ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Got7] Love hostel อลวนรักหอพักเมี้ยวๆ (จบ)

    ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 9 ช่วงเวลาที่หมุนมาบรรจบกัน โดย แบมแบม รีไรท์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.49K
      56
      10 พ.ค. 61

    ตอนที่ 9

    ช่วงเวลาที่หมุนมาบรรจบกัน โดย แบมแบม

      

    ติ๊งต่อง

    “อ้าว พี่คุณ” ผมเปิดประตู ร้องทักร่างสูงโปร่งที่กำลังยิ้มให้เป็นภาษาไทย

    “ยูคยอมอะ” คนถูกทักเองก็ถามกลับเป็นภาษาไทยเช่นกัน

    “ก็อยู่ห้องหมอนั่นสิ”

    “อ้าวเหรอ ปกติเห็นเกาะติดกันอยู่ตลอด” หน้าตาหล่อเหลาดูแปลกใจเล็กน้อย ในตอนที่เดินเข้ามา

    “ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย”

    “เมื่อก่อนเกาะติดมาร์ค พอมาเดี๋ยวนี้เกาะติดยูคยอมแทน แบบนี้เมื่อไรจะโต” พี่ชายซึ่งจริงๆ แล้วเจ้าตัวอยากให้เรียกอามากกว่า แต่พอเห็นหน้าแล้วผมเรียกไม่ลง พูดพลางเดินสำรวจห้องผมด้วยท่าทีสบายๆ

    “ยูคยอมต่างหากล่ะที่มาเกาะติดผม” ผมเดินตาม พูดแก้ตัวอุบอิบ

    “แล้วมาร์คล่ะ” คำถามสวนกลับมาแทบจะทันที

    ผมเงียบ อันนี้เป็นฝ่ายไปตามเกาะติดเขาจริง

    “พี่คุณอะ จู่ๆ จะขุดเรื่องเก่าๆ มาพูดทำไม” พูดแล้วก็ถอนหายใจ ไม่ใช่เรื่องน่าเอามาคุยเลย

     “ทำไมไม่ได้” เจ้าของชื่อพูดพลางหยิบกรอบรูปบนชั้นวางดูไปเรื่อยๆ “ถ้าเราหวังจะให้พี่ทำตัวเหมือนเจ้าพวกนั้น ที่พากันเลี่ยงเพราะไม่อยากให้ใครต้องเจ็บปวดละก็คงต้องผิดหวังแล้วล่ะ คนเราน่ะ ลบอดีตไม่ได้หรอก ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย สิ่งที่ทำได้ก็มีแค่จดจำไว้แล้วก้าวต่อไป”

    “ผมรู้” ผมตอบ ละสายตาจากพี่ชายเชื้อชาติเดียวกันไปมองรูปบนชั้นบ้าง “ก็คนเราไม่ได้มีพลังวิเศษจริงๆ”

    มุมปากคนอายุมากกว่ากระตุกยิ้มนิดๆ “นี่ไง ถึงไม่โตสักที”

    ผมหน้ามุ่ย เรื่องนี้เอามาตัดสินว่าคนเราโตไม่โตได้ตั้งแต่เมื่อไร

    “นานเหมือนกันนะ” พี่คุณหยิบรูปที่ตั้งอยู่ริมซ้ายสุดขึ้นมาดู เป็นรูปสมาชิกเริ่มแรกของหอพัก “เกือบสามปีมานี้พี่ไม่ค่อยได้พักนานๆ เลย ทำงานตลอด เรียกว่าละเลยเราได้ไหมนะ” หน้าตาแบบที่สาวๆ เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ที่พบเห็นเป็นต้องตกหลุมรักหันมาทำทะเล้นใส่

    “ผมโตแล้วนะฮะ ดูแลตัวเองได้”

    “เหรอ”

    “พี่คุณอะ”

    “ฮะๆๆ ว่าแต่นานขนาดนี้แล้วแท้ๆ แบมแบมที่โตแล้วทำไมถึงยังปล่อยให้ไม่มีอะไรดีขึ้นเลยล่ะ” มือจับพลิกรูปมาทางผม รูปที่ผมยืนกอดเอวมาร์คฮยองยิ้มแฉ่ง มีเจบีฮยองกับจูเนียร์ฮยองยืนคู่กันข้างๆ  ด้านหลังเป็นคุณฮยองก้มมากอดคอมาร์คฮยองอีกที รูปนี้แทคยอนฮยองเป็นคนถ่าย

