ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Got7] Love hostel อลวนรักหอพักเมี้ยวๆ (จบ)

    ลำดับตอนที่ #51 : ตอนที่ 50 เส้นทางของคนสามคน (โดย แบมแบม)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.3K
      30
      10 พ.ค. 61


    ตอนที่ 50

    เส้นทางของคนสามคน โดย แบมแบม


    เสียงริงโทนเพลงสดใสที่เพิ่งโดนเพื่อนเปลี่ยนให้แผดเสียงปลุกผมตั้งแต่เช้า มือควานเปะปะหยิบต้นตอของเสียงมากดรับแนบหูทั้งที่ตายังไม่ลืม

    “สวัสดีครับ”

    “ดีจ้า แบมแบม นี่ฉันเองนะ”

    “ฉัน?” สมองประมวลผลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจำได้ “อ๋อ โดฮี ว่าไง”

    “โทษทีนะที่โทรมาแต่เช้า แต่นายจำเว็บสารเคมีที่อาจารย์จองให้มาได้หรือเปล่า ฉันขอหน่อยสิ จดมาแล้วหายไปไหนไม่รู้”

    “เว็บสารเคมีเหรอ แป๊บหนึ่งนะ เดี๋ยวดูให้” ผมลุกจากเตียงเดินหาวไปที่กระเป๋านักเรียน “นี่ลุกมาทำการบ้านแต่เช้าขนาดนี้เลยเหรอ”

    “เมื่อคืนนอนเร็วน่ะเลยตื่นเช้า พอตื่นมาแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไร”

    “อเล็กซ์ล่ะ”

    “อย่าพูดถึงตาบ้านั่นนะ พูดชื่อคนพรรค์นั้นแต่เช้าจะพาลโชคไม่ดีทั้งวัน”

    “ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ” เอาไหล่หนีบโทรศัพท์ไว้ มือค้นกระเป๋าหาสมุด

    “ใครกันล่ะที่หาเรื่อง ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” ปลายสายพูดเซ็งๆ “จริงสิ พูดถึงเมื่อวานแล้วนึกได้ ตอนเย็นฉันยูคยอมเดินตามนายไปด้วย ตกลงว่าได้คุยกันหรือยัง”

    มือที่กำลังจะหยิบสมุดชะงักเล็กน้อย “ยังเลย” ผมตอบ

    “เอ้า เดินตามกันไปขนาดนั้น ฉันคิดว่าหมอนั่นอยากขอโทษนายซะอีก”

    ผมไม่ตอบอะไร เปิดสมุดหาหน้าที่จดชื่อเว็บไซต์เอาไว้

    “แบมแบม ฉันก็รู้นะว่านายไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ แต่พวกนายโกรธกันนานเกินไปแล้วหรือเปล่า ทะเลาะกันนานขนาดนี้ไม่สมกับเป็นพวกนายสองคนเลยนะ” โดฮีพูด น้ำเสียงอ่อนใจ

    “ไม่รู้สิ ก็ไม่เห็นหมอนั่นจะว่ายังไง” ผมตอบเหมือนไม่ค่อยใส่ใจนัก

    “แต่...”

    “ชื่อเว็บมันยาวมากเลยนะ เดี๋ยวผมส่งข้อความไปให้ดีกว่า จะได้ไม่ต้องจด” ผมพูดสวนขึ้นมา ก่อนที่เพื่อนจะพูดเรื่องนั้นต่อ

    “จ้ะๆ ได้ๆ งั้นฉันไม่กวนนายแล้ว โทษทีที่โทรมาปลุกนะ ขอบคุณมาก”

    “อืม ไม่เป็นไร เดี๋ยววางแล้วจะส่งไปให้ทันทีเลย”

    “โอเค”

    หลังจากโดฮีวางสายผมก็กดพิมพ์ข้อความส่งลิ้งเว็บไซต์ไป พอเห็นว่าข้อความถูกส่งออกไปแล้วมือที่ถือโทรศัพท์ก็วางลงบนพื้นข้างตัว มองเหม่อไปยังสมุดเคมีซึ่งกางอยู่บนตัก ตาสว่างเลย ทำไงดีล่ะทีนี้ มองซ้ายมองขวาแบบที่ไม่ได้หาอะไรเป็นพิเศษ แล้วเก็บสมุดเข้ากระเป๋าก่อนจะลุกเดินเข้าห้องน้ำ

