After That(The Last Time 2) Narry-Larry Fanfiction - After That(The Last Time 2) Narry-Larry Fanfiction นิยาย After That(The Last Time 2) Narry-Larry Fanfiction : Dek-D.com - Writer

    After That(The Last Time 2) Narry-Larry Fanfiction

    ชีวิตหลังจากการสูญเสียของเขา ความรักที่ตามหลอกหลอน ความเจ็บที่ไม่เคยจางหาย ความท้ายทายและความสับสนครั้งใหม่ ที่เข้ามาทำให้ทุกๆอย่างต่างไปจากเดิม

    ผู้เข้าชมรวม

    812

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    7

    ผู้เข้าชมรวม


    812

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    20
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  30 ธ.ค. 58 / 02:11 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    *แฟนฟิคเรื่องนี้มีเนื้อหาต่อเนื่องจากภาคที่หนึ่ง หากใครยังไม่ได้อ่านสามารถคลิกที่ลิ้งค์นี้ได้เลยค่ะ*

    http://my.dek-d.com/mgreborn/writer/view.php?id=1341739


                                 


    หัวใจ อวัยวะที่น่าพิศวง ทางวิทยาศาสตร์มันคือศูนย์กลางของร่างกาย หากไม่มีวันก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

    แต่ทางจิตวิทยามันคือสัญลักษณ์สำคัญที่สุด ในรูปทรงสีแดงสวยแฝงความรู้สึกเอาไว้มากมาย ชิ้นส่วนความงาม

    ความเจ็บปวด ความทรงจำทั้งหลายหลอมรวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว


    แต่ถ้าในวันหนึ่ง มันเว้าแหว่งไปล่ะ?


    มันจะเป็นสิ่งสมบูรณ์ได้อย่างไร ในเมื่อชิ้นส่วนที่สำคัญที่สุดนั้นหายไป และไม่มีวันกลับคืนมา..



    ขอขอบคุณ ธีมสวยๆจาก

    O W E N TM.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


      เรื่องราวเหล่านี้ขอมอบให้ทุกความรู้สึกของผู้สูญเสีย ไม่ว่ามันคืออะไรก็ตาม..






      ความอบอุ่นที่โอบกอดไว้ กลิ่นหอมอ่อนๆที่เป็นเอกลักษณ์และสัมผัสนุ่มละมุนที่ริมฝีปาก ความหอมหวานที่ติดอยู่ที่กลีบปากนิ่ม

                      และเสียงสดใสที่คุ้นเคย                                 

       

                  “แฮร์รี่ ตื่นได้แล้วนะ”

       

                  เสียงเล็กเจือแววสดใสดังเบาๆที่ข้างหู กับสัมผัสที่กอบกุมมือทั้งสองคู่ไว้ด้วยกัน ดวงตาสีมรกตลืมขึ้นช้าๆ แสงสว่างสีทองส่องเข้ามาจากหน้าต่างห้องทำเอาเขาแสบตา มองเห็นเงาจางๆที่ทอดกายอยู่ข้างๆเขาในตอนนี้

                  เมื่อปรับภาพได้ ชายหนุ่มแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองที่ได้เห็น

       

                  ร่างเล็กๆ เจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลสวย จมูกโด่งรั้นที่เชิดขึ้นอย่างน่ารัก และนัยน์ตาสีฟ้าครามที่เขาหลงรัก

                 

                  ลูอี ทอมลินสัน กำลังส่งยิ้มเจิดจ้ามาให้เขา

       

                  ลูอี ลูอีจริงๆด้วย..

       

                      “ลู..นาย กลับมาแล้วเหรอ”แฮร์รี่จดจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

      “คิดถึงฉันไหม” คนตัวเล็กส่งยิ้มกว้างมาให้ เอื้อมมือมาสัมผัสใบหน้าของแฮร์รี่ นิ้วเกลี่ยไล้ไปตามแก้มสาก เขาเอานาบหน้าลงกับมือเล็กๆนั้น ซุกไซร้หาความอบอุ่น

       

      “คิดถึงที่สุด”ร่างโปร่งคว้าคนตัวเล็กเข้ามาในอ้อมแขน ประทับริมฝีปากไปทั่วใบหน้าอีกฝ่ายที่หัวเราะชอบใจ กอดร่างผอมบางไว้ให้แน่นที่สุด ไม่ยอมให้เหลือช่องว่างแม้แต่นิด

       

      ลูกลับมาแล้ว

       

      “อย่าไปไหนอีกนะลู อย่าไปไหนอีก” กระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู กระชับอ้อมกอดนั้นให้แน่นขึ้น สูดดมความหอมหวานที่คุ้ยเคยจากอีกฝ่าย มือเอื้อมขึ้นลูบกลุ่มเส้นผมอ่อนนุ่ม

       

      แฮร์รี่จะไม่มีวันปล่อยคนคนนี้ไปไหนอีก ไม่อีกแล้ว

       

       

      “แฮร์รี่ ตื่นได้แล้วนะ” เสียงเล็กดูจริงจังขึ้นมา ลูอีผละตัวออกจากเขา ไออุ่นค่อยๆจางหาย หมอกควันเริ่มก่อตัวขึ้นรอบๆ ใบหน้าอ่อนหวานนั้นค่อยๆพร่ามัว แสงสว่างหายไป แทนที่ด้วยความหนาวเยือกและหมอกสีเทาหนาครึ้ม

      “เดี๋ยว ลู นายจะไปไหน อย่าไปนะ!” เขาพยายามเอื้อมมือออกไป แต่ลูอีกหายไปแล้ว เหลือเพียงเขา เหลือเขาเพียงคนเดียว

       

      ไม่นะ

       

      ลูอี!!

       

       

       

       

      นาฬิกาบอกเวลา 5:45

       

      ชายหนุ่มลืมตาโพลง เหงื่อกาฬไหลโทรมกายไปหมด หัวใจเขาเต้นเร็วจนเจ็บ ความหนาวเยือกแผ่ตัวปกคลุมห้องนอนห้องเล็ก บรรยากาศรอบกายมืดสนิท ที่ข้างกายเขาว่างเปล่าและเย็นชืด

       

      แฮร์รี่ชันตัวขึ้นนั่ง ยังคงหอบหายใจ สายตากวาดไปมารอบๆห้องช้าๆ

       

      ขายาวก้าวลงจากเตียง ปาดน้ำตาที่ไหลลงข้างแก้ม จัดแจงใส่เสื้อคลุม  คว้าซองกระดาษกับไฟแช็คไปที่ระเบียง ความหนาวเยือกของยามเช้ากรีดผ่านเสื้อคลุมตัวบาง แต่เจ้าตัวไม่สน เขาอัดควันสีขาวลงไปในปอดจนหนำใจ มือกำราวจับระเบียงแน่นจนเจ็บ น้ำตาค่อยๆปริ่มขึ้นมา อีกครั้ง..

       

      ความฝัน..

       

      แฮร์รี่ฝัน อีกแล้ว

       

      แฮร์รี่ฝันถึงลูอีบ่อยเหลือเกิน

       

      ไม่รู้กี่ครั้ง ต่อกี่ครั้งแล้ว ที่เขามองเห็นภาพเหล่านี้ยามที่เขาหลับตาลง ไม่รู้กี่คืนต่อกี่คืน ที่เขาต้องสะดุ้งตื่นและพบว่าตัวเองกำลังร้องไห้ ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่แฮร์รี่เป็นแบบนี้

       

      ขณะที่มวนกระดาษสีขาวใกล้จะมอดไหม้จนหมด มือเรียวขยี้มันกับที่เขี่ยบนโต๊ะกาแฟข้างๆ และคีบอีกมวนมาใส่ปาก จุดไฟอีกครั้ง พ่นควันร้อนๆเหม็นๆออกมา ห้วงความคิดของเขาล่องลอยไปไกล คิดถึงใครบางคน ที่มาหาเขาเกือบทุกค่ำคืน

       

      ลู ฉันฝันถึงนายอีกแล้วนะ

       

      เกือบสองปีแล้วนะ

       

      ที่ฉันยังฝันถึงนายอยู่แบบนี้

       

       

       

      ยามเช้าอันเงียบสงบแว่วเสียงสะอื้นเบาๆ..

       

       

      สองเท้าเดินไปบนทางเดินในอพาร์ทเม้นท์ที่คุ้นเคย ร่างสูงโปร่งในชุดพนักงานออฟฟิศดูเป็นการเป็นงาน สีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ  มือเรียวเอื้อมกดปุ่มที่ลิฟต์ปลายสุดของโถงทางเดิน รอเพียงครู่ ลิฟต์ก็มาถึง ขณะที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิดอีกครั้ง แฮร์รี่ได้ยินเรียกร้องเรียกมาจากด้านนอก

       

      “รอด้วยครับ! รอก่อน!” แฮร์รี่กดปุ่มเปิดประตูทันที

       

      ร่างร่างหนึ่งแทรกเข้ามาด้านใน หอบหายใจด้วยความเหนื่อย เอกสารไหลลื่นจากมือหล่นกระจายเต็มพื้นลิฟต์ อีกฝ่ายครางเบาๆ ก้มเก็บเป็นพัลวัน

      “ขอบคุณมากครับ ถ้าเป็นคนอื่นคงปิดไปแล้ว” ชายแปลกหน้าพูดกับเขาโดยที่ไม่ได้มองหน้ากัน เพราะมัวแต่จัดการกับสัมภาระของตนอยู่ แฮร์รี่ไม่ได้ถือสาอะไร

       

      “ไม่เป็นไรครับ เรื่องเล็กน้อย” เขาพูดอย่างสุภาพ

       

      เมื่อสังเกตคนแปลกหน้าข้างๆเขา เส้นผมสีบลอนด์สว่างคล้ายกับฟางข้าว กับร่างที่ผอมบางแต่แข็งแรงแบบมีกล้ามเนื้อเล็กน้อย ดูจากลักษณะการแต่งตัวและเอกสารมากมาย คงทำงานเป็นฝ่ายเอกสารหรืออะไรสักอย่าง

       

                      และทันทีที่ผู้มาใหม่เงยหน้าขึ้นมามองเขา แฮร์รี่แทบตะลึง

       

      เครื่องหน้าเล็กๆที่สมบูรณ์แบบ จมูกโด่งสวยได้รูป ริมฝีปากบางกระจับสีชมพูดูสุขภาพดี กับดวงตา..สีฟ้าครามสดใส ตัดกับเส้นผมอย่างลงตัว

      เขาจัดเป็นคนที่หน้าตาดีคนหนึ่ง แต่มีอย่างหนึ่งที่แฮร์รี่ไม่สามารถเลิกมองคนตรงหน้าได้ คือดวงตาคู่นั้น

       

      มันคือเฉดเดียวกัน

       

      เหมือนราวกับคู่เดียวกัน

       

      เหมือนตาของลูอี

       

       

       

      “เอ่อ..ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ผมไนออล ไนออล ฮอแรน” สำเนียงฟังดูแปร่งหู มือเล็กยื่นมาหาเขา เรียกสติแฮร์รี่ให้กลับมา เขาเอื้อมไปจับมือนั้นเขย่าเบาๆ ยังคงไม่สามารถละสายตาไปได้

      “ผม...ผมแฮร์รี่ครับ แฮร์รี่ สไตลส์” เขาตอบกลับไป “คุณเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่เหรอครับ ผมไม่เคยเห็นคุณมาก่อนเลย” 

       “ครับ ผมเพิ่งย้ายเข้ามาเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง ผมดูสะดุดตาขนาดนั้นเลยเหรอถึงรู้ว่าผมเพิ่งย้ายมาน่ะ” ไนออลพยักหน้า และยิ้มกว้างให้เขา พลางกับเกาหัวตัวเองแก้เขิน

      “ทำนองนั้นล่ะมั้งครั้บ ฮ่าๆๆ”

      เสียงลิฟต์ดังบอกว่าลงมาถึงชั้นล่างสุดของอพาร์ทเม้นท์แล้ว ร่างโปร่งยืนเก้ๆกังๆไม่ยอมขยับไปไหน อะไรบางอย่างทำให้แฮร์รี่ไม่อยากออกจากลิฟต์ไป

       “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ไว้เจอกันใหม่” ไนออลหันมาผงกหัวให้เขาอีกครั้งอย่างสุภาพ และก้าวขาออกไป เหลือเพียงชายหนุ่มยังคงยืนนิ่งอยู่คนเดียว

       

       ทำไมดวงตาคู่นั้น มันช่างเหมือนกันเหลือเกิน

       

      ทั้งท่าทางการพูด ความขี้เล่นเล็กน้อยทั้งๆที่ตัวเองก็ประหม่า ทั้งการแสดงออกทางกาย เกาหัวแก้เขินแบบนั้น

       

      มันเหมือนกัน

       

      ไนออล ฮอแรน ทำไมคุณช่างเหมือนกับเขาขนาดนี้

       

       

      แฮร์รี่สะบัดหัวเรียกสติตนเอง  ตอนนี้ไม่ใช่เวลาใคร่ครวญอะไร เขากำลังจะสาย นั่นแหละข้อสำคัญ

      มือเรียวกระชับสายกระเป๋าของเขาให้เข้าที่ และก้าวออกไป ไปยังถนนเส้นที่ปกคลุมด้วยใบไม้ที่ร่วงหล่นจนเต็มพื้น เดินไปตามฟุตบาทเพื่อขึ้นรถประจำทางไปทำงาน อย่างที่เคยเป็น

       

       

       

      20:23

       

      “อ้าว กลับมาแล้วเหรอครับ” ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว ขณะที่แฮร์รี่กำลังจะไขกุญแจเข้าห้องพัก เสียงใสดังขึ้นจากด้านข้างๆเขา แฮร์รี่หันไปหาต้นเสียง พบกับคนทีเขาเพิ่งเปิดประตูลิฟต์รอเมื่อเช้าเดินเข้ามา มือทั้งสองหอบถุงกระดาษจากห้างสรรพสินค้าที่บรรจุอาหารต่างๆไว้จนเต็ม

       

      หัวใจของเขาเต้นแรงแปลกๆ..

       

      “ครับ คุณเพิ่งเลิกงานเหมือนกันเหรอ” ชายหนุ่มถามกลับไป

      “ผมเลิกงานนานแล้วล่ะครับ แต่พอดีมีธุระนิดหน่อยน่ะครับ กว่าจะเสร็จก็เย็นแล้ว ผมเลยถือโอกาสไปซื้อของกินมาด้วยเลย” ไนออลตอบ พลางยกถุงในมือน้อยๆ เป็นเชิงให้ดู

      “ทานเยอะจังนะครับ ซื้อมาเยอะขนาดนี้” แฮร์รี่ยิ้ม และมองไปที่ถุงกระดาษ มันเต็มไปด้วยอาหารมากมาย ทั้งของสด ของแห้ง และขนมอื่นๆ มันมากจนเกือบล้นออกมาที่ปากถุง

      “จริงๆแล้วผมซื้อมาตุนไว้น่ะครับ เวลาที่อยากทานจะได้ไม่ต้องเสียเวลาออกไปซื้อ” เสียงใสๆตอบกลับมา ทำเอาเขาชะงักไป

       

       

      ฉันไม่ชอบออกไปข้างนอกน่ะ ซื้อเก็บไว้เยอะๆดีกว่า

      ซื้อมาเยอะแบบนี้เดี๋ยวก็กินไม่หมดกันพอดี

      กินไม่หมดก็มีนายไง ช่วยกิน ยังไงก็หมดอยู่แล้ว

      หาว่าฉันกินเยอะเหรอลู ฮ่าๆๆ

       

       

      “...”

      “คุณครับ คุณ..คุณสไตลส์??”

