ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    AJENAR

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 18 มี.ค. 56



    สงคราม ไม่เคยนำมาซึ่งความสุข
    สงคราม ไม่เคยเป็นที่ต้องการของใคร
    สงคราม บ่อเกิดแห่งความวุ่นวาย
    สงครามเต็มไปด้วยการนองเลือด และคราบน้ำตา
    แต่ครั้งนี้ สงครามคือสิ่งที่ทุกคนรอยคอย
    มันคือสงครามแห่งความหวัง
    สงครามสำหรับการพิสูจน์ตนเอง สงครามที่ผู้ถูกกระทำ จะทวงทุกอย่างคืน!!!!

                                                                                                                                                                                 


             พันปีก่อน ช่วงเวลาแห่งการเจริญรุ่งเรือง ของทุกๆอาณาจักร ประชาชนต่างไปมาหาสู่กัน เป็นดั่งบ้านพี่เมืองน้อง ความรักต่างเผ่าพันธุ์ จึงเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่แล้วสิ่งสวยงามเหล่านั้นก็ต้องสิ้นสุดลง เพียงเพราะการกำเนิดขึ้นของหญิงผู้สูงศักดิ์ หญิงที่ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับคำสาป ที่จะทำให้ทุกแย่างพินาศลง คำสาปแห่งการเข่นฆ่าและการทำลายล้างของพวกพ้อง จากบ้านเมืองที่ประชาชนต่างมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า กลับกลายเป็นใบหน้าที่มีเพียงความโกรธแค้น เกลียดชัง และคราบน้ำตา เพราะธิดาที่ถือกำเนิดขึ้นของราชาปีศาจ ธิดาที่ทุกคนรัก และเทิดทูนอย่างที่สุด กลายเป็นผู้ที่ทำลายอาณาจักแห่งนี้ให้ล่มจมลง

            นี่คือสิ่งที่ทุกคนต่างรู้ดี ถึงแม้มันจะไม่แน่ชัด แต่นี่ก็คือคำบอกเล่าที่หลงเหลืออยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ปริศนาต่างๆยังไม่ได้รับคำตอบ แต่อีกเพีัยงไม่นานเท่านั้น อีกเพียงไม่นาน...

    "ยังคิดถึงเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ อาจีน่า" หญิงสาวผู้มีนามว่าอาจีน่า หันกลับไปมองยังเจ้าของเสียงที่ไม่รู้ว่าตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ สงสัยคงจะหิวละมั่ง

    "อืม คงงั้งนมั่ง แล้วเจ้าตื่นขึ้นมาทำไม" ปากบางสวยได้รูปถามกลับ
    "ก็เจ้าไม่ยอมปิดไฟนิ ข้าจะนอนได้ยังไง" เจ้าของเสียงที่นอนอยู่บนเตียงนุ่ม ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ

    "อ่อ ขอโทษนะ งั้นไปนอนกันเถอะ พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า" 

    "อือ" 

    แล้วทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ความมืดอีกครั้ง ถึงแม้จะบอกว่านอน แต่กลับไม่มีใครหลับตาลงได้เลย ทั้งผู้เป็นนาย และทาสผู้ซื่อสัตย์ เพราะต่างฝ่ายต่างรู้ดีแก่ใจ ว่าพรุ่งนี้ ไม่สิ อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ต่างหาก ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อย่างไม่มีทางหวนกลับ


    "อาจีน่า... เฮ้!!!  นี้ อาจีน่า!!!" เสียงตะโกนเรียก ครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ของเจ้าพยัคฆ์โลกันต์ ดังขึ้นเรียกสติของหญิงสาว ที่นั่งอยู่บนหลังของมัน ให้หายใจลอยสักที

    "ห๊า อะไร เจ้าว่าไงนะ กิส" เจ้าของใบหน้าสวยแต่ผิวกลับขาวซีด อย่างน่ากลัวว่าเจ้าตัวอาจจะไม่มีเลือดไปเลี้ยงร่างกายมากพอ ก็เป็นได้ ดังขึ้นด้วยความตกใจ ถ้าไม่ใช่ว่าตนมีความสามารถในการทรงตัวขั้นสุดยอดละก็ ป่านนี้คงลงไปนอนวัดพื้นแล้วเป็นแน่

