ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Got7] Love hostel อลวนรักหอพักเมี้ยวๆ (จบ)

    ลำดับตอนที่ #46 : ตอนที่ 45 ไดอารี่เล่มใหม่ (โดย ยองแจ)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4K
      35
      10 พ.ค. 61


    ตอนที่ 45

    ไดอารี่เล่มใหม่ โดย ยองแจ

     

    “ขับตามรถบัสคันข้างหน้าไปเลยครับ เดี๋ยวผมบอกให้จอดเอง” ผมชี้บอกคนขับ พาตัวเองขึ้นรถแท็กซี่อย่างเร่งรีบ

    รถบัสคันที่จูเนียร์ฮยองเพิ่งขึ้นขับออกไป โดยมีแท็กซี่ที่ผมนั่งตามไปติดๆ

     นึกเหรอว่าผมจะปล่อยให้จูเนียร์ฮยองไปเจอเจ้ากีตาร์แมนนั่นตามลำพัง ถึงหมอนั่นจะเคยดีกับผมก็ไม่ได้หมายความว่าผมต้องยกพี่ชายให้ง่ายๆ บอกแล้วไงว่าผมไม่เชียร์ ไอ้นักดนตรีเจ้าเล่ห์ แบมแบมมาโม้ให้ฟังหมดแล้วว่าหมอนั่นทำอะไรไว้บ้าง ขนาดต่อหน้าคนตั้งเยอะแยะยังเกือบหอมแก้มจูเนียร์ฮยอง นับประสาอะไรกับไปอยู่กันสองต่อสอง คนจิตใจดีอย่างจูเนียร์ฮยองตามคนพรรค์นั้นไม่ทันหรอก

    ผมนั่งจ้องรถบัส รอจนกระทั่งเห็นคุณแม่ประจำหอพักเดินลงมาแล้วถึงบอกคนขับแท็กซี่ให้จอด สถานที่ที่มาคือแหล่งช้อปปิ้งยอดนิยมแห่งหนึ่งของพวกวัยรุ่น ผมเลยสามารถเดินสะกดรอยตามแบบห่างๆ เนียนๆ ไปกับฝูงชนได้ โดยที่คนโดนตามไม่ทันได้สังเกต จูเนียร์ฮยองเป็นหนอนหนังสือที่ฉีกภาพลักษณ์นักอ่านแว่นหนาแต่งตัวเชยแบบสุดๆ เซ้นส์แฟชั่นของพี่ผมคนนี้ไม่สองรองใคร ดูอย่างวันนี้ขนาดแต่งมาแบบสบายๆ ยังดูออร่าโดดเด่นกว่าใครๆ เลย แล้วคิดดูสิว่าผมจะยกคนเพอเฟ็คขนาดนี้ให้หมอนั่นง่ายๆ ได้ยังไง

    ทั้งสองคนนัดเจอกันที่ร้านกาแฟ กีตาร์แมนวันนี้ไม่ได้แบกไอเท่มประจำตัวมาด้วย หมอนั่นเองก็แต่งตัวมาสบายๆ แค่เสื้อยืดใส่แจ็คเก็ตทับกับกางเกงยีนส์ เครื่องประดับมีแค่สร้อยมือเท่ๆ ชิ้นเดียว แหม ทำเป็นลุกขึ้นยืนยิ้มแป้นตอนที่เห็นจูเนียร์ฮยอง หมั่นไส้เว้ย โคตรหมั่นไส้เลย

    จูเนียร์ฮยองไม่ได้อยากกินอะไร ทั้งคู่เลยเดินออกจากร้านกาแฟ ผมเบ้ปากมองคนสองคนที่กำลังเดินเคียงข้างกัน ไม่เหมาะสมเลย ไม่เหมาะกันสักนิด ไอ้กีตาร์แมนที่สูงกว่าหน่อยหนึ่งนั่นไม่ได้ดูพอเหมาะพอเจาะอะไรเลย แล้วนั่นใครอนุญาตให้นายก้มหน้ามาใกล้จูเนียร์ฮยองขนาดนั้น ผมซุ่มตามมุมตาม เสาสะกดรอยตามคนทั้งคู่ไปเรื่อยๆ จนไปหยุดอยู่ที่ร้านขายเครื่องดนตรี มีร้านขายกาแฟเป็นซุ้มอยู่หน้าร้านพอดี ผมเลยค่อยๆ ขยับหามุมที่จะส่องได้สบายๆ โดยไม่ได้ละสายตาไปจากสองคนที่กำลังดูกีตาร์กันอยู่

    “อ้า!” เวรละ เหยียบเท้าใครวะ

    “ขอโทษครับ ผม...” รีบหันไปขอโทษขอโพย แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าคนถูกผมทำร้ายร่างกายไปโดยไม่ได้ตั้งใจเป็นใคร “เจบีฮยอง” ปากพูดชื่อคนที่หันมาทำหน้าเหยเกด้วยความตกใจ

    “ยองแจ!” อีกฝ่ายเองก็อุทานชื่อผมด้วยความตกใจไม่แพ้กัน

    “ฮยอง/นายมาทำอะไรที่นี่!?” ประสานเสียงถาม ชี้หน้าพร้อมกัน

    กะพริบตาปริบๆ ทั้งผมและคนตรงหน้าต่างก็มองกันอึ้งๆ

    “นายไม่ได้อยู่ที่หอเหรอวันนี้” เป็นเจบีฮยองที่ถามต่อ

    “เอ่อ” ผมอึกอัก พยายามนึกหาเหตุผลที่ดูดีกว่ามาสะกดรอยตามชาวบ้าน “คือผม ผม อ๋อ ผมนัดเพื่อนไว้ที่นี่ นัดไว้ๆ แล้วฮยองอะ” แถได้ปุ๊บก็รีบถามกลับทันที

