ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Got7] Love hostel อลวนรักหอพักเมี้ยวๆ (จบ)

    ลำดับตอนที่ #20 : ตอนที่ 19 คนโง่ โดย เจบี รีไรท์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.05K
      55
      10 พ.ค. 61

    ตอนที่ 19

    คนโง่ โดย เจบี 

     

    ติ้ด ติ้ด ติ้ด

    ฮยอง ทำไรอยู่ ว่างปะ?’

    หน้าจอโทรศัพท์แสดงข้อความจากเด็กมกโพรูมเมทของเจ้าตัวเกรียนประจำหอ

    ว่าง ทำไมเหรอ

    ผมพิมพ์ข้อความตอบกลับ หลังจากจินยองบอกว่าจะออกไปสูดอากาศข้างนอก ผมก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อย

    มาที่ห้องผมหน่อยได้ไหม ผมทำรายงานอยู่แล้วมีบางเรื่องที่ไม่เข้าใจ

    โอเค เดี๋ยวฉันลงไป แป๊บหนึ่ง

    ผมตอบข้อความแล้วลุกขึ้นบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะเดินออกจากห้องลงไปห้องยองแจตามที่รับปากไว้

    “เห้ยเดี๋ยวดิจูเนียร์ อย่าเพิ่งไป อย่างน้อยก็ขอโทษกันก่อนดิวะ!” เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากหน้าหอตอนที่ผมเดินไปถึงหน้าห้องสำนักงาน เห็นจินยองเดินก้าวเร็วๆ เหมือนพยายามหนีอะไรบางอย่าง ซึ่งคงไม่ใช่อะไรนอกจากเจ้าของเสียงเอะอะโวยวายนั่นแหละ

    “อ้าว จินยอง มีไรกัน” ผมถามเพื่อนสนิทที่ทำหน้าเหมือนเซ็งใครสักคน

    “ก็...”

    “จูเนียร์ฉันบอกว่ารอก่อน!!!

    ยังไม่ทันได้ตอบ ไอ้คนโวยวายก็วิ่งพุ่งเข้ามาทำท่าเหมือนจะเบรก แต่ไม่อยู่แล้วชนพลั่กเข้าหลังจินยองอย่างจังจนเจ้าตัวหน้าคะมำมาข้างหน้า ผมยื่นมือไปรับด้วยความตกใจ จินยองเองก็คว้ากอดผมไว้ตามสัญชาตญาณ เพื่อนรักเข้ามาอยู่อ้อมแขนผมและคงด้วยจังหวะตอนที่โน้มตัวไปคว้าผมหันหน้ามองจินยองไปด้วยเลยกลายเป็นว่าจมูกกับปากผมซุกกดลงซอกคอของคนในอ้อมกอดไปโดยปริยาย

    นุ่มแล้วก็หอม...คือสิ่งแรกที่ผมสัมผัสได้หลังจากอุบัติเหตุจบลง จินยองมีกลิ่นเฉพาะตัวอยู่อย่างหนึ่ง เป็นกลิ่นอ่อนๆ ที่ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอม เป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกละมุนและอบอุ่น

    “ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ!” เสียงจากแจ็คสันที่ยืนตาโตอยู่ด้านหลังจินยองและเป็นเสียงที่ทำให้คนในอ้อมแขนผมสะดุ้งนิดหนึ่งก่อนจะนิ่งไปเลย “นายไม่เป็นไรนะ!” แจ็คสันถามเสียงดัง หน้าตาตื่นตระหนกอย่างกับเป็นคนหัวคะมำเสียเอง

    “จินยอง ไม่เป็นไรนะ” ผมจับตัวเพื่อนดันออก แล้วก็ต้องชะงักกับหน้าตาเหวอแบบสุดๆ ของคนตรงหน้า ดวงตาโค้งเรียวเบิกกว้าง ริมฝีปากสีแดงเรื่ออ้าค้างและที่ทำให้ผมตกใจที่สุดคือแก้มขาวเนียนที่ขึ้นสีจัดจนแดงก่ำไปแทบทั้งหน้า

    จินยองสบตาผมก่อนจะหลบสายตาหนี เหมือนเจ้าตัวยังจับต้นชนปลายไม่ถูก หน้าตาตอนนี้เลยดูสับสนว้าวุ่นแบบสุดๆ เป็นหน้าตาแบบที่ผมไม่เห็นบ่อยนัก ไม่สิ ต้องบอกว่าแทบไม่เคยได้เห็นเลย

    “ฉันขอโทษ จินยอง นายไม่เป็นไรใช่ไหม” แจ็คสันพูดพลางชะเง้อหน้ามา แต่ในจังหวะเดียวกันนั้นผมก็จับจินยองกระชากเข้าหา ใช้มือข้างหนึ่งกดหัวเพื่อนลงบนไหล่ตัวเอง

    “ไม่เป็นไร นายกลับห้องไปก่อนไป” เป็นผมที่พูดขึ้นแทน เจ้ามันดูเงยหน้ามองผมงงๆ แต่เห็นผมจ้องกลับดุๆ ก็ทำหน้าไม่พอใจกึ่งงอนใส่ แล้วเดินกลับห้องตัวเองแต่โดยดี

    ....

