ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Got7] Love hostel อลวนรักหอพักเมี้ยวๆ (จบ)

    ลำดับตอนที่ #58 : ตอนที่ 57 เลือก 1 (โดย แบมแบม)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.4K
      29
      10 พ.ค. 61


    ตอนที่ 57

    เลือก โดย แบมแบม


    “ไม่ต้องหรอก ที่นั่นเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” แทคยอนฮยองตอบคำถามพวกผมที่ว่างานเทศกาลมีอะไรให้ช่วยไหม ฮยองตัวสูงเดินถือแก้วกาแฟมานั่งลงบนเก้าอี้โยกที่วางชิดมุมหนึ่งในห้องรับแขก “พวกนายจะไปดูก็ได้นะ แต่เช้าๆ แบบนี้ยังไม่มีอะไรหรอก มีแต่พวกร้านค้ามาขายของ” พูดพลางยกกาแฟขึ้นจิบ

    “สรุปมาเที่ยวบ้านอูยองฮยองนี่พวกผมไม่ได้ไปเที่ยวไหนจริงๆ จังๆ เลย” แจ็คสันฮยองที่นั่งอยู่บนหมอนลายการ์ตูนอันใหญ่ๆ บนพื้นกับยองแจฮยองพูดเซ็งๆ

    “ก็เห็นนายวิ่งไปวิ่งมาอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำบ่น” ชานซองฮยองหันมาพูดยิ้มๆ ก่อนจะเอียงไปดูอะไรบางอย่างในมือถือที่จุนโฮฮยองยื่นมาให้ดู

    “วิ่งไปไหน ก็แค่ชายหาด ร้านค้า โรงฝึก บ้านอูยองฮยอง แถมเมื่อวานโดนใช้ให้ทำบ้านหมาทั้งวัน” คนขี้บ่นยกนิ้วนับแจกแจง

    “กิจกรรมเสริมสร้างความสามัคคีไง” จุนโฮฮยองเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือมาพูด รอยยิ้มมุมปากนิดๆ นั่นน่ากลัวชะมัดเลย

    “พวกผมไม่ได้มาเข้าค่ายนะฮยอง” แจ็คสันฮยองเงยหน้าไปบอก

    “วันนี้ก็ฟรีแล้วไง อยากไปไหนก็ไปดิ” แทคยอนฮยองพูด สะบัดมือส่งๆ ถึงจะโดนอีกฝ่ายทำแยกเขี้ยวใส่ แต่ก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไร

    “แล้วนี่เจบีฮยองไปไหนเหรอฮะ” ผมถามบ้าง เมื่อคืนไม่ได้กลับมานอนด้วยกัน แถมวันนี้ก็ยังไม่เห็นเลย

    “อ่า เมื่อคืนมันกลับมาพร้อมพวกฉัน เห็นว่าดึกแล้วเลยบอกให้มันนอนด้วยกันที่นี่” แทคยอนฮยองตอบ “นี่มันก็ไปหาจูเนียร์ตั้งแต่เช้าแล้ว”

    “อ้าว จูเนียร์ฮยองไม่ได้มานอนนี่เหรอฮะ” ผมถามงงๆ

    “เปล่า นอนโรงงานกับอูยองมัน”

    ผมหันมองยองแจฮยองที่นั่งก้มหน้าเล่นตุ๊กตาอ๊กแคทเงียบๆ นึกเป็นห่วงเรื่องพี่ชายคนนี้กับออมม่าของหอขึ้นมา ฝั่งจูเนียร์ฮยองมีเจบีฮยองแล้วคงไม่เป็นไร จะเหลือก็แต่ฝั่งนี้ ไม่รู้ว่าแจ็คสันฮยองมีความคิดอะไรดีๆ บ้างหรือเปล่า

    “แจ็คสัน ไปกับฉันไหม” จู่ๆ จุนโฮฮยองก็ชวน

    “ไปไหนอะ” เจ้าของชื่อหันมาถาม

    “ป่า”

    “ป่าเนี่ยนะ!

    “ป่าเนี่ยแหละ มีที่เจ๋งๆ อยู่เพียบ”

    “เช่น?

    “ต้องไปดู” ดวงตาเฉี่ยวหลิ่วให้น้อยๆ

    “เมื่อวานมันก็วิ่งเข้าไปแล้วรอบหนึ่ง” แทคยอนฮยองแซว แต่คนถูกแซวก็ทำเป็นไม่สนใจ

    “ไปดิ แต่เจ๋งแน่นะฮยอง” แจ็คสันฮยองถามย้ำ หน้าตาไม่ค่อยไว้วางใจ

    “จะไปจริงเหรอ” ชานซองฮยองหันไปถาม “วันนี้ฉันโคตรขี้เกียจเลย ช่วยงานอูด้งเหนื่อยแทบตาย อยากพักอะ”

    “นายไม่ไปก็เรื่องของนายดิ” จุนโฮฮยองพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก “ในป่าด้านหลังมันมีต้นไม้อายุเกือบร้อยปีอยู่ด้วย เป็นเนินเล็กๆ เขาว่าถ้าไปอธิษฐานอะไรตรงนั้นจะสมปรารถนา”

    “เห้ย นั่นมัน”

    “ชู่ว”

    แทคยอนฮยองชี้ อ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จุนโฮฮยองก็รีบเอานิ้วแตะปากตัวเองส่งเสียงห้าม

    “ฮยองอย่าบอก ต้องให้ไปเห็นเอง”

    “ต้นไม้เก่าเหรอ” แจ็คสันฮยองถาม สีหน้าจากไม่ไว้วางใจเปลี่ยนเป็นสนใจสุดๆ

    “วิวสวยด้วย”

    “เฮ้ย น่าสน ยองแจไปกัน นายไปไหมแบมแบม”

    “เอ่อ” ผมเหล่มองจุนโฮฮยองแบบแอบๆ ก็น่าสนใจอยู่หรอกนะ แต่อยู่ใกล้จุนโฮฮยองทีไร ใจผมแป้วทุกทีเลย ไอ้อาการฝังใจจากเหตุการณ์สมัยเป็นเด็กนี่ทำไมไม่หายสักทีก็ไม่รู้ “ผมอยู่นี่ดีกว่า” ตอบอ้อมแอ้มๆ

    “ใครสนใจก็มานะ ฉันเป็นไกด์เอง” จุนโฮฮยองพูดแล้วเดินนำออกไปนอกบ้าน รอยยิ้มกับดวงตาวาววับนั่น ยังไงก็ไม่น่าไว้ใจเอาซะเลย

    “นายไป ยังไงฉันก็ต้องไปด้วยอยู่แล้ว” ชานซองฮยองถอนหายใจ เดินตามฮยองน่ากลัวคนนั้นไป โดยมีแจ็คสันฮยองลากยองแจฮยองตามไปด้วย 