       

      มือขาวๆโบกไปมาผ่านหน้าเขา เรียกให้สติกลับมาอีกครั้ง ดวงตาสีฟ้าจ้องมองเขาตาแป๋ว ร่างผอมบางเข้ามาประชิดตัวเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ นี่เขาเหม่อไปเหรอเนี่ย

      “โอ้ ขอโทษที ผมคิดอะไรเพลินไปหน่อยน่ะ” แฮร์รี่ค้อมหัวขออภัย ฝ่ายตรงข้ามถอยห่างออกไปและยิ้มเป็นเชิงไม่ถือสา

      “ทำงานหนักสินะครับ งั้นคืนนี้ผมปล่อยคุณไปพักก่อนดีกว่า พักผ่อนเยอะๆนะครับ”เสียงใสเอ่ยกับเขา ก่อนจะก้มลงหยิบถุงสัมภาระที่พื้นขึ้นมา แฮร์รี่จึงหันมาไขกุญแจห้องของตัวเอง

      “เดี๋ยวนะครับ นี่คุณพักห้องนี้เหรอ” อีกฝ่ายพยักพเยิดมาทางประตูห้องของเขา เขาพยักหน้าน้อยๆ

      “ว้าว งั้นก็เจ๋งไปเลย ผมจะมีเพื่อนบ้านแล้ว ผมอยู่ห้องข้างๆคุณพอดีเลย” คนผมบลอนด์ยิ้มร่าและชี้ไปที่ประตูห้องข้างๆของเขา

      “งั้นดีเลยครับ ถ้ามีขาดเหลืออะไรก็บอกผมได้ตลอดเลยนะครับ” เขาพูด

      “ขอบคุณมากนะครับ ราตรีสวัสดิ์นะครับ” ฝ่ายไนออลที่กำลังก้าวขาเข้าห้องไป โผล่ตัวออกมาคุยกับเขาอีกครั้ง

      “ราตรีสวัสดิ์ครับคุณฮอแรน” แฮร์รี่พูด และกำลังจะเข้าไปในห้องเช่นกัน ถ้าอีกฝ่ายไม่ส่งยิ้มให้เขาอีกครั้ง และพูดว่า

      “เรียกว่าไนออลเถอะครับ ราตรีสวัสดิ์”

      ประตูปิดลงเบาๆ เหลือเพียงร่างสูงยังนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น หน้าห้องของตน หัวใจเขาเต้นไม่เป็นส่ำ รู้ตัวอีกที เขากำลังยืนยิ้มอยู่คนเดียว

       

      แต่เพียงไม่นาน รอยยิ้มนั้นก็จางหายไป แทนที่ด้วยเรียวคิ้วที่ขมวดแน่นเป็นปม

       

      ทำไมต้องเหมือนกันขนาดนี้ เขาไม่เข้าใจเลย

      ทุกการกระทำของไนออล ทุกรอยยิ้ม ทุกคำพูด มันตอกย้ำให้เขานึกถึงใครอีกคน ที่จากไปแล้ว

       

      แฮร์รี่ไม่เข้าใจเลย

       

       

       

      แฮร์รี่ ร่างบางกำลังยืนอยู่หน้าเตาอบขนาดเล็ก ดวงหน้านั้นระบายด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ดวงตาสีครามทอประกาย

      เขากำลังเดินเข้ามาในห้องพาร์ทเม้นท์ วางสำภาระจากที่ทำงานไว้บนเก้าอี้ ความเหนื่อยล้าจากการทำงานตลอดทั้งวันหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อได้เห็นหน้าใครอีกคน

      คิดถึงนายนะลู แฮร์รี่เดินเข้าไปหาคนรักของตน จดจ้องไปยังใบหน้าที่เขาโหยหายิ่งกว่าอะไร

      นายเป็นไงบ้าง เสียงเล็กเอื้อนเอ่ยถามเขา

      ฉัน ฉันสบายดี แน่หรือ เขาสบายดีแน่หรือ หรือมันเป็นแค่ถ้อยคำที่บอกออกไปเพียงเพื่อให้คนตรงหน้าสบายใจเท่านั้น อย่างที่เคยเป็นมาตลอด

      ดีแล้วล่ะ ลูอีส่งยิ้มกว้างมาให้เขา น้ำใสๆค่อยๆเอ่อขึ้นมาที่ดวงตาสีฟ้าสวย แฮร์รี่ผละออก

       

      ลูอีร้องไห้ทำไม

       

      มือเรียวเอื้อมไปหวังจะสัมผัสใบหน้าเนียน แต่มันกลับปัดผ่านร่างนั้นไปเฉยๆ เหมือนภาพตรงหน้าเป็นเพียงหมอกควัน ร่างของลูอีไหววูบไปตามแรงวาดมือ

       

      นี่มันอะไร

       

      ลู...ทำไม

      นายสบายดีก็ดีแล้วล่ะ แฮซ ดีจริงๆ หมอกสีเทาเริ่มเคลื่อนมาครอบคลุมร่างบาง ใบหน้าสวยเริ่มพร่าเลือนไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่แฮร์รี่สังเกตเห็น

       

                  น้ำตา ไหลลงที่ข้างแก้มทั้งสอง

       

                  ลู ไม่นะ ไม่!!’ เขาไขว่คว้าอากาศรอบตัว ความอบอุ่นนั้นหายไปแล้ว แทนที่ด้วยหมอกควันสีหม่น ความมืดค่อยๆบดบังทุกสิ่งทุกอย่าง เขากำลังจะเสียลูอีไปอีกครั้ง

       

       

                  และตอนนั้นเอง ที่แฮร์รี่สะดุ้งตื่น

       

       

       

      ดอกไม้ช่อเล็กๆถูกห่อด้วยกระดาษสาสีขาวนวล มัฟฟินชอคโกแลตหอมกรุ่นกลิ้งไปมาในถุงกระดาษของร้านขนมเจ้าประจำ สองเท้าก้าวเดินไปตามทางเดินยามสาย อากาศรอบตัวเริ่มเย็นลงกว่าเดิม ต้นไม้ตามทางเดินพากันผลัดใบของมันลงบนพื้นดิน ย้อมให้ท้องถนนของเมืองลอนดอนเป็นสีน้ำตาลสวย

      ร่างสูงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดเก่ง เสื้อยืดแขนยาวสีเขียวเข้มตัวโปรด กับสกินนี่ยีนส์และรองเท้าบูท ใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มจางๆ ดวงตาสีมรกตทอประกายมีความสุข

       

      รั้วเหล็กเตี้ยๆขึ้นสนิมที่ล้อมรอบสถานที่แห่งหนึ่งดูซีดเซียวเมื่อเทียบกับความสวยงามภายนอก ป้ายหินสีหม่นตั้งเรียงรายจนเกือบเต็มพื้นที่สุสานเล็กๆที่แสนสงบ บรรยากาศของที่แห่งนี้ดูคล้ายกับดูดเอาสีสันรอบๆไปหมด

      ช่วงขายาวมาหยุดยืนที่หน้าแผ่นหินสีขาวปลอด ช่อดอกไม้แห้งและเศษขนมปังวางอยู่ที่ด้านหน้า ตัวอักษรสีเทาหม่นสลักเสลาเป็นชื่อเจ้าของ

                      Louis William Tomlinson 

       

       

       

      “หวัดดี ลูอี”

       

      รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้า แฮร์รี่ย่อตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้นหญ้า จดจ้องไปยังตัวอักษรเดิมๆที่เขามองมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

       

      “ฉันมาแล้วนะ คิดถึงฉันมั้ย” เสียงทุ้มพูดเบาๆ  มือจัดแจงเปลี่ยนเอาดอกไม้ช่อเก่าที่แห้งแล้วทิ้งไป และวางช่อใหม่แทน โกยเศษขนมปังที่คาดว่านกคงมาจิกกินออก วางมัฟฟินที่ยังกรุ่นลงกับพื้น

      “นี่ ฉันเปลี่ยนดอกไม้ให้แล้วนะ แล้วก็มัฟฟินชอคโกแลตร้านเดิมที่นายชอบ ยังอุ่นๆอยู่เลย หอมน่ากินใช่มั้ยล่ะ” แฮร์รี่พูดยิ้มๆ ทิ้งตัวลงนั่งเต็มก้น มือลูบไล้ไปตามแผ่นหินเย็นเยียบอย่างรักใคร่

      “นายเป็นไงบ้าง สบายดีไหม ฉันสบายดีนะ รู้รึเปล่า หัวหน้าบอกว่าจะเพิ่มเงินเดือนให้ฉันด้วยล่ะ เขาบอกว่าช่วงที่ผ่านมาฉันขยันทำงานมาก  ดีจังเลยเนอะ

      ตอนนี้ที่บ้านเราทุกอย่างก็ดี ฉันยังรดน้ำต้นไม้ที่นายเคยซื้อมาบอกให้ฉันเลี้ยงอยู่นะ ตอนนี้มันโตแล้ว สวยมากเลยล่ะ ไว้ออกดอกเมื่อไหร่ฉันจะถ่ายรูปมาให้นายดู”

       

      เสียงทุ้มพูดไปท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบของวันหยุด มือเรียวเท้าไปกับพื้นหญ้าสบายๆราวกับมาปิกนิก ซึ่งมันก็คงเป็นอย่างนั้น ถ้าเขามีใครอีกคนนั่งอยู่ข้างๆด้วยจริงๆ

       

      “นายเป็นยังไงบ้าง ขอโทษทีนะที่ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยได้มาหานายเลย โปรเจคใหม่ที่ต้องส่งมันรัดตัวน่ะ ขอโทษจริงๆนะ” แฮร์รี่ยิ้มแห้งๆให้กับแผ่นหินเย็นชืด

      คำเดิมๆที่พูดมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง รอยยิ้มเดิมๆที่เขามีให้กับแผ่นหินหลุมศพ ความคิดถึงเดิมๆที่ไม่เคยจางหายไหน มันหลอกหลอนแฮร์รี่มานานแล้ว และมันคงไม่มีวันจางหายไป

       

       

       

      “นายคงคิดถึงฉันล่ะสิ นายมาหาฉันเกือบทุกคืนเลยนะ”

       

      “หรือ..หรือเป็นฉันเอง ที่คิดถึงนาย”

       

      แฮร์รี่ไม่รู้ว่าทำไม ทำไมระยะหลังๆ ความฝัน หรือจริงๆก็คือความทรงจำระหว่างเขากับลูอีมันย้อนกลับมาหาเขาบ่อยเหลือเกิน จากคืนเดียว เป็นอาทิตย์ จากอาทิตย์ เป็นเดือน เป็นปี ต่อเนื่องกันแบบไม่รู้จบ วนไปมาเหมือนจอฉายภาพซ้ำๆ

      เกือบทุกเรื่องราว เกือบทุกฉาก ทุกตอน ที่เขากับคนรักเคยมีด้วยกัน กลายเป็นความฝันที่สุดท้ายแล้วมักจะจบด้วยการที่อีกคนจางหายไปแบบที่แฮร์รี่ไม่มีวันตามหาเจอ ไม่มีวันคว้าตัวลูอีกลับมาได้

       

       

      มันเหมือนยิ่งตอกย้ำว่า ลูอีตายไปแล้ว

       

       

      ความฝันรุนแรงขึ้นอย่างโหดร้าย หลายครั้งที่เขาเห็นคนตัวเล็กๆในเตียงคนไข้ สวมหมวกไหมพรมเพื่อป้องกันความหนาวเพราะเส้นผมไม่มีเหลือ สายน้ำเกลือท่อเครื่องช่วยหายใจระโยงระยางเต็มไปหมด

      หลายครั้งที่ฝันเห็นไร้วิญญาณของลูอีถูกเข็นลับตาหายไป ทิ้งเขาไว้เพียงคนเดียว โดยที่เขาทำอะไรไม่ได้เลย

      หลายครั้งที่แฮร์รี่ยืนมองโลงไม้อย่างดีถูกหย่อนลงที่ก้นหลุมพร้อมกับเสียงสวดภาวนาและคำสรรเสริญอวยพรที่อีกฝ่ายไม่มีวันได้ยิน ดินหินกลบทับร่างของคนที่รักสุดหัวใจ

       

      ทุกครั้งที่เขาลืมต่อตื่นขึ้นมากลางดึก และพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังตามหลอกหลอนเขา พบว่าในความเป็นจริงเขานั้นโดดเดี่ยวและสิ้นหวังไม่ต่างจากในความฝันเลย

       

       

      ลูอีตายไปแล้วจริงๆ ไม่ว่าจะฝันหรือตื่น

       

       

      เนิ่นนานมากแล้วที่เป็นแบบนี้ แต่แฮร์รี่ไม่เคยทำอะไรได้เลย นอกจากปล่อยให้มันเป็นไป เขายอมให้ตัวเองจมจ่อมกับสิ่งที่รู้ว่าไม่มีวันจะได้คืนกลับมา

      เขาสูบบุหรี่ ไม่ใช่เพราะว่าเขาชอบ มันเหม็น และควันนั้นก็แสบตา แต่เขากลับสูดควันพิษนั้นเข้าไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะมันทำให้นึกถึงใครบางคน ใครบางคนที่ชอบมวนกระดาษสีขาวๆนี้เหลือเกิน

       

      ชอบมากจนต้องจากไปเพราะมัน

       

      รู้ว่ามันไม่ดี แต่แฮร์รี่เลือกจะทำ

       

       

      “ฉันคิดถึงนายนะ คิดถึงนายมากจริงๆ” ของเหลวอุ่นๆเอ่อขึ้นมาในดวงแก้วสีสวย มันท่วมท้นและล้นออกมา ไหลลงที่แก้มสาก หยดลงบนพื้นหญ้าแห้งกรอบ หยดแล้วหยดเล่า

       

       

      “ขอโทษนะ..ร้องไห้อีกแล้ว”

       

      ขายาวกลับหลังหันออกจากป้ายหลุมศพที่คุ้นเคย เวลาหลายชั่วโมงที่ผ่านมาชายหนุ่มเอาแต่นั่งอยู่ตรงนั้น เฝ้าพร่ำพูดอะไรก็ตามที่คิดออก หัวเราะและยิ้มให้กับหินอ่อนเย็นชืดไร้ชีวิต และก่อนจากมา เขาจูบลาตัวอักษรไม่กี่ตัวบนนั้น

       

      แฮร์รี่ทำแบบนี้มาตลอด แม้ใครจะมองว่าเขาสติไม่ดี ใครจะคิดว่าเขาหมกมุ่นกับอดีต แต่เขาไม่สน

       

      คนพวกนั้นไม่ได้มาเป็นเขา คนพวกนั้นไม่มีวันรู้..

       

       

       

       

      ร่างโปร่งกำลังเดินอยู่ในย่านตลาดแห่งใหญ่ในลอนดอน ในมือหอบเอาถุงกระดาษใบเล็กๆใบหนึ่งไว้ ในนั้นมีเพียงขนมปังแถวและนมอีกขวดหนึ่ง สายตามองไปรอบๆ บรรยากาศของตลาดนัดช่างแสนวุ่นวายและร่าเริงไปพร้อมๆกัน

      แฮร์รี่กำลังจะเดินออกจากพื้นที่ตลาด แต่พลันได้ยินเสียงของใครบางคนร้องเรียกจากด้านหลัง

       

      “คุณไสตลส์ คุณสไตลส์ครับ”

       

      เขาหันกลับมามอง พบกับเจ้าของเสียงเมื่อครู่นี้ กำลังยืนโบกมือสุดแขนให้เขาอยู่ไกลๆ  ไนออลนั่นเอง...