    “นาย โอเคยัง” ผมถามขึ้น หลังจากอยู่แบบนั้นเงียบๆ มาพักหนึ่ง

    จินยองค่อยๆ ดันตัวเองออก สีหน้าท่าทางกลับมาเป็นปกติ มีแค่ดวงตาที่หลุบมองต่ำอยู่ตลอด

    “ขอบใจ” พูดแล้วก็ทำท่าจะหันหลังเดินหนีไป ถ้าไม่ถูกผมคว้าแขนเอาไว้ก่อน

    คนโดนรั้งหันกลับมาแต่ยังคงไม่มองหน้าผม ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดอะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารั้งอีกฝ่ายไว้ทำไม เป็นการกระทำที่ไม่ได้ผ่านการคิดไตร่ตรองเหมือนร่างกายมันไปเอง ในขณะที่ผมกำลังคิดอยู่ว่าตัวเองจะพูดอะไร จินยองก็ค่อยๆ แกะมือผมออกแล้วเดินขึ้นบันไดไป ผมมองตาม ไม่ได้เรียก ไม่ได้รั้ง ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น แค่มองตามจนลับตา

    หมุนตัวไปยังทิศทางที่ตั้งห้องยองแจ ยกมือขึ้นวางทาบหน้าอกด้านซ้าย รู้สึกไม่ค่อยดีเลยแฮะ คิดกับตัวเองในใจก่อนจะเดินไปจุดหมายที่ตั้งใจไว้แต่แรก

     

    ที่ห้องนั่งเล่นโล่งและเงียบเหนือความคาดหมาย แต่เสียงคนคุยกันจากห้องยองแจทำให้รู้ว่าคงพากันไปสุมหัวอยู่ในนั้นกันหมด

    “ยูคยอม เล่มนั้นเช็กดีๆ นะ ฉันคุ้นๆ เหมือนเคยอ่านเจอ” เสียงยองแจสั่งน้องเล็กซึ่งนั่งอยู่บนพื้น รอบตัวมีหนังสือวางกองอยู่คือสิ่งแรกที่ผมเจอตอนเดินเข้าไป

    “เรื่องนี้ฉันเคยเรียนนี่นา” มาร์คฮยองนั่งเปิดหนังสือเรียนของม.ปลายอยู่บนเตียง ห่างไปนิดหนึ่งเป็นแบมแบมนั่งละเลียดเลียอมยิ้มในมือ

    “ฮยองเคยเรียนมาก็ช่วยยองแจมันดิ” แจ็คสันพูดมาจากหน้าชั้นหนังสือทรงประหลาด ไล้นิ้วเหมือนเลือกหาหนังสือไปด้วย

    “จบมาก็คืนอาจารย์ไปหมดละ” พี่ชายผมแดงยักไหล่ตอบ แล้วเปิดดูผ่านๆ แบบไม่ใส่ใจนัก “คณะที่ฉันเรียนก็ไม่ได้ใช้ด้วย”

    “สรุปไอ้ที่นั่งๆ ยืนๆ อยู่นี่มีใครช่วยยองแจได้มั่ง” ผมกอดอกพูด

    “อ้าวฮยองมาแล้วก็ไม่บอก” เจ้าของห้องหมุนเก้าอี้หันมาจากคอมพิวเตอร์ตรงหน้า

    “ผมไม่ถนัดวิชาชีวะ โดยเฉพาะชีวะที่ยังไม่เคยเรียน” แบมแบมเงยหน้ามาตอบผมแล้วตั้งหน้าตั้งตาเลียอมยิ้มต่อ

    “เอ้า แล้วยูคยอมอะ” ผมชี้ไปที่เจ้าลูกหมายักษ์ ซึ่งนั่งอ่านหนังสือจริงจังบนพื้นข้างๆ เก้าอี้คอม

    “ผมแค่หาเนื้อหาที่ยองแจฮยองต้องการให้เฉยๆ บางเล่มมันก็มี บางเล่มไม่มีไงฮยอง” ยูคยอมตอบ สายตายังไล่มองไปตามบรรทัดในหนังสือ

    “อ้าว ทำไมนายมาคนเดียวอะ จูเนียร์ไปไหน” แจ็คสันหันมาถาม หลังจากเลือกหนังสือมาได้เล่มหนึ่ง