    รอจนคณะเดินป่าออกไปกันหมดแล้ว แทคยอนฮยองก็วางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะไม้ตัวเล็กข้างๆ ขยับตัวนิดหน่อยก่อนจะถาม

    “พวกนาย เมื่อวานตกลงยังไง มีเรื่องอะไรกัน”

    ผมหันไปมอง “เรื่องอะไรฮะ” ถามกลับ ก็เมื่อวานมีตั้งหลายเรื่อง

    “อูยองมันโทรหาฉัน บอกว่าเจอจูเนียร์ที่โรงงาน เจอหน้ากันปุ๊บหมอนั่นก็ร้องไห้โฮเลย แต่พอถามกลับไม่บอกอะไรสักคำ ตกลงมันเรื่องอะไร มินจุนก็บอกว่ายองแจร้องไห้”

    ผมหันมองยูคยอมสลับมาร์คฮยอง สองคนนี้นั่งเงียบ ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นคนตอบคำถามแต่อย่างใด

    “ว่าไง” แทคยอนฮยองถามย้ำ

    “ผมก็ไม่ค่อยรู้อะไรนะ แต่เหมือนว่าจูเนียร์ฮยองกับยองแจฮยองจะทะเลาะกัน” ผมตอบไม่เต็มเสียง “ที่จริงก็ถามยูคยอมมาอีกที”

    “อ้าว ไหงมาโยนให้ผมอะ” เจ้าลูกหมายักษ์สะดุ้ง

    “ยังไงยูคยอม” คนอายุมากสุดในที่นี้เลื่อนสายตาไปจ้อง

    “ผมก็ไม่ได้รู้อะไรเยอะ” ยูคยอมตอบหน้าแหยๆ “พอดีเมื่อวานผมตามแจ็คสันฮยองไป ไปถึงฮยองเขาก็เค้นถามยองแจฮยองว่าเกิดอะไรขึ้น ถามยังไงไม่บอก สุดท้ายเลยบ่นใส่ว่าจูเนียร์ฮยองก็เกือบหายไป มีแต่เรื่อง ตอนนั้นถึงได้เห็นว่ายองแจฮยองทำหน้าแปลกๆ ผมเลยเผลอพูดโพล่งไปว่าจูเนียร์ฮยองเหรอ พอยองแจฮยองได้ยินแบบนั้นก็หันหนีไปเลย ตอนนั้นเลยโดนแจ็คสันฮยองเค้นอีกรอบว่ามีเรื่องกับจูเนียร์ฮยองใช่ไหม เค้นไปเค้นมาคราวนี้ยองแจฮยองตะโกนใส่ว่าถ้าใช่แล้วจะทำไม แถมตะโกนเสร็จน้ำตาก็ไหลพรากๆ เล่นเอาแจ็คสันฮยองเลยไม่กล้าถามอะไรอีกเลย” ยูคยอมเล่า ละเอียดกว่าที่บอกผมเมื่อวานอีก

    “แล้วตกลงสองคนนั้นมีเรื่องอะไรกัน” แทคยอนฮยองถาม

    “ผมไม่รู้ รู้แค่นี้แหละ” เจ้าลูกหมายักษ์ส่ายหน้า

    “นายล่ะมาร์ค รู้ไหม”

    พี่ชายผมแดงที่นั่งกอดอกเงียบๆ มาตั้งแต่แรกเงยหน้าขึ้น มองแทคยอนฮยองนิดหนึ่งแล้วตอบสั้นๆ “ไม่รู้เหมือนกัน”

    “ให้มันได้อย่างนี้ งานเทศกาลทั้งทีดันมาทะเลาะกัน” พี่ใหญ่สุดในที่นี้พูดเซ็งๆ หยิบกาแฟมาดื่มอีกรอบ

    ผมก้มหน้าลง มาเที่ยวคราวนี้ไม่รู้จะได้สนุกอย่างที่ตั้งใจไว้หรือเปล่า

    “แบมแบม” เสียงเรียกจากแทคยอนฮยองทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมอง “ไปซื้อของให้ฉันหน่อยดิเดี๋ยวจดรายการให้” จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาเฉยๆ แถมยังหยิบกระดาษโน้ตแถวๆ นั้นมาจดรายการให้เสร็จสรรพ

    “ทำไมต้องผมอะ ฮยองอยากได้อะไรก็ไปซื้อเองสิ” ผมประท้วง

    “ย่าห์ เมื่อวานฉันช่วยงานบ้านอูยองมันเหนื่อยจะตาย ไปซื้อของให้แค่นี้ไม่ได้เหรอวะ มานี่ ลุกมาเอารายการไปเลย ร้านก็อยู่ไม่ไกล ขี่จักรยานไปเดี๋ยวก็ถึง ให้ยูคยอมมันไปด้วย ช่วยกันถือ”

    “ใช้แต่พวกผมอะ พวกผมเป็นน้องเล็กนะ ทีมาร์คฮยองนั่งเฉยๆ ไม่เห็นใช้” ผมลุกขึ้นบุ้ยใบ้ไปทางคนผมแดงที่ยังนั่งเงียบอยู่

    “เป็นน้องก็หัดทำอะไรให้พี่ๆ มั่งดิวะ มาเอาเลยเร็วๆ แล้วรีบๆ ไปซื้อด้วย” แทคยอนฮยองสะบัดกระดาษโน้ตในมือ

    ผมเดินหน้างอไปหยิบกระดาษมา มีแต่ของจิปาถะอะไรไม่รู้เยอะแยะ ไม่เห็นจะมีอะสำคัญที่ต้องไปซื้อเดี๋ยวนี้เลย

    “ต้องซื้อ...”

    “เออ รีบๆ ไปเถอะน่า ยูคยอมพามันไปดิ๊ พูดมากจริงเว้ยไอ้เด็กนี่”

    ผมทำหน้างอนใส่แทคยอนฮยองที่โบกมือไล่แบบไม่ใยดี แล้วเดินตามยูคยอมออกไป เห็นพวกผมว่างเป็นไม่ได้ ใช้ตลอด คนนิสัยไม่ดี คิดในใจเคืองๆ แต่พอเห็นยูคยอมเดินไปจูงจักรยานออกมาอย่างว่าง่าย ไม่หือไม่อืออะไรแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เอาเถอะ อยู่เฉยๆ ก็น่าเบื่อ

     

    เพื่อนตัวโตจูงจักรยานออกนอกบ้านแล้วขึ้นนั่งประจำตำแหน่งคนปั่น ผมเดินตามไป กำลังจะนั่งตามปกติ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเป็นนั่งหันมาด้านหลัง แล้วเอนตัวพิงแผ่นหลังกว้างของเพื่อนไว้

    ยูคยอมหันมามอง “ฮยอง ทำไมนั่งแบบนั้น เดี๋ยวก็ตกหรอก นั่งดีๆ สิ”

    “ไม่ตกหรอกน่า” ผมตอบชิลๆ

    “หันไปด้านหลังอย่างนั้นจะจับอะไรล่ะ หันมาดีๆ”