    "นี้ เจ้ามัวนั่งเหม่ออยู่ได้ นี้มันเที่ยงแล้วนะ เมื่อเช้า เจ้าก็รีบจนข้ายังไม่ได้กินอะไรรองท้องเลย แล้วตอนนี้เจ้ายังจะ ใช้งานข้าซะจนจะหมดแรงอยู่แล้วนะ พักหน่อยเถอะ" เสียงบ่นที่ดังเหมือนพยัคฆ์กำลังจะขาดใจดังขึ้น ส่งผลให้ใบหน้างาม มีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก

    "ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเลย อย่างเจ้านะเหรอ เหนื่อย หมดแรง ถ้าอย่างนั้น กริฟฟินคงลงไปว่ายน้ำแล้วละ" ร่างบางพูดประชดอย่างอารมณ์ดี ก็มันจริงนิ จะเป็นไปได้อย่างไร ที่สัตว์ที่กินอาหารทิพย์ จะหิวจนหมดแรง

    "โถ่ เจ้าช่วยแกล้งเชื่อข้าหน่อยจะได้มั้ยเล่า แต่เอาเถอะ ยังไงซะ เดี๋ยวเราก็ต้องลงแล้วละ ขืนยังบินต่อไป มีหวังชาวบ้านคงแตกตื่นกันหมด"

    "ชาวบ้าน?" เสียงใส่แต่หนักแน่น ถามด้วยความสงสัย นี้เราบินกันอยู่บนฟ้านะ แล้วข้างล่างก็มีแต่ป่า กับป่า แล้วก็ป่า จะมีชาวบ้านมาเห็นได้อย่างไรกัน

    "ก็ใช่นะสิ ชาวบ้านที่เป็นมนุษย์สุดแสนจะน่าเกลียดไงละ ข้าไม่เข้าใจเลย เจ้าจะมาทางนี้ทำไม ในเมื่อ เรายังมีทางอื่นที่ไปได้เร็วกว่า แล้วก็ไม่ต้องมาระวัง พวกมนุษย์เห็นแก่ตัวนี้จะพากันตกใจ เป็นบ้าไปซะหมด" นอกจากตอบคำถามของเธอแล้วก็ยังมิวาย บ่นกระปอด กระแปดอีก 

    "บ่นซะอย่างกับว่าเจ้าอายุซักพันปีงั้นแหละ และที่ข้าให้เจ้ามาทางนี้ก็เพราะว่า เราจำเป็นต้องมาพบกับบุคคลสำคัญคนนึงนะสิ" เป็นไงละ โดนตอกกลับไปว่าแก่ ถึงกับหงุดหงิดเลยทีเดียว ที่จริงอายุก็เพิ่งจะสองร้อยกว่าปี ไม่น่าจะมาขี้บ่นเลย

    "เชอะ อย่างมาว่าข้าแก่นะ ถึงข้าจะอายุมากกว่าเจ้า แต่ในหมู่พยัคฆ์น่ะ อายุเท่าข้าน่ะ เขาเรียกวัยรุ่นนะ ยัยบ้า และข้าก็เป็นผู้ที่หล่อที่สุดในบรรดาพยัคฆ์ด้วยกันแล้ว เจ้าน่าจะรู้นะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า" นอกจากขี้บ่นแล้ว ยังจะหลงตัวเอง ขั้นร้ายแรงด้วย เห้อ

    "เอ๊ะ เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เจ้าบอกว่าจะมาพบคนสำคัญเหรอ ใครกัน ข้าไม่เห็นจะรู้เลย พวกมนุษย์มีใครที่สำคัญด้วย" 

    "เดี๋ยวเจ้าก็รู้เองแหละ เดี๋ยวลงชายป่าข้างหน้าเลยละกัน อย่างที่เจ้าบอก ถ้ามีคนเห็น มันจะยิ่งยุ่งกันใหญ่" เธอไม่ได้คิดจะปิดบังอะไรกิสนะ แต่แค่ขี้เกียจพูดเท่านั้นแหละ เจ้านี้มันชักซัก มีหวังถ้าเผลอหลุดปากไป เธอคงโดนฟอกขาวแน่