       

      เขาหยุดยืนและเดินเข้าไปหา พบกับเพื่อนข้างห้องหน้าใหม่ ที่กำลังยิ้มแป้นให้เขาอยู่ โดยที่มีถุงอาหารมากมายกองอยู่ที่เท้า

       “สวัสดีครับ มาซื้อของเหมือนกันเหรอ” ไนออลทักทาย แฮร์รี่ก้มมองของที่อยู่ในถุงแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เพราะมันมีอาหารเต็มไปหมด เนื้อสด แครอท ผักโขม ขนมปังก้อนกลม ชอคโกแลต และอีกมากมายกองพะเนินอยู่ในถุง

      “ครับ คือผมแวะมาหาของนิดๆหน่อยๆน่ะ อีกเดี๋ยวก็จะกลับแล้ว” เขาพูด

      “หืม..คุณซื้อของแค่นั้นเองเหรอครับ ถุงเล็กนิดเดียวเอง เย็นนี้มีนัดจะออกไปทานอาหารข้างนอกเหรอ” ไนออลมองสำรวจ น้ำเสียงส่อแววสงสัย

      “อ้อ เปล่าหรอกครับ ปกติผมก็ทานเท่านี้แหละ” แฮร์รี่พูดยิ้มๆพลางยักไหล่อย่างไม่ค่อยใส่ใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาจะได้กินอาหารมื้อใหญ่แทบทุกเย็น เมนูแทบไม่ซ้ำกันเลย อร่อยบ้าง ไม่อร่อยบ้าง แต่มันก็เป็นมื้อที่มีความสุขที่สุด นั่นทำให้แฮร์รี่รีบกลับบ้านแทบทุกวัน

       

      เพราะมีลูอีคอยทำให้..

       

       

      ตั้งแต่ไม่มีอีกคนอยู่ อาหารประทังชีวิตของแฮร์รี่มักจะเป็นอาหารสำเร็จรูป หรือไม่ก็ขนมปังไม่กี่แผ่นเท่านั้น เขาไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรกิน หรือแม้แต่จะลากตัวเองออกไปร้านอาหาร เขายังไม่อยากทำ

       

       

      “ไม่ได้นะครับ ถึงมื้อเย็นจะไม่ได้สำคัญที่สุดในสามมื้อ แต่คุณก็ต้องทานอะไรมากกว่านี้นะ แค่ขนมปังกับนมไม่พอที่จะหล่อเลี้ยงร่างกายได้นะครับ” อีกฝ่ายเสียงแข็งขึ้นมาเฉยๆ คิ้วสีอ่อนขมวดมุ่นเป็นปม แฮร์รี่กำลังจะอ้าปากพูดต่อ

      “วันนี้ผมซื้อของมาเยอะแยะเลย ถ้าไม่รังเกียจเย็นนี้คุณช่วยลองทานอาหารเย็นฝีมือผมหน่อยได้มั้ยครับ คุณสไตลส์” ไนออลพูด ท่าทางเขาดูสบายๆ แต่เหมือนอะไรบางอย่างทำให้แฮร์รี่ไม่อยากปฏิเสธคนคนนี้

       

      “เอ่อ.....ผมว่า”

       

      “มาเถอะครับ คุณทานแต่ขนมปังตลอดชีวิตไม่ได้นะ”

       

       

      “ถ้างั้น...รบกวนด้วยนะครับ”

       

       

       

      รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าอีกฝ่าย ดวงตาสีฟ้าสุกสว่างดีใจ แฮร์รี่หลบตาไนออล ไม่กล้าสบตากับนัยน์ตาสีอ่อนนั่นตรงๆ หัวใจเขาเต้นแรง

      “ถ้างั้นผมว่าเรากลับกันเลยดีกว่าครับ ผมซื้อของเสร็จพอดี” ร่างเล็กว่าพลางหอบเอาถุงสัมพาระขึ้นมาที่อก และออกเดินนำหน้าไป เดินไปตามทางเดินหลัก มุ่งหน้ากลับอพาร์ทเม้นท์  แฮร์รี่เดินตามไปช่วยถือถุงอาหาร เรียกเสียงหัวเราะและคำขอบคุณจากชายผมบลอนด์

       

      กว่าจะกลับมาถึงอพาร์ทเม้นท์ก็เป็นเวลาเกือบมืดแล้ว ความหนาวเยือกกำลังแผ่ปกคลุมทั่วทุกสารทิศ

       

      “คุณไปพักผ่อนในห้องก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวพอมื้อเย็นใกล้เสร็จแล้วผมจะไปเรียก” สำเนียงประหลาดเอ่ยกับเขาก่อนที่อีกฝ่ายจะไขกุญแจห้อง โดยมีแฮร์รี่ยืนถือถุงอาหารรออยู่ข้างๆ

                      “ให้ผมไปช่วยคุณก็ได้นะครับ แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่แล้ว” เขาพูด

                      “โอ้ ไม่หรอกครับ นานๆทีผมจะมีแขกมาทานมื้อเย็นด้วย ไม่ต้องเกรงใจเลย ส่วนเรื่องช่วยทำก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเสนอให้คุณมาเอง ผมก็ต้องทำเองครับ” ไนออลว่า และหันมายิ้มให้เขา

       

                      แฮร์รี่หัวใจกระตุกอีกแล้ว

       

                      “คุณไปพักเถอะครับ ไว้เจอกันตอนมื้อเย็น” อีกฝ่ายพยักเพยิดไปที่ห้องของเขา แฮร์รี่เอ่ยขอบคุณล่วงหน้าอีกครั้งและเดินไปไขกุญแจห้องของตน พอดีกับที่อีกฝ่ายหายเข้าห้องไป

                      อากาศในห้องอบอุ่นเพราะปราศจากลมหนาวด้านนอก ไฟในห้องปิดมืด ร่างโปร่งถอดเสื้อแขนยาวตัวนอกออก เหลือแค่เสื้อยืดด้านใน กำลังจะเดินเข้าไปวางถุงขนมปังที่ในครัว แต่ก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างที่พื้นห้อง

       

                      ซองจดหมายจ่าหน้าถึงมิสเตอร์สไตลส์ จากธนาคารBoE

       

                      ไม่แม้แต่จะเปิดมันอ่าน เขาโยนมันลงบนโต๊ะกาแฟกลางห้องอย่างไม่ใส่ใจ เดินไปจัดการธุระส่วนตัวของตน และคว้าซองบุหรี่ออกมาจุดสูบ นั่งมองซองสีขาวที่พิมพ์ชื่อของเขามาอย่างดี

                     

      จดหมายแจ้งหนี้จากธนาคาร..

                     

                      ตลอดเวลาที่ผ่านมาแฮร์รี่ไม่ใช่คนมีหนี้สิน เพราะเขาไม่ได้ใช้จ่ายเกินตัวอะไร หรือถ้ามีเขาก็จะหาเงินมาใช้คืนอย่างรวดเร็ว แต่เพราะมีเหตุการณ์บางอย่างที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปโดยสิ้นเชิง

       

                      เงินกว่าสี่หมื่นปอนด์ถูกใช้เป็นค่ารักษาพยาบาล

       

                      ค่าทำคีโม

       

                      ค่ารังสีรักษา

       

                      ค่าผ่าตัด

       

                      ค่าห้องพักICU

       

                      และค่าทำศพ..

       

       

                      เขากู้หนี้ยืมสินไปจำนวนไม่น้อยเพื่อพยายามที่จะรักษาใครบางคนให้อยู่รอด พยายามที่จะเยียวยารักษาสุขภาพของใครบางคนให้กลับมาแข็งแรง พยายามจะยื้อชีวิตของใครบางคนให้สามารถลืมตาตื่นขึ้นมาได้อีกวัน

       

                      แต่ก็เปล่าประโยชน์

       

                      ท้ายที่สุดแล้วคนรักของเขาก็จากไป แบบที่ไม่มีวันได้กลับมาอีกเลย

       

                      ตลอดเวลาปีกว่าที่ผ่านมา ภาระหนี้สินหนักอึ้งถาโถมเขาในทุกๆเดือน เงินเดือนจำนวนน้อยนิดแทบไม่พอที่จะหมุนคืน แต่แฮร์รี่จำใจต้องอดทนต่อไป

                      น่าขัน ในตอนที่ลูอีป่วย เขาทำงานหนักแทบตาย แต่หัวหน้ากลับเพิ่มเงินให้เพียงนิด แต่พอลูอีจากไป กลับเลื่อนตำแหน่งเขาขึ้นและเพิ่มเงินเดือนที่ตอนนี้เขาแทบไม่ต้องการมันแล้วด้วยซ้ำ

       

       

                      เพราะว่ามันช้าไปแล้ว ตอนนี้ต่อให้มีเงินเป็นแสนเป็นล้านก็ไม่มีความหมาย

       

       

                      ไม่รู้เหมือนกันว่าแฮร์รี่นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน บุหรี่ที่จุดแล้วคีบอยู่ที่นิ้วไม่ได้ยกขึ้นสูบ ปล่อยให้ไหม้ไปจนหมดมวน เรียวคิ้วขวมดมุ่นขณะที่ขมับทั้งสองข้างปวดหนึบ น่าแปลกที่ในครั้งนี้น้ำตาเขาไม่ไหล มันกลายเป็นความตึงเครียดที่ตีบตันในใจแทน

       

                      รู้ตัวอีกที แสงเรืองจางๆจากหน้าต่างก็มืดลงแล้ว เหลือแต่เส้นสีม่วงเข้มที่ขอบฟ้า พอดีกับเสียงเคาะประตูดังขึ้น

                      แฮร์รี่ได้สติ เขาลุกขึ้นและเดินไปส่องตาแมวที่ประตู ปรากฏเป็นสีหน้ายิ้มแย้มของเพื่อนข้างห้องของเขา ไนออลนั่นเอง..

       

                      ประตูเปิดออก พบกับร่างเล็กในชุดเสื้อเชิ้ตพับแขนขึ้นกับผ้ากันเปื้อนสีน้ำเงิน กำลังยืนยิ้มให้กับเขาอยู่

       

                      “อาหารเย็นเกือบจะพร้อมแล้วนะครับ ถ้าพร้อมแล้วเชิญได้เลย ผมปรุงสุดฝีมือเลยล่ะ” เสียงนุ่มพูดกับเขา แฮร์รี่พยักหน้าน้อยๆ พยายามเค่นยิ้มออกมาเพื่อตอบรับ แต่ดูท่ามันคงจะเป็นยิ้มเจื่อนๆเสียมากกว่า โชคดีที่อีกฝ่ายไม่ได้คิดอะไร

                      เขาก้าวตามเข้าไปในห้องของไนออล ห้องนั่งเล่นขนาดเล็กตกแต่งด้วยสีครีมและน้ำตาลอุ่น ห้องนั่งเล่นที่เป็นศูนย์กลางมีเพียงโซฟาสีกาแฟกับโต๊ะไม้เล็กๆ ของตกแต่งน้อยชิ้นแต่ดูอบอุ่นสบายตา อากศอบอวลด้วยกลิ่นหอมของเนย และเนื้ออบ

                      เมื่อก้าวเข้ามาในครัวเล็กๆที่ติดตั้งในห้อง เครื่องครัวน้อยชิ้นเช่นเดียวกับอพาร์ทเม้นท์ปกติ  เตาอบเครื่องจ้อยส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย กับผักย่างหอมเนยที่วางอยู่ในชามใบใหญ่ เจ้าตัวเดินเข้าไปคว้าหยิบเอาภาชนะในตู้ออกมาวาง

                      “เมนูวันนี้เป็นเนื้ออบกับผักนะครับ ผมพยายามทำให้ดีที่สุด ไม่แน่ใจว่าจะอร่อยแค่ไหน ยังไงลองทานดูนะครับ” ไนออลยิ้มเขินๆพลางยกมือขึ้นเกาหัว

                      “หอมน่าทานขนาดนี้ผมว่าต้องอร่อยแน่ๆครับ ฮ่าๆๆ” แฮร์รี่หัวเราะ เขาเพิ่งรู้ตัวว่าอาการปวดขมับกับคิ้วที่ขมวดอยู่หายไปแล้ว และเสียงหัวเราะเมื่อครู่นี้..ก็เหมือนจะเป็นเสียงหัวเราะจริงๆ

                      “ก็ไม่แน่หรอกครับ ผมทำเองกินเองแทบทุกวันมันชินมือ แต่คนอื่นกินก็ไม่แน่นะฮ่าๆๆ” ไนออลหัวเราะบ้าง พลางก้มลงเปิดเตาอบดู เช็คอาหารที่อยู่ภายใน

       

                      “ผมว่าได้เวลาทานมื้อเย็นกันแล้วล่ะครับ”

       

       

       

       

                      ช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงต่อมาคือช่วงเวลาที่แฮร์รี่คิดว่าเขาหัวเราะมากที่สุดในรอบปี

       

       

                      ทั้งสองนั่งรับประทานอาหารกันในครัว โต๊ะเตรียมอาหารเล็กๆถูกจัดวางเสียสวยงามด้วยจานเนื้ออบชิ้นโต มันฝรั่งบดฉ่ำเกรวี่ กับผักย่างเนยหอมหวาน ที่เจ้าของห้องเป็นคนปรุงเองทั้งหมด

                      มื้ออาหารเรียบง่ายเหมือนทำกินเองในครอบครัว แต่มันอบอวลด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาดราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

                      ไนออลเป็นเจ้าบ้านที่ยอดเยี่ยม เขาเล่าเรื่องตลกเรื่องแล้วเรื่องเล่าให้แฮร์รี่ฟัง คอยเติมเครื่องดื่มและถามไถ่เรื่องต่างๆไม่ขาด และรสชาติอาหารมื้อนี้ก็แสนวิเศษ

       

                      “คุณเคยทานหอยทากบ้างไหม เห็นว่ามันเป็นอาหารขึ้นชื่อของฝรั่งเศสเลยนะ” ไนออลถาม

                      “ผมว่าแค่ผมเห็นมันอยู่บนจานผมก็อิ่มแล้วล่ะ ฮ่าๆๆๆๆ” เขาหัวเราะ และก็อดหยุดฟังตัวเองไม่ได้ มันเหมือนกับการฟังคนอื่นหัวเราะมากกว่า เสียงที่เขาหัวเราะมันเหมือนว่าเขาไม่ได้ทำมันมานานแล้ว

                      “แล้วคุณล่ะไนออล คุณย้ายมาจากไหนเหรอ ทำไมถึงมาอยู่ที่ลอนดอน”

                      “ผมมาจากไอร์แลนด์ครับ ย้ายมาเพราะเรื่องงาน บริษัทที่ผมทำอยู่มีสาขางานหลายที่ ผมเลยต้องย้ายมาประจำที่นี่..” ดวงตาสีฟ้าสบเข้ากับตาของเขา มันสั่นไหวเล็กน้อย กลายเป็นดวงตาของใครอีกคนที่เฉดสีใกล้เคียงกันเหลือเกิน

       

       

       

                      เขากำลังนั่งทานอาหารเย็นอยู่กับคนตัวเล็ก ในห้องนั่งเล่นเล็กๆของเขาทั้งสอง หิมะสีขาวโปรยปรายในความมืดผ่านหน้าต่างบานใหญ่ เป็นวิวที่แสนสวยงาม ทีวีเปิดช่องข่าว ฉายเป็นภาพผู้คนมากมายกำลังเดินไปตามถนน ร้านขายของขวัญเนืองแน่นไปด้วยพ่อแม่ที่มาซื้อของขวัญให้ลูกๆ ที่โบสถ์ขับร้องเพลงเฉลิมฉลองให้กับเทศกาลสำคัญ

       

                  สุขสันต์วันคริสต์มาสนะแฮซเสียงเล็กเอ่ย พร้อมกับรอยจุมพิตเบาๆที่ริมฝีปาก

       

                  “......และผมว่าลอนดอนเป็นสถานที่ที่สวยมากเลย ผมชอบลอนดอนอายมาก มันเหมือนอีกสัญลักษณ์ของลอนดอนเลยล่ะ” เสียงนุ่มเรียกให้เขาหลุดจากภวังค์ แฮร์รี่กระพริบตาปริบๆ พยายามเรียกสติให้กลับมา

       

                      “อ้อ ครับ” เขาโพล่งออกไปโง่ๆ ซึ่งไนออลคงมองออก

                      “คุณเป็นอะไรรึเปล่า เมื่อกี๊คุณดูเหม่อๆไป คิดอะไรอยู่เหรอ” อีกฝ่ายถาม พลางโน้มตัวมาหาเขาน้อยๆ

                      “อ้อ เปล่าหรอกครับ พอดีผมเพลียๆนิดหน่อยน่ะ ไนออล ถ้าไม่รังเกียจ ผมขอถามอะไรหน่อยสิ” เขาพยายามเปลี่ยนเรื่อง