    “บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร ฉันจะนั่งแบบนี้ นายก็ไปปั่นไปสิ”

    “แบมฮยอง”

    “เลิกบ่นได้แล้วน่า”

    “ผมไม่ได้บ่นนะ ผมเป็นห่วง”

    “ก็บอกว่าไม่เป็นไร ฉันไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ นายปั่นดีๆ ก็แล้วกัน” ผมพูดพลางขยับตัวถอยหลังไปอีกนิดจนชิดหลังยูคยอม แล้วพิงหัวตัวเองไว้ “ไปเลย”

    ได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนขี้กังวล คงรู้แล้วว่าห้ามผมไม่ได้เลยต้องปั่นออกไปแบบจำยอม จักรยานค่อยๆ ออกตัวไปช้าๆ ช้ามาก

    “นายปั่นช้าแบบนี้แหละมันจะล้ม”  ผมพูดขำๆ

    “โธ่ ฮยองอะ” เสียงยูคยอมโอดครวญ แล้วเร่งความเร็วขึ้นเล็กน้อย

    “ฮ้า อากาศดีสุดๆ เลย” ชูมือสองข้างไปด้านหน้า รับลมเย็นที่พัดพาเอากลิ่นทะเลเข้ามาปะทะ “อากาศดีๆ แบบนี้น่ามาปั่นจักรยานเล่นด้วยกันกับทุกคนเนอะ”

    “อื้อ คงสนุกน่าดู”

    “แต่คงไม่ได้” ผมลดมือลง “จูเนียร์ฮยองกับยองแจฮยองมีเรื่องอะไรกันไม่รู้ แจ็คสันฮยองเองก็...” น้ำเสียงขาดหายไปในลำคอ

    ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนยังคงชัดเจน แจ็คสันฮยองที่เหมือนถึงขีดจำกัดกับบางอย่าง ท่าทางเจ็บปวดที่ปิดไม่มิด แม้สุดท้ายแล้วผมจะไม่ได้เห็นน้ำตาสักหยด แต่ความปวดร้าวดที่สะท้อนมาจากดวงตาคู่นั้นก็ยังชัดเจน

    “ร้องไห้ทำไม ไอ้ตัวเปี๊ยก” แจ็คสันฮยองพูดยิ้มๆ เดินมาเช็ดน้ำตาให้ผม “ไม่เอาน่า ฉันไม่ได้เป็นไรสักหน่อย”

    ผมส่ายหน้า ถ้าไม่ได้เป็นอะไร ทำไมฮยองถึงดูเจ็บปวดขนาดนี้

    “ฉันแค่เครียดๆ เรื่องพวกเราทั้งหมด นายก็รู้ฉันไม่ชอบอะไรอึดอัดแบบนี้”

    “จริงเหรอ” ผมถาม ไม่แน่ใจว่าควรจะเชื่อไหม

    “จริงดิ หยุดร้องได้แล้วน่า เดี๋ยวใครมาเห็นได้นึกว่าฉันแกล้งนายพอดี” เสียงหัวเราะจากคนตรงหน้าไม่ได้ทำให้ผมเบาใจขึ้นแต่อย่างใด

    “ผมร้อง เพราะฮยองไม่ร้อง ทั้งๆ ที่เจ็บปวดขนาดนั้นฮยองก็ยังไม่ร้องออกมา” ผมพูด “เพราะผมมันไม่ใช่คนเข้มแข็งมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว คงไม่เป็นไรหรอกถ้าจะร้องไห้อีก ร้องเผื่อในส่วนของฮยองด้วย”

    แจ็คสันฮยองมองหน้าผม ริมฝีปากหยักเม้มเข้าหากัน ก่อนจะดึงผมเข้าไปกอดแน่น กอดโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

     

    ท่าทางแบบนั้น สีหน้าแบบนั้น แววตาแบบนั้น จะให้ผมเชื่อได้ยังไงว่าไม่เป็นไร

    “ฮยอง แบมฮยอง!

    “หะ อะไรนะ” ผมสะดุ้ง หลุดจากภวังค์ความคิดตัวเอง

    “อย่าเหม่อสิครับ ผมกังวลนะ เกิดหล่นตุ้บไปจะทำยังไง” เสียงยูคยอมฟังดูเหมือนคนจะร้องไห้

    ผมหัวเราะ “ฉันไม่หล่นหรอกน่า ใครๆ เขาก็นั่งแบบนี้กัน”

    “ฮยองนั่งหันหลังแบบนั้นมันมองไม่เห็นทางข้างหน้า ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจะทำยังไง ไม่รู้ตัวเลยนะ”

    “ไม่เป็นไรหรอก” ผมพูดสบายๆ “ข้างหน้ามีนายมองให้แล้ว”

    ยูคยอมเงียบไป ในขณะที่ผมอมยิ้มน้อยๆ เจ้าลูกหมายักษ์ขี้กังวล

    แหงนมองท้องฟ้าสีสวย เมฆสีขาวลอยเอื่อย ผมพิงหลังยูคยอมเงียบๆ อยู่สักพักก็ส่งเสียงเรียก “ยูคยอม นายรู้ไหมว่ามาร์คฮยองกับแจ็คสันฮยองมีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า”

    “สองคนนั้นมีเรื่องกันเหรอ” เจ้าของชื่อถามกลับ

    “นายไม่เห็นเหรอว่ามันแปลกๆ ดูเหมือนแจ็คสันฮยองไม่ค่อยอยากเข้าใกล้มาร์คฮยอง”

    “เหรอ” ยูคยอมตอบเสียงลอยๆ “ผมไม่รู้เลย”

    “คงจะไม่ได้ทะเลาะกันอีกคู่นะ” ผมพูดพลางถอนหายใจ ไม่งั้นคราวนี้คงเป็นทริปอาถรรพ์ ทริปแห่งการผิดใจ

    “อืม” คำตอบบางเบาจากเพื่อนทำให้ผมนิ่งเงียบไปอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจถาม

    “แล้วนายกับมาร์คฮยองล่ะ มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า” บรรยากาศอึดอัดแปลกๆ ไม่ได้มีแค่ระหว่างมาร์คฮยองกับแจ็คสันฮยอง แต่กับยูคยอมด้วย

    “เปล่านี่” คำปฏิเสธดังมา หลังจากเจ้าตัวเงียบไปนิดหนึ่ง

    ผมเหล่มองแผ่นหลังที่ตัวเองพิงอยู่ จับได้ว่าน้ำเสียงที่ตอบกลับมาไม่เป็นธรรมชาติ

    “แน่นะ” ถามย้ำ

    “ฮยองอย่าคิดมากเลย ไม่มีอะไรหรอก”

    “อืม” ผมรับคำ โชคดีที่ตอนนี้เราต่างหันหลังให้กัน ไม่งั้นเพื่อนตัวโตคงสังเกตเห็นใบหน้าผมในตอนนี้ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล “ไม่มีใครไปไหนหรอก ก็พวกเราน่ะ 7 คนตลอดไป” พูดด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก แต่ก็มากพอให้คนที่อยู่ด้วยกันตอนนี้ได้ยิน “นายว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ไหม”