    "อือ ก็ดีเหมือนกัน ข้าเริ่มขี้เกียจละ " เอ่อม... ชัดเจนมากเพื่อนยาก
    เมือเท้าพวกเราสัมผัสพื้นอีกครั้ง เจ้ากิสพยัคย์โลกันต์ ก็ต้องกลายร่างมาเป็นแมวน้อย น่าตาน่ารักน่าชังอีกครั้ง ซึ่งดูเจ้าตัวจะชอบมาก เพราะ มันจะได้หาเรื่องอู้ ไม่ต้องเดินไงละ ก็เล่นกระโดดมาให้เธออุ้มอย่างนี้ เก่งจริงๆ เรื่องขี้เกียจน่ะ

    "กิส เจ้าว่าเราจะทำสำเร็จมั้ย เราจะทำมันได้จริงๆรึเปล่า" พอเดินมาได้สักพัก เธอก็อดที่จะกังลวไม่ได้ ว่าสิ่งที่เธอกำลังจะทำ มันจะเป็นไปได้จริงๆมั้ย หรือมันจะเป็นได้แค่เพียง ความหวังลมๆแล้งๆเท่านั้น

    "เรื่องไหนละ เรื่องบรรพบุรุษ หรือเรื่องที่ทำให้เจ้าเหม่อ ตั้งแต่เมื่อคืน และยังจะเมื่อเช้าด้วย" มันถามกลับด้วยเสียงเนือยๆ เหมือนกับว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องไร้สาระงั้นแหละ แต่คนโดนถามกลับแถบหาเสียงตัวเองไม่เจอ

    "เจ้าว่าไงนะ มันก็เรื่องเดียวกันนั้นแหละ อย่ามาพูดจาสองแง่สามง่ามนะ" บ้าจริง เจ้าแมวบ้านี่ จะรู้มากไปหน่อยแล้วนะ

    "อ่อ เหรอ ข้าก็นึกว่าเรื่องจดหมายที่เจ้าได้รับมาเมื่อคืนซะอีก อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ ว่าเจ้าคิดจะทำอะไรนะ" ไม่ถามเปล่ายังจะจ้องหน้าเธอซะอย่างกับเธอไปแย่งที่นอนแสนรักมันงั้นแหละ

    "จดหมายอะไร อย่ามามั่วนะ" ถึงอย่างไรซะ เจ้าแมวนี้ก็คงรู้อะไรไม่มากหรอก มั่ง

    "จดหมายเชิญไง จดหมายเชิญจาก ท่านซารีฟ ราชเลขา ของราชามนุษย์ไง"

    "เฮ้ย เจ้ารู้ได้ไง ข้าไม่ได้เล่าให้เจ้าฟังนะ แล้วตอนจดหมายมาถึง เจ้าก็หลับ เอ๊ะ หรือเจ้าหลอกข้าฮะ" จากหน้าที่ซีดๆ ตอนนี้ แทบจะแดง เอ่อม ไม่หรอกมันก็ยังซีดอยู่ แต่แค่น้ำเสียงปลายประโยคมันเหี้ยมขึ้นแค่นั้นเอง

    "เปล่านะ ใครจะกล้าหลอกเจ้าละ ท่านหญิง ข้าแค่บังเอิญเห็นตอนเจ้าอ่านมันเมื่อคืนน่ะ จริงๆนะท่านหญิงของข้า" เหอะ ทีอย่างนี้ละทำมาพูดจาดี เดี๋ยวเถอะ

    "เจ้านี้มัน เจ้าเล่ห์จริงๆ ช่างเถอะ ข้าไม่สนใจเจ้าละ หุบปากไปเลยน่ะ จนกว่าข้าจะให้เจ้าพูด" ชิ รอบนี้เธอโกรธจริงๆนะ ชอบรู้ทันเธอไปซะทุกอย่าง

    "จ้าๆ ท่านหญิงที่รักของข้า ข้าจะเชื่อฟังเจ้านะ" ยัง ยังไม่หยุดพูดจ้าน่าขนลุกอีก

    "แล้วก็เลิกพูดจาอะไรแปลกๆ แบบนี้ด้วย ข้าไม่ชอบ" มันเป็นคำพูดที่ฟังแล้วน่าขนลุก โดยเฉพาะ เมื่อคนที่พูด คือเจ้ากิส

    "ข้าพูดจาดีๆ เจ้าก็ไม่ชอบ เจ้านี้มันไม่สมกับเป็น..."

