ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Got7] Love hostel อลวนรักหอพักเมี้ยวๆ (จบ)

    ลำดับตอนที่ #66 : ตอนที่ 64 ผมสัญญา (โดย ยูคยอม)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.12K
      15
      10 พ.ค. 61

    ตอนที่ 64

    ผมสัญญา โดย ยูคยอม

    ติ๊งต่อง

    ประตูเปิดออกมาพร้อมเจ้าของห้องที่เงยหน้าง่วงๆ ขึ้นมอง ตาปรือๆ เหมือนคนยังไม่ตื่นดีกวาดไล่มองชุดที่ผมใส่อยู่ก่อนจะเบิกกว้าง ปล่อยมือจากประตูแล้วผงะถอยหลัง

    “อย่าบอกนะว่า...”

    “ไปวิ่งกัน”

     

     

    “ฮือ เช้าวันหยุดที่สดใสของฉัน” แบมฮยองเดินลากขาโอดครวญ หลังจากล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนชุด ออกมายืนอยู่หน้าหอพักแล้ว “ฉันนึกว่านายจะลืมไปแล้วซะอีก”

    “ผมไม่ลืมหรอก เราไม่ได้มาวิ่งด้วยกันตอนเช้านานแล้วนะ” ผมพูดในขณะที่เดินอยู่ข้างๆ

    “เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันก็ต้องตื่นเช้าไปเรียนอีก โอ๊ะ พรุ่งนี้ต้องไปส่งมาร์คฮยองนะ นายไม่ลืมใช่ไหม”

    “ผมไม่ลืมหรอก”

    “รีบกลับหน่อย เผื่อมาร์คฮยองมีอะไรให้ช่วย ถึงจะไม่เคยออกปากอะไรก็เถอะ” แบมฮยองพูดแล้วก็เงียบไป

    “คิดมากอีกแล้ว” เห็นหน้าหวานสลดลง ผมเลยเอียงตัวไปเอาไหล่กระแทก

    “เปล่าสักหน่อย” คนถูกหาว่าคิดมากหันมาปฏิเสธ “แล้วนายได้คุยกับมาร์คฮยองบ้างหรือยัง”

    ได้ยินคำถามแบบนี้เลยกลายเป็นผมที่เป็นฝ่ายเบนสายตาหนี “อ่า ยังเลย”

    “คนคิดมากคือนายต่างหาก” คำพูดที่มาพร้อมกับเสียงถอนหายใจของแบมฮยองทำให้ผมยิ่งเงียบ “ที่ยังไม่ยอมไปคุยกับมาร์คฮยองสักที ก็เพราะคิดมากอยู่ใช่ไหมล่ะ”

    ผมยังเงียบอยู่อีกพักหนึ่ง แต่แค่พักเดียวก็หันกลับไปแล้วส่งยิ้มทะเล้นให้ “งั้นก็ให้ผมคิดมากคนเดียวพอแล้วดีมะ คิดเผื่อฮยองด้วย”

    “ได้ที่ไหนล่ะ เจ้าบ้า” แล้วก็ถูกผลักไหล่กลับมา

    ผมมองคนตัวเล็กข้างกายที่กำลังยิ้มกึ่งขำ

    “ฮยอง เสียใจหรือเปล่าที่...”

    “ไม่” คำปฏิเสธถูกพูดขึ้นก่อนผมจะถามจบประโยค “แล้วก็เลิกถามอะไรทำนองนี้สักที มันรู้สึกเหมือนนายพยายามผลักฉันออกรู้ไหม”

    ผมก้มหน้ามองพื้น จริงอยู่ที่ผมพยายามไม่คิดมาก ผมดีรู้ว่าในเวลาแบบนี้ผมต้องดูแลแบมฮยอง ต้องทำให้แบมฮยองสบายใจ เพียงแต่ถึงอย่างนั้นมันก็อดไม่ได้ การที่มาร์คฮยองต้องย้ายออกไปแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกไม่ดี ทั้งๆ ที่เคยให้สัญญากับแบมฮยองไว้ว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่สุดท้ายมันก็เปลี่ยนไปอยู่ดี

    “ยูคยอม ย่าห์ อย่ามาทำเป็นเหล่แล้วหลบตาฉันนะ!” แบมฮยองยกมือจับหน้าผมบังคับให้หันมาหา “นายต้องคอยมองฉันอยู่ตลอดเวลาสิ เป็นลูกหมายักษ์ของฉันไม่ใช่หรือไง”