    อาหารเช้าง่ายๆ อย่างขนมปังปิ้งใส่จาน เดินถือไปนั่งลงตรงโต๊ะเขียนหนังสือหลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จ เปิดคอม ยกขาขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ มือข้างหนึ่งหยิบขนมปังมากัด ส่วนอีกข้างกดเข้าอินสตราแกรม รูปแรกที่เจอคือโดฮีถ่ายรูปกับหนังสือเคมีบ่นว่าฉันตื่นมาทำบ้าอะไรตอนนี้เนี่ย ผมเข้าไปกดไลค์ คอมเม้นแซวนิดหน่อยก่อนจะเลื่อนดูคนอื่นๆ สายตาไปหยุดอยู่ที่รูปของเพื่อนคนหนึ่งที่ลงรูปตัวเองถ่ายคู่กับยูคยอม

    “ทะเลาะกันนานขนาดนี้ไม่สมกับเป็นพวกนายสองคนเลยนะ”

    คำพูดของโดฮีย้อนกลับเข้ามาในความคิด ก็คงจะเป็นอย่างนั้น เพราะตลอดเวลาสามปีที่อยู่ด้วยกันมา พวกเราไม่เคยทะเลาะกันเลย สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะทุกครั้งที่มีความคิดขัดแย้งกัน ยูคยอมจะเป็นฝ่ายยอมก่อนเสมอ

    ย้อนไปวันที่ยูคยอมก็เดินตามมา ผมรู้ตัวตั้งแต่เห็นหมอนั่นบนรถประจำทางคันเดียวกันแล้ว ในเมื่อบ้านหมอนั่นกับหอพักอยู่คนละทาง มันเลยไม่มีเหตุผลอะไรที่จู่ๆ จะมาขึ้นรถคันนี้ ผมไม่รู้ว่ายูคยอมตั้งใจจะทำอะไรเลยทำเป็นเฉยๆ รอดู ยูคยอมเดินตามมาเรื่อยๆ แค่เดินตามมา จนกระทั่งผมหยุดอยู่ที่หน้าประตูหอ หมอนั่นก็หยุดยืนห่างออกไป ผมจับประตูยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่ายูคยอมไม่เดินมาอีกจึงเปิดประตูเดินเข้าไปและตัดสินใจที่จะไม่ปิดมัน เผื่อว่าคนที่เดินตามมาตลอดจะเข้ามาทีหลัง เผื่อหมอนั่นไม่กล้าเข้ามาต่อหน้าผม เผื่อ...เผื่อจะมีอะไรบางอย่างดลใจให้หมอนั่นกลับมา ผมเดินไปจนถึงบันไดขึ้นชั้นสองของหอแล้วหันกลับมามอง ว่างเปล่า ด้านหลังผมไม่มีใครเลย

    เหตุการณ์ดำเนินไปแบบเดิมในทุกวัน ยูคยอมเดินตามมาและคงปิดประตูให้ เพราะผมไม่โดนดุเรื่องเปิดมันทิ้งไว้เลย มันดำเนินไปเหมือนภาพฉายซ้ำๆ จนถึงวันสุดท้ายของสัปดาห์เรียน ผมเปิดประตูเดินเข้ามาเหมือนทุกวัน เพียงแต่วันนี้เข้ามาแล้วขากลับไม่ขยับเขยื้อน วันศุกร์แล้ว หมอนั่นต้องการอะไรกันแน่ ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร จะเดินตามมาทำไมทุกวันถ้าไม่คิดจะพูดอะไร มือสองข้างกำสายกระเป๋าที่สะพายอยู่ ก่อนจะตัดสินใจหันกลับไปทางประตูแล้วหยุดยืนอยู่ตรงนั้น

    ร่างสูงของคนที่ผมแทบไม่เคยมองตรงๆ มาช่วงใหญ่เดินมา ดวงตาที่มักจะโค้งเป็นสระอิอยู่เสมอเบิกกว้างเมื่อเห็นผม ชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมมาปิดประตูแล้วยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ผมจ้องมองใบหน้าซีดขาวของคนตรงหน้า พูดสิ พูดอะไรสักอย่าง บอกว่านายขอโทษ เข้ามาอ้อนบอกให้ฉันยกโทษให้อย่างทุกที นายเป็นแบบนั้นเสมอไม่ใช่เหรอคิมยูคยอม มือที่กำสายกระเป๋าเป้อยู่ยิ่งกำแน่น เมื่อมีแต่ความเงียบระหว่างเราและสายตาที่จ้องมองกัน ทำไมเอาแต่ยืนอยู่ตรงนั้น ทำไมถึงเอาแต่อยู่ข้างนอกนั่น ทำไมถึงไม่เดินเข้ามา ทำไมล่ะ ทั้งๆ ที่นายเคยพูดเองว่าจะไม่มีวันทิ้งฉันไป แล้วทำไมวันนี้ถึงได้ยืนอยู่ตรงนั้น

    ยังคงมีแต่ความเงียบ ความเงียบที่ไม่ได้ตอบอะไรไปมากกว่าสร้างความเจ็ปวด

    นายมันคนโกหก...

