ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Got7] Love hostel อลวนรักหอพักเมี้ยวๆ (จบ)

    ลำดับตอนที่ #29 : ตอนที่ 28 อย่างที่มันควรจะเป็น โดย เจบี รีไรท์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.89K
      54
      10 พ.ค. 61

     

    ตอนที่ 28

    อย่างที่มันควรจะเป็น โดย แจบอม

      

    “เฮลโหลวเจบีน้องเลิฟ สบายดีไหม” เสียงระริกระรี้ดี๊ด๊าจากเจ้าของหอพักเมี้ยวๆ ดังมาตามสายอย่างน่าหมั่นไส้ ได้อยู่กับคุณฮยองนานๆ หน่อยนี่มีความสุขเหลือเกิน

    “ไม่” ผมตอบสั้นๆ สูดขี้มูกให้ได้ยินด้วยทีหนึ่ง

    “ยังไม่หายอีกเหรอวะ” แทคยอนฮยองกลับมาถามเสียงปกติ

    “ดีขึ้นแล้วฮยอง” เป็นไข้หวัดใหญ่ต้อนรับปีต้องนอนซมอยู่เป็นอาทิตย์ โคตรอภิมหาโชคเลย “ฮยองโทรมามีไรอะ” ถามเสียงขึ้นจมูก

    “จะบอกว่าฉันยังไม่กลับเกาหลีเร็วๆ นี้นะ ต้องบินไปติดต่อเรื่องงานให้ตาลุงนั่นที่อเมริกา”

    “อ้าว แล้วจะกลับมาเมื่อไรอะ” ผมกดเซฟบัญชีรายจ่ายประจำเดือนของหอ ก่อนจะเอนตัวพิงเก้าอี้คุยสบายๆ ทำเป็นไม่สนใจที่ปลายสายเรียกพ่อตัวเองหรือประธานกรุปว่าตาลุงนั่น

    “ฉันมีเรื่องต้องเคลียร์อีกเยอะเลยว่ะ ไม่แน่ใจ อาจจะสักเดือนนึง แต่ช่วงนี้พวกนายปิดเทอมนี่”

    “ก็ใช่ จริงๆ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก ผมดูแลให้ได้” ยังไงซะก็มัวแต่ป่วยจนชวดงานพิเศษไปแล้ว

    “คนอื่นๆ อะ”

    “อื่นๆ ไหน ตอนนี้เหลือแค่พวกผมสามคนอยู่หอ จินยองไปทำงานพิเศษ ส่วนมาร์คฮยองก็ผลุบๆ โผล่ๆ ตามประสา”

    “เออใช่ ลืมไปว่ากลับบ้านกัน”

    หลังปีใหม่ทุกคนมีเหตุให้ต้องแยกย้ายกลับบ้านกันหมด ยองแจอยู่มกโพยาวยังไม่กลับมา แบมแบมจากตอนแรกครอบครัวจะมาเยี่ยมที่นี่ก็มีเหตุติดขัดจนเจ้าตัวต้องเป็นฝ่ายกลับไทยเอง พอแบมแบมไม่อยู่ ยูคยอมเลยไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่กลับบ้าน แล้วพอเห็นแบมแบมกลับบ้าน แจ็คสันก็ดันนึกได้ว่าทั้งปีมานี้แทบไม่ได้ติดต่อกลับบ้านที่ฮ่องกงเลย พอโทรไปเลยแจ็คพ็อตพ่อฉะซะเกือบได้ตัดพ่อตัดลูกกัน จนมันต้องรีบแจ้นกลับฮ่องกงแบบเร่งด่วน

    “ตอนที่รู้ฉุกละหุกว่าแบมแบมต้องกลับไทย ยูคยอมมันงอแงแทบจะเกาะหลังแบมแบมกลับไปด้วย” ผมพูด นึกได้ว่ายังไม่ได้เล่าวีรกรรมชาวหอให้ท่านเจ้าของผู้พิสมัยเรื่องชาวบ้านฟังเลย