    ตากลมที่กำลังจ้องมองอย่างจริงจังยิ่งทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง จริงๆ แล้วแบมฮยองในตอนนี้ดูเข้มแข็งกว่าผมเสียอีก

    “นายห่วงความรู้สึกฉัน ฉันเองก็ห่วงความรู้สึกของนาย เลิกคิดได้แล้วไอ้เรื่องที่ว่าตัวเองสมควรอยู่ตรงนี้หรือเปล่าน่ะ นายสำคัญนะ สำคัญมากสำหรับฉัน เพราะงั้นคนที่อยู่ข้างๆ ฉันถึงต้องเป็นนายเท่านั้น ไม่เข้าใจหรือไง”

    “งั้นทำไมจนตอนนี้ผมถึงยังไม่ได้ยินคำว่ารักจากปากฮยองเลยล่ะ”

    “หะ” แบมฮยองหน้าเหวอไปนิดหนึ่ง

    “ตั้งแต่ตอนงานเทศกาลจนถึงตอนนี้ ฮยองก็ยังไม่เคยพูดเลยว่ารักผม” ผมพูด รู้เลยว่าหน้าตัวเองตอนนี้คงสลดหดหู่สุดๆ

    “กะก็ไม่ใช่ว่าที่ฉันพูดไปมันชัดเจนหมดแล้วเหรอ ว่าฉันรู้สึกยังไงกับนาย”

    “มันก็ไม่เหมือนคำว่ารักอยู่ดี”

    “นายกำลังงอแงใส่ฉันใช่ไหม”

    “เปล่า” ผมกลอกตาไปทางอื่น เพราะยังถูกจับหน้าอยู่

    แบมฮยองจิ๊ปากแล้วเมินใส่บ้าง

    “นี่ จำตอนนั้นได้ไหม” ขณะที่ผมรู้สึกเหมือนถูกถนนสูบลงไปแล้วครึ่งตัว คนที่แกล้งเมินไปทางอื่นก็ถามขึ้นมา “ตอนที่ฉันโกรธนาย เรื่องนายมีคนที่ชอบแล้วไม่ยอมบอก”

    “ที่ฮยองบอกว่าผมควรจะบอกฮยองเป็นคนแรกน่ะเหรอ”

    “อือ” แบมฮยองพยักหน้า สายตามองพื้น “ตอนนั้นฉันโกรธจริงๆ นะ จริงอยู่ที่ส่วนหนึ่งก็เพราะนายปิดบัง แต่จริงๆ แล้วตอนนั้นฉันหงุดหงิดแบบไม่รู้สาเหตุมากกว่า ฉันไม่ชอบที่นายกำลังชอบใครอยู่ก็ไม่รู้ ทำไมต้องชอบล่ะ นายไม่เห็นต้องไปชอบใครเลย โมโหทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องโมโหขนาดนั้น ยิ่งหาเหตุผลก็ยิ่งหงุดหงิด เลยต้องยกเหตุผลนั้นมาให้มันจบๆ ไปแล้วก็คิดว่าตัวเองงี่เง่าชะมัด”

    ผมอึ้ง ตัวกลับมายืนบนพื้นเหมือนเดิม ไม่ได้ถูกสูบแล้ว

    “ฮยองจะบอกว่าจริงๆ แล้วตอนนั้น ฮยองหึงผมเหรอ” ถามตาโต

    “คิดเอาเอง” คนถูกหาว่าหึงพูดขมุบขมิบ ตายังคงจ้องพื้นถนนเอาเป็นเอาตาย

    ผมหลุดยิ้ม แก้มยุ้ยๆ ที่กำลังขึ้นสีนิดๆนั่นทำเอาผมกลั้นยิ้มไม่อยู่

    “ผมคิดไม่ออกหรอก ผมไม่ค่อยฉลาด” พูดทั้งๆ ที่ปากแทบฉีกถึงหู

    “คิดไม่ออกก็เรื่องของนาย”

    “ใจร้ายอ่า บอกหน่อยดิ” แกล้งเอียงตัวเอาไหล่ไปกระแทก แบมฮยองน่ารักอะ อ๊าก น่ารักๆๆ ผมมองไปรอบๆ ในขณะที่ยังแกล้งเอาไหล่กระแทกคนตัวเล็กกว่าอีกสองสามที