    “กลับห้องไปแล้ว” ผมตอบ

    “หมอนั่นโกรธฉันปะวะ เฮ้ย ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ แล้วอีกอย่างมันเป็นคนเอาหนังสือเขวี้ยงหัวฉันนะ ไหงไปๆ มาๆ ฉันกลายเป็นคนต้องขอโทษไปได้” เจ้ามันดูบ่น

    “เอ่อ ผมว่า เมื่อกี๊จูเนียร์... อุ๊บ” แบมแบมพยายามจะพูดบางอย่าง แต่ยังพูดได้ไม่จบประโยคก็มีมือจากพี่ชายผมแดงที่พุ่งสอดมาจากด้านหลังปิดปากเอาไว้ ตากลมแป๋วของคนถูกปิดปากเหล่มองด้วยความตกใจ

    ผมมองงงๆ แล้วดูเหมือนเจ้าของมือเองก็เพิ่งรู้สึกตัว มาร์คฮยองหันมามองผมอึ้งๆ แล้วจะมาทำอึ้งใส่ผมทำไม ผมเลิกคิ้วใส่ เท่านั้นแหละ พี่ชายผมแดงรีบปล่อยมือจากปากแบมแบมแล้วลุกขึ้นยืนเก้ๆ กังๆ ก่อนจะก้าวพรวดๆ ออกจากห้องนอนยองแจไปเลย ผมมองตามร่างสูงโปร่งทันเห็นหูแดงแจ๋ของเจ้าตัวก่อนจะออกจากห้อง แล้วหันมามองหน้ายองแจซึ่งทำปากคว่ำหน้าประหลาดๆ ใส่

    “มาร์คฮยองเป็นไรอะ!” แจ็คสันถามเสียงดัง “แล้วเมื่อกี๊นายจะพูดอะไรแบมแบม”

    “เอ่อ” แบมแบมอึกอัก หันมามองหน้าผม เอ้า เจ้าพวกนี้นี่ ฉันจะรู้เรื่องด้วยไหม “คือ ผมจะบอกว่า คือ เมื่อกี๊ เมื่อกี๊จูเนียร์ฮยอง อ๋อ หนังสือมันอาจจะหลุดมือลอยมากระแทกหัวฮยองเองก็ได้ ลอยมาไกล เอ่อ ไปหน่อย”

    เป็นการโกหกที่โคตรไม่เนียนเลยแบมแบม นายไม่มีพรสวรรค์ในด้านนี้เลยจริงๆ

    “หะ หลุดมือมาเนี่ยนะ เป็นไปได้ด้วยเหรอ”

    เออ เอาเข้าไป ไอ้นั่นก็บ้าจี้คิดตาม

    “เอ่อ... ฮะๆๆ ผมหิวแล้ว ไปหาไรกินในครัวก่อนนะฮะ” แล้วแบมแบมก็ลุกขึ้นเดินเก้ๆ กังๆ พอๆ กับมาร์คฮยองออกไป

    “ฮยอง เจอแล้วผมเอากระดาษนี่ขั้นไว้ให้นะ ไปละ” ยูคยอมวางหนังสือลง ก่อนจะรีบลุกตามแบมแบมออกไป

    “เออ พูดไปฉันก็หิวเหมือนกัน อยู่ไปไอ้เจ้าของห้องมันก็ไม่ได้อยากให้ช่วย ไปหาไรกินมั่งดีกว่า” แจ็คสันพูด เหล่มองยองแจนิดหนึ่งแล้วเอาหนังสือที่เพิ่งหยิบออกมาจากชั้นเก็บคืนก่อนจะเดินออกไป

    ผมหันมองหน้ากับยองแจอีกครั้ง เจ้าของห้องกลอกตาเซ็งๆ แล้วหมุนเก้าอี้กลับไปพิมพ์งานต่อ

    “เนี่ยฮยอง ตรงนี้ผมไม่เข้าใจ” ผมหันไปก้มดูเนื้อหาที่ถูกพิมพ์ไว้

    “อ๋อ ตรงนี้เหรอ ก่อนอื่นนายต้องเข้าใจหน้าที่หลักๆ ของมันก่อน นายต้องรู้ก่อนว่าหลักๆ แล้วมันทำอะไรได้บ้าง” ผมกวาดตาอ่านก่อนจะเริ่มอธิบาย

    อธิบายไปตอนแรกเจ้าเด็กนี่ก็เท้าคางฟังดีๆ อยู่หรอก แต่พอผ่านไปสักพักกลับค่อยๆ เอียงตัวออกห่างจากผมไปเรื่อยๆ ผมเหล่มอง ยองแจยังคงเท้าคางมองอยู่เหมือนเดิม แต่ตัวเอียงไปจนแทบจะนอนราบไปกับโต๊ะ