    ยูคยอมเงียบไปอีกครั้ง ปล่อยให้เสียงของสายลมเข้าแทนที่พักหนึ่ง ถึงได้ตอบออกมา “ต้องเป็นแบบนั้นสิ”

     “จำได้ไหม ประโยคนี้นายเป็นคนพูดกับฉัน วันที่เราจัดหนังสือที่ห้องพักครู”

    “จำได้ แล้วตอนนี้ผมก็ยังยืนยันอย่างนั้น”

    “แน่ใจนะ” ผมถามย้ำ ถามเพราะตอนนี้ตัวเองไม่แน่ใจเลย ยองแจฮยองกับจูเนียร์ฮยอง แจ็คสันฮยองกับมาร์คฮยอง กระทั่งมาร์คฮยองกับยูคยอม

    “แน่ใจ”

    “อือ ฉันเชื่อนาย” เพราะคำพูดของนายคือความจริงเสมอ

     

     

    ใช้เวลาไม่นานพวกเราก็มาถึงร้านขายของที่ว่า มันเป็นร้านโชห่วยเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ก่อนเข้าไปในเมือง ขายของจิปาถะแต่ครบครัน

    “ฮยอง ทำไมอยู่นี่อะ” ผมเดินไปทักรุ่นพี่หน้าตี๋ที่กำลังนั่งกินขนมปังอยู่บนโต๊ะไม้หน้าร้าน

    “อ้าว พวกนาย มาซื้อของเหรอ” อูยองฮยองเงยหน้ามาทัก

    “อื้อ แทคยอนฮยองใช้มา ฮยองอะ มานั่งทำไร ไม่กลับไปกินข้าวบ้าน” ผมถาม ก้าวข้ามเก้าอี้ไปนั่งลงตรงข้าม

    “เดี๋ยวฉันจะกลับไปโรงงานอีกรอบ” พี่ชายที่เป็นเจ้าถิ่นตอบเซ็งๆ

    “มีอะไรให้พวกผมช่วยไหม” ยูคยอมที่ตามมานั่งข้างๆ ผมถาม

    “ไม่มีหรอก พอดีผู้ช่วยฉันไม่อยู่ ส่งไปประชุมแทนที่บริษัทแม่ ฉันเลยต้องทำทุกอย่างเองหมดเลย” อูยองฮยองเบะ แต่สักพักก็ทำท่าเหมือนนึกบางอย่างได้ “เออ พวกนายมาก็ดี” วางขนมปังในมือลง “จูเนียร์มันเป็นไร มีเรื่องอะไรกัน”

    “จริงสิ แล้วจูเนียร์ฮยองอยู่ไหนเนี่ย ฮยองทิ้งจูเนียร์ฮยองไว้คนเดียวเหรอ” พออีกฝ่ายถามมาแบบนั้นผมเลยนึกได้บ้าง ก็ไหนว่าอยู่กับอูยองฮยอง

    “บ้า ไม่ได้ทิ้ง” เจ้าตัวรีบปฏิเสธ “เจบีมันมาหาแต่เช้าแล้ว ตอนนี้อยู่ไหนไม่รู้”

    “จริงด้วย ลืมเจบีฮยองไปเลย”

    “แล้วตกลงเป็นอะไร เมื่อวานฉันโคตรตกใจ คนงานมาบอกฉันว่าเด็กที่มาหาเมื่อตอนเช้าเดินอยู่แถวๆ หน้าโรงงาน ฉันก็ออกไปดู แต่พอจูเนียร์มันเงยหน้ามาเห็นฉันเท่านั้นแหละ น้ำตาไหลพราก” อูยองฮยองเล่า “ไอ้ฉันก็ตกใจตาลีตาเหลือกเข้าไปปลอบ ถามว่าเป็นอะไรมันก็ไม่พูด รอจนมันหยุดร้อง ถามอีกมันก็ไม่ยอมพูด เงียบกริบอย่างกับปากทากาวไว้ ฉันไม่รู้จะทำไงเลยโทรหาแทคยอนฮยอง ฝั่งนั้นก็บอกให้ดูจูเนียร์ไว้ไม่ต้องบอกคนอื่น บอกตามตรงโคตรงง”

    มาเต็ม...

    ผมหันมองหน้ายูคยอมแล้วพากันยิ้มแห้งๆ ยังไม่ทันได้พูดอะไร รุ่นพี่ตรงหน้าก็พูดต่ออีก

    “ฉันไม่รู้จะทำยังไงกับมันดีเลยพาไปอยู่ห้องผู้จัดการโรงงาน บอกถ้ามีอะไรให้โทรเรียก เอามันไปแหมะไว้ตรงนั้นมันก็อยู่ตรงนั้นจนมืด เข้าไปอีกทีก็ยังเห็นนั่งนิ่งอยู่ท่าเดิม โคตรหลอนเลย เห็นสภาพชำรุดทรุดโทรมของมันขนาดนั้นก็คิดว่าปล่อยให้กลับบ้านไม่ไหวแน่ เลยพาไปนอนด้วยที่ห้องพักในโรงงาน คิดดูนะ ขนาดนอนอยู่ด้วยกันแท้ๆ มันยังไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ อึดอัดสุดๆ จนเช้านั่นแหละถึงได้มาบอกฉันว่า ฮยอง ผมไปเดินเล่นแถวๆ นี้นะ” อูยองฮยองพูดจบแล้วกะพริบตาปริบๆ ใส่ผมที่ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ กลับไปให้

    “อ่า เหมือนว่าจะมีเรื่องกับยองแจฮยองน่ะฮะ”

    “อ๋อ ถึงว่าล่ะ”

    “แล้วจูเนียร์ฮยองเป็นอะไรมากไหมอะฮยอง” ผมถาม ฟังจากคำพูดที่เล่ามาแล้ว แม้จะเล่าแบบติดตลก แต่อาการออมม่าของหอก็ยังน่าเป็นห่วงอยู่ดี

    “เป็นซากไปแล้ว” แล้วก็ได้คำตอบกลับมาแบบสุดเกรียน

    “ผมจริงจังนะ อย่าเล่นสิ นี่ผมเป็นห่วงจริงๆ นะ ฮยองไม่ห่วงจูเนียร์ฮยองเหรอ!” ผมพูดเสียงดังขึ้นนิดหน่อย

    “เอ้า ฉันก็พูดจริงๆ สภาพมันเมื่อเช้าเหมือนวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว แล้วก็นะ เพื่อนกัน ทะเลาะกันเรื่องธรรมดา เดี๋ยวก็หายเองแหละน่า” รุ่นพี่หนุ่มยังคงพูดด้วยท่าทีสบายๆ “ตอนแรกฉันก็นึกว่ามีเรื่องอะไรร้ายแรงซะอีก”

    “นี่ก็ร้ายแรงนะฮะ!” ผมลุกขึ้นเท้ามือกับโต๊ะพูดเสียงดัง “จูเนียร์ฮยองกับยองแจฮยองไม่เคยทะเลาะกันเลยนะ รักกันจะตาย แล้วเป็นขนาดนี้ต้องเรื่องใหญ่มากแน่ๆ ถ้าไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมล่ะจะทำยังไง”

    “ถ้าเป็นเพื่อนกันจริงๆ เดี๋ยวพวกมันก็เคลียร์กันได้เองแหละน่า”

    “แต่ว่า...”