    “หยุดเลยนะ ฉันไม่เชื่อหรอกว่านายจะคิดไม่ออกจริงๆ!” แบมฮยองหันมมายกมือจะผลักผมออก แต่ก็ถูกผมจับข้อมือทั้งสองข้างไว้ “นี่แน่” พอโดนจับแขนก็ใช่ว่าจะยอม เห็นแบบนี้แสบน้อยซะเมื่อไร ยกขาเตะผมดังปั้ก

    แน่นอนว่ามันก็เจ็บอยู่นิดๆ แต่ผมในตอนนี้ไม่ได้สนใจ ยิ้มมุมปากนิดหนึ่งก่อนจะก้มหน้าไปจุ๊บที่ริมฝีปากอิ่มของคนตรงหน้า แตะค้างไว้ก่อนจะถอยออกมาส่งยิ้มให้

    คนโดนจูบมองกลับอึ้งๆ แก้มขึ้นสีจัดจนแดงก่ำไปทั้งหน้า

    “ยู ยู ยูคยอม” เรียกชื่อผมตะกุกตะกัก

    “ครับ” ผมขานครับยิ้มๆ

    “ไอ้บ้า!” ผลักผมออกอย่างแรงแล้วรีบหันมองรอบๆ ตื่นๆ “นี่มันข้างนอกนะ นายจะบ้าเหรอ ถ้ามีคนเห็น”

    “ไม่มีคนหรอก ผมดูแล้ว”

    แบมฮยองหันขวับกลับมา ตากลมจ้องผมอย่างเอาเรื่อง แต่ผมก็ยังยิ้ม ไม่สิ ผมยังหุบยิ้มไม่ได้ต่างหาก ทำยังไงปากมันก็ไม่ยอมหุบยิ้มสักที

    “หยุดยิ้มเดี๋ยวนี้เลย!

    “ยิ้มไม่ได้เหรอ”

    “ฉันบอกให้หยุดยิ้ม” แบมฮยองสั่งหน้างอ ทำหน้าเหมือนถ้าผมยังทำแป้นแล้นไม่เลิกจะโกรธจริงๆ ผมเลยต้องพยายามปิดปากพร้อมกับเอาสองมือชี้ว่านี่ไง ไม่ยิ้มแล้ว

    คนออกคำสั่งจ้องหน้า แว้บหนึ่งผมเหมือนเห็นริมฝีปากอิ่มนั่นอมยิ้มนิดๆ ขณะที่กำลังสงสัยว่ามีแผนอะไรหรือเปล่า คนตรงหน้าก็ก้าวเข้ามาใกล้ก่อนจะเขย่งตัวจุ๊บปากผมเบาๆ แล้วถอยไปยักคิ้วให้ มันเร็วมากผมเลยตกใจจนเหวอ แล้วพอเห็นผมหน้าเหวอ เจ้าตัวก็วิ่งจู๊ดหนีห่างออกไปหลายช่วงตัว ก่อนจะหันมาพูดด้วยสีหน้าแห่งชัยชนะ

    “คิดจะแกล้งฉัน รอไปอีกร้อยปีเถอะ!

    ผมมองอึ้งๆ ทั้งตกใจทั้งหมั่นไส้ ดู ยังมาทำเป็นยักคิ้วยิ้มยั่วให้อีก แบบนี้นี่มัน...

    “เอ้า จะยืนอีกนานไหมครับคุณยูคยอม ชวนมาวิ่งไม่ใช่เหรอ เร็วดิ ไม่งั้นไม่รอนะ” แบมฮยองตัวแสบแลบลิ้นให้แล้วออกวิ่งนำไป

    ผมได้แต่ยกมือขึ้นมาจับริมฝีปากตัวเอง ร้ายนักนะ นี่ใจคอจะให้ผมแพ้ทุกอย่าง แพ้ทุกทาง แพ้ไปตลอดกาลเลยหรือไง ก้มหน้ายิ้มกับตัวเองก่อนจะวิ่งตามไป

     