    “แล้วทำไงมันถึงยอม โดนจูเนียร์ด่าเหรอ”

    “ต้องถึงมือที่ไหน จู่ๆ มาร์คฮยองก็พูดขึ้นมาเรียบๆ ว่า แบมแบม  กลับไทยไปไม่ต้องรับโทรศัพท์ยูคยอมนะ เข้าใจไหม” ผมทำเสียงเรียบติดโหดนิดๆ เลียนแบบพี่ชายผมแดง

    “ฮ่าๆๆ แล้วไอ้เด็กยักษ์ว่าไง” แทคยอนฮยองหัวเราะลั่น

    “จะว่าไง มันก็ชะงักหันกลับไปมองหน้ามาร์คฮยอง พอเห็นทำหน้านิ่งๆ ก็จ๋อยสนิท หันมาบอกแบมแบมเสียงหงอยๆ ว่ารีบกลับมานะครับแบมฮยอง แล้วผมจะรอ”

    “ฮ่าๆๆ” ท่านอ๊คแทคหัวเราะรัวๆ พูดไปขำไป “ฉันโคตรชอบมาร์คโหมดนี้เลยว่ะ ฮ่าๆๆ ไว้ใจได้โคตรๆ”

    “เหอะ ไม่ใช่ใจจริงแล้วก็ไม่อยากให้แบมแบมรับสายใครนอกจากตัวเองหรอกเหรอ”

    “ไม่รู้เว้ย ไม่เกี่ยวกับฉันนี่ เอาเป็นว่าสบายดีกันใช่ไหมล่ะ ถ้าไม่รวมนาย”

    “ถ้าไม่รวมผมก็สบายดี” ผมตอบเสียงกึ่งประชด

    “เออดีละ ฉันโทรมาแค่นี้แหละ ถ้ามีจดหมายสำคัญมาก็บอกด้วยแล้วกัน ไปหาไรกินละ”

    “โอเค ไว้เจอกันฮยอง บาย” ผมวางมือถือลงบนโต๊ะคอม ก่อนจะขยับเก้าอี้เข้าไปแล้วทำบัญชีต่อ

    เสียงเรียกเข้าดังขึ้นอีกรอบดึงสายตาให้เหลือบมอง หน้าจอแสดงชื่อคนโทรเข้าว่า ไอ้เด็กบ๊อง

    “ว่าไง” รับสายแล้วเอนตัวพิงพนักเก้าอี้

    “หายยังฮยอง” ไอ้เด็กบ๊องถามทันที

    “อือ ดีขึ้นละ”

    “ฟังเสียงแล้วยังอู้อี้ๆ อยู่เลย”

    “ไม่เป็นไรแล้วน่า อีกสองสามวันคงหายสนิท โทรมามีไรล่ะ”

    “คิดถึง” เด็กมกโพตอบทันที “ฮยองอะ คิดถึงผมบ้างปะ”

    ผมเอาฟันถูริมฝีปากล่างไปมา ไม่ได้ตอบอะไรจนปลายสายร้องทักมาอีกรอบ

    “ฮัลโหล ฮยอง ยังอยู่ปะ”

    “อยู่”

    “ทำไรอยู่อะ ไม่ว่างเหรอ”

    “ก็ทำบัญชีรายจ่ายหออยู่ แล้วเมื่อไรนายจะกลับล่ะ”

    “ไม่บอก”

    “เอ้า ไม่บอกแล้วฉันจะรู้ได้ไง”

    “ก็ไม่ได้อยากให้รู้ไง”

    “เพื่ออะไรครับ คุณยองแจ”

    “ฮ่าๆๆ ก็ถ้าฮยองไม่รู้ว่าผมจะกลับวันไหน ฮยองจะได้นึกถึงผมบ่อยๆ ไง ว่าเอ มันจะกลับมาหรือยังนะ กลับพรุ่งนี้หรือเปล่า” ยองแจทำเสียงเลียนแบบคำพูดผม