    “ทำไมจู่ๆ มาพูดเรื่องนี้เนี่ย” ผมถามหน้าแหยๆ

    “ก่อนหน้านี้ไปคุยกับเจบีมา เห็นว่าหมอนั่น” พี่คุณบุ้ยใบ้ไปห้องข้างๆ “ยังมืดมนอยู่เหมือนเดิม”

    “ก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้น”

    “จริงๆ เลย เจ้าเด็กขยันสร้างปมนั่น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแท้ๆ”

    “หา!” ผมสวนไปแทบจะทันที ไม่ใช่เรื่องใหญ่งั้นเหรอ แล้วคนที่พอเห็นสภาพผมตอนนั้นก็แทบวิ่งกลับหอไปฆ่ามาร์คฮยอง ถ้าไม่โดนแทคยอนฮยองห้ามไว้นี่ใคร

    พี่คุณอ้าปากน้อยๆ เหมือนเพิ่งนึกได้ แล้วกลับไปเก๊กหน้านิ่งวางรูปไว้ที่เดิม พูดด้วยท่าทางเท่ๆ ว่า “คนเรามันก็ต้องมีอารมณ์ชั่ววูบกันบ้าง”

    “เหรอ”

    “อะแฮ่ม” กระแอมแบบหน้ามึนๆ แล้วเดินเข้าห้องนอนผมหน้าตาเฉย บทจะเกรียนนิชคุณคนนี้ก็ใช่ย่อยนะฮะ “ก็พอมาลองคิดดูดีๆ แล้ว ยังไงซะมาร์คก็ไม่ใช่คนที่จะลุกมาทำอะไรแบบนั้นอยู่แล้วจริงไหม”

    ผมเดินตามคนทำตัวเป็นเหมือนผู้ปกครอง สำรวจห้องลูกเวลามาเยี่ยมตอนปิดเทอม

    “มาร์คฮยองไม่มีทางทำร้ายผมหรอก ถ้าเขาปกติดี” ผมพูดพลางลากเก้าอี้คอมมานั่งกอดพนักพิง หันหน้าเข้าหาท่านผู้ปกครองที่ตอนนี้นั่งชิลอยู่บนเตียง

    “แล้วปัญหาคือ?

    ปัญหาคือผมไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้จะพูดยังไง จะเริ่มจากตรงไหน ผมในตอนนั้นเด็กเกินกว่าจะเข้าใจอะไร ที่ผมรู้มีแค่มาร์คฮยองไล่ผม ไม่อยากเห็นหน้าผม ฮยองเกลียดผม คืนนั้นผมวิ่งออกไปนอกหอ เดินร้องไห้สะเปะสะปะกลางดึกจนกระทั่งคุณฮยองกับแทคยอนฮยองตามหาจนเจอ ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ยอมกลับ ผมกลัว กลัวถูกโกรธ ถูกเกลียด ถูกผลักไส  ถูกไล่ แล้วที่กลัวที่สุดคือมาร์คฮยองที่ผมไม่รู้จักคนนั้น

    “แบมแบม” เสียงพี่คุณดึงผมกลับมาปัจจุบัน

    “ผมไม่รู้” ผมตอบเสียงเบา ถึงตอนนี้ผมจะโตพอที่จะรู้อะไรหลายๆ อย่าง แต่ผมก็ไม่รู้อยู่ดี ผมรู้ว่ามาร์คฮยองเครียดกับเรื่องบางอย่าง ฮยองมีสติไม่ครบถ้วนเลยทำอะไรแบบนั้น แล้วฮยองก็เสียใจกับมัน แน่นอนว่าถ้าเป็นเวลาปกติฮยองคงไม่ทำ...อะไรแบบนั้นกับผม

    ผมไม่รู้ว่ามาร์คฮยองคิดอะไรอยู่ ฮยองเองก็ไม่เคยบอก หลังเหตุการณ์นั้นเราไม่คุยกันเป็นเดือน พยายามหลบหน้ากันอีกหลายเดือน จนในที่สุดเจบีฮยองก็ทนไม่ไหวจัดปาร์ตี้ขึ้นมาเสียเฉยๆ ผมได้คุยกับมาร์คฮยองเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนวันนั้น แล้วก็เป็นวันแรกที่รอยยิ้มเครื่องหมายการค้าแบบที่แจ็คสันฮยองพูดถือกำเนิด