    เรามาที่ห้องแจ็คสันฮยองหลังจากวิ่งเสร็จ ฮยองตัวเกรียนที่กำลังนอนดูทีวีอยู่หันมาทัก แล้วกลับไปสนใจรายการในนั้นต่อ แบมฮยองเองเดินเข้าครัวไปอย่างเคยชิน ส่วนผมที่บังเอิญเห็นประตูห้องยองแจฮยองเปิดแง้มอยู่นิดๆ ไม่ได้ตามไป เดินมาห้องพ่อครัวใหญ่ก่อนจะค่อยๆ เปิดประตูแล้วแทรกตัวเข้าไปเงียบๆ เจ้าของห้องกำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะอย่างขะมักเขม้น ผมเดินไปยืนข้างหลังอย่างเงียบเชียบ ชะเง้อดูอะไรบางอย่างที่ว่านั่นแบบไม่ใกล้จนเกินไปนัก

    ไดอารี่ เหมือนจะเป็นเล่มใหม่ซะด้วย แถมเนื้อหาในนั้นก็แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเล่มที่ผมเคยได้อ่านโดยบังเอิญ

    “กีตาร์แมน”

    “เห้ย!

    โครม

    “ฮยอง!

    “โอ๊ย”

    “ฮยอง เป็นไงมั่ง เจ็บป่าว” ผมรีบเข้าไปช่วยคนที่เพิ่งตกเก้าอี้ลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นด้วยสภาพอเนจอนาถเกินปกติ คือถ้าเป็นคนอื่นอาจจะไม่อนาถขนาดนั้น แต่พอดีนี่เป็นยองแจฮยองไง

    “เจ็บดิ โอ๊ย ไอ้บ้า เข้ามาไม่ให้ซุ่มให้เสียงอีกแล้ว ไม่รู้จักเคาะประตูหรือไง!” ยองแจฮยองโวย จับมือผมลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล มืออีกข้างยังคงกอดไดอารี่แนบอก แล้วก็เพราะสะดุ้งรีบจะเอาไดอารี่ยกหนีผมนี่แหละ ถึงได้ตกเก้าอี้ลงไปกองกับพื้นแบบนั้น

    “ก็ประตูฮยองเปิดอยู่ ฮยองปิดไม่สนิทเอง” ผมพูดแบบไม่รู้สึกรู้สา “ว่าแต่กีตาร์แมนคือใครอะ”

    ยองแจฮยองมองผมด้วยสีหน้าแบบอีกแล้วเหรอ ทำไมต้องเป็นนายทุกทีเลยเนี่ย ก่อนจะทำหน้าเซ็งแล้วหันหนีไปทางอื่น

    “ไม่ใช่เจบีฮยองแน่ๆ อะ เปลี่ยนเป้าหมายแล้วเหรอ”

    “เปลี่ยนบ้าอะไร ฉันไม่ได้ชอบหมอนั่นสักหน่อย” พ่อครัวประจำหอรีบเถียง

    “เอ้า ก็ผมเห็นในนั้นมีแต่กีตาร์แมน กีตาร์แมน กีตาร์แมนเต็มไปหมด”

    “ฉันแค่เขียนถึงแปลว่าต้องชอบมันด้วยเหรอ ก็แค่ แค่ แค่เขียนระบาย ฉันไม่ชอบขี้หน้ามัน”

    “เหรอ แล้วทำไมต้องพูดตะกุกตะกักอะ”

    “ใครตะกุกตะกัก ฉันเปล่า” ปฏิเสธด้วยหน้าตาพิลึกๆ แล้วทำเชิดหน้าขึ้นเหมือนมั่นใจสุดๆ

    ผมมองพี่ชายตรงหน้าเอือมๆ “ฮยอง จริงๆ แล้วผมก็แค่เป็นห่วงเฉยๆ เผื่อฮยองมีอะไรให้ช่วย มีอะไรอยากปรึกษา อยากระบายก็พูดกับผมได้ ยังไงเราก็รู้ๆ กันมาแต่แรกอยู่แล้ว”

    ยองแจฮยองเหล่มองผมก่อนจะมองไดอารี่ตัวเอง เห็นสีหน้าลังเลแบบนั้นผมเลยยืนเงียบๆ

    “สมมติ” เจ้าของไดอารี่พูดอ้อมๆ แอ้มๆ “สมมติว่าคนที่นายไม่ชอบ แล้วก็คิดว่าหมอนั่นก็ไม่ชอบนาย”

    “แล้วฮยองรู้ได้ไงว่าเขาไม่ชอบฮยอง”

    “เอ๊ะ อย่าเพิ่งขัดสิ”

    “อะ ครับๆ”