       

                      “ทำไมคุณถึงซื้ออาหารมามากขนาดนี้ ผมรู้ว่าคุณซื้อมาตุนไว้ก็จริง แต่ส่วนใหญ่มันของสดทั้งนั้นเลยนี่ เก็บได้ไม่นานก็เสียแล้ว” แฮรืรี่ถาม จริงๆแล้วเขาไม่ค่อยอยากยุ่งเรื่องส่วนตัวของใครหรอก แต่เขากลัวไนออลจะถามซอกแซกเรื่องเขามากเกินไปมากกว่า

       

                      เมื่อได้ฟังคำถาม คนตรงหน้าเขาเอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อย สองมือประสานเข้าหากัน ดวงตาคู่นั้นหลุบลงไม่ยอมสบตาเหมือนที่ชอบทำ

       

                      “อ้อ..เรื่องนั้น  ผมก็ซื้อมาแบบนี้เป็นปกติน่ะครับ ทานหมดบ้างไม่หมดบ้างก็แล้วแต่ว่าผมขยันปรุงรึเปล่าน่ะ" อีกฝ่ายหัวเราะ แต่เป็นเสียงหัวเราะที่แฮรืรี่ดูออกว่ามันคือการกลบเกลื่อน  กับรอยยิ้มแห้งๆที่เหมือนมีอะไรปิดบัง

                     

                      “แต่ถ้าคุณมาทานมื้อเย็นกับผมบ่อยๆของที่ผมซื้อมาก็อาจจะหมดพอดีก็ได้นะ” ไนออลพูดและยิ้มน้อยๆ คราวนี้มันเป็นยิ้มที่ดูเศร้าสร้อยแต่จริงใจ ไม่รู้ทำไม แต่แฮร์รี่ดูออกว่าอีกฝ่ายพยายามผูกมิตรกับเขาเต็มที่

                      และแฮร์รี่เองก็รู้สึกชอบตัวเองเวลาที่อยู่กับไนออลเช่นกัน

       

       

                      เวลาผ่านเลยไปหลายชั่วโมง ตอนนี้ทั้งสองคนยังนั่งอยู่ที่โต๊ะเล็กๆในห้องครัวนั้น เรื่องราวของไอร์แลนด์ไหลผ่านถ้อยคำจากปากชายผมสีฟาง ความสนุกสนานในวัยเด็กของเด็กน้อยจากต่างเมือง ที่ย้ายเข้ามาในลอนดอนเมื่อหลายปีก่อน

       

                      เขาเล่าเรื่องมากมายที่ได้ผ่านเข้ามา เว้นไว้แต่เรื่องเดียว

                      คือเรื่องของลูอี

       

       

                      เมื่อหันมองดูนาฬิกา จึงได้รู้ว่าตอนนี้เกือบสี่ทุ่มแล้ว แฮร์รี่จึงขอตัวกลับ โดยมีไนออลมายืนส่งที่หน้าประตู

       

                      “ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้นะครับ แล้วก็เรื่องสนุกๆทั้งหลายด้วย” เขาพูด ขณะที่ยื่นมือมาจับกับอีกฝ่ายหลวมๆ

                      “ขอบคุณที่มาเป็นเพื่อนทานอาหารกับผมเช่นกันครับ” ร่างเล็กยิ้มกว้างให้เขา

                      “ถ้างั้น คืนนี้ราตีสวัสดิ์นะครับ”

                      “ราตรีสวัสดิ์ครับคุณไสตลส์”

       

      ก่อนที่ไนออลจะปิดประตูห้อง เขาโพล่งออกไปว่า

      “แฮร์รี่ เรียกผมว่าแฮร์รี่”

       

      ประตูห้องที่กำลังปิดหยุดกึก และเปิดอ้าออกน้อยๆ ให้เห็นเพียงใบหน้าที่สุกสว่างของชายเจ้าของตาสีฟ้าคราม

       

      “ราตรีสวัสดิ์นะครับ แฮร์รี่”

       

       

       

      อากาศหนาวเย็นยามค่ำคืนของช่วงปลายปี แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก มันแผ่ซ่านไปทั่วทุกรูขุมขน เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะชาร้อนๆหลังอาหารที่ดื่มเข้าไป เพราะอาหารรสเลิศ หรือเพราะ รอยยิ้มของใครบางคนที่ยิ้มให้เขาเมื่อครู่นี้

      น้ำอุ่นๆที่ไหลผ่านร่างกาย ไม่อุ่นเท่าสีหน้ามีความสุขของใครบางคนที่ดีใจเมื่อเขาบอกให้เรียกชื่อต้นเขาได้

      เสื้อแขนยาวตัวโปรด ไม่ห่อหุ้มเขาให้สบายเท่าน้ำเสียงนุ่มๆนั้นที่คอยเล่าเรื่องตลกๆให้เขาฟัง

      เตียงกับผ้าห่มผืนหนา ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขเท่าช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้

       

      ในขณะที่แฮรืรี่กำลังจะตกอยู่ในห้องนิทรา ก้อนหนักๆบางอย่างจู่ๆก็พุ่งขึ้นมาจุกอยู่ที่อก ดวงตาสีเขียวเบิกโพลงขึ้น มือเย็นเฉียบ

       

      แล้วลูอีล่ะ..

       

      เขาเอาคนคนนั้นไปไว้ที่ไหน

      แฮร์รี่กำลังปล่อยให้มีใครบางคนเข้ามาแทนที่ลูอี

       

      ห้องห้องนี้เป็นของเขากับลูอี

       

      เสื้อตัวที่เขาใส่อยู่เป็นตัวที่ลูอีเลือกให้

       

      เตียงหลังนี้เป็นของเขาทั้งสองคน

       

       

       

      แต่ตอนนี้แฮร์รี่กำลังจะยอมให้ใครเข้ามาแทนที่คนที่เขารักมากที่สุด

      ไม่ได้..

       

      ไม่ได้เด็ดขาด..

       

      ความอบอุ่นที่เคยมีตอนนี้แทนที่ด้วยความหนาวเยือกจากตัวเขาเอง ความรู้สึกสบายผ่อยคลายแทนที่ด้วยก้อนความคิดหนักอึ้งที่กดทับเหมือนหินวางอยู่บนหน้าอก อึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก

      ลูอีรักเขา และเขาก็รักลูอี แฮร์รี่จะไม่มีวันลืมข้อนี้ และเขาสัญญาแล้ว สัญญาว่าจะอยู่ตรงนี้ กับลูอีตลอดไป

      แฮร์รี่ต้องไม่ยอมให้ไนออล หรือใครก็ตาม เข้ามาอยู่ในจุดเดียวที่ลูอีอยู่

       

      อย่าใจอ่อน..อย่าใจอ่อนเด็ดขาดนะสไตลส์

       

      นายจะใจอ่อนกับคนคนนี้ไม่ได้….

      “ฉันจะอยู่ตรงนี้ และจะอยู่ตลอดไป” คำพูดคำสุดท้ายหลุดออกจากปาก ก่อนที่เขาจะหลับไป ของเหลวสีใสซึมอยู่ที่แพขนตาหนา

       

       

       

       

                      ช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมา เขาไม่พบกับไนออลอีกเลย

       

                      อันที่จริง แฮร์รี่รีบออกจากอาพาร์ทเม้นท์แต่เช้าตรู่ทุกวัน และกลับมาที่ห้องในตอนที่ฟ้ามืดสนิทแล้ว เขาไปถึงที่ออฟฟิซคนแรก ออกไปเดินเล่นข้างนอกหลังเลิกงานจนดึก ถึงจะยอมกลับบ้าน

                      เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องเจอกับคนคนนั้นอีก หรืออย่างมากก็ให้ห่างที่สุดก็พอ

                      ยิ่งห่างไนออลได้มากเท่าไหร่ เขาคงจิตใจสงบลงได้มากเท่านั้น

       

                      แต่น่าแปลก ที่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย

       

                      ยิ่งนานวัน เขายิ่งสับสนมากขึ้น ทุกๆครั้งที่เขาก้าวเข้าไปในลิฟต์ แฮร์รี่จะนึกถึงคนคนหนึ่งที่ร้องเรียกให้เขาหยุดรอก่อน ทุกครั้งที่ไปตลาด เขาจะเห็นร่างเล็กๆที่พยายามหอบถุงอาหารมากมายที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีวันกินหมด

                      แต่อีกด้านหนึ่ง ความฝันจากอดีตยิ่งทวีคูณความรุนแรงขึ้น ช่วงเวลาเลวร้ายยิ่งกลับมาหลอกหลอนเขาในแทบทุกครั้งที่เขาหลับตาลง ไม่ใช่แค่ตอนกลางคืน แค่ช่วงงีบหลับสั้นๆนั้น ลูอีก็ยังกลับมาหาเขาอยู่เสมอ

                     

      ในตอนตื่น เขานึกถึงไนออล ในตอนหลับ เขามองเห็นลูอี

      วนซ้ำไป ซ้ำมา

       

       

       

      “ลูอี ฉันเหนื่อยจัง”

       

       

      หิมะแรกในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนโปรยปรายลงมาบางๆ ฤดูกาลแปรเปลี่ยนไปจากท้องถนนที่เต็มไปด้วยใบไม้สีน้ำตาล แทนที่ด้วยปุยสีขาวสะอาด เด็กๆวิ่งเล่นหิมะในสนามหลังบ้าน ผู้ใหญ่พากันนั่งจิบชาร้อนๆข้างเตาผิงในบ้าน คนเฒ่าคนแก่เล่าเรื่องราวเก่าแก่ให้ลูกหลานฟัง

       

      ชายหนุ่มกำลังนั่งอยู่ ณ พื้นหิมะเย็นเยียบ ตรงหน้าป้ายหินสีขาวปลอด แก้วกาแฟกระดาษเย็นชืดสองแก้ววางทิ้งที่หน้าหลุม ไม่ได้พร่องลงแม้แต่น้อย ดอกกุหลาบสีแดงสดดอกหนึ่งวางอยู่เคียงข้างกัน

       

      “ฉันไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ฉันไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย”

       

      แฮร์รี่จุดบุหรี่ขึ้นสูบ หลับตาพริ้มไปกับนิโคตินที่อัดเข้าสู่ร่างกาย แต่ในใจเขาไม่ได้รู้สึกดีตามมันสักนิด

      “ฉันเจอ..คนคนหนึ่ง เขามีอะไรบางอย่าง รู้ไหม เขา..เขาทำให้ฉันรู้สึกอะไรบางอย่าง ที่มันประหลาด ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่ยิ่งนานวัน มันยิ่งชัดเจนขึ้น”

       

      “เขาเหมือนนายมากนะ....ลูอี”

       

      “แต่ฉันมีนาย ฉันมีนายแล้ว ฉันไม่อยากให้คนคนนั้นเข้ามาแทนที่นาย”

       

      “ฉันเคยสัญญากับนายแล้วว่าจะไม่ไปไหน แต่ตอนนี้ใครคนนั้นทำให้มันยากขึ้น  ฉันต้องทำยังไงเหรอ ลู..” ริมฝีปากแห้งแตกจากความเย็นเหยียดยิ้มมุมปาก เป็นยิ้มที่เย้ยหยันเสียเหลือเกิน เย้ยหยันทุกอย่าง เย้ยหยันโลกใบนี้ เย้ยหยันตัวเขาเอง

       

      “เป็นนาย นายจะทำยังไงเหรอ”

       

      และเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ความเงียบไม่เคยให้คำตอบกับเขาสักครั้งเดียว..

       

       

      “วันนี้ฉันไปก่อนนะ ไว้วันหลังฉันจะมาหานายใหม่ ราตรีสวัสดิ์นะลู”

      มือเรียวแตะริมฝีปากตัวเอง และเอื้อมไปแตะที่ตัวอักษรสีเทา ลูบไล้ไปตามร่องสลักในเนื้อหิน และลุกเดินออกมา

                      และทันใดนั้น เสียงเสียงหนึ่งเรียกเขาจากทางด้านหลัง

       

                      “แฮร์รี่”

       

      ประกายผมสีฟางข้าวกับรูปร่างของคนที่เขาคุ้นตา ยืนอยู่ที่หน้าประตูโบสถ์ใกล้ๆกัน กำลังโบกมือให้เขาหันมามอง และก้าวฉับๆเข้ามาหาเขา คนซึ่งแฮร์รี่กำลังพยายามหลีกเลี่ยงมานาน แต่มาจบตรงที่เขาลืมนึกไปว่านี่เป็นที่สาธารณะ แถมยังเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์เสียด้วย  ไม่แปลกเลยที่ไนออลจะเจอเขาแถวนี้

       

      “ผมไม่เห็นคุณตั้งนานแน่ะ นึกว่าคุณจะหายไปไหนซะแล้ว” มือเล็กยกขึ้นเสยผมสีอ่อน ริมฝีปากฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ

      “เอ่อ ช่วงนี้ผมมีงานที่บริษัทเยอะน่ะครับ เลยกลับดึกนิดหน่อย” ชายหนุ่มยืนถ่ายน้ำหนักไป เขาไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายตรงๆ แฮรืรี่กลัวว่าไนออลจะรู้ว่าเขาโกหก

      “งั้นเหรอครับ เหนื่อยน่าดูเลยนะครับ วันนี้คุณหยุดนี่นา มาโบสถ์เหรอครับ” ร่างเล็กถาม

      “อ้อ ครับ แต่เห็นว่าเขาสวดมนต์กันเสร็จแล้วผมเลยจะกลับ แต่เจอคุณพอดี” แฮร์รี่ตอบกลับไป ขณะเดียวกันเขารู้สึกได้ว่าไนออลมองเขาผิดปกติไป สายตาสงสัยปนคลางแคลงใจ แปลว่าไนออลคงไม่เชื่อ

      “น่าเสียดายนะครับ แล้ววันนี้คุณมีนัดไปที่ไหนรึเปล่า ถ้าไม่รังเกียจให้ผมเลี้ยงมื้อกลางวันคุณอีกซักมื้อนะครับ ผมได้ยินมาว่าห่างไปไม่กี่บลอคมีร้านฟาสฟู้ดที่นึงอร่อยมาก ลองไปกันดูมั้ยครับ” น้ำเสียงเชื้อเชิญเต็มที่ แฮร์รี่ลังเล และตอนนั้นเอง..

      โครกกก....

      ท้องร้อง..

       

      ไนออลพยายามกลั้นหัวเราะจนตัวโยนขณะที่แฮร์รี่เขินจนหน้าร้อนไปหมด ก็ช่วยไม่ได้นี่นา เขายังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า กาแฟที่ซื้อมาก็ไม่ได้ดื่มซักหยด แถมนี่ก็เกือบเที่ยงแล้วด้วย

       

      ไม่รู้ทำไม แฮร์รี่ยิ้มไปกับท่าทางของคนตัวเล็กตรงหน้าเขา..

      “ไปเถอะครับ ท่าทางท้องคุณจะปฏิเสธผมไม่ได้แล้วล่ะ” ไนออลยิ้มอีกครั้ง และออกเดินนำหน้าแฮร์รี่ไปที่ป้ายรถเมล์ซึ่งอยู่ถัดไปไม่ห่างกัน

       

      จะไปดีไหมนะ..