    “ฉันมาซื้อของนิดหน่อย”

    ผมพยักหน้า แม้จะไม่เห็นของในมือคนตอบสักชิ้น หลังจากอาการตกใจหายไป ความอึดอัดก็เริ่มเข้ามาแทนที่ การต้องมาเจอสมาชิกในหอที่นี่เป็นอะไรที่ผมไม่ได้คิดไว้เลย ยิ่งเป็นคนผมเทาบลอนด์ตรงหน้าด้วยแล้วยิ่งไม่ได้คิด จริงสิ ผมรีบหันไปมองร้านขายเครื่องดนตรี หายสองคนนั้นหายไปแล้ว มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นแม้แต่เงา คลาดสายตาไปแล้ว ไอ้กีตาร์แมนกับจูเนียร์ฮยองหายไปไหนแล้วไม่รู้

    “แล้วนายนัดเพื่อนที่ร้านนี้เหรอ” คำถามจากเจบีฮยองดึงสายตาตื่นๆ ของผมให้กลับมา

    “เปล่า งั้นผมขอ...”

    “นัดไว้กี่โมงล่ะ” กำลังจะพูดขอตัว แต่อีกฝ่ายก็ชิงถามก่อน

    “ก็ เอ่อ อีก เนี่ย อีก เอ้ย ตอนนี้แหละ ตอนนี้เลย ผมต้องไปหาเพื่อนก่อนละ ไปก่อนนะฮยอง” ผมทำเป็นยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วทำท่าจะเดินไป แต่กลับถูกคนตรงหน้าจับแขนดึงไว้ ใจกระตุกวูบ ไม่ใช่แค่เพราะตกใจ แต่เป็นเพราะคนคนนี้ยังคงมีอิทธิพลกับผม

    “นั่งกินกาแฟด้วยกันสักแก้วสิ”

    “ไม่ได้หรอก ผมรีบ” ผมก้มหน้าปฏิเสธ พยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้สั่นไหวไปกับรอยยิ้มและคำชวนนั้น

    “นายไม่ได้นัดเพื่อนไว้จริงๆ ไม่เห็นมีอะไรต้องรีบ” คำพูดที่ได้ยิน ทำเอาผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง เจบีฮยองยิ้ม ก่อนจะพยักเพยิดหน้าไปทางร้านที่เรายืนอยู่ “ฉันเลี้ยงเอง” เท่านั้นผมก็หมดทางต่อต้าน ทำไมนะ ผมโกหกไม่เนียนเหรอ หรือเผลอทำปากเบี้ยวแบบที่แบมแบมเคยบอก

    เราสั่งกาแฟมาคนละแก้ว พอได้กาแฟมาแล้วผมก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาคน

    “นายได้เจอยูคยอมบ้างหรือเปล่า”

    มือที่คนกาแฟอยู่ชะงัก ที่แท้ก็จะถามเรื่องนี้นี่เอง ผมยิ้มนิดๆ ทำไมต้องรู้สึกผิดหวังทั้งๆ ที่ไม่ได้หวังอะไรด้วยนะ

    “ว่าไง” เจบีฮยองถามย้ำ

    ผมส่ายหน้า “ไม่ได้เจอเลย”

    “เหรอ ฉันกะไว้ว่าไม่เกินสุดสัปดาห์หมอนั่นต้องกลับมา แต่ผิดคาดแฮะ” คนชอบคาดเดาทำท่าครุ่นคิด “นายคิดว่าไง”

    “ผมไม่รู้หรอก”

    ทำไมจะไม่รู้ว่าเจบีฮยองพยายามทำตัวปกติกับผม พยายามชวนคุย พยายามเข้าหาในแบบที่ไม่ดันทุรังจนเกินไป ผมรู้ เจบีฮยองใจดีมากกว่าที่ควรจะเป็นด้วยซ้ำ มันไม่ใช่ว่าผมไม่อยากทำตัวปกติ หรือไม่อยากกลับไปสนิทกันเหมือนแต่ก่อน เพราะต่อให้ถูกปฏิเสธ เจบีฮยองก็ยังเป็นพี่ชายคนสำคัญของผมอยู่ดี

    พี่ชาย ผมพยายามบอกให้ตัวเองคิดแบบนั้น แล้วก็คิดว่าตัวเองจะทำได้ แต่พอได้เจอหน้ากลับกลายเป็นว่าผมทำตัวไม่ถูก ใจมันยังหวั่นไหว ทั้งๆ ที่ย้ำแล้วย้ำอีกว่าให้หยุด แต่มันก็ยังเผลอเต้นรัวทุกครั้งที่ถูกจ้องมองด้วยดวงตาคู่นั้น 

    “นายยังอึดอัดกับฉันอยู่” เจบีฮยองพูด “ไม่อยากเห็นหน้าฉันใช่ไหม” แม้น้ำเสียงจะฟังดูสบายๆ แต่ดวงตาคนพูดกลับเจือแววเศร้า