    “เป็นศัตรูกันอยู่ดีๆ วันหนึ่งเกิดมีท่าทีแปลกๆ แบบ พูดแปลกๆ แล้วทำเหมือน เหมือน เหมือน” เสียงยองแจฮยองค่อยๆ เบาลง ส่วนผมก็อ้าปากลุ้นตามว่าจะเหมือนอะไร แต่ลุ้นไปลุ้นมาคนพูดก็พูดเบาลงไปอีก จนสุดท้ายพึมพำงึมงำอะไรไม่รู้อยู่คนเดียว

    “โอ๊ยฮยอง งึมงำๆ อะไร ผมไม่ได้ยิน ตกลงเหมือนอะไร พูดให้รู้เรื่องสิ”

    ยองแจฮยองเงยหน้ามองผมที่ตั้งใจรอฟังสุดๆ “ไม่มีไร ไม่มีอะไรละ” ตัดบทหน้าตาเฉย แล้วหันไปเอาไดอารี่ใส่ลิ้นชักล็อกกุญแจ

    “อ้าว ไม่มีไรได้ไงอะ ฮยองพูดอยู่เมื่อกี๊อะ”

    “ฉันลืมแล้ว ถอยไปๆ เกะกะ”

    “ฮยอง ไม่ได้นะ มาทิ้งไว้ครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ได้ไง!” ผมโวยวาย เดินตามคนนิสัยไม่ดีที่มาทำให้อยาก(รู้)แล้วจากไปซะเฉยๆ

    “ก็บอกว่าลืมแล้วไง” ยองแจฮยองบอกปัด แล้วเดินไปหาแจ็คสันฮยองกับแบมฮยองที่นั่งดูทีวีกันอยู่

    “ฮยอง ทำแบบนี้ผมค้างนะ ต่อให้จบดิ” ผมโอดควรญ

    “ค้างอะไร!” แจ็คสันฮยองกับแบมฮยองหันขวับมาถามพร้อมกัน

    “ก็ยองแจฮยองอะ” ผมพูดงอนๆ ตามองตัวต้นเรื่องที่ทำเป็นนั่งลอยหน้าลอยตาอยู่ข้างแจ็คสันฮยอง

    แบมฮยองลุกพรวดเดินมาหา พร้อมๆ กับแจ็คสันฮยองที่หันไปคว้าตัวยองแจฮยองดึงมาใกล้ ผมมองคนตัวเล็กที่มายืนประจัญหน้างงๆ กำลังจะถามว่ามีอะไร เจ้าตัวก็เริ่มจับๆ ลูบๆคลำๆ ไปตามตัวผมเหมือนตำรวจค้นตัวผู้ต้องหา เปิดเสื้อเช็คกางเกงจนผมต้องรีบดึงปิด

    “ฮยองทำอะไรเนี่ย!” ถามหน้าแดงก่ำ ต่อหน้าต่อตาแจ็คสันฮยองกับยองแจฮยองแท้ๆ

    “นายไปทำอะไรกับยองแจฮยองมา” แบมฮยองเงยมาถาม สีหน้าจริงจัง

    “หา”

    “โอ๊ยฮยอง จะเปิดเสื้อผมทำไม ปล่อย โรคจิตเหรอ!” เสียงยองแจฮยองโวยวายมาจากโซฟา มือฟาดแจ็คสันฮยองที่ทำตัวเหมือนพวกหื่นกระหายรัวๆ

    “ไปทำอะไรกับไอ้ยูคยอมมามันถึงค้าง ไอ้น้องไม่รักดี กลางวันแสกๆ ฉันก็อยู่ แบมแบมก็อยู่นะโว้ย!” แจ็คสันฮยองตะโกนใส่ พยายามส่องหาอะไรไม่รู้ในเสื้อยองแจฮยอง

    “อย่าบอกว่าฮยอง” ผมหันกลับมามองแบมฮยอง

    “นายกล้าพูดต่อหน้าต่อตาฉันเลยเหรอ” กรรม

    “จะบ้าไปใหญ่แล้ว ไม่ใช่สักหน่อย!” ผมตะโกนเสียงดังลั่น “แค่ยองแจฮยองจะเล่าเรื่องอะไรไม่รู้ให้ฟังแล้วเล่าไม่หมด ผมเลยค้าง แค่นั้นเอง อะไรของพวกฮยองเนี่ย!