    “เอางี้ เดี๋ยวฉันเล่าอะไรให้ฟัง อย่าไปบอกใครล่ะ” รุ่นพี่หนุ่มชิงพูดก่อน มุมปากยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นท่าทีร้อนใจของผม “เมื่อก่อนฉันเคยทะเลาะกับแทคยอนฮยอง หนักขนาดฉันซัดเปรี้ยงเข้าหน้าแทคยอนฮยองเลย”

    ผมอ้าปากค้างกับเรื่องที่ได้ยินโดยไม่คาดคิด ในขณะที่คนเล่ายังคงยิ้มน้อยๆ

    “จริงๆ แล้วตอนนั้นโคตรโมโหเลย โมโหถึงขั้นคิดว่าตัวเองเกลียด ไม่อยากยุ่งเกี่ยว ไม่อยากข้องแวะอะไรกับกลุ่มนี้อีก” ดวงตาเรียวของรุ่นพี่ทอแววบางอย่าง “แต่สุดท้ายก็ไม่ไปไหน ฉันไปไหนไม่ได้ คำว่าเพื่อนตายมันรั้งฉันไว้ รั้งไว้จนกระทั่งเรื่องราวพวกนั้นมันผ่านพ้นไป”

    “ผ่านพ้น ยังไงเหรอครับ” เสียงยูคยอมที่นั่งเงียบอยู่นานถาม

    “ก็ยังไงล่ะ ก็ผ่านพ้นไปจนไม่ได้รู้สึกอะไร แถมยังเข้าใจคนบ้าอย่างแทคยอนฮยองมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ” อูยองฮยองตอบกึ่งขำ

    “แล้วใครเป็นฝ่ายขอโทษก่อน ฮยองหรือแทคยอนฮยอง” เจ้าลูกหมายักษ์ถาม

    “ไม่มีใครขอโทษ เท่าที่จำได้จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครพูดขอโทษกับเหตุการณ์ในวันนั้นเลยนะ ฉันไม่คิดว่าตัวเองผิด แทคยอนฮยองเองก็คงไม่ได้คิดว่าตัวเองผิดด้วย เราต่างมีเหตุผลของตัวเอง แล้วฉันก็ไม่ได้เสียใจกับเรื่องในวันนั้น ก็แหม โอกาสที่จะได้ชกหน้าแทคยอนฮยองจังๆ แบบนั้นหาได้ง่ายๆ ที่ไหน ฮ่าๆๆ”

    รุ่นพี่ที่มีดีกรีความเกรียนไม่แพ้ใครหัวเราะร่า ก่อนจะมองพวกผมแล้วพูดต่อด้วยรอยยิ้ม

    “ถ้ามิตรภาพของพวกนายเป็นของจริง มันจะไม่มีวันหายไป ต่อให้เกิดเรื่องราวมากขนาดไหน ต่อให้ต้องผ่านบททดสอบอีกเท่าไร มันก็จะไม่มีวันถูกทำลาย ไม่ว่าจากอะไรก็ตาม”

    เป็นคำพูดที่ทำให้ทั้งผมและยูคยอมนิ่งอึ้ง ไม่สามารถพูดอะไรตอบกลับไปได้ กระทั่งตอนที่ปั่นจักรยานกลับ พวกเราก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันแม้แต่คำเดียว

     

     

    ตกเย็นทุกคนที่อยู่บ้านอูยองฮยอง มินจุนฮยอง แทคยอนฮยอง มาร์คฮยอง ผมและยูคยอมก็พากันไปเที่ยวงานเทศกาลในเมือง จุนโฮฮยองโทรมาบอกว่าล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ให้ไปเจอกันในงาน ส่วนทางด้านเจบีฮยอง แทคยอนฮยองบอกว่าไม่ต้องโทร ถ้ามีอะไรเดี๋ยวทางนั้นก็โทรมาเอง

    งานเทศกาลขอบคุณท้องทะเลจัดอย่างยิ่งใหญ่กว่าที่ผมคิด มีร้านรวงซุ้มเล่นเกมตั้งเรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่สองข้างถนนยาวสุดลูกตา ตรงลานกว้างที่น่าจะเป็นลานกีฬาถูกจัดเป็นซุ้มเวทีเตี้ยๆ แบบโบราณ ประดับประดาด้วยโคมไฟ ผ้า และแผ่นไม้สวยงาม มีเรือจำลองวางตกแต่งอยู่ข้างๆ

    แทคยอนฮยองบอกว่างานนี้ปิดถนนสองซอย ซอยที่พวกเราอยู่เป็นพวกขายอาหารและซุ้มเกมส์ ส่วนอีกซอยเป็นพวกของใช้ ของที่ระลึก ของพื้นบ้านต่างๆ ในงานมีทั้งร้านค้าจากชาวบ้านบนเกาะ แล้วก็จากที่อื่นที่มาตั้งขายเฉพาะในเทศกาลนี้ นอกจากนี้ยังมีนักท่องเที่ยวด้วย ถือเป็นงานใหญ่ของเกาะเลย

    พวกเราเริ่มต้นเดินกันจากตรงเวที เดินดูกันไปเรื่อยๆ

    “โอ๊ะ ขอโทษครับ” ผมรีบก้มหัวขอโทษ ตอนหันไปชนลังที่ใครบางคนขนมา

    “ย่าห์ ดูทาง อ้าว แบมแบม”

    “ชานซองฮยอง!” ผมเงยมองใบหน้าที่โผล่ออกมาจากลังอะไรสักอย่างที่เจ้าตัวถืออยู่ “ทำอะไรเนี่ย จะขนไปไหนฮะ”

    “ขนไปร้านอูด้งน่ะสิ” เจ้าตัวตอบ “หนักชิบเป๋ง ตอนแรกบอกมีสองลัง พอไปดูจริงๆ มีสาม แล้วนี่อยู่กับใครอะ”

    “กับพวกที่มาจากบ้านอูยองฮยองนั่นแหละ เนี่ย” พูดพลางพยักเพยิดหน้าไปด้านหลัง

    พี่ชายตัวยักษ์มองตาม “ย่าห์ ยูคยอม มาช่วยฉันหน่อยสิ”

