ้ง!
รัดเกล้าเม้มปากแน่น
ชั่งใจว่าจะตอบอีกฝ่ายไปอย่างไร แต่ก่อนที่เธอจะคิดออกเสียงเตือนของลิฟต์ดังขึ้น
รัดเกล้ามองใบหน้าเด็ดขาดของชายหนุ่มสลับกับประตูลิฟต์ที่เปิดอย่างหวาดหวั่น
สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนให้เธอถอยหนี
แต่เรี่ยวแรงที่เธอมีก็สู้แรงของผู้ชายไม่ได้ วิศรุจไม่รอฟังคำตอบของคำถามที่เขาเพิ่งถามเธอด้วยซ้ำตอนที่กระชากร่างของเธอเข้าไปในลิฟต์
“จะทำอะไร อย่าคิดจะทำอะไรบ้าๆ
นะ!” รัดเกล้าร้อง ทั้งตกใจ ทั้งหวาดหวั่น หญิงสาวพยายามรั้งตัวเองไว้สุดฤทธิ์แต่ก็ความพยายามของเธอก็ไม่สำเร็จ
“บ้าตรงไหน มันไม่บ้าเลยสักนิดที่เราจะทำแบบนี้กัน”
“ปล่อยเกล้าจะรุจ
ไม่งั้นเกล้าจะร้องจริงๆ ด้วย” รัดเกล้าขู่เสียงแข็ง แต่เมื่อเห็นว่าวิศรุจไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยเธอ
หญิงสาวก็สูดลมหายใจเข้าลึก ตั้งใจจะร้องขอความช่วยเหลือให้สุดเสียง แต่ความตั้งใจก็เป็นได้เพียงความตั้งใจเท่านั้น
เพราะทันทีที่เธออ้าปากขึ้นอีกฝ่ายเปลี่ยนจากการกระชากลากถูมาเป็นโอบมือข้างหนึ่งรอบเอวของเธอ
ส่วนมืออีกข้างก็ตะปบมือมาที่ปากของเธอปิดกั้นเสียงร้องสุดเสียงให้กลายเป็นเสียงอึกอักในลำคอ
รัดเกล้าดิ้นสุดแรงแต่เมื่อไม่ได้ผล
เธอจึงเปลี่ยนมาเป็นทุบตีคนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังด้วยแรงทั้งหมด เธอได้ยินวิศรุจคำรามในคอแต่เขาก็ไม่หยุดการกระทำจาบจ้วง
ไร้สามัญสำนึก พอดึงเธอเข้าไปในลิฟต์สำเร็จเขาก็หมุนตัวดันแผ่นหลังของเธอชิดกับผนังก่อนจะดันตัวเองเข้าไปชิด
มือทั้งสองข้างของเขาจับมือทั้งสองข้างที่พยายามประทุษร้ายเขาเอาไว้
“คิดจริงๆ เหรอ ว่าถ้าเกล้าเป็นของรุจแล้วเกล้าจะเปลี่ยนใจมาคิดกับรุจมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้
เกล้าคิดกับรุจได้แค่เพื่อน ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจ ได้ยินไหม” ความหวาดหวั่นและความเหนื่อยหอบจากการดิ้นรนก็ทำให้น้ำเสียงของเธอไม่มั่นคงเท่าไรนัก
ยิ่งได้ยินเสียงเตือนและได้เห็นประตูลิฟต์เลื่อนปิดก็ยิ่งทำให้ความหวาดกลัวในใจของเธอเพิ่มพูนขึ้นทบทวี
“จะรู้ได้ยังไง ว่าเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเกล้าจะไม่เปลี่ยนใจ”
______________________
ฝากอีบุ๊กหน่อยจ้า ช่วงนี้มีโปรโมชั่นที่ Meb ลดมากกว่า 30% เลยน้า
ความคิดเห็น