    “อ้าว เหรอ” แจ็คสันฮยองหันมาพูด หลังจากเอาหัวออกมาจากใต้เสื้อยองแจฮยองที่โกรธจนหน้าแดง

    ผมทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ ยิ่งเห็นแบมฮยองหันหนีไปอีกทางยิ่งใจหาย

    “โธ่ ฮยองก็รู้ว่าผมรักฮยองขนาดไหนอะ” รีบเข้าไปกอดจากด้านหลัง “แบมฮยอง ผมรักฮยองจะตาย รักฮยองคนเดียวอยู่แล้ว อย่ามาคิดอะไรแบบนี้สิ ผมขนลุกนะ”

    “ฉันต่างหากว้อยที่ต้องขนลุก เอาส่วนไหนคิดกัน นี่ก็ออกไปห่างๆ เลย!” ยองแจฮยองหันมาตะโกนใส่ ก่อนจะผลักแจ็คสันฮยองออกจนเกือบตกโซฟา

    “ก็ไม่รู้นี่หว่า พูดแบบนั้นใครจะไปรู้ด้วย” ตัวเกรียนประจำหอคว้าหมอนมานอนเอกเขนก ไม่สนใจยองแจฮยองที่ยังนั่งถมึงทึง หัวกระเซอะกระเซิงเสื้อหลุดลุ่ยเลยสักนิด “แล้วไอ้พวกนั้นก็พอได้แล้วโว้ย ไม่ต้องมามุ้งมิ้งคลอเคลียกันตรงนี้ หมั่นไส้!

    ผมที่กำลังก้มหน้าก้มตาง้อ เอาแก้มถูกับแก้มยุ้ยของคนในอ้อมกอดจากด้านหลังทำหูทวนลม

    “แบมฮยองคร้าบ”

    “พอได้แล้วยูคยอม ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

    “ไม่เอาอะ ยิ้มหวานให้ผมก่อน ยิ้ม...”

    ป้าบ ตุ๊กตาแมวเขียวกระแทกหัวอย่างแรงจนเซไปทั้งผมทั้งแบมฮยอง ผมหันขวับกลับไป มันดูฮยองถือตุ๊กตาอีกตัวง้างรอ

    “จะแยกได้ยัง” ถามหน้าตาโคตรหาเรื่อง

    ผมปล่อยมือแบบเซ็งๆ ส่วนแบมฮยองกลั้นหัวเราะจนตัวสั่น

    “ฮยองอะ”

    “ไม่มาฮยองอะเลย เห็นใจไอ้ยองแจบ้าง สวีตต่อหน้ามันนี่ไม่สงสารมันเหรอ!

    “เกี่ยวอะไรกับผมอีกจะเอาใช่ไหมจะเริ่มใช่ไหม!” แล้วยองแจฮยองที่สติขาดผึง โดนความโกรธเข้าครอบงำโดยสมบูรณ์ก็กระโจนเข้าใส่ แย่งตุ๊กตาจากมือแจ็คสันฮยองแล้วฟาดเอาๆ

    ผมมองภาพคู่รูมเมทที่กำลังตบตีกันอย่างดุเดือด ก่อนจะหันมามองหน้าแบมฮยองที่หัวเราะก๊ากแบบไม่เกรงใจใคร ถอนหายใจเฮือกพร้อมกับที่สายตาบังเอิญมองเห็นนาฬิกาพอดี โอ๊ะ เวลาตั้งขนาดนี้แล้วเหรอ จะว่าไป ถ้าไม่พูดตอนนี้ก็ไม่รู้จะมีโอกาสได้พูดอีกไหม

    “แบมฮยอง” หันไปสะกิดคนข้างๆ ที่ยังหัวเราะไม่หยุด แบมฮยองปาดน้ำตาหันมาหา “ผมไปหามาร์คฮยองนะ เดี๋ยวมา”

    หน้าตาน่ารักชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าแล้วส่งยิ้มให้กำลังใจ ผมยิ้มกลับแล้วเดินออกมา ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะคุยอะไรบ้าง แต่ต่อให้คิดไว้ก่อน ถึงเวลาก็คงลืมหมดอยู่ดี

    “อ้าว ยูคยอม จะไปไหนอะ” กำลังจะเดินขึ้นบันไดก็บังเอิญเจอเจบีฮยองกับจูเนียร์ฮยองเดินลงมาพอดี

    “ผมจะไปหามาร์คฮยอง พวกฮยองอะ” ถามพลางมองหน้าคุณแม่ของหอที่ดูซีดๆ กระอักกระอ่วนบอกไม่ถูก