    “ทำอะไรของนาย” ผมถามในที่สุด

    “ก็ฟังฮยองไง” คำตอบมาพร้อมกับหน้ามึนๆ

    “แล้วทำไมนายต้องเอียงหนีฉันขนาดนั้นด้วย”

    ยองแจอ้าปากเหมือนตกใจนิดๆ ก่อนจะตอบ “ก็...ถอยห่างมาหน่อย จะได้มองหน้าฮยองชัดๆ”

    “หา นายสายตายาวเหรอ ยังไม่ทันแก่เลย”

    “ช่างผมเหอะน่า”

    “เอ้า อธิบายไปหมดแล้วเนี่ย เข้าใจยัง” ผมถามพลางยืดตัวขึ้น โอย ปวดหลังเลย

    “อื้ม ฮยองหยิบหนังสือที่ยูคยอมมันคั่นไว้ให้หน่อยดิ”

    ผมก้มลงหยิบหนังสือส่งให้ก่อนจะเดินไปนั่งที่เตียง เผื่อว่าเด็กนี่ยังต้องการความช่วยเหลืออีก สายตากวาดมองไปรอบๆ ห้องที่ออกจะเรียกได้ว่าตกแต่งประหลาด เฟอนิเจอร์รูปทรงแปลกๆ โปสเตอร์เกิร์ลกรุปโชว์ขาเรียวยาว โคมไฟทรงเรียวๆ ชั้นหนังสือเกลียวๆ เอียงๆ เอิ่ม แต่พอบอกว่ามันเป็นห้องของยองแจแล้วก็ดูไม่น่าแปลกใจเท่าไร

    “ดูแล้วนายท่าทางชอบพวกศิลปะไม่ใช่เหรอ ทำไมเรียนสายวิทย์อะ” ผมเท้าแขนไว้กับเตียงเอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อย ถามสบายๆ ที่จริงแล้วคณะที่ผมเรียนอยู่ก็ไม่ได้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ทั้งๆ ที่ผมจบสายวิทย์มา

    “ที่บ้านผมอยากให้เรียนอะ แล้วผมก็เรียนได้ไม่มีปัญหาไรเลยเรียน” ยองแจตอบ มือยังพิมพ์งานไปด้วย

    “ไม่รู้สึกกดดันเหรอแบบนั้น”

    “ไม่นี่ ก็ผมทำได้เลยไม่กดดันอะไร” เออ เป็นคนสบายๆ ดีนะ

    “แต่หนังสือเรียนเยอะขนาดนี้นายคงพยายามน่าดู”

    “อื้อ ก็พยายามจนมันออกมาดีนั่นแหละ”

    ผมหยิบหนังสือชีวะที่มาร์คฮยองเปิดทิ้งไว้มาดู ในนั้นมีรอยปากกาสีขีดข้อความสำคัญไว้เต็มไปหมด

    “นายมาจากมกโพใช่ไหม ถ้าจำไม่ผิด”

    “ก็ใช่น่ะสิ ผมบอกไปตั้งแต่ตอนมาใหม่ๆ แล้วนะ ฮยองลืมเหรอ” ยองแจหมุนเก้าอี้มาถามหน้างอ

    “ฮ่าๆๆ เปล่าๆ ไม่ได้ลืม แค่ไม่มั่นใจ”

    “บ้านผมอยู่มกโพ แต่ผมมาเรียนไฮสคูลที่โซล ผมอยู่กับลูกพี่ลูกน้อง มินจุนฮยองไง” เด็กมกโพอธิบาย

    “ที่เป็นเพื่อนกับแทคยอนฮยองตั้งแต่สมัยเรียนใช่มะ”

    “อื้อ พอดีมินจุนฮยองต้องย้ายไปประจำสาขาที่ต่างจังหวัด ผมเลยต้องมาอยู่หอแทน”

    “อือๆ นายพิมพ์งานต่อเหอะ” ผมพยักหน้ารับรู้แล้วโบกมือให้คนมีการบ้านทำต่อ

    ผมมองนู่นมองนี่เรื่อยเปื่อย ไอ้นิสัยชอบถามนู่นถามนี่ชาวบ้านนี่แก้ยังไงก็ไม่หายสักที มองๆ ไปบังเอิญเห็นสมุดเล่มเล็กๆ โผล่ออกมาจากใต้หมอน พอลองเอื้อมมือไปหยิบมาดูก็พบว่าเป็นสมุดไดอารี่เล่มหนึ่ง

    “ไม่รู้ว่านายเขียนไดอารี่ด้วย”

    ตึง! ยองแจลุกพรวดจากเก้าอี้จนขาชนกับโต๊ะ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้สนใจเจ็บ รีบถลาพรวดเข้ามาคว้าไดอารี่จากมือผมเอาไปยืนซ่อนไว้ด้านหลังหน้าตาตื่น

    “ห้ามดูนะ!