       

      “รถบัสแล้วจะมาแล้วนะครับ! คิดดีๆนะแฮร์รี่” เสียงใสๆผนสำเนียงไอริชตะโกนเรียกมาไกลๆ พอดีกับที่รถบัสสายที่ต้องการกำลังแล่นเข้ามา

       

      เอาเถอะ แค่กินข้าวอีกมื้อ

      ขาเรียวออกวิ่งเหยาะเข้าไปหาอีกฝ่าย ขณะที่รถเมล์มาจอดเทียบที่ป้าย ทั้งสองคนก้าวขึ้นไป มุ่งหน้าตรงไปยังร้านอาหารที่เขาจะได้ทานมื้อเที่ยงด้วยกัน

       

       

      Nando’s  Flame-Griled Chiken Restaurant

       

      ไก่ย่าง ไม่ใช่อาหารที่แฮร์รี่โปรดปรานอะไร แต่เขากลับรู้สึกว่าคราวนี้มันมีอะไรบางอย่างที่ต่างออกไป

       

      ไนออลเป็นคนที่ทานอาหารที่ดูเอร็ดอร่อยในทุกๆคำจริงๆ คือตั้งแต่ที่เขาทั้งสองลงรถบัสมา แฮร์รี่สังเกตได้ว่าอีกฝ่ายตาเป็นมันเมื่อมาถึงร้านไก่ย่างที่ขึ้นชื่อนี้ และรีบลากเขาเข้าไปในร้านอย่างไว

      เมนูละลานตา เจ้าตัวสั่งแทบทุกอย่างในเมนูนั้น และเมื่ออาหารมาถึง ก็จัดการลงมือกินอย่างมีความสุข สลัดคราบหนุ่มขี้อายดูเรียบร้อยกลายเป็นอีกคนไปเลย

       ในขณะที่กิน แฮร์รี่ไม่รู้หรอกว่าทำไม แต่เขาห้ามสายตาไม่ให้มองอีกฝ่ายไม่ได้จริงๆ

       

      ชายร่างเล็กคนนี้ดูเป็นคนที่มีความสุขและร่าเริงมากๆในแทบทุกอิริยาบถ คนคนนี้มีอะไรบางอย่างที่ทำให้แฮร์รี่ผ่อนคลายเวลาอยู่ใกล้ๆ เขาสามารถปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปโดยไม่ต้องห่วงว่าอีกฝ่ายจะมองเขายังไง

      ที่จริงแล้วอาหารมื้อนี้แฮร์รี่ไม่ได้เอร็ดอร่อยเหลือเชื่อ แต่เขากลับมีความสุขแบบที่ไม่ได้มีมานานแล้ว

       

      หลังจากจบมื้ออาหาร ทั้งสองยังคงอ้อยอิ่งอยู่ในร้าน ไนออลสั่งไอศกรีมมากินเล่นในขณะที่แฮร์รี่สั่งกาแฟเย็นมาดื่มเพลินๆ

      “หน้าหนาว แต่คุณกินกาแฟเย็นเนี่ยนะแฮร์รี่ ไม่หนาวแย่เลยเหรอ” คนตัวเล็กว่าพลางตักของหวานเข้าปาก

      “ผมชอบกาแฟเย็นน่ะ ดื่มแล้วสดชื่นดี ถ้าหนาวผมก็ค่อยใส่เสื้อเพิ่มเอา” เขาตอบ

       

       

      คนอะไร ชอบกินกาแฟเย็น ทั้งๆที่หนาวขนาดนี้

      ก็ฉันชอบนี่ เย็นสดชื่นดีจะตาย

       พ่อคนประหลาด กินจนหนาวตายขึ้นมาไม่รู้ด้วยนะ

                  ไม่หนาวหรอก เพราะถ้าหนาวฉันก็แค่กอดนายไง ง่ายๆ

                  บ้าน่า! ฉันไปดีกว่า ขอให้หนาวตายไปเลยนะ           

                  ลูอี อย่างอนสิ ฮ่าๆๆ

       

      กระพริบตาหนึ่งครั้ง ไนออลก็กำลังจ้องเขม็งมาที่เขา โน้มตัวขึ้นจากเก้าอี้ ใบหน้าขาวๆนั่นยื่นมาใกล้จนน่าตกใจ ดวงตาสีฟ้าไม่ขัยบหลบไปไหน

      “เอ่อ...อะไรเหรอครับ” แฮร์รี่เหวอ พลางยื่นหน้าออกห่างจากอีกฝ่าย รอยยิ้มเหยๆปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก

      “ผมว่าคุณขี้เหม่อนะแฮร์รี่” คนตรงหน้าเขาพูด

      “ว่า..ว่าไงนะครับ”

      “ผมสังเกตมาหลายครั้งแล้ว บางทีคุณเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวบางอย่าง จู่ๆคุณก็จะขมวดคิ้วแล้วนิ่งไปเลย เป็นอะไรรึเปล่า “ ไนออลพูด

      “เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีช่วงนี้ผมเครียดเรื่องงานนิดหน่อยน่ะ พอส่งโปรเจคเสร็จแล้วคงดีขึ้นเอง” แฮร์รี่ว่า เขาจัดการยกแก้วกาแฟของตนขึ้นดูดอย่างเอาเป็นเอาตาย พยายามไม่สบตาอีกฝ่ายตรงๆ

      “ถ้ามีอะไรที่คุณไม่สบายใจ บอกผมได้นะครับ ทุกเรื่องเลย ถึงผมจะช่วยไม่ได้ แต่อย่างน้อยคุณก็ได้ระบายมันออกมา”

       

      มีอะไรไม่สบายใจก็พูดออกมาเถอะน่า ฉันช่วยไม่ได้ แต่ฉันฟังนายได้เสมอนะแฮซ

       

      “....”

      “ผมไม่เป็นไรจริงๆครับ ไนออล ถ้าวันนี้คุณไม่ได้ไปไหน ผมมีที่ที่หนึ่งที่อยากพาคุณไป รับรองว่าคุณต้องชอบแน่นอน” ชายหนุ่มลุกยืนขึ้นจากโต๊ะ จ่ายเงินกับพนักงานโดยที่ไม่ยอมให้คนตัวเล็กออกซักนิด และเดินนำหน้าอีกฝ่ายออกจากร้านไป

      “ห้าโมงเย็นวันนี้เจอกันนะครับ ผมจะพาคุณไปเอง”

       

       

       

      จริงๆแฮร์รี่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าตอนนั้นเขาคิดอะไร

      เขาแค่อยากจะตอบแทนไนออลที่เลี้ยงมื้อเย็นเขาวันนั้นก็เท่านั้นเอง

      เขาไม่ได้คิดหรอกว่าจะทำให้ตัวเองรู้สึกแบบนี้

       

                      รถเมล์จอดลงตรงริมแม่น้ำสายหลักของกรุงลอนดอน  พื้นน้ำเริ่มจับตัวเป็นน้ำแข็งเพราะความหนาวเย็น ปุยหิมะสีขาวร่วงหล่นลงมาเรื่อยๆ สวนสาธารณะคร่าคร่ำไปด้วยผู้คนมากมาย แสงสีของไฟตามต้นไม้ดูสวยงาม

                      ชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ตั้งตระหง่าน มันหมุนไปช้าๆเอื่อย คลอไปกับเสียงเพลงที่แว่วมาไกลๆ

                      ร่างเล็กดูชื่นชอบใจเป็นที่สุด คว้าแขนเขาเข้าไปต่อแถวขึ้นลอนดอนอาย ใบหน้าขาวๆยิ้มกว้างเหมือนกับเด็กๆ ซึ่งเขาก็อดยิ้มตามไปไม่ได้

                      วิวทิวทัศน์ของเมืองใหญ่ปรากฏแก่สายตาเมื่อขึ้นมาถึงยอดสูงสุด หอนาฬิกาบิ้กเบนตีบอกเวลาอยู่ไกลๆ สะพานข้ามแม่น้ำทอดยาว รถราแล่นเร็วจนมองเห็นเพียงจางๆ เมื่อมองลงมาข้างล่างดูเหมือนโลกใบนี้เหลือเพียงกระจ้อยร้อย

                     

                      แฮร์รี่พยายามทิ้งให้ทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง ตอนนี้เขากำลังตอบแทนความรู้สึกดีๆที่ไนออลมีให้เขา ตอนนี้เขากำลังพาไนออลมาทำในสิ่งที่เจ้าตัวอยากทำเหลือเกิน เขาจะต้องไม่สนใจภาพบางอย่างที่มันซ้อนขึ้นมาในแทบทุกนาที

       

                      เขาเคยสารภาพรักใครอีกคนที่นี่ ณ ตรงนี้ บนยอดที่สูงที่สุดของชิงช้าสวรรค์นี้นี่เอง..

                     

                     

                      หลังจากนั้น เขาพาคนตัวเล็กมาที่ร้านอาหารกึ่งบาร์แห่งหนึ่ง แฮร์รี่ไม่ได้ชอบดื่มเท่าไหร่หรอก แต่ในเมื่อมันใกล้เทศกาล เขาจึงอยากปล่อยตัวปล่อยใจไปบ้าง ซึ่งร้านนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในร้านโปรดของเขา

                      บรรยากาศอึมครึมภายในตัวอาคารกับเสียงเพลงแจ็สที่เล่นคลอช่วยขับกล่อมอารมณ์ หลังจากทานอาหารแล้วทั้งสองสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอลมาดื่ม เฝ้ามองความเป็นไปของแสงสียามค่ำคืน

                      เวลาผ่านไป แอลกอฮอลเข้าสู่เส้นเลือดบวกกับกลิ่นควันบุหรี่ที่คนอื่นจุดสูบทำให้ยิ่งเคลิ้มมึนเร็วขึ้น แต่เขาไม่สน

                      “ขอบคุณนะครับที่พามาเที่ยว แถมยังพาผมมาเลี้ยงอีก” ไนออลว่าขณะที่ยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปาก เสียงของอีกฝ่ายเริ่มอ้อแอ้ทั้งๆที่เพิ่งดื่มเบียร์ไปได้ไม่กี่แก้ว

                      “ไม่เป็นไรครับ ถือว่าเป็นการตอบแทนที่เลี้ยงอาหารผมตั้งสองมื้อ แค่นี้ถือว่าเล็กน้อยมาก” เขายักไหล่ และยกแก้วขึ้นจิบ ของเหลวสีใสเหมือนน้ำไหลลงคอ รสขมปร่าแผ่ซ่านทั่วปาก

                      “คุณดื่มอะไรน่ะแฮรืรี่ อย่างกับน้ำเปล่า ” อีกฝ่ายถาม ตาจ้องมาที่ขวดโหลบรรจุของเหลวใสๆที่พร่องไปเกือบครึ่ง

                      “อ้อ วอดก้าน่ะครับ เป็นเหล้าชนิดหนึ่ง ค่อนข้างแรง คุณอยากลองไหม” เขายกมือขึ้นเรียกบริกรขอแก้วชอตเพิ่มอีกใบ และรินเครื่องดื่มนั่นลงไป ปาดน้ำมะนาวและเกลือที่ปากแก้ว ยื่นให้ไนออล

                      มือเล็กรับไปยกขึ้นดม กระดกเข้าปากหมดในรวดเดียว ใบหน้าขาวๆเหยเกขณะที่กลืนลงคอ แฮร์รี่หัวเราะกับท่าทางของอีกฝ่าย

                      “แรงมากเลยนะเนี่ย คุณดื่มไปได้ไงขนาดนี้แต่ไม่เมาเลย”

                      “ผมเป็นพวกคอแข็งน่ะครับ ก็มีมึนๆบ้างแต่ไม่ถึงกับเมาเลยทีเดียว วอดก้าเนี่ย ถ้าดื่มครั้งแรกจะขมมาก แต่พอกลืนลงไปแล้วจะหอมในคอมากเลยล่ะ” เขาว่า และรอปฏิกิริยาของคนตรงข้าม

                      ไนออลนิ่งไปซักพัก และเริ่มเลียลิ้นตัวเอง ใบหน้าขาวเริ่มแดงซ่านเพราะพิษเหล้า

                      “อืม...ก็อร่อยดีนะครับ ผมชอบแฮะ” คนตัวเล็กว่า แฮร์รี่หัวเราะ และเทเพิ่มให้ไนออลอีกแก้ว

       

                      หนึ่ง..

                      สอง..

                      สาม..

                      สี่...

                     

                      เขายอมรับผิดก็ได้ว่าไม่นานให้ไนออลลองดื่มไอ้เจ้านั่นเลย

       

                      ตอนนี้แฮร์รี่กำลังกึ่งแบกกึ่งลากร่างเล็กๆขึ้นมาที่ห้อง ไนออลซึ่งเมาแทบไม่มีสติกำลังหัวเราะคิกคักอยู่ข้างหูเขา ทางเดินแคบๆในอพาร์ทเม้นท์มืดจนแทบมองไม่เห็น หรือเพราะเขาเองก็เริ่มมึนๆแล้วเหมือนกันก็ไม่รู้

                      เขาค้นกระเป๋าของอีกฝ่าย เกี่ยวเอากุญแจห้องมาไขอย่างทุลักทุเล และลากไนออลเข้าไปด้านใน

                      ไฟในห้องปิดสนิท แฮร์รี่มองเห็นโซฟารางๆ เขาพยายามไปจนถึงจนได้ และวางไนออลลง ถอดเสื้อนอกออกให้ จัดท่าทางที่ดูสบายที่สุดให้ แล้วทิ้งตัวลงนั่งหอบอยู่กับพื้น ใครจะไปนึกว่าตัวเล็กๆจะหนักขนาดนี้

                      อีกฝ่ายแทบไม่ได้สติ แฮร์รี่คงต้องขอโทษเป็นการใหญ่ในพรุ่งนี้ เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะคออ่อนขนาดนี้ ที่จริงแค่เบียร์ไม่กี่แก้วก็น่าจะเพียงพอแล้ว

                      เมื่อเสร็จจัดการท่าทางที่สบายให้ไนออลเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มกำลังจะเก็บข้าวของกลับไปที่ห้องของตัวเอง ลุกยืนขึ้นจะไปที่ประตู แต่เพราะขมับที่ปวดหนึบทำให้ต้องทรุดกลับมานั่งอีกรอบ

       

                      ความมึนเมากำลังเล่นงานเขา

                      ลุกก็ไม่ไหว ไปไหนก็ไม่ได้

       

       เมื่อสังเกตไปรอบๆห้อง ห้องห้องนี้ดูอบอุ่นสบายตาเหลือเกิน  มันสบายจนไม่อยากจะลุกไปไหนอีกแล้ว เปลือกตาก็หนักขึ้นทุกที

      งีบซักหน่อยคงไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยกลับห้องก็ได้..

       

      ...

       

                  แฮร์รี่..  แฮร์รี่

                  หมอกสีเทาที่บดบังสายตาเคลื่อนตัวออก เผยให้เห็นแผ่นหินอ่อนสี่ขาวตั้งตระหง่านบนยอดเขาสูง ขาเรียวยาวพยายามปีนป่ายขึ้นไปให้ถึงยอด เพื่อที่จะได้ไปถึงแผ่นหินนั้น

                  เสียงกระพริบแผ่วเบาดังออกมาจากมัน เป็นเสียงเล็กๆของผู้ชายที่กำลังร้องเรียกเขา น้ำเสียงดูเศร้าสร้อยและสิ้นหวัง เหมือนกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

      มือเรียวจิกเข้าไปในเนื้อหิน พยายามดึงตัวเองขึ้นไปให้สูงขึ้น

                      แฮร์รี่..

                  เขาถีบตัวขึ้นจากหินที่เหยียบ คว้าเอากิ่งไม้กิ่งที่ยื่นออกมา มันอยู่ใกล้กับจุดสูงสุดแล้ว อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเท่านั้น..

                  นายทำแบบนี้ทำไม..

                  ชายหนุ่มชะงัก ทำไมเสียงที่เศร้าสร้อยนั้นเปลี่ยนไป มันเปลี่ยนเป็นการตัดพ้อที่แสดงออกได้ชัด มันเจือแววโกรธเคืองและอ่อนแรง

                  นายทำแบบนี้ไปทำไม..