    “ผมเหรอ ทำไมต้องผมอะ” ยูคยอมที่เพิ่งเดินถือสายไหมมาชี้ตัวเอง

    “หรือจะให้แบมแบมมาช่วยล่ะ เนี่ยเอาไปลังหนึ่ง ช่วยขนไปร้านอูด้งหน่อย ไม่ไกลหรอก”

    “ให้ผมช่วยก็ได้นะฮยอง” ผมเสนอตัว ยังไงซะงานนี้ก็ยังไม่ค่อยได้ช่วยอะไรใครเท่าไร

    “ไม่ต้องหรอก ฮยองอยู่นี่แหละ อะนี่ สายไหมที่อยากกิน เดี๋ยวผมกลับมา” ยูคยอมยื่นสายไหมให้ แล้วเดินไปรับลังจากชานซองฮยองมา

    “จะกลับมาอีกทำไม นายก็รออยู่ร้านเลย เดี๋ยวยังไงพวกนี้ก็ต้องเดินผ่านอยู่แล้ว” ชานซองฮยองพูด

    “พวกแจ็คสันฮยองก็อยู่นั่นด้วยเหรอฮะ” ผมถาม

    “อื้อ อยู่นั่นหมดแหละ ไปนะ”

    ผมพยักหน้า มองตามสองน้องเล็กจากสองกลุ่มช่วยกันยกลังเดินไป เห็นชานซองฮยองหยุดคุยกับแทคยอนฮยองที่หันมาเจอพอดีอีกข้างหน้า แล้ววันนี้จะถึงไหมล่ะนั่น ผมเล็มสายไหมในมือแล้วเดินตามไปสมทบ

    “แป๊บๆ แวะซื้อน้ำก่อน พักแป๊บ” มินจุนฮยองพูดขึ้นมา หลังจากเดินแวะนู่นแวะนี่กันมาอีกพักหนึ่ง

    “แก่แล้วนะฮยอง เดี๋ยวเหนื่อยๆ เนี่ย” ผมแซว

    “เออ” คนโดนหาว่าแก่ยอมรับหน้าตาเฉย แล้วหันไปสั่งน้ำ

    “แบมแบม” มาร์คฮยองที่ยืนอยู่ข้างๆ กันเรียก “ฉันไปห้องน้ำแป๊บหนึ่งนะ”

    “อื้อ” ผมพยักหน้า “เดี๋ยวผมรออยู่ตรงนี้”

    “ห้องน้ำเดินตัดถนนออกไปข้างๆ อยู่เลยร้านต้นไม้ไปด้านหลังอะ มีป้ายบอก เดินตามไปเลย” แทคยอนฮยองหันมาชี้บอกเส้นทาง

    มาร์คฮยองพยักหน้ารับรู้แล้วเดินไป

    “ย่าห์ นายห้าขวบหรือไงแบมแบม สายไหมมันละลายเลอะมือหมดแล้ว” บอกทางมาร์คฮยองแล้ว ท่านเจ้าของหอพักเมี้ยวๆ ก็หันมาดุผมที่พยายามกินสายไหมในมือให้หมด “ทิ้งไปเลย ทิ้งซะ เหนียวหมดแล้ว”

    “ฮยองอะ” ผมทำหน้ากระเง้ากระงอด เลียขอบปากตัวเอง

    “ทิ้งแล้วตามมาร์คไปล้างมือเลย มันยังไปไม่ไกลหรอก”

    “เสียดาย”

    “ทิ้งไป!

    ผมเดินคอตกเอาสายไหมที่สภาพเละเทะไปทิ้งถังขยะ ก้าวเท้าเร็วๆ เดินตามทางที่มาร์คฮยองไปหวังจะให้ทันพี่ชายผมแดง ผ่านตรงถนนที่เป็นร้านต้นไม้เดินเลาะไปหน่อยก็เจอป้ายบอกทางไปห้องน้ำ ผมเดินตามลูกศร ทางค่อนข้างมืดกว่าจะไปสว่างอีกทีก็ตรงห้องน้ำเลย กำลังจะส่งเสียงเรียกตอนเลี้ยวไปแล้วเห็นมาร์คฮยองกำลังจะเดินเข้าไป แต่ก็ต้องหยุดเมื่อเห็นว่ามีใครอีกคนเดินสวนออกมา

    คนสองคนหน้าห้องน้ำชะงักเมื่อเห็นกันแและกัน ผมขยับตัวหลบเข้าไปยืนหลังกระถางต้นไม้ในความมืด ในขณะที่ตรงนั้นมีแต่ความเงียบ มันเงียบอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนที่คนตัวสูงกว่าจะเป็นคนทำลายโดยการพูดขึ้นมา

    “ผมไม่สนอีกแล้วว่าพวกฮยองจะเคยรู้สึกต่อกันยังไง ไม่สนว่าเรื่องราวในอดีตระหว่างพวกฮยองจะเป็นแบบไหน พื้นที่ข้างๆ แบมแบมเป็นของผม มันเป็นของผมมาตลอดสามปีนี้ พื้นที่ตรงนั้นผมจะไม่มีวันทิ้งไปอีก แล้วก็ไม่ยอมแพ้ด้วย”

    มาร์คฮยองเงยหน้ามอง

    “ฉันก็ไม่สนเหมือนกันว่าตลอดสามปีที่ผ่านมานายจะทำอะไร จะยืนอยู่ตรงไหน เรื่องราวระหว่างพวกนายจะเป็นยังไง ความรักของแบมแบม ฉันจะทวงมันคืน”

    พี่ใหญ่และน้องเล็กของหอจ้องหน้ากันนิ่ง

    “ผมไม่ขอโทษเรื่องวันนั้นหรอกนะ ผมน่าจะต่อยฮยองไปจริงๆ ด้วยซ้ำ” คนเป็นน้องพูดเสียงเรียบ

    “ฉันก็ไม่ได้เสียใจอะไรที่พูดกับนายไปแบบนั้นเหมือนกัน”

    ผมยืนอึ้ง ใจหาย ยิ่งได้ยินคำพูดประโยคถัดมาของมาร์คฮยองยิ่งใจหาย

    “นายจะโกรธ จะเกลียดฉันยังไงก็ได้ แต่ฉันไม่อยากให้แบมแบมรู้เรื่องนี้”

    “ผมโกรธ” ยูคยอมพูด “ตอนนั้นผมโกรธ แต่ก็ไม่เคยคิดจะเกลียดฮยอง ผมรู้ว่าฮยองเป็นยังไง แล้วก็รู้ด้วยว่าตัวเองเป็นยังไง เราตอนนี้ไม่อยู่ในสถานการณ์ที่จะพูดคุยหรือมองหน้ากันได้ บอกตามตรง ผมไม่รู้ว่าจะส่งยิ้มให้ฮยองได้ยังไง ทั้งๆ ที่ในใจหวังให้ตัวเองไม่ใช่คนที่ผิดหวัง”

    “สำหรับฉันตอนนี้นายคือคู่แข่งที่ฉันไม่อยากแพ้ จนกว่าจะถึงวันที่ได้คำตอบ ฉันก็ไม่รู้จะมองหน้านายอย่างสบายใจได้ยังไงเหมือนกัน”

    “อือ จนกว่าจะถึงวันนั้น”

    “ยูคยอม” พี่ชายผมแดงหันมาเรียก ในตอนที่อีกฝ่ายเดินสวนออกไป “หลังจากนั้น หลังจากจบเรื่องนี้...”