    “ไม่ใช่นะ” ผมรีบปฏิเสธ “มันไม่ใช่ว่าผมไม่อยากเจอหน้าฮยอง ผมก็แค่...” ก็แค่ไม่รู้ต้องทำยังไงถึงจะเลิกชอบฮยองได้

    “รู้ไหม ฉันกลัวจริงๆ ว่าจะถูกนายเกลียด วันนั้นนายยิ้มให้ฉัน มันเป็นรอยยิ้มที่เศร้าซะจนฉันรู้สึกเจ็บปวด นายเข้มแข็งซะจนฉันต้องหยุดตัวเองไว้ ไม่ให้ตามนายออกไป เพราะนายคงไม่ต้องการแบบนั้น”

    ใช่ ผมไม่ต้องการ ถ้าวันนั้นเจบีฮยองเห็นผมร้องไห้ ผมคงไม่เหลือความภูมิใจอะไรเลย

    “แต่หลังจากวันนั้นนายก็ไม่มองหน้าฉันเลย มันคงต้องใช้เวลา ฉันรู้ ฉันเข้าใจ แต่ก็อดกลัวไม่ได้จริงๆ” เจบีฮยองหัวเราะนิดๆ “คนอย่างฉันมากลัวว่าเด็กเกรียนๆ อย่างนายจะไม่มาเข้าใกล้อีก ตลกดี”

    “ผมไม่มีทางเกลียดฮยองหรอก” ผมพูด สายตายังจ้องมองกาแฟในแก้ว

    “นั่นสินะ” คนกลัวโดนเกลียดพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฉันจะรอวันที่นายกลับมานะยองแจ”

    หัวใจรู้สึกอบอุ่น ทั้งๆ ที่มันอบอุ่น แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้เจ็บปวดไปพร้อมๆ กัน

    ผมกลืนน้ำลาย ก่อนจะปั้นหน้าเคืองใส่ “อย่ามาทำซึ้งอะไรแบบนี้ดิ เดี๋ยวผมเอาช้อนกาแฟจิ้มตาเลย”

    “ฮ่าๆๆ” คนถูกหาว่าทำตัวซึ้งหัวเราะลั่น “นานๆ ทีฉันจะทำตัวซึ้งๆ หล่อๆ บ้างไม่ได้หรือไง”

    “ไม่ได้ มันผิดลุคคนใจร้ายอย่างฮยองนะ ฮยองอะถูกจัดไว้ในกลุ่มตัวร้ายแล้ว ห้ามผิดคอนเซ็ปดิ”

    “หา กลุ่มตัวร้าย เป็นกลุ่มงี้ก็แปลว่าไม่ได้มีแค่ฉันดิ”

    “อยากรู้ปะล่ะว่ามีใครบ้าง”

    “ใครบ้างล่ะ”

    “มีฮยอง แจ็คสันฮยองแล้วก็แบมแบม”

    “แจ็คสันฉันไม่แปลกใจนะ เพราะมันชอบแกล้งนาย แต่แบมแบมเกี่ยวอะไรด้วย” เจบีฮยองทำหน้างง

    “ก็หมอนั่นมันหลงตัวเองขั้นเทพ แถมยังแกล้งอะไรไม่เคยได้ เลยจัดมันไว้ในกลุ่มตัวร้ายแบบที่มันเองก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองร้ายซะเลย” ผมเบ้ปากพูด เท่าที่จำได้ไม่เคยแกล้งแบมแบมสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว “แต่ว่าตอนนี้ว่าจะเอาแบมแบมออกจากกลุ่มชั่วคราวแล้ว” ผมพูดพลางก้มหน้าคนกาแฟอีกไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไร

    “ทำไมล่ะ”

    “ไม่งั้นหมอนั่นคงจะน่าสงสารเกินไป ทำเป็นยิ้ม ทำเป็นหัวเราะ ทำตัวเป็นปกติ เด็กหลงตัวเองนั่นไม่รู้ตัวหรอกว่ามันไม่เนียนเลย” แบมแบมก็เหมือนผม ตรงที่เวลาพยายามปกปิดอะไรมันมักจะไม่แนบเนียนเสมอ “เหมือนหมอนั่นพยายามจะแก้ปัญหาด้วยตัวเองคนเดียว” มันก็ไม่แปลกหรอก เพราะแบมแบมเองก็ไม่ได้เด็กถึงขนาดที่จะจัดการอะไรด้วยตัวเองไม่ได้ ก็แค่เห็นแบบนั้นแล้วรู้สึกไม่สบายใจ “ฮยองยิ้มอะไร” ผมถามคนนั่งตรงข้ามที่กำลังกอดอกมองมายิ้มๆ

    “เปล่า ก็แค่คิดว่าปกติเห็นนายชอบจิกกัดแกล้งแหย่แบมแบมอยู่เรื่อย แต่จริงๆ แล้วนายเป็นห่วงหมอนั่นไม่น้อยกว่าใครเลย” เจบีฮยองพูดด้วยรอยยิ้ม

    ผมเสตาหลบ รู้สึกร้อนที่หน้าขึ้นมานิดๆ

    “จริงๆ แล้ว” เจบีฮยองโน้มตัวมาวางแขนสองข้างบนโต๊ะ แล้วจ้องหน้า “นายก็เป็นเด็กดีคนหนึ่งเลยนะเนี่ย”