     ผมหันหลังพร้อมๆ กับน้ำตาที่ร่วงหล่น มือยังคงกำสายกระเป๋าเป้ทั้งสองข้าง ขณะที่เดินเข้าหอพักไป ฝีเท้าหยุดลงตอนเดินมาถึงบันได หันหลังกลับไปมอง ว่างเปล่า ด้านหลังผมยังคงไม่มีใคร

     

    ผมวางขนมปังกลับลงไปบนจาน แล้วคามือไว้ที่แป้นพิมพ์ จะทำยังไงถ้าเป็นเหมือนตอนยูคยอมกับอเล็กซ์ จะทำยังไงถ้าเราไม่กลับมาสนิทกันอีก

    ไม่เอานะ ถ้าจะเป็นแบบนั้นไม่เอาเด็ดขาด ทำไมล่ะ ทั้งๆ ที่นายเป็นคนพูดเองว่าจะไม่มีวันไปไหน จะอยู่ตรงนี้เสมอ ไม่ว่าฉันจะทำอะไร ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตราบใดที่ฉันไม่ไล่นาย นายก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น นายเป็นเจ้าลูกหมายักษ์สายพันธุ์ปลิง เคยพูดไว้แบบนี้ไม่ใช่เหรอ ฉันเชื่ออย่างสนิทใจเพราะมันเป็นคำพูดของนาย เพราะนายไม่เคยโกหก เพราะทุกอย่างที่นายพูดคือความจริงเสมอ แล้วทำไม...

    สายตามองไปยังไวท์บอร์ดสีขาว ตรงนั้นมีรูปมากมายแปะอยู่และหนึ่งในนั้นคือรูปที่ยูคยอมถ่ายตัวเองโดยที่เห็นด้านหลังของผม ซึ่งกำลังยืนชี้อะไรสักอย่างอยู่ รูปที่ผมได้มาตอนวันปีใหม่

    “ฉันไล่นายแล้วหรือไง” ถามคนที่ยิ้มกว้างอยู่ในรูป “ฉันเคยไล่นายไปตอนไหน ยูคยอม”

    เหม่อมองรูปนั้นอยู่นานก่อนจะรู้สึกตัว ผมยกมือเช็ดน้ำตาออกลวกๆ แล้วกดเข้าเว็บไซต์ต่างๆ พยายามเยียวยาตัวเองโดยการหาอย่างอื่นดู

     

    ติ๊งต่อง ตามองนาฬิกาที่บอกเวลา 8 โมงกว่า ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ประตูด้วยความสงสัยนิดๆ ปกติถ้าเป็นวันหยุดชาวหอพักเมี้ยวๆ ไม่ค่อยมีใครออกจากห้องช่วงเช้านักหรอก ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นอะไร

    “ไง” แขกที่มาเยือนแต่เช้ายกมือทักทาย “ตื่นแล้วใช่ไหม”

    “ฮะ ตื่นแล้ว” ผมตอบกึ่งขำกับคำถามทักทายของคนตรงหน้า “ฮยองมีไรเหรอ มาแต่เช้าเชียว”

    “พอดีฉันจะกลับบ้านเลยแวะเอานี่มาให้ก่อน” สมุดบันทึกเล่มเล็กถูกยื่นมา

    “อ๋อ แต่ผมจำได้ว่ามันเลย 3 วันมาแล้วนะ นี่อาทิตย์หนึ่งได้แล้วมั้ง” ผมพูดพลางรับสมุดมาเปิดดู

    “พอดีฉันต้องแก้งาน เลยไม่ว่างเอามาให้นายสักที” พี่ชายผมแดงที่ตอนนี้ควบตำแหน่งลูกศิษย์ผมพูดด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ

    “แล้วตอนนี้ผ่านหรือยังฮะ” ตามองตรวจประโยคที่ให้การบ้านไป ปากก็ถาม

    “ไม่รู้เหมือนกัน รอผลอยู่”

    “มาร์คฮยองนี่เก่งจริงๆ ประโยคยาวขนาดนี้ยังเขียนถูกได้ แถมลายมือสวยอีก” ผมพูดทึ่งๆ

    “งั้นก็เฉลยมา”

    “อืม เอ้อ ฮยองรีบหรือเปล่าฮะ ต้องกลับบ้านนี่” ผมเงยหน้าจากสมุดขึ้นถาม

    “ก็...”