    ผมเงยหน้ามอง “เป็นความลับขนาดนั้นเชียว”

    “ก็มันเรื่องส่วนตัวนี่” เด็กตรงหน้าพูดโดยไม่ยอมสบตา

    “ปกติไดอารี่เขาก็เขียนเรื่องประจำวันไม่ใช่เหรอ ไม่น่ามีอะไรลับนักนี่ หรือนายแอบไปทำไรมา”

    “ผมเปล่า!” ยองแจรีบปฏิเสธ “แต่มันก็มีเรื่องที่ไม่อยากให้ใครอ่านอยู่ บางเรื่องที่เป็นความลับอะ นี่มันไดอารี่นะฮยอง”

    “นี่ยองแจ ฉันจะบอกอะไรให้นะ ถ้านายอยากเก็บรักษาความลับไว้ให้นานที่สุด ข้อห้ามแรกก็คือห้ามเขียนไดอารี่”

    ยองแจทำปากคว่ำ “ผมติดแล้วนี่ เหมือนได้เล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้เจ้านี่ฟัง”

    ผมขมวดคิ้วนิดๆ “นายเล่าให้ฉันฟังก็ได้ไม่ใช่หรือไง” ปกติแล้วเวลาอยู่กับผมก็คุยจ้ออยู่ตลอด นึกว่าจะไม่มีความลับอะไรกับผมเสียอีก

    “บอกฮยองไปก็ไม่เป็นความลับอะดิ”

    “ฉันดูไว้ใจไม่ได้ขนาดนั้นเลย”

    “เอาน่า เลิกสนใจไดอารี่ผมเหอะ ฮยองนี่น่ารำคาญจริง”

    “เอ้า ว่าฉันน่ารำคาญอีก นายเป็นคนเรียกฉันมานะ แล้วงานอะ ทำไปสิเดี๋ยวไม่เสร็จก็บ่นอีก”

    “รู้แล้วน่า แล้วผมก็รู้ด้วยว่าฮยองสงบปากสงบคำได้ไม่นานหรอก มีไรก็คุยได้นะ ผมสมาธิดี ไม่พิมพ์ชื่อฮยองลงไปในรายงานหรอก” ยองแจพูดก่อนจะเดินกลับไปนั่งหน้าคอมต่อ ให้ตาย สกิลปากจัดของหมอนี่ไม่เคยตกเลย

    “แล้วช่วงนี้แจ็คสันมันเป็นไงมั่ง” อนุญาตให้คุยได้ผมก็คุย

    “แจ็คสันฮยองอีกละ” คนที่เพิ่งลงมือพิมพ์งานหมุนเก้าอี้หันมา “ทำไมต้องเอาแต่ถามถึงแจ็คสันฮยองทุกทีเลย นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นเจบีฮยองผมจะคิดว่าฮยองแอบชอบแจ็คสันฮยองแล้วนะ”

    “หือ ทำไมอะ”

    “ก็มันเหมือน เวลาชอบใครก็ต้องอยากรู้เรื่องของคนนั้นไม่ใช่เหรอ”

    “ถ้าฉันอยากรู้ ฉันไปถามเจ้าตัวเองเลยไม่ง่ายกว่าเหรอ”

    “ก็นั่นน่ะสิ แล้วมาถามผมทำไม”

    “ก็เพราะฉันไม่ได้ชอบมันแบบนั้นไง”

    “รู้แล้วน่า”

    “นายเริ่มพาฉันงงแล้วนะยองแจ” ผมมองเด็กเกรียนที่ทำหน้าตามึนๆ ใส่ อยู่กับเจ้าแจ็คสันมาก ความเกรียนมันออสโมซิสใส่กันหรือไง

    “ผมบอกว่ารู้อยู่แล้วล่ะว่าฮยองไม่ได้ชอบแจ็คสันฮยองแบบนั้น ก็ฮยองไม่เคยมีแฟนเป็นผู้ชายนี่ ใช่มะ”

    ผมจ้องหน้ายองแจ แอบเห็นแววตาอยากรู้เห็นเต็มที่สะท้อนมาจากตาตี่ๆ คู่นั้น

    “อ่า ก็ไม่เคยล่ะนะ แต่ก็ไม่แน่นะ แจ็คสันมันก็น่ารักดี” ผมพูดยิ้มๆ

    ยองแจอ้าปาก “มะ ไม่อะ ฮยอง ชอบผู้ชายด้วยเหรอ”

    “เปลี่ยนแนวบ้างก็ดีมั้ง”