    “หลังจากนั้นเราจะไม่ใช่คู่แข่งกันอีกต่อไป ไม่ว่าคำตอบคืออะไร ฮยองจะเป็นพี่ชายของผมตลอดไป”

    มาร์คฮยองยิ้ม ถ้ามองไม่ผิดผมเห็นมาร์คฮยองแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

    “ไม่ว่าคำตอบคืออะไร นายก็จะเป็นน้องชายของฉันตลอดไป”

    ยูคยอมเองก็ส่งยิ้มบางๆ ให้ ก่อนจะเดินออกมาแล้วผ่านผมไปโดยไม่ทันสังเกต ผมค่อยๆ เดินออกมาจากมุมมืดตอนที่มาร์คฮยองเข้าห้องน้ำไปแล้ว หันมองทางที่แต่ละคนเดินหายไปแล้วก็ตัดสินใจเดินย้อนกลับไปทางเดิม

    “ทำไมกลับมาเร็ว มาร์คอะ” มินจุนฮยองถามตอนหันมาเห็นผม

    “ฮยอง ซื้อน้ำให้ผมล้างมือสักขวดได้ไหม” ผมไม่ตอบคำถาม แต่ถามกลับพร้อมยื่นมือให้ดู

    “อ้าว แล้วเมื่อกี๊ไม่ได้ไปห้องน้ำเหรอ”

    “ผมไม่อยากไปล้างที่นั่นแล้ว ฮยองซื้อน้ำเปล่าให้หน่อยสิ”

    “ทำไมอะ ห้องน้ำมีอะไร”

    “มานี่มาแบมแบม” แทคยอนฮยองเดินมาคว้าแขนผม จูงไปร้านขายของแถวนั้น “ดงอุน ขอน้องฉันล้างมือหน่อยได้ไหม เด็กนี่กินสายไหมจนเลอะไปหมด” ถามเจ้าของร้านร่างท้วมที่กำลังนั่งกดโทรศัพท์เล่นตอนยังไม่มีลูกค้า

    “เออ เอาเลยๆ จุ่มๆ ไปในกะละมังด้านหลังนั่นเลย สะอาดอยู่”

    หลังจากได้รับอนุญาต แล้วพี่ชายตัวสูงก็พาผมเดินไปจุ่มมือลงกะละมัง ผมล้างมือลวกๆ แค่ให้มันไม่เหนียวแล้วลุกขึ้นสะบัด

    “ขอกระดาษด้วยนะ”

    “เออ”

    “ฮยอง ผมขอไปเดินเล่นคนเดียวนะฮะ” เงยหน้าบอกแทคยอนฮยอง ระหว่างที่รับเอากระดาษเช็ดมามือตัวเอง

    “จะไปไหน ไม่ไปร้านอูยองมันด้วยกันหรือไง”

    “ผมว่าจะเดินไปอีกซอยหนึ่ง อยากทบทวนอะไรกับตัวเองสักพัก”

    ดวงตาสีเข้มของพี่ชายตรงหน้ามองนิ่งมาที่ผมซึ่งไม่ได้หลบสายตา

    “ตอนทุ่มหนึ่งเขาจะเริ่มการแสดงขอบคุณท้องทะเล เป็นพิธีโบราณ เดี๋ยวใกล้ๆ แล้วฉันโทรหา ไม่อยากให้นายพลาด อย่าปิดเสียงโทรศัพท์ล่ะ”

    ผมพยักหน้า

    “มีไรก็โทรมาแล้วกัน”

    ผมพยักหน้าอีกรอบ ก่อนจะเดินข้ามไปอีกซอยที่คนเบาบางกว่า ก้าวขาทอดน่องไปตามถนน สองข้างทางร้านรวงต่างประดับประดาด้วยโคมไฟสีสวย เพลงเพราะเปิดสลับสับเปลี่ยนทั้งเพลงเก่าและใหม่อย่างลงตัว เลยขึ้นไปบนท้องฟ้าสีเข้ม หมู่ดาวพร่างพรายกระจายตัวอยู่ล้อมรอบดวงจันทร์สีนวล มองเห็นเด่นชัดราวกับหมู่เมฆพร้อมใจกันเปิดทาง ร่วมฉลองกับงานในคราวนี้ ผมละสายตาจากท้องฟ้าที่สวยงามราวกับภาพวาด ทอดสายตามองไปยังถนนเบื้องหน้า

    “แบมแบม ผมรักนาย”

    งั้นก็ช่วยเห็นเพิ่มไปอีกอย่างด้วยได้ไหมครับ ช่วยเห็นผมเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่รักฮยองด้วย

    แบมแบม ฉันรักนาย

    มองฉันเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ต้องการความรักจากนาย

    ภาพเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นย้อนกลับเข้ามาในความคิด

    “หันมาสำรวจใจตัวเองบ้าง นายคิดยังไงกับใคร หรือไม่ได้คิดอะไรกับใครเลย”

    “รับได้ไหมล่ะ ถ้าต้องยกให้ใคร ไอ้ความรู้สึกอยากครอบครองไว้ ความรู้สึกที่ไม่อยากยกให้ใคร นายมีมันไหมล่ะ ถ้ามี ฉันคงไม่ต้องอธิบายหรอกมั้งว่ามันแปลว่าอะไร ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนดีก็ไม่อยากยกให้ รู้สึกแบบนั้นกับใครบ้างไหมล่ะ

    คำตอบที่ได้ชัดเจนจนทำให้ประหลาดใจ ทั้งๆ ที่เคยคิดว่าไม่ได้คิดอะไรกับใคร ทุกคนต่างสำคัญเท่าๆ กัน แต่พอได้ยินคำถามจากแจ็คสันฮยองแล้ว คำตอบที่ได้กลับไม่เหมือนกัน จริงอยู่ที่ทั้งสองคนสำคัญ แต่มันก็เป็นความสำคัญที่แตกต่างกัน ความรู้สึกผมที่มีให้คนทั้งคู่จริงๆ แล้วต่างกัน

    ผมควรจะจบเรื่องพวกนี้ได้แล้ว ควรจะพูด ควรตัดสินใจให้เด็ดขาดเสียที เลิกเห็นแก่ตัว เลิกคิดที่จะรั้งทุกคนไว้รอบตัวตัวเอง ไม่มีใครอยากรอคอยไปโดยไม่มีจุดหมาย แม้จะเจ็บปวดแต่คนเราย่อมต้องการผลตอบรับในสิ่งที่ทุ่มเทลงไป