    ผมพ่นลมหายใจออกกึ่งขำนิดๆ “ไอ้เด็กบ๊องเอ๊ย”

    “เสียงฮยองฟังดูยังไม่หายจริงๆ นะ ไหนเขาบอกว่าคนบ้าจะไม่ป่วย ทฤษฎีนี้ใช่ไม่ได้แล้วอะ”

    “ถ้าฉันบ้า นายกับรูมเมทคงต้องเรียกว่าสติวิปลาสแล้วล่ะ”

    “โห ดูใช้ศัพท์”

    “แล้วตกลงจะกลับวันไหน”

    “ไม่บอก ผมไม่บอกจริงๆ นะ ไว้กลับเมื่อไรก็เห็นเองแหละ”

    “เดี๋ยวมาวันที่เขาไม่อยู่หอกัน อย่ามาโทรตามนะ”

    “โทรตามแหงอยู่แล้ว”

    ผมหลุดขำ หมอนี่นี่นะ

    “เอ้อ งั้นผมไม่กวนฮยองแล้ว กินยาเยอะๆ แล้วพักผ่อนมากๆ จะได้หายไวๆ”

    “ให้กินยาเยอะๆ นี่นายกะจะให้ฉันหายไปจากโลกใบนี้เลยใช่ไหม”

    “ฮ่าๆๆ ล้อเล่นน่า ฮยองหายไปผมก็เศร้าสิ งั้นแค่นี้นะ ดูแลตัวเองด้วย ไว้เจอกันเร็วๆ นี้ บ๊ายบาย”

    ผมมองหน้าจอมือถือที่กลับมาเป็นภาพท้องฟ้าเหมือนปกติ ยิ้มขำๆ กับความช่างพูดช่างกวนของคนที่เพิ่งวางสายไป ก่อนจะถอนหายใจแล้ววางมือถือลงบนโต๊ะอย่างเดิม

    นั่งทำบัญชีไปสักพักก็มีคนมาเคาะประตูห้องสำนักงาน ร่างสูงโปร่งของพี่ใหญ่ในหอเปิดประตูเข้ามา

    “นายไม่ได้ออกไปดูตู้จดหมายเหรอวันนี้” คนมาใหม่พูด ชูจดหมายสองสามฉบับในมือให้ดู

    “เปล่า ก็มันหนาว” ผมเงยหน้าไปตอบ ทำท่าตัวสั่นประกอบ “วางไว้บนโต๊ะแทคยอนฮยองเลย ขอบคุณมาก”

    มาร์คฮยองเดินเอาจดหมายไปวาง ก่อนจะกลับมาหยุดอยู่หลังเก้าอี้ผม

    “บัญชีรายจ่ายเหรอ”

    “อืม แทคยอนฮยองบอกอีกเดือนนึงโน่นกว่าจะกลับ”

    “ยึดหอซะเลยสิ”

    ผมเงยหน้ามองพี่ชายรูปหล่อที่พูดประโยคน่ากลัวด้วยสีหน้าเรียบเฉย

    “ฮยองพูดจริงพูดเล่นเนี่ย ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่เคยดูมุกฮยองออก”

    “หึหึหึ” เสียงหัวเราะในลำคอนิดๆ ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสดใสทำให้รู้ว่าพี่ชายผมแดงเล่นมุกหน้าตายอีกแล้ว

    “เออ ฮยองได้คุยกับแบมแบมบ้างปะ” กดเซฟบัญชีที่ทำเสร็จแล้ว หมุนเก้าอี้ไปหา รอฟังคำตอบ

    “คุยเมื่อเช้า”

    “ฮยองโทรไปเหรอ”

    “อืม”

    “แล้วเป็นไงบ้าง”

    “ก็สบายดี”

    ผมมองหน้า “แค่เนี้ย”