    “อ่อ งั้นถ้าพวกนายคุยกันเสร็จแล้วลงมาที่ห้องแจ็คสันด้วยนะ พามาร์คฮยองมาด้วย พวกฉันมีเรื่องจะคุยกับพวกนาย”

    “เรื่องดีหรือไม่ดี” ผมถามระแวงๆ สีหน้าจูเนียร์ฮยองตอนนี้ดูไม่ดีเอามากๆ เลย ถ้าจะมีเรื่องแย่ๆ เกิดขึ้นอีก ผมไม่เอาแล้วนะ

    “นั่นนายต้องคิดเองแล้วล่ะ อย่าลืมลงมานะ ถ้าพวกนายมากันไม่ครบก็เริ่มคุยไม่ได้ ปะ จินยอง” เจบีฮยองหันไปคว้าข้อมือจูเนียร์ฮยองที่สะดุ้งโหยง

    ผมมองตามคู่รูมเมทที่เดินสวนไปงงๆ เจบีฮยองมีสีหน้าสบายๆ เหมือนจะเห็นว่ายิ้มอยู่นิดๆ ด้วยซ้ำ ในขณะที่จูเนียร์ฮยองกลับทำหน้าเหมือนจะโดนเพชรฆาตจูงไปฆ่า ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่ล่ะนั่น

    อ่า เดี๋ยวลงไปก็รู้เองแหละ ผมส่ายหัวแล้วเดินขึ้นบันไดไปตามที่ตั้งใจไว้



    ติ๊งต่อง กดออดแล้วใจก็เริ่มเต้นรัว ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ผมไม่เคยมาห้องมาร์คฮยองเลยสักครั้ง ยิ่งพอรู้ว่าเคยเกิดอะไรขึ้นในห้องนี้ยิ่งไม่อยากมา

    เจ้าของห้องเปิดประตูออกมา สีหน้าดูประหลาดใจที่เห็นผมยืนอยู่

    “เข้ามาสิ” ถึงอย่างนั้นมาร์คฮยองก็ยังเชิญผมเข้าไป อาจจะเพราะรู้จุดประสงค์ของผมดี

    ผมมองไปรอบๆ ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกอึดอัดเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ห้องมาร์คฮยองเองก็ไม่ได้แตกต่างจากห้องสองเกรียนข้างล่างเท่าไร เพียงแค่ในห้องตอนนี้ดูโล่งๆ เพราะข้าวของส่วนใหญ่ที่เก็บได้คงถูกเก็บไปหมดแล้ว

    “ฮยองเก็บของเสร็จแล้วเหรอ” ผมถาม

    “อือ เสร็จหมดแล้ว” มาร์คฮยองตอบ “เอาน้ำไหม แต่ไม่มีขนมอะไรมาเสิร์ฟนะ”

    “ไม่เป็นไร ไม่ต้องหรอก ผมไม่ได้จะอยู่นาน” ผมรีบบอกตอนที่กำลังนั่งลงบนโซฟา

    “อ่า นั่นสินะ” มาร์คฮยองพยักหน้าเข้าใจ แล้วนั่งลงโซฟาอีกตัว

    “ไม่ใช่ ผมไม่ได้หมายความว่าไม่อยากอยู่ห้องฮยองนานๆ นะ คือผมหมายถึง ผมแค่จะมาคุยกับฮยอง คือฮยองคงไม่สะดวกที่...”

    “ฉันเข้าใจ”

    ผมชะงัก มองหน้าพี่ชายผมแดงที่ส่งยิ้มบางๆ มาให้ ไม่รู้ทำไมถึงจะเห็นรอยยิ้ม ข้างในผมกลับยิ่งรู้สึกเศร้า

    “ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไร ไม่ว่าผมจะพูดอะไรไปตอนนี้มันก็คงดูไม่ดีทั้งนั้น” ผมก้มหน้า เพราะสถานะที่กลายเป็นคนสมหวัง ผมเลยไม่สิทธิ์เห็นใจ ไม่มีสิทธิ์ปลอบโยน ไม่มีสิทธิ์แสดงความรู้สึกเศร้าใจใดๆ ออกมา โดยเฉพาะต่อหน้ามาร์คฮยอง

    “ฉันยังยืนยันคำเดิม” เสียงทุ้มต่ำของคนนั่งอยู่ตรงข้ามทำให้เงยหน้าขึ้นมอง “ที่พูดกับนายหน้าห้องน้ำวันนั้น ฉันยังยืนยันเหมือนเดิม”