    "หุบปากไปเลยนะ นี้จะถึงเข้าไปในเมืองอยู่แล้ว เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้า จะหาว่าเราบ้านะ" เธอต้องรีบขัดก่อนที่เจ้าแมวนี้ จะหลุดปากเรื่องสำคัญออกไปซะก่อน

    "อือ ข้าลืมไป" มันพูดเสียงสำนึกผิดนิดๆ นิดจริงๆ

    "แล้วเรื่องที่เจ้าจะไปพบท่านซารีฟละ ว่าไง" เห้อ บอกแล้วว่าอย่าให้รู้ โดนฟอกข้าแน่เธอ

    "ก็ไหนว่าเห็นจดหมายแล้วไง จะถามทำไมอีก"

    "ก็ข้าแค่เห็น ไม่ได้อ่านนะ ว่าไง พูดมาๆๆ" ดูซิ ดูมันพูดเข้า

    "เจ้าไม่ใช่พ่อข้านะ อย่ามาซักซะให้ยาก" เชอะเรื่ออะไรจะยอมละ

    "ใช่ ข้าไม่ใช่ท่านจ้าว แต่ข้าได้รับคำสั่งจากท่านจ้าวให้ดูแลเจ้านะ"

    "..."

    "เฮ้อ นี่เจ้าจะไม่ยอมเล่าจริงๆสินะ ก็ได้ งั้นข้าจะไม่คุยกับเจ้า อีกสิบ..."

    "หือ สิบอะไร"

    "ชิ อีก สิบวิ"

    "คิคิคิ สิบวิ ช่างจ้ออย่างเจ้า ยอมไม่คุยกับข้าตั้งสิบวิแหนะ ข้าต้องปิดเมืองฉลองมั้ยเนี่ย" พูดไปก็ยิ้มไป ใช่ว่าเธอกับ กิสจะโกรธ หรือจะทะเลาะกันจริงๆหรอกนะ แต่เพราะกิส อยู่กับฉันมาตั้งแต่ฉันเกิด ระหว่างพวกเราจึงมีอะไรมากกว่า คำว่า เจ้านาย กับสัตว์เลี้ยง เพราะสำหรับฌะอ กิสเปรียบเสมือน เพื่อน ที่โตด้วยกันมา เล่นด้วยกันมา มากกว่า

    "เอาน่า ถึงข้าไม่บอกเจ้า แต่เก่งๆอย่างเจ้าเดี๋ยวก็รู้เองแหละ" ถึงจะยังไงซะ ก็ต้องง้อซะหน่อย ก็อุตส่าห์งอนนี่นะ

    "ก็ได้ เจ้านี้มัน ปากแข็งจริงๆเลย" ถึงเจ้าอยากจะซัก จะฟอกข้าอย่างไร ข้าก็ไม่หลุดหรอกนะ

    "แล้วนี้เจ้า จะไปพบท่านซารีฟเลยเหรอ" ก็ยังไม่หยุดซักนะ แต่อันนี้ไม่ใช่ความลับสักหน่อย

    "ยังหรอก เราต้องไปตลาดกลางเมืองก่อนสิ อย่างไรซะ ชุดนี้ถึงจะดูเป็นนักเดินทาง แต่เราจะเข้าพบคนใหญ่คนโตทั้งที ก็ต้องอย่าให้เขาหาว่าเราไม่รู้กาลเทศะจริงมั้ย" หึหึหึ ใช่คนอย่างเธอ ถึงจะไม่เคยสนใจเรื่องหน้าตา หรือมารยาททางสัคมเท่าไรนัก แต่การที่จะต้องไปพบเขาคนนั้น เธอคงจะทำเป็นเล่นไม่ได้หรอก

    "เอ๋? ยังไงกัน ข้าชักใจไม่ดีแล้วสิ เวลาเจ้ายิ้มแบบนี้ มีแต่เรื่องยุ่งทุกที"

    "เถอะหน่า หน้าที่ของเจ้าคือทำตัวเป็นแมวน้อยน่ารักๆ ก็พอ เข้าใจมั้ย" สายตาแบบนี้ งานเข้าอีกแน่เลยสิน่ะ เจ้ากิสเอ้ยย

    "เธอจะทำอะไรน่ะ" 

    "เดี๋ยวนายก็รู้เองแหละ" ยิ้ม ยิ้มแบบนี้ ซวยแน่แล้วเจ้ากิส

    "เอาหล่ะ ถึงแล้ว"