    “อืม” มาร์คฮยองพยักหน้าตอบรับสั้นๆ พอเป็นเรื่องตัวเองนี่สงบปากสงบคำขึ้นมาทันทีเลย

    ผมหยุดคิดนิดหนึ่งก่อนจะถามต่อ “แล้วได้คุยกับแจ็คสันมันบ้างปะ”

    “คุยเมื่อวาน”

    “แจ็คสันโทรมาอะดิ”

    “อืม”

    “หึ” มุมปากผมกระตุกยิ้ม แล้วก็ได้รับตาขวางๆ ดุๆ จากคนอายุมากกว่าทันที “แล้วมันเป็นไงบ้าง” ถามยิ้มๆ พยายามจะไม่ยิ้มแล้วมันอดไม่ได้

    “ก็สบายดี”

    “ตอบแพทเทิร์นเดียวกันเป๊ะ”

    “แล้วจะให้ตอบว่าอะไร” มาร์คฮยองขมวดคิ้วถาม

    “รายละเอียดแบบทำอะไร อยู่ที่ไหน ไปเที่ยวไหนบ้าง พวกฮยองคงไม่ได้คุยกันแค่สองประโยคหรอกใช่ไหมล่ะ”

    “ไม่เห็นจำเป็นต้องบอกนายเรื่องพวกนั้น”

    “เย็นชาสุดๆ”

    “อยากรู้ก็ไปคุยเองสิ”

    “ขี้เกียจ” ผมเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้พี่ชายตรงหน้า “อยากรู้จากฮยองมากกว่า”

    มาร์คฮยองจ้องหน้าผมก่อนจะส่ายหัวหน่ายๆ ทำท่าจะเดินออกไปแต่ผมพูดขึ้นมาเสียก่อน “ลำบากแย่เลยนะฮยองช่วงนี้ มีไรให้ช่วยก็บอกนะ”

    คนถูกหาว่าลำบากเหล่มองหางตาก่อนหันกลับมา “เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ นายอะ”

    ผมจ้องหน้าคนพูด “ดูเหมือนว่าผมจะพลาดอะไรไปหลายเรื่องเลยใช่ไหม”

    “แล้วมัวแต่สนใจอะไรอยู่ล่ะ” หลอกด่ากันชัดๆ หาว่าผมมัวสนใจเรื่องชาวบ้านจนพลาดเรื่องของตัวเอง

    “ฮยอง สนใจจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันหน่อยไหม” ผมพูด เอามือประสานกันวางบนตัก

    “ไม่” คำปฏิเสธทันทีจนผมนิ่วหน้านิดๆ ยังไม่ทันได้บอกข้อเสนอเลย

    “ผมรู้เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับแบมแบมมา เป็นเรื่องที่ฮยองไม่น่าจะรู้มาก่อน” ถึงอย่างนั้นผมก็บอกข้อเสนอไป อะไรที่เกี่ยวกับเจ้าตัวเล็กนั่น มาร์คฮยองสนใจเสมอแหละ

    “ไม่” คำปฏิเสธรอบที่สอง ทำเอาผิดคาดพอสมควร

    “แน่ใจเหรอฮยอง คิดดีๆ นะ”

    “ไม่” มาร์คฮยองพูดย้ำชัดอีกครั้ง “ฉันคิดดีแล้ว”

    ผมเบ้ปากเซ็งๆ “ฮยองเกลียดผมปะเนี่ย”

    “นายเป็นน้องที่ดีนะเจบี แต่เป็นคู่ค้าที่ไม่น่าไว้ใจ นายมันอันตราย” พี่ชายผมแดงพูดเรียบๆ แล้วเดินตรงไปที่ประตู

    ชิ พวกลูกหลานนักธุรกิจนี่คิดอะไรซับซ้อนจริง “ทีกับจินยองล่ะเห็นคุยกันงุ้งงิ้งๆ ตลอด” ผมพูดตามหลังไปเสียงไม่เบานัก