    “ไม่ว่าคำตอบคืออะไร นายก็จะเป็นน้องชายของฉันตลอดไป”

    ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองสบดวงตาผม สีหน้าแน่วแน่จริงจังทำให้ผมได้แต่กัดฟันแล้วพยักหน้า อยากบอกขอบคุณแต่ก็พูดไม่ออก มาร์คฮยองเป็นคนที่น่านับถือ ทั้งในฐานะคู่แข่งและพี่ชาย

    เรานั่งกันอยู่เงียบๆ มันคงไม่ดีเท่าไรถ้าผมจะมาร้องไห้ตรงนี้ เพราะงั้นมาร์คฮยองก็เลยไม่ได้พูดอะไรอีก ผ่านไปพักหนึ่งผมถึงได้ดีขึ้น ไม่ได้อยากเป็นพวกขี้แงเหมือนที่โดนล้ออยู่บ่อยๆ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงได้เซ้นซิทีฟกว่าชาวบ้านเขาเรื่อยเลย

    “ไปอยู่นู่นก็ติดต่อมาบ้างนะฮยอง อย่าเงียบหายไปเลยล่ะ ไม่งั้นคิดถึงแย่” ผมพูดยิ้มๆ

    “อืม” มาร์คฮยองพยักหน้า

    เกิดความอึดอัดขึ้นระหว่างเรานิดหน่อยแต่ผมเข้าใจ ยังไงซะเรื่องพวกนี้ก็คงต้องใช้เวลา

    “จริงสิ เจบีฮยองบอกว่าให้ลงไปข้างล่าง เหมือนจะมีประชุมอะไรสักอย่าง เราจะไปเลยไหม” ผมถามตอนที่นึกขึ้นมาได้ ถึงจะไม่รู้ว่าเรื่องดีหรือไม่ดีก็เถอะ

    “ไปสิ ฉันเก็บของเสร็จหมดแล้ว”

    ด้วยเหตุนี้เราเลยลุกขึ้นเดินออกจากห้องมาพร้อมกัน

    “ยูคยอม” มาร์คฮยองเรียกหลังจากปิดประตูห้องแล้ว

    ผมหันกลับไปมอง

    “ดูแลแบมแบมให้ดีนะ” รอยยิ้มบางๆ ถูกส่งมาให้ แม้ในแววตาคู่นั้นยังแฝงรอยเศร้า

    “ครับ” ผมพยักหน้า ตอบเสียงหนักแน่น “ผมสัญญา” 





    ------------------------------------------------------------------------------------TBC


    เห็นเม้นบอกว่าเราเกลียดยองแจหรือเปล่า คือจะว่าไปตั้งแต่ลงเรื่องนี้มาจนถึงตอนนี้ เราถูกบอกว่าเกลียดตัวละครในเรื่องมาจนเกือบครบแล้วล่ะค่ะ (ฮ่าๆๆ) ไม่ว่าจะเป็น มาร์ค จูเนียร์ แจ็คสัน คือเราไม่ได้เกลียดอะไรใครนะ เรารักทั้ง 7 คนมาก เพราะงั้น โอ๋ๆ อย่าโกรธเราเลย ทุกตัวละครนี่โดนไปไม่มากไม่น้อยไปกว่ากันเลยล่ะ (อะไรไม่รู้ลอยเฉียดหัวไป)

    เห็นเม้นบอกว่าเปลี่ยนใจไม่ซื้อหนังสือแล้ว ค่ะ ไม่เป็นไร แต่อย่าเปลี่ยนใจกันเยอะนะคะ (TT) เพราะเราคำนวนตามยอดคร่าวๆ ที่ทำสำรวจไว้ตอนนั้น แทบไม่เผื่อไว้เลย เพราะอยากให้ราคาออกมาไม่แพงมาก เพราะงั้นฝากด้วยนะคะ คนวาดปกจะสามารถเริ่มงานได้วันที่ 20 ตุลา เพราะงั้นพอได้ปกเล่มแรกมาแล้ว เราจะเริ่มเปิดพรีตอนนั้น ปกทั้ง 3 เล่ม เห็นว่าต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือนถึงจะวาดเสร็จครบหมด ระหว่างนั้นก็จะเคลียร์ทุกอย่างในเล่มให้เรียบร้อยไปด้วย รวมถึงตอนพิเศษในเล่ม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×