    “เอางี้ ผมเดินลงไปด้วยดีกว่า เดินไปเฉลยไปฮยองถึงโรงรถพอดี ไม่เสียเวลา” ไม่ต้องรอให้ตอบ แค่เห็นท่าทางเหมือนกำลังนึกหาคำดีๆ มาพูดแบบนั้นแล้ว ด็เดาได้เลยว่ารีบแน่ๆ ผมเลยหันไปใส่รองเท้าแล้วเดินนำออกมาเอง

    “ตกลงมันคืออะไร ฉันใช้เวลาเขียนตั้งนาน”

    ผมอมยิ้มเหล่มองนิดหนึ่ง ทำท่ากั๊กไม่ยอมตอบ

    “ว่ายังไง” มาร์คฮยองเหล่กลับ ทำตีเสียงดุ

    “เดาสิฮะ” ผมยื่นสมุดคืนให้ยิ้มๆ

    “ฉันลองเดาแล้ว ดูไม่ออก จำได้แค่ตัวแรกเป็นชื่อนาย”

    “ว้า ฮยองไม่เก่งแล้ว” ผมแกล้งทำหน้าผิดหวัง แล้วหยิบสมุดกลับมา

    “ฉันให้นายเขียนภาษาอังกฤษแบบแกรมม่าถูกเป๊ะๆ สัก 5 บรรทัดบ้างดีไหม”

    “ของผมแค่สองบรรทัดเองนะ”

    “ตกลงเจ้านี่มันอ่านว่าอะไร”

    ผมเหล่มองมาร์คฮยอง ที่ทำหน้าเหมือนถ้าผมยังเล่นตัวไม่ยอมเฉลยสักทีจะตีเข้าให้แล้วยิ้ม ก่อนจะอ่านประโยคภาษาไทยที่ว่าช้าๆ

    “แบมแบมไม่ได้น่ารักอย่างเดียวหรอกนะ แต่ยังหล่อและเท่ แถมมีเสน่ห์อีกต่างหาก”

    “แปลว่าอะไร”

    ผมหันไปยิ้ม “เฮะๆ”

    “นายให้ฉันเขียนอะไรประหลาดๆ หรือเปล่าเนี่ย”

    “แปลว่าผมอะ นอกจากจะน่ารักแล้วยังหล่อเท่ แถมยังมีเสน่ห์อีก”

    มาร์คฮยองอึ้งไปนิดหนึ่ง

    “ก็ฮยองถามว่าประโยคไหนที่ผมได้ยินแล้วจะอารมณ์ดีจะยิ้มนี่ ก็อันนี้แหละ ได้ยินแล้วหน้าบานเลย”

    “พรืด” คนอายุมากกว่าหลุดขำ “นี่นายเขียนชมตัวเอง แล้วเอามาให้ฉันเขียนตามเหรอ”

    “ผมเปล่า ฮยองบอกเองว่าจะเอาอันนี้” ผมท้วง มองคนที่ยังหัวเราะอยู่งอนๆ

    “แล้วมันอ่านว่าอะไรนะ สอนฉันหน่อยซิ”

    “โห มันยาวนะ ฮยองจะพูดได้เหรอ”

    “ก็สอนสิ คุณครู”

    “งั้นคุณลูกศิษย์ตั้งใจฟังนะ แบมแบมไม่ได้” ผมพูดช้าๆ

    “แบมแบมไม่ได้”

    “น่ารักอย่างเดียวหรอกนะ”

    “น่าลักอย่างเดียวหรอกนะ”

    “น่ารัก รัก ไม่ใช่ลัก รัก” ผมกระดกลิ้นออกเสียงร เรือให้ดูเป็นตัวอย่าง

    “น่ารัก หืม รัก” มาร์คฮยองทำท่าคิด

    “อะไรฮะ”

    “เปล่าฉันแค่สงสัย ว่ารักเหมือนผมรักคุณหรือเปล่า”

    “อ่า ใช่ เหมือนกันๆ เขียนเหมือนกัน ออกเสียงเหมือนกัน แต่พอมารวมกับคำว่าน่ามันจะกลายเป็นน่ารัก” ผมตั้งอกตั้งใจอธิบาย แม้เราจะเดินมาถึงโรงรถแล้ว สอนมาร์คฮยองอีกพักหนึ่งให้พูดประโยคที่ว่าอยู่หลายรอบ