    “แบมแบม”

    “ผมคิดว่ามันจะดีขึ้นเองในวันหนึ่ง มันจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง” ผมพูด ก้มหน้าเกยคางไว้บนพนักเก้าอี้แล้วหมุนไปมาเบาๆ

    “รู้อะไรไหมแบมแบม เวลาช่วยเยียวยาอะไรหลายๆ อย่างก็จริง แต่หลายๆ ครั้งการเยียวยานั้นมักแลกมาด้วยความสัมพันธ์ที่สูญเสียไป” พี่คุณพูดเรียบๆ

    “ผมไม่รู้”

    ดวงตาสีดำขลับที่ดูลึกล้ำหากลองสังเกตดูดีๆ ของอายุมากกว่าจ้องมองผม

    “มาร์ค ปัญหาของหมอนั่นคือมุมมอง ที่เรื่องมันดูวุ่นวายเกินไปก็เพราะมุมมองของหมอนั่นเองนั่นแหละ คนประเภทนั้นไม่มีทางเดินออกมาจากห้องตัวเองง่ายๆ เข้าใจที่พี่พูดไหม ไม่ได้หมายถึงห้องจริงๆ แต่เป็นห้องเล็กๆ ที่หมอนั่นสร้างขึ้นแล้วขังตัวเองอยู่ในนั้น” พี่คุณหยุดพูด แล้วมองผมด้วยสายตาเหมือนพยายามอ่านสีหน้า

    ผมไม่ถนัดในเรื่องเก็บงำสีหน้าท่าทางหรือกลบเกลื่อนอะไรนัก เพราะงั้นคงไม่ยากที่คนตรงหน้าจะเข้าใจได้ในเวลาไม่นาน เลยเลือกที่จะไม่พูดประโยคที่คิดไว้ต่อ แล้วถอนหายใจแทน

    “สำหรับเรา พี่ว่าเราก็รู้ดีว่าปัญหาของตัวเองคืออะไร”

    “ถ้าพี่คุณรู้ว่ามันจะแก้ไขได้ยังไง ทำไมไม่พูดกับมาร์คฮยองล่ะฮะ แบบนั้นดีกว่าไม่ใช่เหรอ” ผมถาม พี่คุณเป็นคนฉลาดและมักเป็นที่ปรึกษาให้ทุกคนได้เสมอ หลายครั้งที่ปัญหาของพวกเราถูกพี่ชายคนนี้ช่วยคลี่คลาย ถ้างั้นมันจะง่ายกว่าไหมถ้าครั้งนี้ก็ให้พี่คุณจัดการ

    “แบบนั้นมันจะไร้ความรับผิดชอบไปไหม แบมแบม”

    “ผมไม่รู้”

    พี่คุณถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินมาหาแล้วยีหัวผมอย่างแรง

    “รู้อะไรไหม...”

    ติ๊งต่อง

    “อ๊ะ มีคนมา พี่เดาว่าเป็นยูคยอม” พี่ชายเลิกวางมาดกุนซือ เปลี่ยนมาหัวเราะชอบอกชอบใจตอนเห็นผมค้อนขวับ

    ผมลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู

    “แบมฮยอง ผมเอาเสื้อมาคืน ที่ยืมไปตั้งแต่วันนั้นอะ” ยูคยอมชูเสื้อแขนยาวสีดำในมือให้ดู แล้วเดินเข้ามาอย่างเคยชิน “อ้าว คุณฮยองก็อยู่เหรอ สวัสดีครับ”

    “สวัสดี” เจ้าตัวทักกลับยิ้มๆ แล้วหันมายักคิ้วให้ผม

    “เมื่อกี๊พี่คุณจะพูดอะไรนะฮะ” ผมทำเป็นไม่สนใจท่าทางเหมือนชนะพนันนั่นแล้วถามเป็นภาษาไทย ยูคยอมมองงงๆ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เอาเสื้อแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าให้