    เด็กเกรียนหุบปากมองผมนิ่ง

    “อุ๊บ ฮ่าๆๆ หน้าตานายโคตรฮาเลย ทำตาเหลือกใส่ฉันทำไม ฮ่าๆๆ” ผมหัวเราะจนกลิ้งไปกับเตียง ยองแจเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดและฮาที่สุด ซึ่งผมโคตรชอบเลย ชีวิตมีสีสันสุดๆ

    “ฮยองนี่มัน ขี้โกงชะมัด” คนประหลาดบ่นอุบอิบ ลุกเดินมานั่งข้างผมบนเตียง

    “ขี้โกงยังไง” ผมหันไปถามยิ้มๆ ทั้งๆ ที่นอนอยู่

    “ขี้โกงทุกอย่างนั่นแหละ อะ แล้วอยากรู้ไรเรื่องแจ็คสันฮยองล่ะ”

    “ก็พักนี้มันเป็นไงมั่ง มีอะไรแปลกๆ มั่งปะ” ผมคว้าหมอนมานอนคว่ำเกย ก่อนจะเงยหน้าถาม

    “ก็ไม่มีไรนะ อ๋อ จะมีก็แค่บางทีชอบนั่งเหม่ออะ วันก่อนไปนั่งอยู่ข้างกระถางต้นไม้ เออล่าสุดเมื่อคืนผมเดินออกมาหาน้ำกินตอนกลางคืน เปิดตู้เย็นมาแสงไฟจากตู้เย็นส่องไปเห็นเงาตะคุ่มๆ ตรงหางตา พอหันไปนะ โอ๊ย อย่าให้พูด!” ยองแจทำท่าสยดสยอง “ผมเกือบหัวใจวายตาย แจ็คสันฮยองนั่งทะมึนอยู่ข้างอ่างล้างจานอะ ฮยองคิดดูนั่งทำบ้าอะไรมืดๆ เงียบๆ คนเดียว ผมเกือบหงายหลังเข้าไปในตู้เย็นแล้วอีกนิดเดียว นึกแล้วยังสยองไม่หายเลย”

    ผมหัวเราะกับท่าทางขนลุกขนพองของยองแจพร้อมๆ กับคิดไปด้วย ว่าแล้วว่ามันต้องไม่ธรรมดา

    “ว่าแต่พวกฮยองวางแผนทำอะไรกันอยู่ใช่มะ ผมสงสัยมาหลายทีแล้วนะ วันนั้นอีกที่จู่ๆ แจ็คสันฮยองไม่ยอมให้ผมไปซื้อน้ำมัน บอกรอให้แบมแบมไปซื้อ แถมยังจงใจแยกยูคยอมออกไปอีก ดูก็รู้ว่าตั้งใจให้มาร์คฮยองไปกับแบมแบม ผมก็ไม่ได้จะขัดอะไรหรอกนะ ถ้าจะบอกกันสักนิดว่าเรื่องมันเป็นมายังไง เกิดอะไรขึ้น”

    “พูดเยอะนะนายเนี่ย” ผมเอามือผลักหน้าผากคนตรงหน้าทีหนึ่ง ยองแจทำหน้างอใส่ “เอาเป็นว่าสองคนนั้นเคยทะเลาะกัน เป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้วไม่เคลียร์ แจ็คสันมันเลยอยากให้เคลียร์กันสักทีไง”

    “แล้วตอนนี้ดีกันยังอะ”

    “นายคิดว่าไงล่ะ”

    “อีกละ เฮ้ออออ” เด็กเกรียนลากเสียงถอนหายใจใส่ผม “ทำไมฮยองชอบตอบคำถามด้วยคำถามทุกทีเลยนะ ตอบมาดีๆ ไม่ได้เหรอ ย้อนถามกลับแบบนี้ไม่ได้ทำให้ดูฉลาดขึ้นสักหน่อย”

    “นายบ่นเยอะๆ ก็ไม่ได้ทำให้ดูน่ารักขึ้นหรอก” ผมว่าบ้าง

    “มันเกี่ยวกันที่ไหนล่ะ แล้วฮยองอะจริงๆ แล้วโง่จะตาย”

    “หา!” ผมอ้าปากค้าง หลายๆ คนเคยบอกว่าผมเป็นคนเข้าใจยาก บางคนบอกผมเอาแต่ใจตัวเอง มีบางครั้งที่มีคนชมว่าผมฉลาด แต่ถูกหาว่าโง่นี่ครั้งแรก

    “ฮยองอะ ถ้าเป็นเรื่องที่สนใจก็ดีอยู่หรอก สังเกตละเอียดยิบ แต่พออันไหนไม่สนใจไม่ได้อยู่ในสายตาฮยองก็ไม่เคยสังเกตเลย”

    “เช่นว่า”

    “เห็นมะ แค่นี้ยังไม่รู้เลย ฮยองมันโง่จริงๆ ด้วย คนโง่ ผมเอาโทรศัพท์มาเปลี่ยนชื่อฮยองเป็นคนโง่ดีกว่า” ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินไปหยิบโทรศัพท์มากดจริงๆ