    “เดี๋ยวผมเอาช้อนกาแฟจิ้มตาเลย”

    “ฮ่าๆๆ เอะอะก็จะเอาช้อนจิ้มตาลูกเดียวเลยเว้ย”

    ผมทำหน้าบึ้งใส่ แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่ได้สะทกสะท้าน ยังคงยิ้มอยู่แบบนั้น

    “นั่นไง ฉันว่าแล้วว่าต้องเป็นนาย” เสียงคนร้องทักมาจากด้านหลัง ทำให้ผมหันมอง ร่างสูงโปร่งคุ้นตาเดินตรงดิ่งมาชี้หน้าเจบีฮยอง “นายจริงๆ ด้วย”

    คนโดนชี้หน้าเลิกคิ้วนิดๆ ก่อนจะเอนตัวไปพิงพนักเก้าอี้กอดอกมอง

    นี่มัน...กีตาร์แมน!

    “อ๊ะ คนทำคุกกี้นี่ พวกนายมาด้วยกันเหรอ” กีตาร์แมนหันมาเห็นผม ทำไมต้องทำหน้าแปลกใจขนาดนั้น หน้าฉันเหมือนมนุษย์ต่างดาวหรือไง

    ผมไม่ตอบ เจบีฮยองก็ไม่ตอบอะไร แต่ดวงตาเรียวมองเลยไปด้านหลังคนพูด ทำให้ผมหันมองตามไปด้วย จูเนียร์ฮยองยืนอยู่ด้านหลังผมอีกที ใบหน้าเรียบเฉย ตามองพื้น

    “เฮ้ๆ ฉันถามนี่พวกนายไม่คิดจะตอบเลยเหรอ บังเอิญโคตรๆ เลยนะเนี่ย จูเนียร์บอกว่าไม่น่าใช่นายหรอก แต่ฉันว่าใช่ นี่ไง ใช่จริงๆ ด้วย” ท้ายประโยคเจ้านักดนตรีหันไปบอกคนที่มาด้วยกัน

    “นายไม่เห็นบอกฉันเลยว่าจะออกมากับหมอนี่” เจบีฮยองถาม สายตาจ้องตรงไปยังคนยืนมองพื้น

    “นายก็ไม่เห็นบอกฉันว่าจะออกมา” จูเนียร์ฮยองตอบ

    ทำไมรู้สึกแปลกๆ เหมือนบรรยากาศมันอึดอัดขึ้น เหมือนออมม่าของเราพยายามไม่สบตาใครเลยกระทั่งผม กีตาร์แมนหันมองสองคนสลับไปมา ก่อนจะมองหน้าผมเหมือนขอความเห็น ผมถลึงตากลับ จะไปรู้เหรอก็อยู่ด้วยกัน เห็นพร้อมๆ กันเนี่ย

    “อ่า ฉันเป็นคนชวนจูเนียร์มาเอง ใครจะคิดว่าโลกจะกลม เจอพวกนายสองคนมาเดตกันที่นี่พอดี ฮ่าๆๆ”

    ไม่ว่าไอ้กีตาร์แมนจะพูดขึ้นมาเพื่อทำลายบรรกาศอึดอัด เพื่อล้อเล่น หรือเพื่อบ้าบออะไรก็ตาม บอกคำเดียวเลยว่ากริบ เงียบกริบไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ จากใครแม้แต่คนเดียว จูเนียร์ฮยองนิ่งเงียบ เจบีฮยองยังคงจ้องเขม็งไปที่รูมเมทตัวเอง ส่วนผม ผมควรรู้สึกยังไงล่ะ ที่ถูกแซวว่ามาเดตกับคนที่ปฏิเสธตัวเองไป

    “ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำนะ” แล้วก็เป็นจูเนียร์ฮยองที่พูดขึ้นมาแล้วเดินออกไป หลังจากไอ้คนพยายามเปลี่ยนบรรยากาศยืนเงิบไปพักใหญ่

    เจบีฮยองลุกขึ้น

    “แล้วนายจะไปไหน” กีตาร์แมนถาม

    “ธุระส่วนตัว” แล้วก็ได้คำตอบมาแบบแทบจะเงิบอีกรอบ “ไว้เจอกันที่หอนะยองแจ” พูดแล้วเจบีฮยองก็เดินออกจากร้านไป

    “อ้าว พวกนาย” คนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ทำหน้าเหลอหลา “พวกนายไม่ได้มาด้วยกันเหรอ”

    “นายนี่นะ” ผมพูดด้วยสีหน้าสุดเอือม ลุกขึ้นเตรียมจะกลับ หมดอารมณ์จะตามดูใครละ

    “เดี๋ยวสิ อย่าไปเพิ่งไป อยู่เป็นเพื่อนฉันก่อน”

    ผมดึงแขนตัวเองออกจากมือที่ยื่นมาคว้าจับ “ทำไมฉันต้องอยู่เป็นเพื่อนนายด้วย ไม่ใช่ธุระกงการไรของฉันสักหน่อย” พูดเสียงกึ่งรำคาญแล้วทำท่าจะเดินออกไป

    “ฉันยังเคยอยู่เป็นเพื่อนนายเลย”

    ขาชะงักกึก หันทั้งตัวกลับไปหากีตาร์แมนที่ยืนส่งยิ้มมาให้

    ก็ได้ผมเป็นพวกไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใครอยู่แล้ว ก็ได้ งานนี้จะได้ไม่มีอะไรติดค้างกัน ทำหน้าบึ้งใส่ไอ้คนน่าหงุดหงิดนั่นแล้ว ก็กระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้เหมือนเดิม