                  กิ่งไม้นั้นหัก เขาร่วงหล่นลงไปยังความมืดมิดเบื้องล่าง หมอกสีเทานั่นกลับมาอีกครั้ง มันดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างของเขา ทุกๆอย่าง ไม่เหลืออะไรเลย นอกจากความมืด

       

                 

       

       

       

                  ดวงตาสีเขียวเบิกโพลง เขาสะดุ้งสุดตัว ความมืดนั้นยังคงอยู่ไม่ไปไหน แฮร์รี่กระพริบตาครั้งแล้วครั้งเล่า และลมหายใจถี่รัวก็ค่อยๆช้าลง

                      เขายังอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ของเพื่อนข้างๆห้องของเขา เมื่อเพ่งมองดีๆ เห็นร่างเล็กๆนอนอยู่บนโซฟาตรงข้ามกับเขา ลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่าอีกฝ่ายยังหลับสนิท คงได้เวลาที่แฮร์รี่จะกลับแล้ว ไว้พรุ่งนี้เขาจะมาขอโทษไนออลอย่างดีเลย

      มือคว้ากระเป๋าสะพายกับแจ๊คเก็ตเตรียมตัวจะลุกออกจากห้องไป แต่ดันเขาดันลืมโทรศัพท์มือถือซะได้

      แฮร์รี่คลำทางกลับมาที่โซฟา เขาจำได้ว่าวางมันไว้ตรงโต๊ะไม้เล็กๆนั่น พยายามควานหาไปตามความมืด เขาไม่อยากเปิดไฟ เพราะกลัวไนออลจะตื่นซะก่อน

      ในที่สุดก็หาจนเจอ แฮร์รี่เก็บมันเข้ากระเป๋าและเตรียมจะหันหลังออกไปอีกครั้ง แต่สายตาเขาไปสะดุดกับอะไรบางอย่าง

      ท่ามกลางความมืด กรอบรูปสีขาวขนาดเท่าฝ่ามือวางอยู่สะท้อนแสงขึ้นมา มันคว่ำอยู่บนโต๊ะเหมือนมีใครเป็นคนคว่ำมันเอง ไม่ได้หล่นหรือขาตั้งหักแต่อย่างใด

       

      ชายหนุ่มลังเล เขาควรจะเข้ามายุ่งกับเรื่องส่วนตัวของไนออลหรือ มันจะเป็นการถือวิสาสะเกินไปไหม

       

      แต่ในที่สุด ความอยากรู้อยากเห็นก็เป็นฝ่ายชนะ..

       

      มือเรียวค่อยๆหยิบกรอบรูปนั่นขึ้นมา เพ่งมองไปที่ใบหน้าของใครบางคนที่กำลังฉีกยิ้มให้กับกล้อง

       

      ชายสองคน ยืนเคียงคู่กัน พื้นหลังเป็นท้องฟ้าสีสดใส ทั้งสองยิ้มแย้มอย่างมีความสุข ดูเหมือนทั้งสองจะถ่ายรูปนี้ด้วยตัวเอง เพราะมันใกล้จนเห็นแต่ใบหน้าเท่านั้น

      ชายคนที่หนึ่งเป็นคนตัวสูง เส้นผมตัดสั้นสีน้ำตาลเข้ม กับดวงตาสีเข้มที่แฮร์รี่ดูไม่ออกว่าเป็นสีอะไร กำลังยิ้มจนตาหยี หนวดเคราขึ้นบางๆอย่างดูดี เป็นคนถือกล้องถ่าย ในขณะที่อีกคนอยู่ในอ้อมแขน

      ชายตัวเล็ก มีผมสีบลอนด์สว่าง ยิ้มและมองไปที่ใบหน้าของอีกคนในรูป ดวงตาสีฟ้ากระจ่างเจือแววสดใส ริมฝีปากบางฉีกยิ้มมีความสุข

       

      คนคนนั้นคือไนออล..

       

       

       

      “นั่นคือเลียม”

      แฮรี่สะดุ้ง มองไปทางต้นเสียง เห็นไนออลกำลังลืมตามองเขาอยู่ สีหน้าของเจ้าตัวเรียบเฉยไม่แสดงอาการใดๆ รอยยิ้มที่ปกติมักได้เห็น คราวนี้หายไปหมดสิ้น

      “เอ่อ..ผมขอโทษที่ถือวิสาสะ ผมว่า—“

      “ไม่เป็นไรครับ ผมว่าจะบอกคุณอยู่นานแล้วเหมือนกัน” คนตรงหน้าเขาพูด และยันตัวขึ้นนั่ง มือสองข้างประสานเข้าหากัน ตาจดจ้องมาที่รูปในมือของแฮร์รี่

       

      “เลียมเป็นคนหน้าตาดี เป็นมิตรกับทุกคน แล้วก็ใจดีมากๆเลยล่ะ

      เราทำงานที่บริษัทเดียวกัน เขาเป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคล ส่วนผมเป็นลูกน้องในสังกัตของเขา เราทำงานด้วยกันมาหลายปี เลียมเป็นคนที่ทำงานเก่งมาก ไม่เคยบกพร่องเลยสักอย่างเดียว เขาดูแลผมทุกอย่าง

      เราตัดสินใจย้ายมาอยู่ด้วยกัน เลียมมีทาวน์เฮ้าส์เล็กๆอยู่ที่ชานเมือง เรามีรถหนึ่งคันที่ช่วยกันเก็บเงินซื้อ มีเงินเก็บจำนวนหนึ่ง เรามีทุกอย่างที่ชีวิตของคนคนหนึ่งต้องการ”

       

      รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาว ยิ้มที่ดูแปลกพิกล เสียงหัวเราะขึ้นจมูกเหมือนกำลังเย้ยหยันตัวเอง

       

      “เลียมเป็นคนชอบทำอาหาร อาหารที่เขาทำอร่อยทุกอย่างเลยนะ เขาเคยสอนผมทำด้วย กินได้บ้างไม่ได้บ้างแต่เขาก็จะชมว่ามันอร่อยเสมอ ฮ่าๆๆ” ของเหลวใสๆเอ่อคลอหน่วยดวงแก้วสีอ่อน รอยยิ้มนั้นยังไม่จากไปไหน

      ไนออลก้มหน้า นิ่งไปซักพักและเงยขึ้นมาอีกครั้ง คิ้วสองข้างขมวดมุ่นเหมือนพยายามสกัดกลั้นอารมณ์ แต่ตอนนี้น้ำตากำลังไหลนองใบหน้านั้นแล้ว

       

      “วันนั้น เราสองคนออกไปดูหนังกันในตัวเมือง เป็นวันที่อากาศหนาวมาก และฝนก็ตก ขากลับเราสองคนซื้อขนมมาเยอะแยะ เตรียมจะเอากลับมากินเล่นกันที่บ้าน แต่..”

      เสียงของไนออลขาดห้วง อีกฝ่ายกลืนน้ำลายและพยายามพูดต่อ

       

      “หมอกลงหนา เลียมขับรถฝ่ามันไปเรื่อยๆ แล้วมีรถอีกคัน  วิ่งสวนมา..”

       

      น้ำตาหยดเผาะลงที่โต๊ะไม้ แฮรี่เงยหน้าขึ้นมอง พบกับดวงแก้วสีฟ้าที่แตกร้าวแทบไม่มีชิ้นดี

       

      ไนออลไม่ได้สะอื้นไห้จนตัวโยน ไม่ได้ร้องคร่ำครวญแต่อย่างใด แต่เป็นการที่น้ำตาเอ่อล้นออกมาจากดวงตา และไหลลงช้าๆทีละหยด โดยเจ้าตัวไม่คิดจะปาดมันออก

      ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มบิดเบี้ยว เสียงหัวเราะขึ้นจมูกดังขึ้นอีกครั้ง

       

      “สามอาทิตย์ถัดมาผมตื่นขึ้นในห้องICU ไหปลาร้าแตกละเอียด ซี่โครงแทงทะลุปอดขวา แต่ผมก็ยังอุส่ารอดมาได้” ไนออลยักไหลอย่างไม่เยแส ส่ายหัวเล็กน้อยและพูดต่อ

       

      “แต่เลียม..เขาไม่แม้แต่จะได้มาที่โรงพยาบาลเลยตัวซ้ำ”


      มือสองข้างยกขึ้นปิดหน้า เสียงสูดหายใจดังเล็ดลอดออกมา เหมือนพยายามอย่างหักที่จะไม่ปล่อยสะอื้นให้แฮร์รี่เห็น

       

      “ผมก็ยังสงสัย ว่าทำไมคนที่ตายถึงไม่เป็นผม”

       

       

      แฮร์รี่นิ่งเงียบ เขาไม่ขยับไปไหน แต่กลับจดจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย ที่แตกร้าวจนละเอียด มือทั้งสงข้างเขาเย็นเฉียบเหมือนกับน้ำแข็ง กล้ามเนื้อไหล่หดเกร็งตัว

      “ผมตื่นขึ้นมาทุกๆวัน มันเหมือนกับความฝัน ว่าจริงๆแล้วเลียมอาจจะไปทำธุระที่ต่างประเทศแล้วกำลังกลับมาหาผมก็ได้ แต่พอกระพริบตาอีกครั้ง มันก็หายไป เหลือแค่ผมคนเดียว”

       

      “ทุกวันนี้ผมยังอยากให้เขากลับมาชิมอาหารที่ผมทำ มันอร่อยขึ้นมากเลยนะ”

       

      และแล้ว ชายหนุ่มตัวเล็กที่แฮร์รี่เคยคิดว่าสดใสที่สุด กลับกลายเป็นเพียงหน้ากากใบหนึ่งที่ซ่อนเอาตัวตนของคนที่แตกสลายเอาไว้

       

      ไม่ได้ต่างจากเขาเลย

       

      ไนออลไม่ต่างจากเขาสักนิด เมื่อชิ้นส่วนที่สำคัญมันหายไปจากชีวิต อีกเสี้ยวที่เหลืออยู่ต้องดำเนินต่อไปให้ได้แม้มันจะเว้าแหว่งแค่ไหนก็ตามที

       

       

       

      ดวงอาทิตย์ขึ้นที่ริมขอบฟ้าในเช้าวันใหม่ แต่ร่างโปร่งยังคงนั่งอยู่ ณ ที่เก้าอี้ตัวเล็กๆในห้องของเขาเอง ไม่อยากขยับเขยื้อนไปไหน ไม่อยากพูดอะไรกับใคร ไม่อยากทำอะไรเลย

      เมื่อคืนหลังจากถ้อยคำสารภาพหลุดออกมาจากปากเพื่อนข้างห้องของเขา แฮร์รี่ได้รู้ถึงความลับที่ไม่เคยคิดว่าจะได้รู้มาก่อนของไนออล ทั้งเรื่องราวที่อีกฝ่ายเคยได้รับ และความรู้สึกของคนที่พยายามยิ้มเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย

      แฮร์รี่รู้ว่าทำไมไนออลถึงซื้ออาหารมาเยอะแยะขนาดนั้น ก็เพื่อพยายามระลึกถึงใครบางคนที่ไม่มีวันได้กลับมากิน

      แฮร์รี่รู้ว่าทำไมไนออลถึงย้ายมาจากไอร์แลนด์ เพียงเพื่อต้องการหนีความรู้สึกของตัวเอง แต่มันกลับยิ่งชัดขึ้นเมื่อมาเจอกับใครคนหนึ่งซึ่งเหมือนกับเลียมเหลือเกิน

       

      ซึ่งก็คือเขาเอง..

       

      ค่ำคืนนั้นจบลงตรงนี้เขาปล่อยให้ไนออลได้พักผ่อน และเมื่อเขากลับมาที่ห้องของตัวเอง เรื่องราวที่ทับซ้อนจนแทบจะเหมือนกันของแฮร์รี่ก็กลับมาเล่นงานเขาบ้าง

      ของทุกชิ้นในห้องนี้ถือเป็นเครื่องย้ำเตือนถึงใครอีกคน

      รูปถ่ายใบเล็กๆในกระเป๋าสตางค์ของเขายังคงส่งรอยยิ้มมาให้

      บุหรี่ยี่ห้อโปรดถูกจุดขึ้นมวนแล้วมวนเล่า ควันสีขุ่นลอยอบอวนทั่วห้องนอน ในขณะที่ปอดทั้งสองข้างไม่สามารถรับเอาสารพิษเข้าไปได้อีก

       

      แฮร์รี่รู้สึกดีกับไนออล เขาไม่ปฏิเสธ ตั้งแต่ไนออลเข้ามาในชีวิตของเขา เขาเหมือนได้ตัวตนของตัวเองกลับมา เขาได้ยิ้มแบบที่ไม่ได้ทำมานานแล้ว เขาได้หัวเราะแบบที่ไม่คิดว่าจะหัวเราะได้อีกเหมือนเขาได้กลับมามีชีวิตแบบปกติอีกครั้ง

      แต่ลูอีก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขาไปแล้วเช่นกัน..

      เขารักลูอี และรักไม่เปลี่ยนไป แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มีความรู้สึกให้ไนออล..

       

      เลือกไม่ได้ ทำยังไงก็เลือกไม่ได้..

       

       

       

      เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเมื่อแสงสว่างจ้าของดวงตะวันสาดเขาตา เขาแทบไม่ได้นอนทั้งคืน บวกกับอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงทำให้เปลือกตาเขาหนักอึ้ง

      และแฮรืรี่ก็ฟุบหลับไปอีกครั้ง

       

       

       

      “แฮซ...”

      “แฮซซ่า” ร่างโปร่งลืมตาขึ้นมา เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมในห้องของตัวเอง แสงสว่างจ้าบ่งบอกว่านี่คงเป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว หิมะร่วงผ่านหน้าต่างลงสู่พื้นดิน อากาศหนาวขึ้นกว่าเดิม

      เสียงเรียกฃื่อเขาดังขึ้นจากฝั่งตรงข้ามของเขา แฮร์รี่หันไปหาต้นเสียง และเขาก็ต้องอ้าปากค้าง

       

      ชายร่างเล็กคนหนึ่ง แต่งกายด้วยเสื้อแจ๊กเก็ตยีนส์ตัวเก่ง เสื้อยืดสีขาวสะอาด และกางเกงรัดรูปขายาว กำลังยิ้มมาให้เขา ใบหน้าคุ้นเคยบ่งบอกถึงความสุขและความคิดถึงโหยหา เส้นผมสีน้ำตาลเข้มและดวงตาสีฟ้ากระจ่างทอประกายล้อแสงแดด

       

      ลูอี..

       

      คราวนี้ไม่มีหมอกสีเทา ไม่มีเสียงกระซิบแผ่วๆ ไม่มีภาพจากในอดีต ไม่มีแสงสว่างสีขาวจ้าแสบตา มีแต่เขา กับคนตรงหน้า เพียงเท่านั้น

       

      “ว่าไงแฮซ จำฉันไม่ได้แล้วเหรอ”

      แฮร์รี่กระพริบตาปริบๆ เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าคนรักของเขาได้มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

       

      “ลูอี..”

      “ใช่ ฉันเอง” อีกฝ่ายหัวเราะอีกท่าทางตกตะลึงของเขา เสียงหัวเราะกังวานใสแบบที่ไม่ได้ยืนมานานดังอยู่ในโสตประสาท

       

      “นาย นายมาหาฉันอีกแล้วเหรอ”

      รอยยิ้มของลูอีจางลงไป เหลือแต่ความรู้สึกบางอย่างที่สาดซัดเข้าหาแฮร์รี่ มันคือความสงสารและความโหยหาจากก้นบึ้งลึกที่สุด

       

      “อันที่จริง ฉันเปล่า นั่นไม่ใช่ฉันเลยแฮร์รี่ ไม่ใช่เลย ฉันไม่ได้อยากให้นายเห็นฉันตายในทุกๆคืนหรอกนะ เรื่องนั้นนายก็น่าจะรู้” ลูอีผายมือออกเล็กน้อย แฮร์รี่หลุบตาลง

      “ที่ฉันมาในวันนี้ ฉันมีคำถามบางข้ออยากจะถามนาย”

       

      “นายทำแบบนี้ทำไม”

       

      “ว่า..ว่าไงนะ..”