    ความคิดวนเวียน ถามตอบตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งเสียงเพลงที่เคยได้ยินค่อยๆ เบาลงจนดังเพียงแว่วๆ อยู่ไกลๆ ผมเงยหน้าขึ้นมอง ไม่มีร้านค้าอยู่แถวนี้ ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเดินมาไกลจนเลยพื้นที่งานออกมาแล้ว กวาดสายตามองรอบๆ จนไปสะดุดกับโบสถ์เล็กๆ ที่ตั้งอยู่ ห่างจากโบสถ์ไปไม่มากมีป้ายเขียนไว้ว่า “สวนพฤกษา”

    ผมเงยหน้ามองป้ายก่อนจะเดินลอดซุ้มเข้าไป สวนพฤกษาในยามค่ำคืนดูเงียบเหงา คงเพราะมันมีเพียงไฟที่เปิดไว้ตรงถนนเท่านั้น ทำให้มองไม่ค่อยเห็นดอกไม้หรือไม้ประดับอื่นๆ ที่อยู่ลึกจากถนนเข้าไป ก้าวเดินไปเรื่อยๆ จู่ๆ ก็คิดถึงพี่ชายเชื้อชาติเดียวกันที่ไม่ได้อยู่ด้วยตอนนี้ขึ้นมา ถ้ามีพี่คุณอยู่ พี่คุณคงไม่ปล่อยเรื่องพวกนี้ไปเฉยๆ คงต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง

    เอาอีกแล้ว เป็นแบบนี้อีกแล้ว ที่ผ่านมาก็เอาแต่พึ่งพาคนอื่นมาโดยตลอด ไม่เคยทำอะไรด้วยตัวเองเลย พอกลัวขึ้นมาก็ถอย พอคิดว่าทำอะไรไม่ได้ก็ปล่อยให้คนรอบข้างจัดการ ความจริงแล้วอาจจะเป็นผมเองนี่แหละที่สร้างความเจ็บปวดให้คนรอบตัวมากที่สุด

    เดินลึกเข้ามาเรื่อยๆ ตลอดทางมีพุ่มไม้สูงตัดเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมทอดยาวขนาบข้าง ผมหยุดยืนตรงสี่แยก หันมองรอบตัว อย่างกับเขาวงกตเลย เป็นเขาวงกตเหมือนความคิดผมตอนนี้ จะแตกต่างก็แค่ในความคิดผมมันเป็นเขาวงกตที่ผมรู้ทางออก แต่เลือกที่จะไม่เดินออกไป ขนาดรู้แน่ชัดแล้วว่าต้องเดินไปทางไหนก็ยังไม่กล้า

    ก้มหน้ายิ้มเศร้าๆ กับตัวเองก่อนจะก้าวเดินต่อไปอีก ผมนี่มันน่ารำคาญจริงๆ แม้กระทั่งตัวเองยังรู้สึกว่าตัวเองน่ารำคาญ

    “แบมแบม!

    เสียงเรียกชื่อดังชัดทำให้หันกลับไปมอง แต่ถนนด้านหลังไม่มีใคร

    “แบมฮยอง!

    “แบมแบม!

    เสียงเหมือนดังมาจากทั้งฝั่งซ้ายและขวา ผมหันหลังเดินย้อนกลับไป

    “ผมอยู่...” กำลังจะส่งเสียงบอกว่าตำแหน่งตัวเอง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเดินไปถึงสี่แยก

    ยูคยอมยืนอยู่ทางซ้าย ในขณะที่มาร์คฮยองอยู่ทางขวา บนถนนที่มีผมยืนอยู่ตรงกลางสี่แยกนี้ คนสองคนจากสองฝั่งหันมามองผมเป็นสายตาเดียว ไม่มีใครขยับจากตำแหน่งที่ตัวเองยืนอยู่ ไม่แม้กระทั่งตัวผมเอง

    ความเงียบเข้าปกคลุม ต่างคนต่างมองกัน โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรแม้แต่คำเดียว

    “แบมแบม!” เสียงเรียกดังมาจากด้านหน้า ใครอีกคนกำลังวิ่งตรงมา “ทำไมไม่เปิด...” คำพูดขาดหาย คนมาใหม่หยุดชะงัก เมื่อวิ่งพ้นแนวพุ่มไม้มาหยุดยืนตรงสี่แยกหน้าผม หันมองไปยังสองคนที่ยืนห่างออกไปบนถนนฝั่งซ้ายและขวา

    แจ็คสันฮยองมองพวกเราสามคนสลับไปมา ในขณะที่สายตาของยูคยอมและมาร์คฮยองเองก็เลื่อนจากผมไปยังคนมาใหม่ ทั้งสองคนมองแจ็คสันฮยอง แล้วมองเลยมาที่กันและกัน ราวกับเวลาหยุดหมุน พวกเราทั้งสี่คนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เนิ่นนานในความรู้สึก เนิ่นนานจนหัวใจเจ็บปวด ในที่สุดคนสองคนที่ยืนอยู่คนละฝั่งของตัวผมก็หันหลังแล้วเดินจากไป

    ผมมองซ้ายขวาเลิ่กลั่ก มองแผ่นหลังที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไป และก่อนที่จะทันได้คิดไตร่ตรอง ขาก็ก้าวตามใครคนหนึ่งไป  







    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------TBC

    ถอยหลังกรูดติดกำแพง รีดอย่าขย้ำเรา ฮ่าๆๆ ต้องตัดตอนแล้วจริงๆ ข้ามไปฝั่งพี่บีที่เหตุการณ์เกิดในช่วงเวลาเดียวกัน เดี๋ยวค่อยกลับมาดูว่าแบมตามใครไป (ตอนนี้ยาวมาก 18 หน้าแน่ะ)

    มีรูปมาแปะด้วย เผื่อใครงงตำแหน่งการยืนตรง 4 แยกของ 4 คนนี้ แบมเดินย้อนกลับมา ส่วนแจ็ควิ่งมาทีหลัง

     


     

    คุยก่อน ตอนเราพิมพ์ถึงตอนมีเสียงเรียกแบมแบมแล้วแบมหันหลังมาไม่เจอใคร เสียงดังจากฝั่งซ้ายขวา วิ่งกลับมาบอก ผมอยู่... แล้วชะงัก ในเหัวรานี่ไปแล้ว ชะงักเพราะตรงนั้นไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว หันมองรอบตัวอย่างตื่นตระหนก ขาก้าวถอยหลัง แบมแบม เสียงเรียกดังมาจากด้านหลัง แต่พอหันไปกลับพบแต่ความว่างเปล่า หัวใจเต้นระรัวด้วยความตื่นกลัว สองขาออกวิ่ง แบมแบมมมมมม น้ำเสียงเย็นดังตามมาราวกับมันอยู่ด้านหลัง

    เอี๊ดดดดดด เบรก เดี๋ยวนะ ยาวไปละ ฮ่าๆๆ เกือบกลายเป็นฟิคสยองขวัญ เจอกันตอนหน้ากับเจบีค่า 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×