    “อิจฉาหรือไง” มาร์คฮยองหันกลับมาถามตอนกำลังผลักประตู พอเห็นผมไม่ตอบอะไรมุมปากก็ยกยิ้มนิดๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องสำนักงานไป

    ให้ตาย มาร์คฮยองเวอร์ชั่นหลุดจากปมแล้ว บางทีก็น่าหงุดหงิดจริงๆ

     

    หลังจากเคลียร์งานในห้องสำนักงานเสร็จ ผมก็กลับมานอนเอกเขนกบนโซฟาที่ห้อง พอไม่มียองแจอยู่อาหารการกินเริ่มไม่อุดมสมบูรณ์ ยังดีที่ก่อนหน้านี้พ่อกับแม่ผมมาหา เพราะเป็นไข้หวัดใหญ่นอนซมนั่นแหละพ่อกับแม่เลยพากันมาเยี่ยมถึงหอ ขนเสบียงมาให้เต็มที่ แต่ก่อนไปยังไม่วายกำชับให้ผมดูแลตัวเองแล้วก็จินยองดีๆ ได้ข่าวว่าตอนนั้นผมนอนเดี้ยงอยู่บนเตียง แค่จะลุกยังหอบสังขารไปไหนไม่ไหว แต่คุณแม่ที่รักก็ยังฝากฝังให้ดูแลลูกชายคนเล็ก ด้วยความที่จินยองตัวเล็กกว่าผมมาตั้งแต่เด็กนั่นแหละ บ้านผมเลยมักจะลืมว่าพวกเราอายุเท่ากัน ชอบเผลอคิดว่าจินยองเป็นน้องที่ผมต้องดูแลอยู่เรื่อย

    “ฮึม ฮึ้ม ฮืม ฮือ ฮื้อ ฮือ” เสียงคนที่ผมเพิ่งนินทาไปในใจเปิดประตูเข้ามา เดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ได้ไปทำงานพิเศษร้านหนังสือคงเหมือนสวรรค์ของจินยอง ถึงได้อารมณ์ดีขนาดนี้

    “กลับมาแล้วเหรอ” ผมลุกขึ้นนั่ง ร้องทัก

    “เป็นไงมั่ง” จินยองเดินมาหาหลังจากถอดเสื้อตัวนอกกับผ้าพันคอแขวนไว้ ยกมือวางบนหน้าผากผม มืออีกข้างวางวัดบนหน้าผากตัวเองตัวไม่ร้อนแล้ว”

    “ก็บอกตั้งแต่เมื่อวานละว่าหายแล้ว” ผมพูดก่อนทิ้งตัวนอนลงบนโซฟา

    “กินอะไรยัง”

    “เรียบร้อยแล้ว กินยาแล้วด้วย ออมม่า” ผมชิงตอบก่อนที่จะโดนคุณแม่ของหอซักต่อ

    คนถูกเรียกว่าออมม่ามองเคืองๆ “ถ้าไม่ติดว่าออมม่าจริงๆ ของนายกำชับว่าให้ช่วยดูแลนายด้วย ฉันก็ไม่อยากเซ้าซี้หรอก”

    “แม่ฉันเนี่ยนะ” ผมถามตาโต “ไม่อยากจะเชื่อ” พูดกึ่งขำ มองคนที่ยังยืนอยู่ปลายโซฟา “ไม่ไปอาบน้ำล่ะ มาหนาวๆ ก็เดี๋ยวไม่สบาย”

    “ว่าจะไปนี่แหละ”

    มองตามเพื่อนสนิทจนเดินหายเข้าห้องนอนไป แล้วถึงหันกลับมาสนใจทีวีต่อ

     