    “งั้นเดี๋ยวฉันไปสั่งไรมากินหน่อยดีกว่า”

    ผมมองตามร่างสูงที่เดินไปสั่งของกินอย่างไม่สบอารมณ์นัก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเวลาอยู่กับหมอนี่ทีไรอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆทุ กที แล้วนี่จูเนียร์ฮยองไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวก็มาไม่ใช่เหรอ จะไปสั่งของกินเพื่ออะไร

    กีตาร์แมนกลับมาพร้อมกาแฟเย็นแก้วหนึ่งกับเค้กสองชิ้น

    “อันนี้ให้นาย” เค้กหน้าตาน่ากินถูกวางมาตรงหน้า

    “ฉันไม่ได้บอกสักหน่อยว่าอยากกิน”

    “กินกาแฟเฉยๆ มันไม่ดีต่อท้องนายนะ เอาน่า ไหนๆ ฉันก็ซื้อมาฝากแล้ว”

    “เจ้ากี้เจ้าการ” ผมบ่นงุบงิบ ก่อนจะตักเค้กเข้าปาก ส่วนไอ้คนโดนว่าเจ้ากี้เจ้าการก็ยิ้มขำๆ แบบไม่รู้สึกอะไร ดีไม่ดีหมอนี่จะหน้าทนกว่าแจ็คสันฮยองอีก

    “สรุปนายกับเจบีไม่ได้มาด้วยกันหรอกเหรอ” นอกจากจะหน้าทนแล้ว ยังอยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้านอีก

    “เปล่า” ผมตอบแล้วตักเค้กเข้าปากอีก อร่อยดีแฮะ

    “แล้วมานั่งอยู่นี่กันได้ไง บังเอิญเจอกันเหรอ”

    “ทำนองนั้น”

    “โห อะไรจะบังเอิญเป็นทอดขนาดนั้น นายบังเอิญเจอกับเจบี แล้วพวกฉันก็บังเอิญมาเจอพวกนายอีก มหัศจรรย์อะ” กีตาร์แมนทำตาลุกวาว “บังเอิญในความบังเอิญ อ๊ะ” หมอนี่พูดอยู่คนเดียว แล้วก็ทำหน้านึกได้ หยิบมือถือขึ้นมากดพิมพ์บางอย่างลงไป

    “ทำอะไรของนาย”

    “ฉันได้ไอเดียแต่งเพลงขึ้นมาเลยจดไว้กันลืม”

    “ทำแบบนี้บ่อยๆ เหรอ” ผมมองกีตาร์แมนที่เพิ่งเก็บมือถือไปพลางถาม

    “อื้อ เวลานึกอะไรดีๆ ได้ฉันชอบจดเอาไว้ อย่างคำเจ๋งๆ หรือประโยคเท่ๆ เผื่อเอาไว้ไปใส่ในเพลง”

    “อ่า” ผมพยักหน้า พอเข้าใจเพราะตัวเองก็เป็นพวกชอบจดบันทึกเหมือนกัน

    “แล้วถ้านายไม่ได้มากับเจบี นายมาทำไรที่นี่คนเดียวอะ”

    “อ๋อ ฉันนัดเพื่อนไว้” ผมตอบแบบเดียวกับที่โกหกเจบีฮยอง แต่นี่มันครั้งที่สองแล้วไงเลยพูดได้แบบสบายๆ

    “แล้วเพื่อนนาย”

    “มาไม่ได้แล้วล่ะ ฉันเลยว่าจะกลับ”

    “แย่เลยเนอะ ฉันโคตรไม่ชอบพวกเบี้ยวนัดเลย โดยเฉพาะมาเบี้ยวเอาตอนที่เรามาแล้ว เสียความรู้สึกโคตรๆ”

    “ก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น” ผมพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก ก็แหงสิ จริงๆ แล้วผมมาสะกดรอยตามหมอนี่กับจูเนียร์ฮยองนี่นา “อย่างน้อยเค้กนี่ก็อร่อยดี” ว่าแล้วก็ตักข้าวปากเคี้ยวอีกคำ

    “เห็นไหม ดีกว่ากินกาแฟเฉยๆ ใช่ไหมล่ะ”

    “ก็ถ้าไม่ชมสักหน่อยเดี๋ยวคนแถวนี้จะเสียน้ำใจ”

    “นายนี่มันไม่ยอมอ่อนข้อเลยจริงๆ” กีตาร์แมนทำหน้าเหมือนหมั่นไส้ แต่ผมไม่ได้สะทกสะท้าน ยักคิ้วกวนๆ กลับไปให้ “จูเนียร์ช้าจัง ฉันโทรไปดีไหม”

    “แค่ไปเข้าห้องน้ำแค่นี้ต้องโทรตาม ถ้าจูเนียร์ฮยองได้นายมาเป็นแฟนจริงๆ นี่โคตรโชคร้ายเลย” ผมเบ้ปากพูด

    “เอ้า ก็มันนานแล้ว ห้องน้ำก็ไม่ได้อยู่ไกลด้วย”

    “รอนิดๆ หน่อยๆ ทำบ่น พวกไม่มีความอดทน ไม่เหมาะสมกับคนเพอเฟ็คอย่างจูเนียร์ฮยองสักนิด”