    “แบมแบมน่ารัก หล่อ เท่ เสน่ห์อีก” พี่ชายผมแดงพึมพำเหมือนทวนความจำกับตัวเอง ถึงจะไม่ครบทั้งประโยคแต่ก็ถือว่าจับใจความได้ล่ะนะ

    “เกิดขยันอะไรขึ้นมาเนี่ย ประโยคอื่นฮยองไม่เห็นตั้งใจอยากพูดได้ขนาดนี้เลย” ผมแซว

    “ก็...” คนโดนแซวลากเสียงในลำคอ เหล่มองผมนิดหนึ่งก่อนจะมองไปทางอื่นแล้วพูด “ก็มันเป็นประโยคที่จะทำให้นายยิ้มได้ ฉันเลยอยากเรียนไว้”

    ผมมองตาม แต่พอเห็นท่าทางอายๆ ของมาร์คฮยองก็ต้องก้มหน้าลงบ้าง อายตามเลย

    “ฉันชอบเห็นนายยิ้ม”

    “ผมยิ้มบ่อยๆ ก็เหมือนคนบ้าพอดี” ผมพูดมุบมิบคนเดียว

    มีเสียงหัวเราะมาจากคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะถาม “แล้วการบ้านต่อไปล่ะ”

    “อ้อ จริงสิ” ผมหยิบสมุดมาเปิดหน้าถัดไป “ฮยองมีดินสอหรือปากกาไหมฮะ”

    “แป๊บหนึ่ง เดี๋ยวเอาในรถให้”

    “เอาอะไรดีล่ะ ประโยคพื้นฐานฮยองก็เรียนไปหมดแล้วด้วย” ผมยืนคิดระหว่างรอ ชั่วขณะหนึ่งหางตาเหมือนเห็นใครบางคนตรงชั้นสองของหอพัก ผมรีบหันขวับไปมองแต่ก็ไม่มีใคร

    “มีอะไรเหรอ” มาร์คฮยองถาม

    “อ๋อ เปล่าฮะ” ผมหันกลับมารับปากกา “อืม วันนี้ผมให้การบ้านแค่คำเดียวแล้วกัน ผมค่อยๆ เขียนคำที่ว่าลงไปในสมุด”

    “คราวที่แล้วก็ยาวสุดๆ มาคราวนี้สั้นสุดๆ”

    “ฮ่าๆๆ ไม่ดีเหรอฮะ อะ อันนี้ไว้ฮยองว่างเมื่อไรค่อยมาส่งนะ”

    “โอเค ฉันน่าจะกลับมาเย็นๆ วันจันทร์”

    “อื้ม ไฟท์ติ้งนะฮะ” ผมกำมือส่งยิ้มให้กำลังใจ

    “แล้วเจอกัน”

    ผมยืนส่งจนมาร์คฮยองขับรถออกไป ก่อนจะหันไปมองชั้นสองของหอพักอีกครั้ง ตอนแรกเผลอคิดว่าเป็นยูคยอมไปซะได้ แล้วพอหันมาเห็นหน้ามาร์คฮยอง จู่ๆ คำหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความคิด

    ตลอดไป คำที่ผมเขียนลงในสมุด

     

     

    ผมเดินกลับหอ กำลังจะขึ้นบันได แต่ก็ถูกเสียงเจบีฮยองที่เปิดประตูโผล่หน้ามาจากห้องสำนักงานเรียกเอาไว้

    “แบมแบม”

    “อะไรฮะ” หันกลับไปถาม

    “มานี่หน่อย มีเรื่องจะคุยด้วย” ท่านหัวหน้าหอกวักมือ หายกลับเข้าไปในห้องคืน ผมเลยต้องเดินเข้าตามไป

    “มีเรื่องอะไรเหรอฮะ”

    “จินยองบอกนายเรื่องอาทิตย์หน้ายัง” คนที่กำลังจะนั่งลงบนเก้าอี้ถาม

    “บอก” ผมทวนคำ “บอกว่า?