    หลังอาบน้ำเสร็จ จินยองเดินออกมาพร้อมกระดาษแผ่นหนึ่งในมือ

    “ร้านฉันกำลังจะลงหนังสือใหม่ มีโปรโมชั่นพิเศษด้วย นายสนใจเล่มไหนก็บอกนะเดี๋ยวซื้อมาฝาก” กระดาษโฆษณาถูกยื่นมาให้ผม ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินไปนั่งลงบนโซฟาตัวข้างๆ

    ผมรับมานอนดู “ไม่มีเล่มไหนน่าสนใจเลย”

    “ฉันว่าน่าสนใจตั้งหลายเล่ม”

    “งั้นนายคิดว่าเล่มไหนสนุกก็ค่อยมาให้ฉันยืมอ่านต่อแล้วกัน”

    “ไม่ลงทุนเลย”

    ผมเหล่มองคนบ่นจากข้างกระดาษ จินยองที่ใส่เสื้อแขนยาวลายขวางสีขาวดำกับกางเกงผ้าขายาวสีเทากำลังนั่งดูซีรีส์อย่างตั้งใจ

    “นายผอมไปหรือเปล่า” มือเลื่อนกระดาษมาบังหน้าเหมือนเดิมก่อนจะถาม

    “หือ”

    “ไม่ค่อยได้กินข้าวหรือไง”

    “ก็กินปกติ”

    “ผอมจะตายอยู่ละ กินเยอะๆ หน่อยสิ เดี๋ยวแม่นายกลับมาเห็นลูกชายหัวโตตกใจพอดี”

    “เวอร์ ฉันไม่ได้ผอมขนาดนั้นสักหน่อย”

    ผมลุกขึ้นนั่ง วางกระดาษโฆษณาลงบนตัก มองคนไม่ยอมรับว่าผอมก้มสำรวจตัวเองไปมา

    “จินยอง” เจ้าของชื่อเงยมาทำหน้าสงสัย “เราเป็นเพื่อนกันมานานแค่ไหนแล้วนะ” คำถามเรียบๆ จากผมทำให้คนทำหน้าสงสัยนิ่งงันไป

    “ก็กี่ปีล่ะ เท่าอายุนายนั่นแหละ” เจ้าตัวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติ

    “เพื่อนสนิท” ผมพูด สายตาจ้องมองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า แม้ใบหน้าจะเรียบเฉยแต่ดวงตาจินยองกลับมีความกังวลเจืออยู่ ทั้งที่เมื่อก่อนเป็นคนที่จับสีหน้าอารมณ์จริงๆ ยากแท้ๆ แต่ช่วงหลังมานี้จินยองเหมือนจะหลุดคอนโทรลอยู่บ่อยครั้ง นาย...เปลี่ยนไป

    “นายจะพูดอะไร”

    “ฉัน...” แววไหววูบในดวงตาคู่นั้นทำให้ผมพูดไม่ออก ยิ่งมองใบหน้าที่พยายามทำเรียบเฉยทั้งที่สองมือกำแน่นเหมือนกำลังกลัวอยู่ นั่นยิ่งทำให้คำพูดผมจุกคาอยู่ที่คอ ผมหลับตาก่อนจะทิ้งตัวลงนอนพร้อมลอบถอนหายใจ “ฉันนี่โชคดีจริงๆ ที่มีเพื่อนอย่างนาย” พูดแล้วหันไปยิ้มให้ “ตอนฉันไม่สบายก็คอยดูแลตลอด จะไปหาที่ไหนได้อีกเพื่อนแบบนี้ จริงปะ”

    “งั้นก็สำนึกบุญคุณฉันไว้ด้วยล่ะ” จินยองพูด คิ้วยังขมวดเข้าหากันเหมือนไม่ค่อยแน่ใจกับสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ

    ผมคว้าหยิบกระดาษโฆษณามาดูใหม่ ไม่ได้จะอ่านมันอีกรอบ แค่เอามาเป็นเครื่องกำบังสีหน้าตัวเองตอนนี้ ผมพลาดอะไรหลายอย่างใกล้ตัวไปมากจนรู้สึกได้ว่ามากเกินไป จินยองร้องไห้ทำไม จนถึงตอนนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องถามก็พอจับโยงได้ว่าเป็นเรื่องนี้ที่ทำให้แจ็คสันคอยตามจินยอง หมอนั่นอาจจะเห็นหรือรู้เรื่องนี้มาแต่ไม่รู้ว่าทำไม คำถามตอนวันคริสต์มาสเองก็เหมือนเฉลยมากลายๆ ว่าเรื่องอะไรที่แจ็คสันอยากรู้ และถ้าเดาไม่ผิดมาร์คฮยองก็คงเป็นอีกคนที่รู้ทุกอย่างดี เพื่อนผมไม่ใช่คนเจ้าน้ำตา ไม่ใช่คนที่จะมาร้องไห้กับอะไรง่ายๆ เพราะอย่างนั้นให้คิดแทบตายก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าจู่ๆ จินยองจะไปร้องไห้ให้คนอื่นเห็นด้วยเรื่องอะไร

    ผมไม่อยากคาดเดาอะไรไปมากกว่านี้ ไม่อยากคาดเดาเลยจริงๆ ถ้าเป็นเรื่องของจินยอง ทั้งตอนนี้ยังมีเรื่องอื่นเข้ามาเพิ่มอีก เหมือนเห็นเค้าลางความวุ่นวายจนต้องคิดแล้วว่าจะทำยังไงให้มันดำเนินไปอย่างที่มันควรจะเป็น ผมลุกขึ้นเดินกลับเข้าห้องตัวเอง รูมเมทมองตามเงียบๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

    วางกระดาษโฆษณาที่ถือติดมือมาด้วยลงบนโต๊ะแล้วเปิดโน้ตบุ๊คของตัวเอง กดเข้าไปที่โฟลเดอร์วันคริสต์มาสที่ผ่านมา ด้านในมีสองโฟลเดอร์เหมือนกับที่ลงไว้ในห้องสำนักงาน มื่อเลื่อนเมาส์ไปกดเปิดโฟลเดอร์ที่สอง ในนั้นมีรูปผมตอนนอนหลับ ไม่สิ น่าจะเรียกว่าเมาน็อคไปแล้วมากกว่ากับไฟล์วิดีโออีกไฟล์หนึ่ง กดคลิกที่ไฟล์วิดีโอ ภาพที่เล่นเป็นภาพมัวๆ สั่นๆ เหมือนเจ้าของกล้องไม่ได้ตั้งใจถ่ายแต่กำลังเอากล้องวาง กลายเป็นภาพกำแพงห้องที่มีโปสเตอร์เกิร์ลกรุปขายาวก่อนที่ภาพจะดำมืด ถ้าให้เดาคือกล้องคงคว่ำหน้าลงบนเตียง

    ภาพยังคงมืดสนิทอยู่แบบนั้น ครั้งแรกที่ผมเปิดดูเกือบปิดแล้วเพราะคิดว่าใครสักคนคงจะเผลอโดนปุ่มถ่ายวิดีโอโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ตอนกำลังจะปิดกลับได้ยินเสียงคนพูดขึ้นมาก่อนเลยหยุดฟัง เวลาเล่นไปเกือบสองนาทีก็มีเสียงพูดขึ้นมา

    “จริงๆ แล้วคนที่โง่ที่สุดก็คือฮยองนั่นแหละ เจบีฮยอง”

    ผมยกมือขึ้นกอดอก ตามองภาพหน้าจอที่มืดสนิท

    “ฮยองตาถั่วหรือไงถึงไม่เคยมองเห็นเลย อ่า...จริงๆ แล้วฮยองไม่มีตาหลังนี่นะ” มีเสียงหัวเราะของเจ้าตัวเจือมานิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ บางทีผมก็สงสัยนะ แอบสงสัยน่ะ เข้าใจใช่ไหม สงสัยว่าตอนนี้ผมอยู่ตรงไหนแล้ว ไล่ตามฮยองทันหรือยัง เหลืออีกไกลแค่ไหนกว่าผมจะไปยืนตรงหน้าฮยองได้”