    “จะบอกว่า” แต่คราวนี้พี่ชายไทยตอบกลับมาเป็นภาษาเกาหลี “ในช่วงชีวิตคนเราน่ะ มันจะมีช่วงที่เวลาของแต่ละคนหมุนมาซ้อนทับกันอยู่ ช่วงเวลาเหล่านั้นมักเป็นจุดเริ่มต้นในการก่อเกิดความสัมพันธ์พิเศษขึ้นมา แต่ในขณะเดียวกันช่วงเวลานั้นมันไม่ได้มีอยู่ตลอดไป หากนายพลาดที่จะสร้างบางอย่างหรือปล่อยให้มันผ่านไปโดยที่ไม่ทำอะไร ก็เป็นไปได้ว่ามันอาจจะไม่หมุนกลับมาเจอกันอีกเลย ที่ฉันจะบอกก็มีเท่านี้แหละ”  

    พี่คุณมองทั้งผมและยูคยอม ก่อนจะยิ้มแล้วเดินออกจากห้องไป

    “คุณฮยองนี่ฉลาดเนอะ” ยูคยอมพูดด้วยสีหน้าทึ่งๆ

    “คงเพราะหนังสือปรัชญาชีวิตพวกนั้นน่ะสิ” ผมเบนสายตาจากร่างสูงที่หายลับไปแล้ว กลับมาหาเจ้าลูกหมายักษ์ที่กำลังกระโดดขึ้นไปนั่งบนเตียง

    “แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าช่วงเวลาที่คุณฮยองว่ามันตอนไหน”

    “ฉันจะไปรู้ได้ไงล่ะ”

    “อ่า ฮยองนี่ไม่ฉลาดเลย” ยูคยอมส่ายหน้า

    “แล้วนายฉลาดนักหรือไง” ผมคว้าหมอนปาใส่ไอ้น้องเล็กที่กวนบาทาขึ้นมาเฉยๆ

    “คะแนนสอบผมของเทอมที่แล้วก็สูงใช้ได้นะ” ยูคยอมรับหมอนที่ผมปาใส่ไปกอดไว้ แล้วยิ้มตาหยี

    “ฉันก็ได้สูงเหมือนกันแหละน่า”

    “งั้นเราก็คงฉลาดกันแบบปานกลาง”

    ผมอ้าปากน้อยๆ กับข้อสรุปนั้น ก่อนจะหัวเราะแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงข้างๆ เจ้าลูกหมายักษ์ อยู่ดีๆ ก็โดนพี่ชายที่ชอบทำตัวเป็นขงเบ้งมาพาเครียด ยังดีที่มียูคยอม

    “อั้ก โอ๊ย จู่ๆ นายมาล้มทับฉันทำไมเนี่ย” กำลังจะชมอยู่แล้วเชียว เจ้าบ้านี่ดันทิ้งตัวพาดขวางทับผมเป็นกากบาทเสียอย่างนั้น

    “มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า” ยูคยอมถามทั้งๆ ที่นอนทับผมอยู่ ดีนะยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง ไม่งั้นอ้วกแน่

    “มันหนักนะยูคยอม ตัวนายไม่ใช่เล็กๆ ลุกไปเลย!” โอย กระเพาะสลับที่กับตับแล้วมั้งป่านนี้

    “ผมเห็นแบมฮยองแอบขมวดคิ้ว” ยูคยอมยอมขยับตัวข้ามผมไปนอนตะแคง หันมาเท้าแขนยันหัวไว้แทน

    “ตอนไหน” ผมพลิกตัวตะแคงไปถาม

    “ก่อนหน้านี้แว้บนึง หัวคิ้วฮยองเกือบชนกัน” เจ้าลูกหมายักษ์ที่พอนอนเทียบกันแบบนี้ยิ่งดูตัวใหญ่กว่าพูด พลางเอานิ้วจิ้มระหว่างคิ้วผม ฮยองคิดอะไรอยู่เหรอ”

    “คิดเรื่องมาร์คฮยอง” ตอบไปตามตรง

    ยูคยอมกะพริบตาปริบๆ “มาร์คฮยองเป็นอะไร ไม่สบายเหรอ”

    ผมพ่นลมหายใจกึ่งขำ แล้วพลิกตัวหันหนีไปอีกทาง

    “อะไรอะ ตกลงมาร์คฮยองเป็นอะไร” ยูคยอมตามมายกแขนข้างหนึ่งวางคร่อมตัวผม ก้มหน้ามาถาม