    “ไม่เห็นจะเกี่ยวเลย นายมันโยงมั่ว” กีตาร์แมนทำหน้าเหมือนผมพูดเรื่องไร้สาระ ก่อนจะหยิบมือถือมากดโทร “ฮัลโหล นายไปเข้าห้องน้ำถึงไหนเนี่ย อ้าว งั้นเหรอ อืม ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษหรอก เอาเป็นว่านายติดฉันไว้ก่อนแล้วกัน คราวหน้าค่อยมาใหม่ อื้ม บาย”

    “เดาว่าจูเนียร์ฮยองไปที่อื่นแล้ว” ผมพูดช้าๆ

    “เห็นว่ามีเรื่องสำคัญต้องไปทำ” กีตาร์แมนพูดพลางยิ้มหงอยๆ หมอนี่เพิ่งพูดไปว่าไม่ชอบคนเบี้ยวนัด ถ้างั้นตอนนี้จะกำลังเสียความรู้สึกอยู่เปล่านะ ผมควรสะใจสิ ไม่มีเวลาไหนเหมาะจะเยาะเย้ยคนได้เท่าตอนนี้อีกแล้ว แต่พอเห็นสีหน้ากับรอยยิ้มแบบไม่รู้จะทำยังไงเลยได้แต่ยักไหล่ให้ผมที่มองอยู่แล้ว ก็ดันสงสารขึ้นมานิดหน่อย นิดหนึ่ง ก็แค่แบบนิดเดียว

    “ฉันว่าจะไปซื้อไดอารี่เล่มใหม่ ถ้าเกิด... เอ่อ ถ้าเกิดนายไม่ได้ทำอะไร” ให้ฟ้าผ่าหัวแจ็คสันฮยอง สิ้นปีนี้ต้องมีใครสักคนเอารางวัลพ่อพระแห่งปีมามอบให้ผมด่วนเลยนะ ได้มาเจอคนที่มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์อย่างผม หมอนี่ควรขอบคุณพระเจ้าหลายๆ รอบเลย

    “ไปสิ ไปเลยไหม ไปซื้อหลายๆ อย่างก็ได้นะ ยังไงวันนี้ฉันก็ว่างทั้งวันอยู่แล้ว” มนุษย์ผู้ถูกพ่อพระอย่างผมมาโปรดขยับตัวลุก สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย

    “ฉันจะซื้อแค่ไดอารี่อย่างเดียวเถอะ”


    ด้วยเหตุนี้ผมและกีตาร์แมนเลยมาเดินดูสมุดบันทึกหลากหลายสไตล์ อยู่ในร้านหนังสือด้วยกันแบบจับพลัดจับผลูสุดๆ

    “ไม่รู้ว่านายเขียนไดอารี่ด้วย” กีตาร์แมนพูดพลางหยิบสมุดบันทึกลายเครื่องดนตรีขึ้นมา

    “ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่นายต้องรู้นี่” ผมตอบ สายตาสอดส่ายหาสมุดที่ถูกใจ

    “เอาไปจดอะไรอะ สูตรขนมเหรอ”

    “ไดอารี่บ้านป้านายไว้จดสูตรขนมเหรอ”

    “เห้ย แล้วเกี่ยวอะไรกับป้าฉัน ถามดีๆ”

    “ก็ถามให้มันเข้าท่าหน่อยดิทีหลังอะ”

    “ต่อให้ถามเข้าท่านายก็หาเรื่องว่าฉันอยู่ดีนั่นแหละ คนอะไร ปากจัดชะมัด”

    “อ้อ ขอโทษทีนะที่ฉันปากจัด รับไม่ได้ก็ไปซะสิ” ผมยกมือไล่ “จะไปไหนก็ไปเลย ชิ่วๆ”

    “นายเป็นคนชวนฉันมาเอง จู่ๆ มาไล่แบบนี้มันใช้ได้เหรอ” กีตาร์แมนประท้วง

    “ก็ตอนนั้นฉันเห็นนายทำหน้าสลดหดหู่ซะขนาดนั้น ปล่อยไว้ก็กลัวจะนั่งร้องไห้ขี้มูกโป่ง เลยมีเมตตาชวนมาด้วยเฉยๆ หรอก” ผมทำเป็นเชิดหน้าพูด

    “โอ้โห เป็นพระคุณอย่างสูงเลยครับคุณคนทำคุกกี้”

    “สำนึกไว้แล้วอย่าลืมตอบแทนด้วยล่ะ” ผมเหล่มอง ตอนไม่ได้ยินเสียงอะไรตอบกลับ “อะไร มองหน้าฉันทำไม”

    “พรืด ฮ่าๆๆ” อยู่ไอ้นักดนตรีนี่ก็เสียสติซะอย่างนั้น ผมทำเป็นเดินถอยห่างอย่างหวาดๆ  “ฮ่าๆๆ” แต่คนเสียสตินั่นก็ดันยิ่งหัวเราะหนักขึ้น “นายนี่มันจริงๆ เลย ยังมาทำหน้าพิลึกๆ แบบนั้นใส่อีก โอ๊ย ฮ่าๆๆ”