    “เห้ยๆๆ เปลี่ยนจริงเหรอ นายกล้าเปลี่ยนชื่อฉันแบบนั้น ฉันเปลี่ยนบ้างนะ!” ผมขู่

    “เปลี่ยนว่าไร คนธรรมดาๆ อย่างผมไม่มีฉายาอะไรให้น่าเปลี่ยนหรอก”  ยองแจเบ้ปากใส่แล้วกดเข้าไปแก้ชื่อผมจริงๆ “นี่ไง คนโง่ เหอะๆ” เปลี่ยนเสร็จชูให้ดูด้วย

    “นายนี่มัน” ผมชี้หน้า เอาโทรศัพท์ขึ้นมาจิ้มบ้าง “ฉันเปลี่ยนมั่ง จากยองแจเป็นไอ้เด็กบ๊องแทน”

    “ชื่อสิ้นคิดชะมัด”

    “คนโง่นี่มันครีเอทตายล่ะ”

    “ไม่อยากเป็นคนโง่ก็หัดสังเกตซะบ้างสิ”

    “สังเกตอะไร”

    “ผมไง เริ่มจากสังเกตผมก่อนเป็นไง” ยองแจวางโทรศัพท์แล้วยื่นหน้ามาใกล้ๆ ผมหรี่ตามอง เด็กนี่ชักอันตรายละ ยองแจจ้องหน้าผมกลับ แต่จ้องได้แป๊บเดียวก็ทำหน้าประหลาดๆ แล้วรีบหันหนี

    “นายจะให้ฉันสังเกตอะไรนาย” ผมถาม มองตามเด็กเกรียนที่จู่ๆ ก็ลุกเดินไปหยิบหมวกไหมพรมมาสวมหัว

    “คิดเองดิ ไม่งั้นก็เป็นคนโง่ต่อไป” ยองแจหันมายิ้มยั่ว บางทีอาจจะเป็นยิ้มเจ้าเล่ห์ธรรมดาสำหรับหมอนั่น แต่สำหรับผมยังไงมันก็ยิ้มยั่วชัดๆ

    “งานอะเสร็จยัง พูดเยอะจริงๆ”

    “เสร็จแล้ว ไม่ต้องให้ฮยองช่วยแล้ว ขอเชิญคนโง่ออกจากห้องผมด้วยครับ” ไม่พูดเปล่าเด็กบ๊องที่ยังมีหมวกไหมพรมอยู่บนหัวก็วาดมือเชิญผมออกประกอบด้วย ผมว่ายองแจอยู่กับแจ็คสันมันมากเกินไปแล้วล่ะ เริ่มไม่เต็มเต็งพอกันทั้งคู่ ดูใส่หมวกโผล่มาแต่หน้ากับแก้ม ถึงจะดูน่ารักๆ แบบประหลาดๆ ก็เถอะ

    “ใช้เสร็จแล้วถีบหัวส่ง ทีหลังอยากให้ช่วยอะไร อยากได้ไรไม่ต้องเรียกฉันเลยนะ ฉันมันคนโง่นี่” ผมแกล้งพูดเสียงเคืองๆ ลุกขึ้นล้วงกระเป๋าทำท่าจะเดินออกไป

    “ฮยอง”

    “อะไร”

    “อยากได้”

    ผมมองหน้ายองแจงงๆ “อะไร”

    “ฮยอง”

    “เอ้า อะไรเล่า เรียกอยู่นั่น”

    ยองแจทำหน้าเหม็นเบื่อ “คนโง่”

    “หะ” ผมจ้องหน้า เลิกคิ้วใส่ แต่เด็กมกโพก็ไม่สนใจ เดินไปนั่งพิมพ์งานต่อแทน

    ผมยืนเอียงคอมองอยู่ตรงนั้น รู้สึกตัวเองโง่ขึ้นมาจริงๆ เลย เดินขมวดคิ้วออกมาจากห้องนอนยองแจก็เจอเจ้าพวกสี่เส้านั่งหัวเราะก๊ากกันอยู่  ช่างเป็นภาพที่ดูสามัคคีน่าปลาบปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูก ถ้าไม่ติดว่าผมรู้สึกเหมือนกับโดนเจ้าพวกนั้นหัวเราะเยาะโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากโดนเด็กประหลาดหาว่าเป็นคนโง่ งานนี้ผมเลยเดินออกมาโดยไม่บอกใครแล้วตรงกลับห้องแทน