    "หือ ร้านเสื้้อผ้า? ฮ่า ฮ่า ฮ่า"พอเห็นที่หมายของเจ้านายตน กิสก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะโดยไม่มีปิดบัง ก็ตั้งแต่ออกมาจาก 'ที่นั้น' มันก็ไม่เคยเห็นคนเป็นนายจะแต่งตัว ให้สมกับเป็นหญิงเลยสักครั้ง แสดงว่าการมาครั้งนี้ คงจะสนุก เอ้ย สำคัญน่าดู

    "ไม่ต้องมาหัวเราะเลย ฉันจริงจังนะเจ้าบ้า" ด้วยเพราะมัวแต่ดุกับเจ้าตัวในอ้อมแขนเลยไม่ทันได้ระวังทาง...

    ตุ้บ!! เหมี๊ยว!!!

    สองเสียงที่ดังขึ้นไล่เลี่ยกัน เสียงหนึ่งจากการชนกันของคนสองคนที่คนนึงมัวแต่ทะเลาะ อีกคนก็ยืนหันหลังอยู่เลยไม่ทันเห็น แต่เสียงสุดท้ายนี้ ไม่แน่ใจว่าเพราะตกใจที่โดนชน หรือเพราะเห็นสิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่ข้างหน้ากันแน่ เลยร้องเสียงหลงซะขนาดนั้น

    "เดินไม่ดู" และนี้ก็คือส่ิ่งที่คนยืนขวางทางชาวบ้าน? อย่างเธอ พูดเมื่อเห็นว่าตนถูกใครชน พร้อมกับมองมาด้วยความขัดใจเสีียอย่างกับว่าเธอไปทำอะไรเขามากมายงั้นแหละ

    "เอ๊ะนาย นี่มันทางเดินนะ นายมายยืนขวางทางคนอื่นเขาอย่างนี้ ยังจะมาโทษกันอีก" ไม่พูดเปล่า เธอยังจ้องหน้าเขากลับด้วย ก็เธอผิดคนเดียวที่ไหน อย่างน้อย เขาก็ยืนขวางทางเธอนะ ชิ เป็นผู้ชายซะเปล่า ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ

    "ได้แล้ว เป็นกันเถอะเวส เอ๊ะนายคุยกับใครน่ะ" ชายหนุ่มอีกคน เข้ามาทักเขาพร้อมกับของในมือ ที่ถุงมีชื่อร้านเสื้อผ้า ที่เธอกำลังจะไปเป็นลูกค้าอยู่สองสามใบ แล้วก็มองหน้าเขากับหน้าเธอสลับกันด้วยความสงสัย

    "..." เงียบแล้วก็เดินหนีไป ชิ ไร้มารยาท ส่วนบุรุษปริศนาก็พยักหน้าให้เธอ แล้วก็เดินตามไป

    "เสียเวลาจริงๆ กิสนายเป็นอะไรน่ะ" มัวแต่อารมณ์เสียกับเหตุการณ์เมื่อครู่ เลยลืมเจ้าตัวแสบไปเลย

    "เมื่อกี๊...เมื่อกี๊..." ถ้าหน้าเจ้าตัวแสบซีดได้ก็คงซีดแล้วละ พูดเสียงสั่นซะ

    "เมื่อกี๊ทำไม" เธอก็เริ่มสนใจแล้วนะ เพราะเมื่อกี๊ เหมือนจะเห็นว่า คนไร้มารยาทนั้นไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว แต่เหมือนยืนคุยอยู่กับอะไรสักอย่าง ซึ่งมันต้องเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาเลยหล่ะ จากสัญชาตญาณของเธอนะ

    "เมื่อกี๊มัน กริฟฟินเงิน...เจ้ารู้สึกมั้ย"ไม่ถามเปล่า ยังมองหน้าเธอเหมือนของคำยืนยัน

    "เจ้าแน่ใจน่ะ ว่าใช่น่ะ" เธอว่า เหมือนเราจะเจอคนใหญ่คนโตของเมืองซะแล้ว

    "ไม่น่าจะผิด ไอเวทย์แบบนี้ เจ้าอาจจะแยกไม่ออก แต่สำหรับข้า มันไม่เหมือนกันน่ะ" ก็จริงน่ะ สัตว์เวทย์ย่อมสัมผัสพลังเวทย์ของกันและกันได้ 

