คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 แอบอ้าง (1)
สกายผับแอนด์เรสซิเด้นท์ ร้านอาหารกึ่งไนต์คลับบนชั้นที่สิบเก้าของโรมแรมเดอะคาริโน สาขากรุงเทพมหานคร...
ร้านอาหารบนตึกสูงแห่งนี้ถูกแบ่งเป็นสองโซน
โซนแรกให้บริการด้านอาหาร และเครื่องดื่มเบาๆ หลากหลายรูปแบบ ภายในโซนถูกตกแต่งด้วยโทนสีดำ
กรม และเทา เน้นเฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบในสไตล์วินเทจโมเดิร์น เรียบหรู
แต่แฝงความคลาสสิกเอาไว้ได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังสามารถเพลิดเพลินกับวิวแม่น้ำเจ้าพระยาที่คดเคี้ยวเป็นเส้นยาวสวยงาม
และแสงสีแพรวพราวที่ระยิบระยับไปทั่วทั้งกรุงเทพมหานคร
โซนที่สองเป็นโซนที่เรียกได้ว่าไนต์คลับเต็มตัว
ซึ่งตอนนี้กำลังคลาคล่ำไปด้วยนักศึกษาที่กำลังจะจบ วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้าย
ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดของการเรียนมหาวิทยาลัยที่รอคอยมากว่าสี่ปี การเลี้ยงฉลองจึงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจ
และความครื้นเครง
“เกล้า จะไปไหน”
เสียงร้องที่ดังขึ้นแทรกเสียงเพลงจังหวะเร้าใจและเสียงสรวลเสเฮฮาทำให้เจ้าของชื่อที่เพิ่งลุกจากโต๊ะที่มีเครื่องดื่มมึนเมาวางอยู่ต้องหันกลับไปมอง
“ไปห้องน้ำ” รัดเกล้าพูดพลางส่งยิ้มบางๆ ให้วิรัญญา เพื่อนร่วมคณะที่สนิทกันที่สุด
“งั้นฝากเดินไปสั่งเครื่องดื่มที่บาร์เพิ่มด้วยนะ”
“ได้สิ” รัดเกล้าตอบก่อนจะหมุนตัวเดินฝ่าผู้คนที่เริ่มคลาคล่ำขึ้นตามช่วงเวลาไปยังเคาน์เตอร์บาร์ตั้งใจจะไปสั่งเครื่องดื่มแล้วค่อยไปห้องน้ำ
แต่อยู่ๆ มือของใครคนหนึ่งเอื้อมมาคว้าข้อมือของเธอเอาไว้แล้วฉุดให้เดินไปอีกทาง
“ว้...รุจ!” รัดเกล้ากลืนคำกรีดร้องลงคอแล้วเอ่ยเรียกชื่อคนที่ทำการอุกอาจด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่หายตระหนก เพราะแสงไฟที่ค่อนข้างสลัว
และผู้คนที่เบียดเสียดทำให้ก่อนหน้านี้เธอมองไม่ชัดว่าเป็นใครที่กล้ามาทำเช่นนี้กับตัวเอง
“ตกใจเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“โทษที
ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ตกใจ”
“แล้วมีอะไรหรือเปล่า”
รัดเกล้าเอ่ยถามพลางรั้งตัวจากการดึงของเพื่อนร่วมคณะ
แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมปล่อยและยังคงดึงเธอให้ก้าวตามออกจากประตูร้านอาหารกึ่งไนต์คลับแห่งนี้ด้วยท่าทางเคร่งเครียด
“ตกลงมีอะไรกันแน่”
รัดเกล้าใช้เสียงดังกว่าเก่าพูด
เพราะคิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยินสิ่งที่ตัวเองถาม
แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เธอไม่ได้รับคำตอบจากคำถามที่ถามออกไป
“...”
“รุจ” รัดเกล้าเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยเสียงที่ดังขึ้นอีก
เมื่อไม่มีคำตอบออกมาจากปากชายหนุ่มที่ตั้งหน้าตั้งตาจะฉุดเธอให้เดินตาม
“...”