    “ฉันไม่รู้จักนาย ไม่ต้องหันมาคุยกับฉัน ไม่เห็นเหรอคนหันมามองนายหมดแล้ว ฉันไม่รู้จักคนบ้าอย่างนายหรอก ชิ่วๆ” ผมยกมือสะบัดไล่ ทำท่ารังเกียจแล้วเดินหนีไปอีกมุม

    “ฮ่าๆๆ นายจะฮาไปไหน เลิกทำหน้าทำท่าทางแบบนั้นได้แล้ว โอ๊ย ฉันปวดท้องนะ ฮ่าๆๆ น้ำตาไหลแล้วเนี่ย”

    ไอ้หมอนี่สติไม่ดีจริงๆ ด้วย ผมถลึงตาใส่มันไปทีหนึ่งแล้วหันไปเลือกสมุดต่อ ปล่อยให้กีตาร์แมนยืนหัวเราะอยู่อย่างนั้นจนกลับมาเป็นปกติ เห็นหมอนั่นเดินวนไปดูหนังสืออีกทางผมเลยไม่ได้สนใจ จนกระทั่งมีสมุดไดอารี่เล่มกะทัดรัดเล่มหนึ่งมาลอยอยู่ตรงหน้า

    “ฉันว่าเล่มนี้เหมาะกับนาย” ผมที่กำลังก้มตัวอยู่เงยหน้ามองคนถือ ก่อนจะยืดตัวกลับมายืนแล้วหยิบสมุดที่ว่ามาดู มันเป็นลายการ์ตูนพ่อครัวกำลังอบขนมมีกุญแจล็อก

    “ฉันไม่ได้จะเอาไปจดสูตรขนม”

    “ไดอารี่บ้านป้านายไว้จดสูตรขนมเหรอ”

    หันขวับไปหาคนพูด กีตาร์แมนยักคิ้วใส่

    “ไอ้...” ผมพูดไม่ออก ไอ้บ้านี่มันย้อนผม

    “ฉันว่าลายตรงหน้าปกมันเหมือนนายดี”

    “ไม่เหมือนไม่เห็นจะเหมือนเลยสักนิด” ผมผลักสมุดคืนไปหาคนเลือก “ไม่เอา ไม่ชอบ!

    “เหมาะกับนายจะตาย”

    “ไม่เหมาะ ไม่ต้องมายุ่ง ฉันเลือกของฉันเองได้!

    “ชิ นายอคติ”

    “อคติบ้าอะไร ฉันเปล่า”

    “อคติชัดๆ”

    “บอกว่าไม่ใช่ไง จะยืนขวางทำไม ถอยไปเลย!” ผมผลักคนตัวสูงกว่าที่ยังทำลอยหน้าลอยตาใส่ ปั๊ดพ่อกระโดดสกายคิกมันกลางร้านหนังสือนี่เลย

    “อคติ” ไอ้กีตาร์แมนยังยืนกอดสมุดที่เลือกมา พูดอย่างน่ารำคาญ

    “ฉันบอกว่าเปล่า”

    “คนทำคุกกี้อคติ~

    อุตริร้องเป็นทำนองเพลงอีก!

     

    “นายอยากได้อะไรอีกหรือเปล่า”

    “ไม่!” ผมปฏิเสธเสียงดังฟังชัด ตอนนี้ยืนถือถุงหนังสืออยู่หน้าร้าน อยู่กับไอ้หมอนี่ชั่วโมงเดียวรู้สึกเหมือนใช้พลังงานชีวิตหมดไป 20 ปี “ฉันจะกลับละ”

    “อ้าว แล้วฉันอะ”

    “นายจะไปไหนก็เรื่องของนายสิ เกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ” มันวันโลกาวินาศอะไรของผมวะเนี่ย

    Excuse me” นักท่องเที่ยวคนหนึ่งเดินเข้ามาขัดจังหวะ ดูเหมือนว่าจะมาถามทาง กีตาร์แมนหันไปหา ภาษาอังกฤษที่หมอนั่นพูดโต้ตอบไปไหลลื่น แถมสำเนียงยังเป๊ะจนผมแอบทึ่ง แต่ทึ่งอยู่แป๊บเดียวก็หมั่นไส้ขึ้นมา

    !@##%$%@^^$&” ผมแกล้งเลียนเสียงหมอนั่น หลังจากนักท่องเที่ยวคนนั้นไปแล้ว

    “นายว่าอะไรนะ” กีตาร์แมนทำหน้างง

    “ขี้เก๊ก ออกลีลาแอคติ้งโคตรโอเวอร์” ทำเป็นว่าแก้เก้อที่คนตรงหน้าดันฟังที่ผมพูดล้อเลียนไม่ออก

    “โอเวอร์ตรงไหน ก็ปกติ”

    “โอเวอร์” ผมยืนยัน

    “ว่าฉันโอเวอร์ นายพูดได้อย่างฉันไหมล่ะ” อะไรนะ ท้าทายเหรอ นายท้าทายคนอย่างฉันเหรอ

    “ทำไมจะไม่ได้ ก็แค่ภาษาอังกฤษ” ผมโพล่งพรวดไปอย่างมั่นใจ ส่วนไอ้คนท้ายิ้มกริ่ม

    What’s your name?”

    ”My name is Youngjae!” ผมตอบ นี่แน่ นี่ไง ก็แค่ภาษาอังกฤษ

    Nice to meet you, Youngjae

    ”N Nice nice to meet you too!”