    "กิส แล้วเจ้าลบไอเวทย์รึเปล่า" เธอเริ่มกังวลแล้วสิ

    "ลบสิ" 

    "งั้นก็ดีไป เรารีบเข้าไปข้างในกันเถอะ ก่อนที่มันจะเย็นไปมากกว่านี้" 
    เมื่อเดินเข้าไปในร้าน ถึงได้รู้ว่าร้านนี้มีทุกอย่างที่ท่านหญิงทั้งหลายต้องการจริงๆ ในร้านมีทุกอย่าง ไม่ว่าจะผ้าชั้นดี จากทางเหนือที่ดูก็รู้ว่า มันฝีมือเอลฟ์ทั้งนั้น ไหนจะเครื่องประดับ เพชร พลอย หรือแม้กระทั่งมุก จากทางใต้ โดยพวกคนแคระ ที่ทำเหมืองแร่ถงึจะไม่โดดเด่น เช่นการทำอาวุธ แต่ว่ากันว่า อัญมณีของคนแคระนั้น งามที่สุด

    "สวัสดีค่ะท่านหญิง มีอะไรให้ดิฉันช่วยไหมค่ะ"พนักงานขายเรียกให้'ท่านหญิง'กลับมาสนใจที่ตน

    "เรามารับของที่สั่งไว้...นี้"พูดพลางยืนกระดาษที่ระบุรหัสสินค้าไว้ให้กับพนักงาน

    "อ่อ รอสักครู่นะค่ะ เชิญท่านหญิง ชมสินค้าของเราตามสบายน่ะค่ะ"แล้วพนักงานคนนั้นก็เดินหายไป น่าจะเป็นหลังร้านนะ

    "องค์หญิงอาจีน่า ถวายบังคมเพค่ะ"
    กึก!! ใครกัน ที่พูดประโยคนี้

    "ท่านเป็นใคร!!" เสียงที่เปล่งออกมา เบาแทบจะไม่ได้ยิน ก็เธอจงใจ ให้มีเพียงหญิงตรงหน้าเท่านั้นที่ได้ยิน แล้วไหนจะจิตสังหารที่ตั้งใจส่งไปให้อีก

    หญิงสาวตรงหน้าเพียงแค่ก้มหน้าลงเท่านั้น

    "ขอประทานอภัย เพค่ะ หม่อมฉันมิบังอาจจะทำให้พระองค์ทรงกริ้ว แต่ก็ก่อนที่เราจะพูดคุยอะไรกันมากไปกว่านี้ เชิญพระองค์เสด็จทางนี้เถอะเพค่ะ" นางไม่พูดเปล่า ยังเดินนำไปยังห้องๆหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง

    "ท่านเป็นใคร ตอบเรามา" แต่ไม่มีทางที่เธอจะตามไป ในเมื่อนางรู้ว่าเธอเป็นใคร ถ้าหากนางไม่เป็นมิตร นางก็ย่อมเป็นศัตรู!

    "พระองค์มิต้องห่วงไปหรอกเพค่ะ หม่อมฉันไม่มีทางเป็นศัตรูของราชวงศ์ได้หรอกเพค่ะ หม่อมฉันยังมิอยากเป็นกบฏหรอก" นางยังคงมิสบตาเธอ
    แต่กลับทำความเคารพ ในแบบที่มนุษย์เขาไม่ทำ เพราะมันคือการทำความเคารพอย่างสูงสุดที่สายเลือดปีศาจ จะกระทำต่อราชวงศ์ของตน!

    "ท่าน..." เพียงแค่นี้ ก็พิสูจน์อะไรได้หลายอย่างแล้ว นางย่อมหาใช่ศัตรูไม่

    "เชิญเสด็จเถอะเพค่ะ องค์หญิง"

    "ท่านเป็นใครกันแน่" เมื่อเข้ามาในห้องนี้ เธอก็ยังยืนยันคำถามเดิมของเธอ แต่ไม่ได้แสดงท่าทีเป็นศัตรูอย่างตอนแรก