ตอนแรกรัดเกล้าเข้าใจว่าอาจเป็นเพราะเสียงเพลงจังหวะเร้าใจของไนต์คลับที่ทำให้เขาไม่ได้ยินเสียงเธอ
แต่ตอนนี้เธอคิดว่าเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายตั้งใจที่จะเมินเฉยต่อคำถามของเธอมากกว่า
เพราะเป็นอีกครั้งที่ไม่มีเสียงตอบรับออกมาจากปากของวิศรุจไม่ว่าเธอจะใช้เสียงดัง
หรือรั้งตัวเอาไว้เท่าไรอีกฝ่ายก็ไม่สนใจที่จะหันกลับมามอง
รัดเกล้ามองแผ่นหลังของคนที่ฉุดให้เธอเดินตามอย่างไม่เข้าใจ
‘รุจ’ หรือ ‘วิศรุจ’
เป็นลูกของนักการเมืองที่มีอิทธิพลมากคนหนึ่ง เขาเป็นคนที่มั่นใจในทุกสิ่งออกจะหลงตัวเองเสียด้วยซ้ำ
และที่งานเลี้ยงการสอบวันสุดท้ายถูกจัดขึ้นในสถานที่หรูหราแบบนี้
ก็เป็นเพราะอิทธิพลและเงินทองของลูกนักการเมืองอย่างวิศรุจ แต่วันนี้ชายหนุ่มกลับดูแปลกไป
เขาดูสับสน ไม่แน่ใจ แต่ก็เหมือนจะตัดสินใจได้แล้ว แถมท่าทางแปลกๆ ของเขาอีก
ถามก็ไม่ยอมตอบ
และตั้งหน้าตั้งตาดึงเธอออกจากร้านที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนแห่งนี้อย่างเอาเป็นเอาตายอีกด้วย
และทั้งหมดนั้นมันก็ทำให้ให้เธออดสงสัยไม่ได้ว่า... ‘เขาเป็นอะไรของเขากันนะ?’
“ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่
ดึงเกล้าออกมาข้างนอกทำไม” รัดเกล้าเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนเมื่อคนที่ลากเธอออกมานอกร้านอาหารกึ่งผับไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ
วิศรุจได้แต่ยืนนิ่ง มองหน้าเธออย่างไม่ยอมละสายตา แล้วก็เม้มปากแน่น
“ถ้าไม่พูดเกล้าจะกลับเข้าไปในร้านแล้วนะ” รัดเกล้าพูดขึ้นอีกเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ยอมพูดอะไรออกมา
แต่ผลลัพธ์ก็ยังเป็นแบบเดิม ไม่มีอะไรหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่าย
จนเธอหมุนตัวจะทำตามสิ่งที่พูดจริงๆ นั่นแหละ วิศรุจจึงยอมปริปากพูดออกมา
“เรามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเกล้า”
“ก็พูดตรงนั้นก็ได้นี่ไม่เห็นต้องออกมาข้างนอกเลย” รัดเกล้าพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม
“มันเป็นเรื่องส่วนตัวที่เราอยากคุยกับเกล้าสองคน”
“งั้นก็รีบพูดมาสิ
จะได้กลับไปที่โต๊ะ ออกมานานๆ แบบนี้เดี๋ยวคนอื่นจะเป็นห่วง”
“...”
“เอ้ารุจ รีบพูดสิ” รัดเกล้าเร่งเมื่ออยู่ๆ วิศรุจก็เงียบไปอีกครั้ง
“คือว่า...เอ่อ...เรา...เอ่อ...คือว่า...”
“ถ้ามีคำว่าเอ่ออีกคำเดียวเกล้าจะไม่ฟังจริงๆ
ด้วย”
“...”
เมื่อเธอขู่อีกฝ่ายก็เงียบไปอีกหนทำให้รัดเกล้าหมุนตัวตั้งใจจะเดินกลับเข้าไปในไนต์คลับที่เพิ่งถูกอีกฝ่ายลากออกมา
แต่วิศรุจกับเอาร่างสูงเพรียวมาขวางทางไว้
“ก็ได้ๆ เราพูดแล้ว”
“งั้นก็รีบว่ามาสิ”
“พวกเราเรียนจบกันแล้ว
คราวนี้พวกเราก็ต้องแยกย้ายกันไปทำงานใช่ไหม”
“อืมใช่ แล้ว...” รัดเกล้าลากท้ายประโยคยาวๆ
สื่อความว่าให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าเธอไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรและเป็นการเร่งให้อีกฝ่ายรีบพูดออกมา
“เราอยากบอกเกล้าว่า
เราชอบเกล้า...”
“แน่นอนก็ต้องชอบสิ
เราเป็นเพื่อนกันนี่ เพื่อนที่ไหนเขาเกลียดกัน” รัดเกล้าตัดบท
เพราะเริ่มเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดเรื่องอะไร “กลับไปที่โต๊ะเถอะ
ปานนี้เพื่อนๆ คงตามหาเราสองคนแล้ว”
“เดี๋ยวเกล้า
ไม่ใช่แบบนั้น เกล้าไม่เข้าใจ เราหมายถึงเราคิดกับเกล้ามากกว่า...”
“เรารีบกลับเข้าไปในงานกันเถอะ”
วิศรุจพูดไม่ทันจบประโยครัดเกล้าก็แทรกขึ้นอีกครั้ง
ก่อนจะเบี่ยงตัวตั้งใจจะเดินผ่านชายหนุ่มกลับเข้าไปในไนต์คลับ แต่กลับถูกวิศรุจคว้าข้อมือเอาไว้แล้วยึดไว้แน่น
“เกล้าฟังเราพูดให้จบก่อนสิ เรารักเกล้า รักมานานแล้ว
แล้วเราก็อยากคบกับเกล้า”
*****************
ฝากรัก ฝากติดตาม แม็กซิมัส กับ รัดเกล้า ด้วยค่ะ
ความคิดเห็น