      ร่างเล็กขมวดคิ้ว เดินเข้ามาใกล้เขาเล็กน้อย และย่อเข่าลงมองหน้าเขาชัดๆ รอยยิ้มเหยๆปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก เรียวคิ้วขมวดเหมือนไม่เข้าใจ สีหน้าเหมือนความเวทนา

       

      “นายทำแบบนี้ นายปล่อยให้ความเศร้าทำร้ายนายขนาดนี้ได้ยังไง ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ

      ฉันจากไป แต่ฉันไม่เคยอยากให้นายต้องรู้สึกผิดในเรื่องนั้น นายไม่ได้ผิดอะไรเลยแฮร์รี่ แต่นายเลือกจะปล่อยให้ความเศร้ากัดกินนายจนเป็นแบบนี้ ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างทำร้ายนายตลอดเวลา

      นายปล่อยให้ความกลัวเรื่องฉันเข้ามาหลอกหลอนนายทุกคืน ปล่อยให้ตัวเองจมจ่อมอยู่กับอดีตที่นายเองก็รู้ว่าไม่ควรเลย”

       

      ดวงตาสีฟ้าพร่างพราวด้วยน้ำตา แฮร์รี่อยากจะเอื้อมมือไปปาดมันออก แต่เขากลัว กลัวว่าถ้าเขาสัมผัสลูอี อีกฝ่ายจากมลายหายไป เหมือนทุกๆครั้ง

      ภาพตรงหน้าดูจริงเหลือเกิน เหมือนว่าครั้งนี้ไม่ใช่ความฝันหลอกๆเหมือนที่ผ่านมา แต่เขาก็ยังคงกลัว

       

      “แต่ฉันทิ้งให้นายตายนะลู ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันไม่รักษาสัญญา”

       

      คนตัวเล็กส่ายหัว และพูดกับเขา

      “นายดูแลฉันตั้งแต่ที่ฉันยังปกติดี นายทำทุกอย่างเพื่อให้ฉันมีความสุข จนวันหนึ่งที่ฉันป่วย นายยอมทำทุกอย่างเพื่อช่วยรักษาฉัน พยายามโดยไม่คำนึงถึงตัวเอง ไม่เคยทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียว นายรู้มั้ย นายไม่ได้ทิ้งฉันเลย นายทำตามสัญญาทุกอย่าง”

       

      “อยู่กับฉันจนวินาทีสุดท้าย นายรักษาสัญญาทุกข้อแล้วแฮร์รี่ ขอบคุณนะ”

       ของเหลวอุ่นๆไหลออกจากหางตาคู่สวย มันสะท้อนกับแสงจ้าในเวลากลางวัน อากาศดูอบอุ่นขึ้นกว่าเดิมเมื่อมีคนคนนี้อยู่กับเขา

      ดวงตาของแฮร์รี่ร้อนผ่าว เขาไม่พยายามสกัดกลั้นน้ำตา ได้แต่ปล่อยให้มันไหลลงมาเป็นสาย

       

       

       

      “ฉันมีคำถามอีกข้อ”

       

      “นายชอบเขาใช่ไหมแฮร์รี่”

       

      แฮร์รี่ชะงัก มองไปที่ลูอีอย่างตกใจ อีกฝ่ายกำลังยิ้มมาให้เขา เพียงยิ้มเท่านั้นที่ลูอีมีให้ และกำลังรอคำตอบจากเขาอยู่

      แต่เขาไม่รู้...เขาไม่รู้จริงๆว่าเขารู้สึกยังไงกับ ไนออล

       

      เขารู้สึกดี ใช่ แต่เขาไม่รู้ว่ามันคือความรักรึเปล่า หรือไนออลเป็นแค่ใครที่เข้ามาในช่วงที่เขาอ่อนแอ และแฮร์รี่ก็เข้ามาในช่วงที่ไนออลอ่อนแอเช่นกันเหมือนทั้งสองคนเข้ามาเป็นชิ้นส่วนที่หายไปของกันและกัน

       

      แต่เขาไม่อยากทิ้งให้ลูอีไปไหน เขาไม่อยากให้ใคร เข้ามาแทนที่ใคร

       

      หลังจากเงียบรอไปนาน ลูอีถอนหายใจและพูดขึ้น

       

      “นายสับสนใช่ไหม นายไม่รู้ว่าต้องรู้สึกยังไงดีใช่ไหม” คนตัวเล็กส่ายหัวเล็กน้อย “จะบอกให้นะคนโง่ ลองเปิดใจสิ”

      “เปิดใจ?”

      “ใช่ ลองคิดดูสิ ว่าเวลาที่นายมีเขาอยู่ข้างๆนายมีความสุขแค่ไหน นายหัวเราะดังแค่ไหน ลองลืมไปว่านายกลัว ลืมทุกอย่างสิ แล้วนึกแค่ว่านายรู้สึกยังไง”

       

      สุข...รู้สึกเติมเต็ม

      นั่นคือสิ่งเดียวที่แฮร์รี่รู้สึก แต่..

       

      “ไม่ต้องรู้สึกผิด ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ฉันไม่ได้โกรธ ฉันไม่ได้เสียใจ แต่ฉันมีความสุข ที่ในที่สุดนายก็อาจจะเจอคนที่ทำให้นายมีความสุขได้อีกครั้งต่างหากล่ะ

      นายไม่ได้ผิดถ้านายจะรู้สึกดีกับใคร นายไม่ได้ผิดถ้านายจะมีใคร อย่าสงสารฉันเลย ฉันก็แค่คนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว แต่นายยังต้องอยู่ต่อ ไม่ว่ายังไงนายก็ต้องอยู่ โดยไม่มีฉัน

      ไม่มีใครแทนที่ใครได้หรอกแฮร์รี่ ฉันกับเขา เราคือคนละคน และเราทั้งสองคนต่างก็รักนาย แต่นายต้องเลือก เลือกจะจมอยู่กับสิ่งที่ไม่มีวันเป็นไปได้ หรือจะลองเริ่มต้นใหม่กับสิ่งที่กำลังรออยู่ตรงหน้า”

       

       

      ลูอียังคงยิ้ม ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย และมีความสุขไปในคราวเดียวกัน..

       

       

      “อย่าห้ามหัวใจตัวเองเลย ถ้านายรักเขา ก็อย่าลังเลที่จะมีความสุข”

      “ฉันจะไม่หายไปไหน ตราบใดที่นายยังคิดถึงฉัน แต่ไม่ใช่การไขว่คว้าให้ฉันกลับมาหรือพยายามทำร้ายตัวเอง ฉันจะยังอยู่กับนายเสมอตราบใดที่นายยังไม่ลืมฉัน”

       

      น้ำตาหยดเผาะลงบนพื้นพรมนุ่ม แฮร์รี่เช็ดมันออกจากใบหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่มันก็ไหลลงมาใหม่เป็นสาย ภาพตรงหน้าพร่ามัวด้วยม่านน้ำตา มีแต่เสียงอบอุ่นของใครอีกคนที่ดังอยู่ในโสตประสาท รอยยิ้มจางๆที่มองผ่านน้ำตาไปยังไม่หายไปไหน

      มือเล็กๆเอื้อมมาหาเขา ทันทีที่มันสัมผัสกับตัวชายหนุ่ม มันไม่ได้จางหายกลายเป็นควันหมอก มันอบอุ่นด้วยเลือดเนื้อที่แท้จริง เราสัมผัสกันได้จริงๆ

      อ้อมแขนแกร่งดึงเอาคนตัวเล็กเข้ามาในอ้อมกอด เขาโอบร่างผอมบางไว้แนบชิด ฝังใบหน้ากับไหล่เล็กๆที่โอบอุ้มเขาเอาไว้เช่นกัน สูดดมกลิ่นหอมปนขมอ่อนๆแบบที่ลูอีคนเดียวเท่านั้นที่จะมี

      “ขอบคุณนะลู ขอบคุณ” เสียงแหบพร่าอู้อี้ขณะที่พูด แฮร์รี่ไม่อยากผละออกไปจากอ้อมกอดนี้ เพราะเขารู้ว่ามันคือครั้งสุดท้าย ตลอดกาล..

       

      “เฮ้ ไม่เป็นไรน่า ร้องไห้แบบนี้ไม่หล่อเลยนะ” มือเล็กเอื้อมมาลูบผมยาวหยิกน้ำตาล ม้วนมันเป็นเกลียวอย่างที่ชอบทำ อีกข้างลูบไปมาบนแผ่นหลังแกร่ง ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดช่วงคอของเขา

       

      “ฉันรักนายนะลู ฉันรักนาย”

      “ฉันก็รักนายเหมือนกัน”

       

       

       

      “แฮร์รี่ นายรักคนอื่นได้แล้วนะ”

       

       

       

      ดวงตาสีเขียวลืมขึ้น เขารู้สึกถึงความเปียกชื้นบนใบหน้า และพบว่าน้ำตาของเขาไหลนอง

      ร่างโปร่งยันตัวขึ้นนั่งบนเก้าอี้ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยง แสงแดดสว่างสาดเข้ามาในห้องอพาร์ทเม้นท์ ความเย็นภายในห้องควรจะทำให้แฮร์รี่หนาว แต่เปล่า เขากลับรู้สึกถึงไออุ่นบางอย่างที่โอบอุ้มเขาอยู่

      ห้องเล็กดูสว่างไสวแบบแปลกๆ บรรยากาศอึมครึมแบบที่เคยเป็นมาตลอดจางไป เหลือแต่ความสบายบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก  อากาศรอบๆเจือกลิ่นหอมบางอย่าง ความขมและหอมเย็นๆที่ไม่ได้กลิ่นมานานแสนนาน กับร่องรอยความอบอุ่นที่แผ่ซ่านทั่วตัว

      ก้อนหนักๆในใจของแฮร์รี่หายไป มันหายไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีอาการปวดหัว ไม่มีการตึงเครียดใดๆ มีเพียงความผ่อนคลายเท่านั้น

       

      รอยยิ้มจุดขึ้นมีริมฝีปากบาง น้ำตายังคงไหล แต่แฮร์รี่ สไตลส์ กำลังยิ้มอย่างมีความสุข

       

      ลูอี...ขอบใจนะ

       

       

       

       

       

       

       

      ขั้นตอนที่ยากที่สุดเริ่มต่อจากนี้

       

      ชายหนุ่มกำลังยืนเก้ๆกังๆอยู่ประตูห้องข้างๆเขา ไม่รู้จะทำอย่างไรดีเมื่อความกล้าอันน้อยนิดที่รวบรวมมาหายไปหมดแล้ว มือของเขาชื้นเหงื่อ แม้จะเช็ดกับเสื้อเสวตเตอร์เท่าไหร่ก็ไม่หายสักที

      เขากลืนน้ำลายขณะที่พยายามตั้งสติอีกครั้ง มือเรียวยกขึ้นเตรียมจะเคาะประตู แต่ก็ต้องหยุดก่อนเมื่อจู่ๆเขาดันปอดแหกขึ้นมาอีกครั้ง

      สองวันก่อนแฮร์รี่เดินออกมาจากห้องของไนออล ในขณะที่ปล่อยให้อีกคนซึ่งเมาค้างนอนพักผ่อน กับคำสารภาพความรู้สึกที่เจ้าตัวเพิ่งบอกกับเขา

      และตอนนี้ เขาได้คำตอบของทุกอย่างแล้ว

       

      เอาวะ..

      แฮร์รี่ยืดอก เตรียมจะเคาะประตู แต่ในขณะที่กำปั้นกำลังจะกระทบไม้ประตู มันก็เปิดออกมาก่อน เป็นร่างของคนตัวเล็กผู้มีผมสีฟาง แต่งกายในชุดกันหนาวเต็มยศ ในมือถือกระเป๋าสะพายใบหนึ่ง และมองมาที่เขาอย่างตกใจ

      “เอ่อ...หวัดดีครับ” เสียงของแฮร์รี่แปร่งๆ เหมือนไม่ใช่เสียงของเขาเอง ดวงตาสีฟ้าดูสับสนชั่วครู่หนึ่งและริมฝีปากชมพูๆนั่นก็ตอบกลับมา

      “หวัดดีครับ”

       

      เงียบ.. ไม่มีใครพูดอะไร ไม่กี่วินาทีที่อึดอัดที่สุดในโลกผ่านไป เขาจึงเป็นฝ่ายกระแอมขึ้นมาก่อน

      “จะออกไปข้างนอกเหรอครับ”

       

      “อ้อ ครับ ว่าจะไปหากาแฟดื่มสักหน่อย” ไนออลตอบ พลางยกมือขึ้นเกาหัว ไหล่เล็กยกขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ

       

      “เอ่อ ถ้าไม่ว่าอะไร ขอผมไปด้วยคนนะครับ” ให้ตาย เหงื่อออกเต็มมือเขาไปหมด เขาลุกลี้ลุกลนพยายามจะเช็ดมันออก แต่อีกฝ่ายดูจะไม่ใส่ใจ และยกยิ้มน้อยๆ

       

      “ได้สิ”

       

      “งั้นเดี๋ยวผมมานะครับ ขอหยิบกระเป๋าแป๊ปเดียว” รอยยิ้มแห้งๆปรากฏขึ้นในตอนที่เขาได้รับอนุญาต และวิ่งไปคว้าเอาเสื้อโค้ตตัวหนา ผ้าพันคอ และกระเป๋าสะพายมาจากห้องด้วยความไว ออกเดินตามคนตัวเล็กที่รออยู่ที่ลิฟต์

       

      เดือนสุดท้ายของปีพัดพาเอาความหนาวเย็นเข้ามา อากาศเย็นจนติดลบทำให้ทุกๆคนที่ออกมานอกที่พักต้องปกปิดร่างกายมิดชิดเพื่อป้องกันความหนาว หิมะฟูหนาเต็มพื้นถนนของเมืองลอนดอน ทิวทัศน์รอบกายดูเป็นสีขาวสะอาดตา

      วันนี้หิมะโปรยลงมาบางๆ ทำให้ภูมิทัศน์ทุกอย่างดูสวยงาม น้ำแข็งจับตัวอยู่ที่ยอดเสาไฟข้างทาง ได้ยินเสียงเพลงสรรเสริญพระเจ้าและเพลงเฉลิมฉลองความสุขแว่วมาจากร้านขายของขวัญ

       

      กาแฟร้อนๆสองแก้วพร่องลงกว่าครึ่งในขณะที่ร่างโปร่งเชิญชวนให้อีกคนไปนั่งเล่นที่ม้านั่งยาวริมถนน

      เป็นเวลาบ่ายแก่ๆแล้ว แฮร์รี่จิบเอาของเหลวสีน้ำตาลรสนุ่มลงคอขณะที่พยายามอย่างมากที่จะสรรหาเรื่องมาพูดกับคนตัวเล็กๆที่เอาแต่เงียบมาตลอดทาง

       

      “วันนี้เย็นดีนะ”

      “อื้ม ครับ”

      “หิมะเยอะอย่างงี้เด็กๆคงเล่นสกีสนุกน่าดู”

      “นั่นสิเนอะ...”

      คำพูดงี่เง่าสารพัดหลุดออกมาจากปาก แฮร์รี่อยากจะเอาหัวมุดหิมะให้ตายๆไปซะดีกว่า เพราะตอนนี้หน้าเขาร้อนฉ่าเพราะความอับอายแล้ว

       

      หลังจากเงียบไปพักใหญ่ คราวนี้เป็นไนออลที่เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน

       

      “แฮร์รี่ คุณเคยโดนแก้วบาดมือไหม” ดวงแก้วสีอ่อนเหม่อมองไปไกลขณะที่ตั้งคำถาม สีหน้าเรียบเฉยๆเหมือนมันเป็นคนถามสบายๆ แต่เจือความตึงเครียดในน้ำเสียงอย่างเห็นได้ชัด

       

      “เคยสิ”

       

      “ผมก็เคยนะ เจ็บมากเลยล่ะ แก้วชิ้นนั้นฝังเข้าไปกับเนื้อผมเลย” ไนออลยิ้มหยัน และยกแก้วขึ้นบ้าง ยังคงไม่ยอมสบตาเขา “แล้วผมก็ทำสิ่งที่ตลกที่สุดในโลก ผมเอาผ้าพันแผลมาพันมันไว้ เผื่อว่าวันหนึ่งมันจะหายเอง”

      อีกฝ่ายก้มหน้าลงต่ำ เท้าเล็กๆเขี่ยไปมาบนพื้นหิมะขาว


      “แต่ผมกลับไม่ได้ดึงเอาเศษแก้วออก”

       

      แฮร์รี่นิ่งเงียบ เขารู้ว่าไนออลหมายความว่าอะไร แต่เขาไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไปตอนนี้

       

      “จนแผลนั้นอักเสบ มันลุกลามไปทั่ว กว่าที่ผมจะรู้ว่าควรจะเอามันออกก็แทบจะสายไปเสียแล้ว มันกลายเป็นแผลขนาดใหญ่ที่เหมือนจะรักษาไม่มีวันหาย”

      “...”