    “ไม่ได้เป็นไร ฉันว่าจะนอนสักงีบ” ผมปฏิเสธ สองตาหลับตาลง

    “แต่ฮยองบอกว่าคิดเรื่องมาร์คฮยองอยู่ ถ้ามาร์คฮยองไม่ได้เป็นไรแล้วทำไมต้องคิดอะ แบมฮยอง” น้องเล็กตัวยักษ์จับผมเขย่า

    “ขอฉันพักแป๊บหนึ่งน่า ฉันเหนื่อยๆ ยังไงไม่รู้”

    เสียงเงียบไป แต่มีลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดแถวๆ แก้มผมใกล้เข้ามาแทน

    “คิมยูคยอม!” ผมเรียกชื่อเสียงเข้มทั้งที่ไม่ลืมตา

    “ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ สาบานได้!

    ผมอมยิ้มกับเสียงโวยวายของคนร้อนตัวแล้วไม่พูดอะไรอีก รู้สึกเหนื่อยจริงๆ เหมือนโดนพี่คุณสูบพลังงานไปจนหมดเลยเมื่อกี๊นี้ ไม่แปลกใจเลยที่แทคยอนฮยองจะหน้าตอบขนาดนั้น เพราะอยู่ใกล้พี่คุณมากไป

    “ผมนอนอยู่ข้างหลังฮยองนะ” ยูคยอมพูดแล้วทิ้งตัวลงนอนข้างๆ โดยไม่ได้รบกวนอะไรอีก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ยูคยอมมักจะอยู่ตรงนั้น ตรงที่ที่ผมหันกลับไปเมื่อไรก็เจออยู่เสมอ


     

    “ตกลงว่ามาร์คฮยองเป็นอะไรอ่า” เจ้าลูกหมายักษ์ยังไม่ยอมเลิกรา วางจอยเกมแล้วเลื้อยมาเกาะตักผม

    “นายนี่เซ้าซี้จริง” ผมบ่น ตามองเกมที่หน้าจอคอม จะผ่านแล้วด่านนี้ “ย่าห์หยิบจอยมาช่วยกันก่อนสิ ตัวนี้ฉันคนเดียวไม่ไหวนะ”

    “ชิ” ยูคยอมกลับมานั่งเล่นต่ออย่างไม่เต็มใจนัก “ช่วงนี้แจ็คสันฮยองก็อยู่กับมาร์คฮยองบ่อยๆ เหมือนกัน ทั้งๆ ที่ปกติเห็นไปแต่กับยองแจฮยอง ผมพลาดเรื่องไหนไปปะเนี่ย”

    “แจ็คสันฮยองเหรอ” ผมหันไปถาม

    “อื้อ ตอนงานวันเกิดจำได้ไหม ที่แจ็คสันฮยองหายไปแล้วมาร์คฮยองไปตาม แจ็คสันฮยองกลับมาคนเดียวแป๊บหนึ่งแล้วก็หายไปอีกรอบ แล้วก็กลับมาพร้อมมาร์คฮยอง ผมเห็นนะว่าสองคนนั้นหน้าเครียดๆ”

    “เหรอ” เกิดอะไรขึ้นนะ ผมรู้อยู่เหมือนกันว่าแจ็คสันฮยองสงสัยเรื่องมาร์คฮยอง แล้วคนแบบแจ็คสันฮยองไม่ยอมล้มเลิกแน่ๆ ถ้าไม่ได้คำตอบ “ไปถามกันไหม” ผมไม่ถนัดเรื่องคาดเดา เพราะงั้นคงมีแต่ต้องถามตรงๆ

    “เอาดิ”

    “งั้นไปกัน”

    “อ้าว ไม่เล่นให้จบก่อนเหรอฮยอง”

    “ไม่ละ ปะ ไปเดี๋ยวนี้เลย” ผมตัดสินใจปุบปับ วางจอยเกมแล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องทันที จนยูคยอมต้องรีบวิ่งตามหน้าเหลอหลา 

    “ฮยอง เดี๋ยวดิ รอด้วย!