    อ่า...นึกได้ จินยองก็อยู่นี่นา บางทีให้ผมเป็นคนโง่ไปเลยก็คงจะดี ผมจะได้ไม่เที่ยวสังเกตนู่นสังเกตนี่ เวลาเป็นเรื่องของคนอื่นก็น่าสนใจดีอยู่หรอก แต่ผมไม่ค่อยชอบให้ความผิดปกติอะไรมาเกิดขึ้นกับตัวเอง โดยเฉพาะอะไรที่มันจะก่อให้เกิดความวุ่นวายตามมา

    ก๊อกๆๆ

    ผมตัดสินใจเดินไปเคาะประตูห้องเพื่อนสนิท

    ก๊อกๆๆ

    จินยองเปิดประตูออกมา มองหน้าผมเหมือนจะถามว่ามีอะไร ดูปกติดี เป็นจินยองตามปกติทุกอย่างจนผมชักสงสัยว่าจินยองที่เห็นก่อนหน้านี้ใช่ตัวจริงหรือเปล่า ไม่ใช่อะไรหรอก จินยองที่นานๆ ครั้งหลุดฟอร์มแบบนั้นก็ดู...น่ารักดี

    “นายโอเคแล้วนะ” ผมถาม

    “ฉันไม่ได้เป็นไรนี่” จินยองตอบ

    “ก็ฉันเห็นนายแปลกๆ ตอนชนกันข้างล่าง นายหน้าแดง ทำท่าแปลกๆ” ผมล้วงกระเป๋ากางเกง ก่อนจะหมุนตัวไปพิงกำแพงข้างๆ ประตูที่จินยองยืนอยู่แล้วเหล่มอง “จะว่าไปฉันไม่เคยเห็นนายเวลาเขินจัดๆ มาก่อนเลยแฮะ”

    สีหน้าเพื่อนสนิทเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง ก่อนที่เจ้าตัวจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หันมามองผมแล้วพูดเสียงเรียบ “เพ้อเจ้อนะนายอะ”

    ผมยิ้ม “คงไม่ได้ตกหลุมรักฉันขึ้นมาหรอกใช่ไหม ฮ่าๆๆ”

    “เหลวไหล ฉันแค่ตกใจ ว่างมากจนไม่มีอะไรจะเอามาแหย่ฉันเล่นแล้วหรือไง ไม่มีไรฉันทำงานต่อละ งานของอ.เบอร์เนอร์ยังไม่เสร็จเลย” จินยองพูดเรียบๆ ก่อนจะปิดประตู

    ผมยังยืนพิงกำแพงล้วงกระเป๋าอยู่ที่เดิม สายตามองไปที่เดิม แม้ประตูจะปิดไปแล้ว มองอยู่พักหนึ่งก็เบนสายตาลงมามองพื้นพร้อมยกขาขึ้นข้างหนึ่ง เอาเท้ายันกำแพงไว้แล้วก้มตัวนิดๆ

    “คนโง่” พึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินออกมา



    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------

    เห็นรีดว่าพี่บีโง่นัก ตอนนี้ยองแจว่าแทนให้เรียบร้อยแล้วนะคะ ฮา

    ยองแจนี่ตอนแรกๆเดินตามพี่บี มุ้งมิ้งๆ งุงิๆ แต่พอสนิทมาซักพักเริ่มเกรียนใส่พี่บีละ แอบรุกแบบเนียนๆด้วยนะ ไม่กระโตกกระตากเหมือนยูคยอม ฮา ส่วนเนียร์รายนี้สกิลป้องกันตัวเองสูงค่ะ เรียกได้ว่าอยู่กับเจบีมานานจนเริ่มปรับตัวได้ รู้ว่าบีเป็นคนยังไง แต่ก็นั่นแหล่ะ สุดวิสัยหลุดไปนิดนึงตอนที่แล้ว ก็ดูว่าจะมีผลยังไงในอนาคต เอาจริงๆนิสัยแบบเนียร์นี่ถ้าใครมีเพื่อนแบบนี้เราจะหมั่นไส้มันมากเลยนะบางที แต่แบบทำไงได้ มันก็ดี๊ดี

    ตอนหน้าก็ยังอยู่ฟากนี้ เป็นพาร์ทของยองแจที่จะมีแจ็คสันมาโฉบด้วยหน่อยๆ แจ็คสันเวอร์ชั่นวิญญาณหลุดออกจากร่างเป็นพักๆ ไม่ค่อยเสถียร มีเรื่องต้องคิดอ่ะค่ะ ฮ่าๆๆ

    ปล. คลิป I like you อันล่าสุดดาเมจแรงมาก ไรต์เกือบเป็นลมตายจมกองเลือดอยู่หน้ายูทูป ดูไปหายใจไม่ทั่วท้องไป นึกว่าพอดูรอบสองแล้วจะมีภูมิต้านทาน ที่ไหนได้ ตายอีกเหมือนเดิม (ฮา)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×