    แล้วเสียงก็เงียบไป ผ่านไปอีกนาทีกว่าๆ ก็มีเสียงเบาๆ พูดขึ้นมา จนต้องเร่งเสียงถึงจะได้ยินชัด

    “ฮยอง หันมาบ้าง...ไม่ได้เหรอ”

    น้ำเสียงเบาหวิวเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ กังวล หวาดกลัว ประโยคสั้นๆ แต่กลับสามารถจับอารมณ์ในน้ำเสียงนั้นได้อย่างชัดเจน เวลาในคลิปยังคงเล่นต่อไป ไม่มีเสียงพูดอะไรอีก มันจะเล่นต่อไปอีกราวสิบนาทีเพราะไม่มีใครกดปิดกล้องเลยถ่ายอยู่แบบนั้นจนแบตหมด

    ผมยังคงนั่งนิ่งจ้องมองหน้าจอดำสนิท นี่สินะที่ถูกยองแจบอกว่าเป็นคนโง่ ผมมัวแต่สนใจเรื่องคนอื่นจนไม่รู้ตัวเลยว่าเส้นด้ายแห่งความยุ่งเหยิงมันเริ่มเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที ยองแจที่เป็นแบบนี้ จินยองที่ไม่เหมือนเดิม แม้กระทั่งตัวผมเองที่รู้ว่าตัวเองก็แปลกไป ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างต้องไม่ดีแน่ๆ

    ก่อนที่มันจะควบคุมไม่ได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะชัดเจนขึ้นกว่านี้ ก่อนที่เส้นด้ายจะเข้ามาพันจนแน่น ก่อนจะถึงตอนนั้นผมต้องแก้ไขให้มันกลับไปเป็นอย่างที่มันควรจะเป็น

    “แล้วนายเคยรู้ตัวไหมล่ะว่ามันเริ่มขึ้นตอนไหน นายกะเกณฑ์ความรักไม่ได้หรอกเจบี”

    คำพูดของพี่ชายไทยที่เมื่อนานมาแล้วย้อนกลับขึ้นมาในหัว ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปเริ่มสิ ถ้ามันกะเกณฑ์ไม่ได้ ผมก็จะทำให้มันไม่ถูกเริ่มขึ้นมา...เท่านั้นก็พอ

     




    --------------------------------------------------------------------------------------------TBC

    พี่บีคน(ไม่)โง่แล้วหรือเปล่า ฮ่าๆๆ หรือจริงๆแล้วพี่บีไม่ได้โง่มาตั้งแต่แรก เวลาเขียนตอนเจบีจะเป็นอะไรที่เหนื่อยมาก มากว่าเนียร์ที่มีแต่ความคิดทั้งตอนอีก เพราะผช.อย่างเจบีในเรื่องเนี่ย แม้กระทั่งในความคิดยังกั๊กเลย คือแม้แต่ตัวเองยังแบบอันไหนไม่อยากคิดก็จะไม่คิด อันไหนคิดว่าดีก็สรุปเอาง่ายๆเลย ก็คอยดูว่าความอินดี้ของพี่บีจะพาไปทางไหน เนียร์กับยองแจรุมกระทืบ กระทืบใคร กระทืบไรต์เองจ้ะ (หน้าคว่ำจมกองเลือด (_ _))

    จริงๆเรื่องเซอไพรส์ก็ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่เนอะ ดูรีดก็พอเดาๆได้ว่ามันต้องเกี่ยวกับโฟลเดอร์นั้นแน่ๆ อนุญาตให้หมั่นไส้พี่บีได้แป๊บนึง ฮ่าๆๆ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×