     

    “อ๋อ ไม่มีอะไรนี่” แจ็คสันฮยองตอบ

    “ฮยองโกหก” ยูคยอมพูดสวน

    “ฉันไม่ได้โกหก”

    “ฮยองโกหก”

    ผมมองพี่ชายสายเกรียนที่กำลังมองไปทางอื่น สลับกับน้องเล็กที่ทำหน้ามั่นใจ

    “เวลาคนโกหกจะทำหน้าแปลกกว่าปกติ จูเนียร์ฮยองสอนผมมา” ยูคยอมพูดฉะฉาน “อย่างยองแจฮยองจะปากเบี้ยว”

    “เมื่อกี๊ฉันทำปากเบี้ยวเหรอวะ” แจ็คสันฮยองหันมาถามผม ด้วยสีหน้าที่เริ่มสิ้นหวังกับตัวเอง

    ผมส่ายหัวพรืดๆ แจ็คสันฮยองไม่ได้ทำ ว่าแต่ยองแจฮยองจะปากเบี้ยวเวลาโกหกเหรอ

    “ของฮยองไม่ใช่ แจ็คสันฮยองจะไม่กล้าสบตาเวลาโกหก สีหน้าฮยองจะไม่มั่นใจเหมือนตอนปกติ

    “ปกติฉันออกจะเป็นคนขี้อ๊ายยย!” ปฏิเสธเสียงสูงปรี๊ด แจ็คสันฮยองยืดอก ส่วนผมเริ่มจะเพลีย

    “ถ้าอย่างฮยองขี้อาย อย่างผมไม่ต้องเดินเอาหัวมุดดินเป็นนกกระจอกเทศเวลาออกไปข้างนอกเหรอ จริงไหมแบมฮยอง!” ยูคยอมหันมาถาม

    “ฉันไม่เอาหัวมุดดินหรอก ฉันหน้าตาดี” ผมตอบจริงจัง แต่เห้ย เดี๋ยวดิ ประเด็นที่พวกเรามามันไม่ใช่เรื่องนี้นี่

    “ฉันนึกได้ว่ามีธุระ ฉันไปก่อนนะ”

    “เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งไป” ผมรีบคว้าแขนแจ็คสันฮยองไว้ พอโดนผมคว้าได้เจ้าตัวก็รีบสะบัดวิ่งหนี ผมเลยต้องวิ่งตามไปกอดไว้ มียูคยอมวิ่งโวยวายตามอีกทอดหนึ่งว่า

    “อย่ากอดแจ็คสันฮยองนะ!

    ผมกับแจ็คสันฮยองไล่จับกัน ล้มลุกคลุกคลานอยู่หน้าห้องสำนักงาน แต่ในที่สุดผมก็จับตัวเกรียนประจำหอได้ มียูคยอมช่วยนั่งทับไว้อีกที แม้หมอนี่จะนั่งทับแจ็คสันฮยองไปด้วยกอดผมไว้ไปด้วยก็เถอะ ยังไงก็ถือว่าผลลัพธ์ใช้ได้

    “ทำไมพวกนายเป็นคนแบบนี้กันวะ ฉันบอกว่าจะไปทำธุระนะ!” แจ็คสันฮยองโวยวาย

    “ฮยองก็บอกผมมาก่อนดิว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น” ผมถาม

    “ก็ไม่มีไร” แจ็คสันฮยองหลบตา

    “ฮยองทำปากเบี้ยว!” ผมแกล้งชี้หน้า

    “เห้ยจริงเหรอ!” คนโดนหาว่าปากเบี้ยวรีบจับปากตัวเอง จริงๆ แล้วผมโกหกแหละ

    “ตกลงมาร์คฮยองไม่สบาย...อู้อี้ๆ” ผมรีบหันไปเอามืออุดปากยูคยอมไว้

    “เฮ้อ” แจ็คสันฮยองถอนหายใจ “มันก็แค่ฉันจะไม่เซ้าซี้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับมาร์คฮยองแล้ว” พูดด้วยแววตาที่สลดลง

    มือผมที่ปิดปากยูคยอมไว้คลายออก

    “ฉันรู้ว่านายก็รู้เรื่องนั้นนะ มันคงไม่ใช่เรื่องที่น่าเอามาพูดอีกใช่ไหม แต่ฉันน่ะ ฉันก็แค่อยากเห็นมาร์คฮยองยิ้มได้จริงๆ ยิ้มจากใจก็แค่นั้นเอง”

    ผมเอง...ก็อยากเห็น

    “พวกนายมาเล่นอะไรกันตรงนี้เนี่ย!” แทคยอนฮยองที่เพิ่งเปิดประตูห้องสำนักงานออกมาถามเสียงดัง