       

      “แต่พอวันหนึ่ง มีคนมาแก้ผ้าพันแผลนั้นออก แล้วค่อยๆดึงเอาเศษแก้วนั้นออกทีละนิด จนวันหนึ่งมันก็หลุดออกในที่สุด” คราวนี้อีกฝ่ายหันมาสบตาเขาแล้ว ด้วยแววตาที่แฮร์รี่ไม่สามารถอ่านออก เขาสบตากลับไป ร่างกายแข็งทื่ออย่างน่าตลก

      เพราะเมื่อครู่เขาแน่ใจทีเดียวว่าไนออลหมายถึงเขา

       

      “ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณลำบากใจ แต่ผมอยากจะบอกในสิ่งที่ผมรู้สึกให้คุณได้รู้ ถ้าผมทำให้คุณไม่สบายใจก็ขอโทษด้วยนะครับ” ร่างเล็กค้อมหัวเล็กน้อยเป็นการขอโทษ ยิ้มเจื่อนๆปรากฏบนใบหน้าที่เริ่มแดงเพราะหิมะกัด มือยกขึ้นเกาท้ายทอยเบาๆ

       

      แฮร์รี่เฝ้ามองดูกิริยาของคนข้างๆ ที่พยายามแก้เขินด้วยท่าทางต่างๆนาๆ

      แล้วเขาก็ยิ้ม..

       

      “ไนออล”

      “ครับ?”

       

       

      “ผมมีเรื่องบางเรื่องอยากเล่าให้คุณฟัง”

      “เรื่องอะไรเหรอ”

       

      แฮรืรี่หัวเราะเบาๆ เขาหันเหงนหน้ามองท้องฟ้า หิมะหยุดตกแล้ว ตอนนี้เมฆหมอกหนาครึ้มดูเบาบางลง และถ้ามองให้ดี เขาแน่ใจว่าเห็นท้องฟ้าสีสดใส

      แฮร์รี่ไม่รู้ว่าความฝันในวันนั้นเป็นลูอีจริงๆ หรือเป็นเค่จิตใต้สำนึกของเขาเอง แต่ไม่ว่ามันจะเป็นความจริงหรือไม่นั้น เขาก็ได้เลือกแล้ว

      ไม่ว่าผลในครั้งนี้จะออกมาเป็นอย่างไร ก็จะขอลองเสี่ยงดูสักครั้ง

      ชายหนุ่มสูดหายใจลึก รับเอาความสดชื่นเข้าไปเต็มปอด เขาหลับตา นึกถึงใบหน้าที่เคยยิ้มให้เขามาเสมอ นึกถึงเรื่องราวทุกอย่างที่เคยได้ผ่านมา แล้วแฮร์รี่ก็ยิ้ม

       

       

      “เป็นเรื่องของลูอี ทอมลินสัน..”

       

       

       

      สองสัปดาห์ผ่านไป

       

      ดอกไม้ช่อใหญ่แกว่งไปมาในอ้อมกอดของชายหนุ่มร่างสูง สีสันหลากหลายของดอกไม้นานพันธ์ถูกจัดวางสลับไปมา ดูเหมือนทุ่งดอกไม้ที่ถูกย่อขนาดลง ห่อหุ้มอยู่ในกระดาษสาสีน้ำตาลสวย

      ขนมนมเนยมากมายส่งกลิ่นหอมกรุ่นอยู่ในถุงกระดาษ มันยังคงอุ่นเพราะเพิ่งออกมาจากเตาหมาดๆ กาแฟร้อนถ้วยเล็กอยู่ในถุงอย่างดี

      ขาเรียวยาวก้าวไปตามทางเดินที่เปลี่ยวผู้คนในยามเช้า และเลี้ยวเข้าไปในอาณาเขตรั้วเหล็กๆเตี้ยที่คุ้นเคย มุ่งหน้าไปยังสถานที่นัดหมายที่เขามาเป็นประจำ

       

      แผ่นหินเย็นอ่อนสีขาวปลอดตั้งตระหง่านท่ามกลางหิมะ น้ำแข็งเริ่มขึ้นรอบๆรอยสลักสีเทา ช่อดอกไม้เก่าที่แห้งเหี่ยวถูกเก็บออก แทนที่ด้วยช่อใหม่ และขนมปังมากมาย หนึ่งในนั้นคือคัพเค้กตกแต่งด้วยครีมสีขาวสะอาดตา

      ชายคนนั้นนั่งลงบนพื้นหิมะ เอื้อมมือไปลูบที่ชื่อขอเจ้าของหลุมศพนี้อย่างคิดถึง ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มกว้างขนแทบถึงหู มรกตคู่สวยทอประกาย

       

      “หวัดดี ลูอี”

       กาแฟร้อนๆวางลงที่ข้างป้ายหิน เอสเพรสโซ่ส่งกลิ่นหอมอบอวล

       

      “เป็นไงบ้าง สบายดีมั้ย”

       

      “วันนี้อากาศหนาวมากเลยนะ หิมะลงหนามากเลยเมื่อคืนนี้ แถมฮีตเตอร์ที่ห้องเรายังใกล้จะเสียแล้วอีก ฉันนี่นอนขดทั้งคืนเลยล่ะ ฮ่าๆๆ”

      แสงไฟเริ่มสว่างขึ้นตามร้านรวงข้างทาง เสียงระฆังจากโบสถ์ดังบอกเวลาสายๆของวันสำคัญที่สุดวันหนึ่งของปี เสียงเพลงเริ่มบรรเลงตามท้องถนน ผู้คนเริ่มออกมาจับจ่ายใช้สอยข้าวของเตรียมสำหรับงานเลี้ยงฉลอง

       

                      “นี่ ลูอี ฉันมีอะไรบางอย่างที่อยากบอกนาย”

       

                      “ไม่ว่านายจะได้ยินหรือไม่ได้ยินก็ตาม ฉันอยากขอโทษในทุกอย่างที่ฉันเคยทำไม่ดี ขอโทษที่เคยทำให้นายต้องโมโหหรือเสียใจ ขอโทษที่ไม่ได้ดูแลนายให้ดีเท่าที่ควร

                      ขอบคุณ ที่นายได้อยู่ข้าๆงฉันมาตลอด ถึงฉันจะไม่มีอะไรให้รักเลย แต่นายก็ยังเลือกฉันให้อยู่กับนาย ขอบคุณที่ทำให้ฉันมีความสุขมากๆ ขอบคุณที่เติมเต็มฉันนะ”

       

                      “....”

                      “ฉันไม่รู้ ว่าในวันนั้น ทุกอย่างที่ฉันฝันเห็น มันคืออะไร ไม่รู้ว่ามันคือความจริงหรือเปล่า แต่ฉันอยากขอบคุณ”

                     

                      “ฉันได้เลือกแล้วลูอี”

       

                      “ขอบคุณที่เข้าทำให้ฉันมีความสุขที่สุดในชีวิต”

                     

                      “ฉันจะไม่มีวันลืมนาย ไม่ว่ายังไงก็ตาม ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ตาม นายจะยังอยู่กับฉันเสมอนะลู”

                     

      นับแต่วันนั้น วันที่แฮร์รี่ได้เล่าเรื่องราวของใครอีกคนที่เขาไม่เคยพูดถึงให้ไนออลฟัง น่าแปลกประหลาดที่ยิ่งคำพูดนั้นไหลออกจากปากมากเท่าไหร่ จิตใจของแฮร์รี่ยิ่งเบาลงเท่านั้น  และไนออลก็รับฟังทุกอย่างอย่างดี เข้าใจในเหตุผลที่แฮร์รี่เคยปิดบัง

      และแฮร์รี่ตัดสินใจเผยความรู้สึกที่เขามีให้กับไนออล..

       

      หลังจากนั้น ข้าวของเครื่องใช้ที่เคยวางระเกะระกะห้องอพาร์ทเม้นท์ถูกเก็บลงกล่อง เสื้อผ้าตัวเล็กๆถูกพับเก็บอย่างดี น้ำหอมกลิ่นโปรดถูกเก็บใส่ห่อมิดชิด ของทุกสิ่งทุกอย่างของลูอี แฮร์รี่เริ่มเก็บมันลง

      เขาตัดสินใจไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เป็นความค้างคาในใจอีกต่อไป เขาตัดสินใจเก็บลูอีไว้ในความทรงจำ

       

      เหลือเพียงเครื่องเตือนใจชิ้นเดียวที่แฮร์รี่เก็บมันไว้กับตัวตลอดเวลา

      แหวนทองคำขาววงบางที่สวมเข้ากับนิ้วก้อยของเขาพอดิบพอดี มันเคยเป็นของคนตัวเล็กที่มักจะใส่ติดตัวตลอดเวลา มันสลักถ้อยความสำคัญสั้นๆไว้หนึ่งประโยค

       

      Always In My Heart.

       

      แฮร์รี่รี่ไม่เคยฝันถึงลูอีอีกเลย ไม่มีภาพหลอนถึงคนรักที่ตายจาก ไม่มีสายน้ำเกลือที่พันรัดจิตใจ แต่เขาเชื่อว่า อีกคนยังคงอยู่ ใกล้ๆเขาตอนนี้ และยังคงรักและให้กำลังเขาอยู่เสมอๆ

      เขาเลิกสูบบุหรี่ ตอนนี้ลดมันลงไปได้มากแล้ว และกำลังจะหายขาดได้ในไม่ช้า ลูอีคงไม่ต้องการให้เขาต้องเสียใจเพราะมันอีก

       

      รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้า ดวงตาสีมรกตทอประกายสดใสอย่างที่ไม่เคยเป็นมานานแล้ว รอยยิ้มแบบที่ไม่เคยได้ยิ้มมานานกำลังกลับมาอีกครั้ง

      “รู้มั้ย วันนี้เป็นวันสำคัญอะไร” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างสดใส พลางมองไปรอบๆกาย เสียงเพลงบรรเลงดังแว่วมาไกลๆ และแฮร์รี่ก็เฉลยคำตอบ

       

      “วันเกิดนายไง”

       

      “สุขสันต์วันเกิดนะลูอี”

       

                      ไม่มีน้ำตาแห่งความเศร้าอีกแล้ว ยังคงเหลือแต่ความคิดถึงและโหยหา แต่แฮร์รี่แน่ใจว่า ในวันหนึ่งเขาจะจัดการกับมันได้

                     ภาพวันเวลาเก่าๆยังสวยงามเสมอ แมื่อมันอยู่ในความทรงจำ และมันจะไม่มีวันแปรเปลี่ยนไป

      เขาไม่รู้ ว่าต่อจากนี้ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ความรักครั้งใหม่ของเขาจะสุขสมดีหรือไม่ หรือจะต้องมองหาใครที่จะเข้ามาเติมเต็มต่อไป เขาไม่รู้

       

      แต่ถ้ากล้าจะเสี่ยง ก็ไม่มีอะไรจะต้องเสีย

      เขารักลูอี และแน่นนอนว่าเขาจะไม่มีวันลืมคนรักของเขาเด็ดขาด

       

      ชีวิตยังต้องเดินต่อ ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย

       

      ช่วงเวลาที่แสนเศร้า บางทีอาจไม่ใช่จุดจบของทุกสิ่งทุกอย่าง มันอาจเป็นแค่บรรทัดหนึ่งในหน้ากระดาษ เมื่อพลิกหน้าต่อไป อาจมีตอนจบที่แสนสวยงามรออยู่ก็ได้ ใครจะรู้

       

      How close is the ending, well, nobody knows
      The future's a mystery and anything goes
      Love is confusing and life is hard
      You fight to survive 'cause you made it this far

      It's all too astounding to comprehend
      It's just the beginning this isn't the end.

      จบบริบูรณ์

       

       

       

       

      MP’s Talk

      สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นต้องขอโทษทุกคน ที่จริงแล้วฟิคเรื่องนี้ต้องเป็นฟิคคริสต์มาสอีฟ แต่มันไม่คริสต์มาสอีฟน่ะสิ5555

       

      มะปรางเอง มะปรางไง55555 หลังจากห่างหายไปนาน(มาก) ตอนนี้ขอเอาฟิคกร่อยๆเรื่องนี้มานำเสนอ อาจจะไม่สนุกเร้าใจ แต่ขอบอกว่ามันคือเรื่องหนึ่งที่มะปรางภูมิใจกับมันเลยค่ะ

      ไหน ใครบอกว่าเราเขียนตอนจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งไม่เป็น 555555555

      เราเขียนเป็นนะ แต่แต่ยากหน่อยแค่นั้นเอง*ยิ้มเหยๆ*

      เข้าเรื่องเนอะ ฟิคเรื่องนี้เป็นภาคต่อของฟิคแลร์รี่ The Last Timeที่มะปรางเคยเขียนไปเมื่อช่วงต้นปี แล้วมีเสียงตอบรับที่ค่อนข้างดีพอสมควรเลย แล้วก็มีน้องๆบอกมะปรางมาว่า

      “อยากได้ตอนจบแบบแฮปปี้บ้างค่ะพี่”

      โอเคค่ะ พี่จัดให้..

      ที่จริงมันก็ไม่ได้ถือว่าแฮปปี้มากอะไรนะ แต่มันน่าจะเป็นทางที่ดีที่สุดของแฮรืรี่กับไนออล ทั้งสองคนมีแผลที่คิดว่าไม่มีทางรักษาหาย ถ้าสองคนนี้ลองเปิดใจเข้าหากัน แผลนั้นอาจจะหายขาด หรือไม่หายก็ได้ ใครจะรู้ ตรงนี้ต้องให้สองคนนั้นเลือกเองแล้วล่ะ*จริงจัง*

      ลูอีของเรากลายเป็นผี โถ่5555 เรารักเธอนะทอมลินสัน

       

      ขอขอบคุณน้องๆพี่ๆหลายคนเลยที่ตามอ่านฟิคของมะปราง ถึงจะอัพช้า ดองลงไห สนุกไม่สนุกบ้างยังไงก็ยังอยู่ด้วยกัน ขอคุณมากๆนะคะ

      ขอบคุณน้องปรางกับน้องกิส ที่มาเรียกร้องของฟิคแนร์รี่ของพี่ แล้วก็ขอตอนจบแบบสวยๆ เป็นแรงผลักดันที่ให้พี่เริ่มเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ถึงมันอาจจะไม่ได้สนุกอะไร แต่พี่ขอบคุณนะ

      ขอบคุณพี่เค้ก (ป้าเค้ก) ที่คอยช่วยสับฟิคให้ตลอด คอยเตือนเวลาพิมพ์ผิด*ซึ่งบ่อยมาก* ให้คำปรึกษาทุกๆเรื่องไม่ใช่แค่ฟิคเรื่องนี้ ขอบคุณมากค่ะ

       

      ถ้ามีใครสนใจอยากให้คำแนะนำติชม หรืออยากรีเควสฟิคที่อยากอ่าน เข้ามาพูดคุยกัยได้เลยที่แอคทวิตเตอร์ @maprang_tym “นิ้วกลางคุณทอมลินสัน”(ชื่อแอคสามารถเปลี่ยนได้ตามฤดูกาล)

      และสำหรับการคอมเม้นติชมAfter Thatสามารถเข้ามาคุยกันได้ในแฮชแท็ก #AfterThatNarry ในทวิตเตอร์เช่นกันค่ะ

       

      สำหรับตอนนี้ ขอลาไปก่อน สวัสดีค่ะ

       

      รักนะ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×