    “หมอนั่นยังไม่ได้บอกเหรอว่าเย็นวันศุกร์หน้าเราจะไปเที่ยวกัน” เจบีฮยองเงยหน้าบอก

    “ไปเที่ยวไหนอะ ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ผมถามหน้าเหลอหลา

    “ก็หยุดยาวถึงวันอังคารเลยใช่ไหมล่ะ อาทิตย์หน้าน่ะ ฉันเลยคิดว่าพวกเราน่าจะไปเที่ยวด้วยกันหน่อย ไม่ได้ไปไหนด้วยกันนานแล้ว อีกอย่างตั้งแต่ยองแจมาอยู่นี่ก็เกือบปีแล้ว ยังไม่เคยไปเที่ยวด้วยกันเลย นายเองก็ว่างไม่ใช่หรือไง”

    “ก็...ว่าง” ผมตอบ คิ้วขมวดเข้าหากันไม่รู้ตัว

    “ว่างแล้วทำไมทำหน้างั้น” เจบีฮยองถามเสียงกลั้วหัวเราะ

    “แล้ว...ยูคยอม” ผมพูดอย่างไม่แน่ใจนัก “หมอนั่น...”

    “อ่า ยูคยอมเหรอ ถ้าเป็นหมอนั่นฉันบอกเรื่องทริปนี้ไปแล้ว”

    “ฮยองบอกเหรอฮะ” ผมถามตาโต

    “อื้อ บอกไปเรียบร้อยแล้วล่ะ”

    “แล้วหมอนั่น...”

    “หมอนั่นตอบว่าไงน่ะเหรอ”

    ผมพยักหน้า

    เจบีฮยองจ้องหน้าผม “ไม่ได้ตอบ หมอนั่นไม่ได้ตอบอะไรเลย”

    “หะ” ผมมองหน้าตาเรียบเฉยของอีกฝ่าย อ่านไม่ออกแม้แต่น้อยว่าฮยองตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่ “แล้วฮยอง...”

    “อยากรู้อะไรนายก็ถามหมอนั่นเองแล้วกัน” พูดแล้วเจ้าตัวก็หันไปกดคอมพิวเตอร์ต่อ ดูไม่เดือดร้อนสักนิดต่อให้ยูคยอมจะไม่มาด้วยกัน

    “ฮยอง ทำแบบนี้...” คำพูดขาดหายไปเมื่อสายตาบังเอิญเห็นใครบางคนข้างนอกห้องสำนักงาน ใครบางคนที่เพิ่งเดินลงจากบันไดมา ใครบางคนที่ผมไม่คิดว่าจะอยู่ที่นี่

    “ทำอะไร อ้าว แบมแบม จะไปไหน!” เจบีฮยองหันมาร้องถาม เมื่อจู่ๆ ผมก็พรวดพราดออกจากห้องสำนักงาน

    ร่างสูงที่เห็นเพียงแว้บเดียวจากหางตาก็จำได้ทันที ผมผลุนผลันผลักประตูห้องสำนักออก ขาออกวิ่งที่ไปลานบาสสุดกำลัง เพียงเพื่อจะสามารถไปดักหน้าคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาเดินอยู่ได้

    ตึก เสียงรองเท้าผมกระทืบลงบนพื้นปูน ขวางหน้าคนที่หายไปจากหอพัก และไม่เคยมีที่ท่าว่าจะกลับมาเอาไว้

    ยูคยอมสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นพร้อมๆ กับที่ริมฝีปากขยับพึมพำ “แบมฮยอง”

    ทำไมถึงอยู่ตรงนี้ เป็นไปได้ยังไง คือคำพูดที่ดังขึ้นในหัว หมอนี่กลับมาตอนไหน แล้วทำไมผมถึงไม่รู้เรื่องเลย

    ยูคยอมหลบสายตา ความลำบากใจปรากฏขึ้นชัด จนไม่ต้องพยายามอ่านก็รู้ว่าคนตรงหน้าไม่ได้เตรียมใจที่จะได้เจอผม

    “นาย” ผมพูด ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรให้ทำเสียงที่พูดออกไปสั่น “...ยังเห็นฉันเพื่อนอยู่ไหม”

    ยูคยอมหันกลับมา

    “ยังเห็นฉันคนนี้สำคัญบ้างไหม”

    “ฮยองเป็นคนสำคัญ สำคัญเสมอ” เจ้าตัวตอบ แววตาเจ็บปวด

    “แล้วทำแบบนี้ทำไม” เสียงที่เคยสั่นกลับกลายเป็นเบาหวิว จนฟังแทบไม่ได้ยิน ผมโกรธ แต่ที่มากกว่าโกรธในตอนนี้คือความเสียใจ

    ไม่มีคำตอบอะไรกลับมา มีเพียงน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในดวงตาของเพื่อนสนิท