    "หม่อมฉัน ฟาเรีย เชสก้า เจ้าของร้านแห่งนี้เพค่ะ" แล้วนางก็แตะมือที่หน้าอก พร้อมย่อกายลงโดยที่สายตายังคงสบตากับผู้ที่ถูกเรียกว่าองค์หญิงอยู่ ใช่แล้ว นี่คือ การทำความเคารพกันของปีศาจไงล่ะ

    "แล้วทำไม เราถึงไม่รู้ว่าท่านมีสายเลือดอย่างเรา" อันที่จริง เธอน่าจะสัมผัสได้สิ ถ้าหากเป็นปีศาจด้วยกัน โดยเฉพาะนางที่เป็นถึงองค์หญิงแห่งแดนปีศาจ ทำไมถึงสัมผัสไม่ได้กันน่ะ

    "หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยองค์หญิงน่ะเพค่ะ เป็นเพราะหม่อนฉันอยู่ที่นี้นานเกินไป ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ กลิ่มอายของปีศาจก็เลยอาจจะเหลืออยู่น้อยแล้วน่ะเพค่ะ จึงไม่แปลกที่พระองค์จะสัมผัสไม่ได้"อ่อ จริงสิ ยิ่งเราห่างดินแดนของตนเองนานเท่าไหร่ กลิ่นอายของเราก็จะเลือนหายไปมากเท่านั้น 

    "หม่อมฉัน ได้รับจดหมายจากท่านราชเลขาแล้วล่ะเพค่ะ แต่เรื่องรายละเอียด เดี๋ยวไปถึงที่นู้น ท่านราชเลขา จะแจ้งองค์หญิงด้วยตัวเองเพค่ะ"

    "จดหมาย?" จดหมายอะไรอีกล่ะ ท่านซารีฟ ท่านต้องการอะไรกันแน่

    "เพค่ะ หน้าที่ของหม่อนฉันไงละเพค่ะ"

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

    "ท่านฟาเรียค่ะ เรียบร้อยแล้วค่ะ" หญิงสาวคนที่เดินไปเอาชุดให้เธอ เปิดประตูเข้ามาบอก แล้วหันมาย่อกายทำความเคารพฉัน ในแบบของมนุษย์

    "เชิญองค์หญิงเสด็จเพค่ะ เดี๋ยวเราจะไปไม่ทันนัดน่ะเพค่ะ ส่วนเจ้าแมวของพระองค์..." ฟาเรีย มองมายังแมวน้อยที่นอนตาแป๋วมองพวกเธออยู่นานแล้ว ด้วยเพราะตัวเองถูกทำเหมือนไม่มีตัวตนอยู่นานเลยทีเดียว

    "อ่อ เจ้านี่ชื่อ กิส ปล่อยให้เดินเล่นอยู่ในร้าน คงไม่เป็นไรใช่มั้ยท่านฟาเรีย" พอได้เจอคนเลือดสีเดียวกันมันก็อดดีใจไม่ได้นี้น่า แล้วท่านฟาเรียคนนี้ ถึงปากจะบอกว่า ออกมาอยู่ที่นี้นานแล้ว แต่สีตาของนาง มันข้นมาก ปีศาจนอกจากกลิ่นอายของสายเลือดแล้ว สีตา ยิ่งสีแดงเข้มมากเท่าไหร่ ก็แสดงถึงความใกล้ชิดกับราชวงค์มากเท่านั้น ส่วนสีตาของเธอน่ะ ดูเหมือนมันจะเป็นสีดำ แต่ไม่ใช่เพราะมันคือสีแดงที่เข้มซะจนดูเหมือนว่าเป็นสีดำต่างหากละ ที่เธอเพิ่งสักเกตุเห็น ทั้งๆที่นาง จ้องตาเธอตลอดก็เพราะ นางพลางสีตาไว้นะสิ เพราะหากไม่พลางไว้ นางคงอยู่ที่นี้ลำบาก

    "ได้สิ เพค่ะ" นางยิ้มให้เจ้ากิสอย่างเมตตา เห็นมั้ยละปีศาจก็ใจดีน่ะ

    "อย่าซนละเจ้าตัวแสบ แล้วสำรวจให้ทั่วน่ะ" เธอกระซิบให้กิสได้ยินแค่ตัวเดียว ถึงแม้จะเป็นสายเลือดเดียวกัน แต่นี้ไม่ใช่บ้านเมืองเรา อย่างไรก็ต้องรู้จักทางหนีทีไล่ไว้บ้าง



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×