    “สวัสดีครับ แทคยอนฮยอง” ยูคยอมซึ่งนั่งกอดผมบนตัวแจ็คสันฮยองเงยหน้าไปร้องทัก

    “อย่ามาสวัสดีฉันตอนนายกำลังอยู่ในท่าแบบนั้นได้ไหมวะ”

    ผมแกะมือยูคยอมแล้วลุกออกจากตัวแจ็คสันฮยอง ไม่ได้หันไปทักทายแทคยอนฮยองหรือมองแจ็คสันฮยองที่กำลังวิ่งไล่เตะยูคยอม ความจริงแล้วผมแค่เดินเลี่ยงทุกคนออกมาเงียบๆ ขึ้นบันไดกลับห้องมาคนเดียว

    “แต่เป็นห้องเล็กๆ ที่หมอนั่นสร้างขึ้นแล้วขังตัวเองอยู่ในนั้น”

    “อย่ามาใกล้ฉัน!

    “หน็อยแน่ เดี๋ยวนี้รู้จักบริหารเสน่ห์นะ”

    “ออกไป!

    “ใช่ นายน่ารักกว่าคนอื่น สาวๆ ชอบนายก็เพราะนายน่ารัก”

    “ฉันบอกให้ออกไป ไปให้พ้น ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย!!

    ภาพความทรงจำในหัวตัดสลับไปมา น้ำตาไหลอาบแก้มหยดลงบนพื้นที่ผมกำลังเดินอยู่ ปัญหาของผมคือผมกลัว ผมกลัวที่จะเผชิญหน้ากับมาร์คฮยอง ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่ถึงอย่างนั้นก็กลัว กลัวคำตอบ

    แกร๊ก

    เสียงประตูเปิดจากห้องข้างๆ ก่อนผมจะเดินถึงห้องตัวเอง เป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมคิดว่าจะได้เจอตอนนี้ สองขาชะงัก ผมยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความตกใจ พอดีกับที่คนเปิดประตูออกมาเงยหน้าขึ้น

    ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าเป็นผมที่ยืนอยู่ ขายาวก้าวพรวดๆ มาหา

    “เป็นอะไร!” น้ำเสียงตกใจมาพร้อมกับมือที่คว้าแขนผมขึ้น มือที่แทบไม่เคยแตะตัวผมเลย

    ผมมองหน้าตาว้าวุ่นใจของคนตรงหน้า กัดริมฝีปากตัวเองไว้ไม่ให้หลุดสะอื้นทั้งๆ ที่น้ำตามากมายกำลังรินไหล เคยคิดว่าตัวเองเลิกเป็นพวกขี้แงไปแล้ว ว่าไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นอย่างนั้นในตอนนี้

    “แบมแบม เป็นอะไรใครทำอะไรนาย!” มาร์คฮยองเขย่าแขนถาม ท่าทางเหมือนคนกำลังทำอะไรไม่ถูก

    “ผม...ขอโทษ” ผมพูดทั้งสะอื้น

    มาร์คฮยองชะงัก มือที่จับแขนผมไว้ค่อยๆ ปล่อยออก พี่ชายผมแดงก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มือที่กำลังจะยื่นมาเช็ดน้ำตาให้กำไว้แล้วดึงกลับเข้าหาตัว

    ผมไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้จะแก้ไขยังไง ไม่รู้จะเอารอยยิ้มของฮยองกลับคืนมายังไง ความเจ็บปวดบีบรัดหัวใจ มันปวดหนึบไปหมด ผมทำให้มาร์คฮยองอยู่ในนั้น อยู่ในห้องเล็กนั่นๆ อยู่คนเดียว

    ผมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเองผ่านมาร์คฮยองไปโดยไม่พูดอะไร ไม่สามารถพูดอะไรได้ ได้แต่เปิดประตูเข้าห้องตัวเองแล้วยืนร้องไห้คนเดียวอยู่ตรงนั้น โดยไม่รู้ว่าที่หน้าห้องผม มาร์คฮยองยังคงยืนกำมืออันสั่นเทาอยู่ด้วยหัวใจที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน และไม่รู้เลยว่าถัดออกไปตรงบันได มีร่างสูงโปร่งของยูคยอมที่กำลังเงยหน้าพิงหน้าทั้งน้ำตาคลอ





    --------------------------------------------------------------------------------------------TBC

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×