    “นายบอกว่าจะไม่มีวันทิ้งฉันไป แล้วทำไม นายบอกว่าจะอยู่ตรงนี้เสมอ แล้วทำไม นายบอกว่า...” ผมพูดไม่ออก พยายามกัดริมฝีปากที่สั่นระริกเอาไว้

    “ผมขอโทษ” ยูคยอมบอกทั้งน้ำตา “ผมมันเป็นคนขี้ขลาด ผมกลัว กลัวจนไม่รู้จะทำยังไงถึงได้หนีไป ความจริงแล้วจนกระทั่งตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองควรทำยังไง ผมรักฮยอง รัก รักมาก”

    น้ำเสียงที่พยายามบังคับให้ไม่สั่นของยูคยอม ทำให้ผมกำชายเสื้อตัวเองแน่น พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้

    “มากซะจนทนไม่ได้ถ้าต้องปล่อยมือจากฮยอง” คำพูดถูกเว้นวรรค ยูคยอมเหม่อมองพื้น ก่อนเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม “แต่ผมก็ควรจะกลับมา ยองแจฮยองบอกว่าที่นี่คือบ้านของผม ถึงเวลาที่ผมต้องกลับบ้านแล้วเผชิญหน้ากับความจริงสักที”

    ดวงตาสีดำสนิทที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวดจ้องมองผมเนิ่นนาน ก่อนที่มือหนาจะเอื้อมมาจับไหล่แล้วหมุนตัวผมให้หันไปอีกทาง

    “อย่าหันกลับมานะแบมฮยอง” ยูคยอมพูดจากด้านหลัง ใช้มือทั้งสองข้างดันไหล่ผมเอาไว้ “ผมยังอยู่ตรงนี้ ไม่ได้หนีไปไหนหรอก ฮยองแค่ฟัง ไม่ต้องตอบอะไรมาก็ได้ แต่ฟังผมนะ”

    เสียงเงียบไปพักหนึ่ง ในขณะที่ผมเองก็ยืนนิ่ง

    “ผม คิมยูคยอมตกหลุมรักแบมแบม ตั้งแต่วันที่แบมแบมยื่นมือมาให้ในตรอกแคบๆ นั้น ยิ่งได้อยู่ด้วยกัน ยิ่งสนิทกันมากเท่าไรผมก็ยิ่งรักแบมแบมมากขึ้น ผมรักดวงตาของแบมแบม รักรอยยิ้มของแบมแบม รักเสียงของแบมแบม รักอ้อมกอดของแบมแบม ผมรัก... ฮึก รักทุกอย่างของแบมแบม ผมสัญญากับตัวเองว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แบมแบมจะมีผมเสมอ ผมจะอยู่ในที่ที่แบมแบมหันมาแล้วมองเห็นเสมอ”

    น้ำตาร่วงหล่น แม้ว่าผมพยายามกัดฟันข่มกลั้นเอาไว้

    “ผมผิดสัญญากับตัวเองไปครั้งหนึ่ง แต่ต่อจากนี้ผมจะไม่มีวันผิดสัญญาอีก ผมจะไม่ทำให้แบมแบมต้องกังวล ผม...จะไม่บังคับให้แบมแบมเลือกผม แบมแบมไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น เพราะผม...ผมจะไม่มีวันไปไหน ฮึก จะไม่มีวันทิ้งแบมแบมไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะอยู่ตรงนี้...”

    ยูคยอมพูดไปสะอื้นไป จนผมไม่กล้าจินตนาการว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังผมตอนนี้ร้องไห้หนักแค่ไหน เพราะแม้แต่ตัวผมเองยังไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากปล่อยให้น้ำตาไหลลงมา

    “เพราะงั้น...แบมแบมต้องทำในสิ่งที่แบมแบมอยากทำจริงๆ แบมแบม...ต้องเลือกสิ่งที่แบมแบมทำแล้วจะมีความสุข แบมแบม...ต้องไม่เจ็บปวด ต้องไม่ร้องไห้ ต้อง...ต้องมีความสุข เพราะความสุขของผม คือการได้เฝ้ามองแบมแบม แบมแบม...ที่มีความสุข”

    น้ำหนักมือที่กดลงมาบนไหล่ผม บ่งบอกได้ดีถึงความหนักอึ้งและเจ็บปวดของคนพูด

    คิมยูคยอม กลับมาแล้วครับ”

    ผมร้องไห้ ทั้งร้องทั้งสะอื้นจนตัวโยน ร้องจนไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้แม้แต่คำเดียว