    ใช้ได้เลยนี่”

    “แหงดิ แค่นี้จิ๊บๆ It’s not hard!” ถึงจะตะกุกตะกักนิดหน่อยแต่ก็พูดได้อะ หึหึ ความมั่นใจเริ่มมาเลย

    กีตาร์แมนอ้าปากทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง ผมเลยไม่รอช้ารีบโชว์ออฟชิงถามก่อนทันที

    How was your today?

    อ้าวอึ้ง อึ้งเลย งานนี้มีอึ้ง เป็นไงล่ะ เจอฉันเป็นฝ่ายถามกลับแบบนี้อึ้งเลยดิ ผมยิ้มชนะใส่ไอ้กีตาร์แมนที่ทำหน้างงเหมือนกำลังพยายามประมวลผลอะไรสักอย่าง

    “เอ่อ นายจะถามว่า How are you? หรือเปล่า”

    เพล้ง ไม่ใช่เสียงกระจกแถวนั้นแตกแต่เป็นเสียงหน้าผมเอง ผมที่รีบเลื่อนสายตาหนี เดินเหยียบเศษหน้าตัวเอง ก้าวดุ่มๆ ไปแบบติดจรวด

    “เห้ย เดี๋ยวดิ นายจะไปไหนอะ” กีตาร์แมนก้าวตามมาติดๆ

    “ฉันจะกลับบ้าน!” ผมกระชากเสียงตอบ ขาก็จ้ำเอาๆ

    “จะรีบไปไหน อย่าเพิ่งดิ คนทำคุกกี้” ไอ้คนช่างตื๊อวิ่งมาดักหน้า

    “ฉันชื่อยองแจถอยไป ฉันจะกลับแล้ว” ผมพูดหน้าบึ้ง แต่คนตรงหน้ากลับเอียงคอมองแล้วเลิกคิ้วนิดๆ มุมปากที่ค่อยๆ ยกยิ้มนั่นยิ่งทำผมหงุดหงิดเข้าไปอีก

    “อายเหรอ” ว้ากกก เดี๋ยวพ่อก็โดดกัดหูซะนี่

    “ถอยไป” ผมผลักคนตัวสูงกว่าออก แล้วพยายามเดินหนี

    “ฮ่าๆๆ คนทำคุกกี้~” แต่ไอ้ปลิงนี่ก็เกาะติดได้เกาะติดดี

    “บอกว่าไม่ได้ชื่อคนทำคุกกี้!

    “นายนี่น่ารักดีเหมือนกันน้า~

    “ไอ้บ้า” 

     

    ถึงไดอารี่เล่มใหม่ของฉัน

    วันนี้ฉันขอบันทึกให้เป็นวันซวยอีกวันหนึ่ง ขอโทษทีที่มันเป็นวันเดียวกับที่ฉันซื้อนายมา แต่ทั้งวันมานี้มันแทบไม่มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นเลยจริงๆ โดยเฉพาะไอ้กีตาร์แมนนั่น หมอนั่นควรไปลงประกวดชิงตำแหน่งบุคคลกวนประสาทแห่งปี บุคคลน่ารำคาญ บุคคลน่าหงุดหงิด บุคคลที่ควรถูกส่งขึ้นยานออกไปสำรวจดาวเสาร์แล้วไม่ต้องกลับมาอีกเลย!

    ฉันขอสาบานกับนายตรงนี้เลยว่า จะไม่มีทางยอมให้ไอ้คนพรรค์นั้นจีบจูเนียร์ฮยองสำเร็จเป็นอันขาด ขืนเป็นแฟนหมอนั่นจูเนียร์ฮยองต้องโชคร้ายไปตลอดชีวิตแน่ๆ (ฉันจะขัดขวางมันทุกวิถีทาง!!!!!!!!!)

    ปล. ฉันว่าฉันจะเริ่มศึกษาภาษาอังกฤษอย่างจริงจังล่ะ วันนี้แวะซื้อหนังสือมาด้วย ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิตขนาดนี้

    ผมเก็บดินสอ ปิดสมุดไดอารี่ล็อกกุญแจ แล้วหยิบมันไปวางไว้บนหัวเตียง มองหน้าปกที่เป็นลายการ์ตูนพ่อครัวตาตี่กำลังอบขนมนิดหนึ่งก่อนจะลุกไปปิดไฟนอน


    -----------------------------------------------------------------------------------------------TBC


    สารภาพว่าจริงๆเราควรจะพิมพ์เสร็จแล้วลงไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ไม่รู้นึกยังไงไปพิมพ์ Got7 ลงในยูทูป เท่านั้นแหล่ะได้เรื่องเลยค่ะ เราติดอยู่ในนั้นเกือบห้าชั่วโมง สะพรึงมาก ยูทูปเสมือนประตูดึงเราไปสู่อีกมิติแล้วอยู่ในนั้นแบบไม่รู้ตัว ไม่รู้เวลา ไม่รู้อะไรทั้งนั้น เราดูแหลก ดูมันทุกอย่าง ทุกคลิป ทั้งแฟนแคม รายการ โอพีวี ไอ้ที่ดูแล้วก็ดูอีก ยูทูปเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก ฮ่าๆๆ

    พิมพ์ตอนนี้แล้วรู้สึกว่ามันเนิ่นนานเหลือเกินที่ห่างหายไปจากฝั่งสามเจ กีตาร์แมนคัมแบ็คกับตอนเบาๆของคนทำคุกกี้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×