    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------TBC


    ความรู้สึกของยูคยอมคือคนที่รักมากจนไม่อยากสูญเสีย แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้เค้าต้องเจ็บปวดเพราะเรา มันเป็นความเป็นความรู้สึกที่ขัดแย้งอยู่ในตัวเองจนเจ็บปวด ยูคยอมไม่ได้อยากพูดอย่างนี้ เพราะการพูดแบบนี้มันเหมือนกับว่าตัวเองจะไม่ถูกเลือก แต่ก็ยอมพูดเพียงเพื่อไม่ต้องการให้แบมแบมกังวลเรื่องตัวเอง เพราะตั้งแต่ที่แบมแบมรู้ความรู้สึกของทั้งมยูคยอมและมาร์ค แบมแบมแทบไม่เคยคิดถึงความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองเลย คิดถึงแต่ความรู้สึกของมาร์คกับยูคยอมตลอด ยูคยอมเลยอยากให้แบมแบมเบาใจในเรื่องของตัวเอง ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้นเกี่ยวกับตัวยูคยอม แล้วให้แบมบแบมคิดถึงตัวเอง แค่ความรู้สึกของตัวเองก็พอ ย้อนกลับไปในตอนเหตุผลง่ายๆ ของยูคยอม ความรักของยูคยอมก็คงเหมือนเพลงที่ชื่อเดียวกับตอนนั้นนั่นล่ะค่ะ



    ส่วนมาร์ค มาร์คเป็นคนที่เติบโตมาในสภาวะครอบครัวที่เรียกได้ว่าไม่อบอุ่น เราไม่ได้ลงลึกถึงรายละเอียดครอบครัวมาร์คนัก แต่จะเห็นได้จากความคิดมาร์คว่าเขาตัวคนเดียวมาตลอด ค่อนข้างปิดตัวเอง ไม่เชื่อใจ ไม่ไว้ใจใครจนได้มาอยู่ที่หอพักเมี้ยวๆ ถึงได้ค่อยๆ เปิดมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นตัวตนของมาร์คจริงๆ ก็ยังคงดาร์คอยู่ เป็นพวกที่มองโลกได้ไม่สดใสเท่าไหร่ วิธีการต่างๆ ที่คิดได้เลยไม่ค่อยสดใสตาม เห็นอย่างงั้นจริงๆ แล้วมาร์คแคร์แจ็คสันและยูคยอมมากนะ แม้วิธีการของมาร์คในบางจะดูร้ายไปหน่อย ก็เป็นเพราะพื้นฐานการเติบโตของมาร์ค กับแจ็คที่ก่อนหน้านี้ปล่อยไป ไม่พูดตรงๆ เหมือนเจบีพูดกับยองแจ ก็เพราะไม่อยากทำร้ายแจ็คสัน แต่พอมาถึงจุดๆ หนึ่ง มาร์คก็รู้ดีว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นก็จะมีแต่แจ็คสันเองนั่นแหละที่เจ็บต่อไปเรื่อยๆ พยายามต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้อะไรกลับมา ซึ่งการที่เห็นแจ็คสันเป็นแบบนั้น มันก็ทำให้มาร์คเจ็บปวดด้วยเหมือนกัน เพราะมาร์ครู้ตัวดีว่าเขารักแบมแบม แบมแบมคือแสงสว่าง และยังคงเป็นอย่างนั้นไม่ว่าจะเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน ไหนๆ ก็แปะเพลงของยูคยอมแล้ว ยกเพลงของมาร์คจากตอนแรกๆ มาด้วยเลยดีกว่า จะได้ไม่เหลื่อมล้ำกัน ฮ่าๆๆ



    แล้วก็มาถึงคำถามที่ว่าแล้วแบมแบมจะเลือกใคร เราขอตอบเหมือนตอนที่แล้วว่าทุกอย่างจะถูกตัดสินในทริปครั้งนี้ ทั้ง 7 คนและรีดจะได้รับคำตอบแน่นอน ไม่แน่ว่าคนที่น่าสงสารที่สุดในทริปนี้ อาจจะเป็นคนที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็ได้

    เจอกันตอนหน้ากับตอนของแจ็คสันค่ะ

    ปล.เห็นหลายคนย้อนไปอ่านตอนแรกๆกันใหม่ เราย้อนไป(เวลาไปเก็บข้อมูลที่หยอดๆไว้มาเฉลย)ทีไรอายตัวเองทุกทีเลย รู้สึกว่าช่วงแรกๆยังเขียนได้ไม่ค่อยเข้าที่เข้าทาง ฮ่าๆๆ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×