ความรักที่คุณไม่มองมัน โดย หมอกขาว - ความรักที่คุณไม่มองมัน โดย หมอกขาว นิยาย ความรักที่คุณไม่มองมัน โดย หมอกขาว : Dek-D.com - Writer

    ความรักที่คุณไม่มองมัน โดย หมอกขาว

    ความรักที่คุณไม่มองมัน

    ผู้เข้าชมรวม

    211

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    211

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  24 เม.ย. 50 / 19:58 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ฉันได้รับข่าวร้ายที่สุด ในวันเกิดครบรอบ 18 ปี หลังจากเข้ารับการตรวจเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ฉันกำลังจะตายด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว มันทรมานร่างกายฉันมากว่าหนึ่งปี ก่อนจะตัดสินใจไปหาหมอ ผลการตรวจไม่ดีนัก หมอวินิจฉัยว่าฉันจะอยู่ได้ไปเกินสามเดือน แค่รู้ฉันก็แทบจะตายเดี๋ยวนั้นแล้ว อาการฉันทรุดลงเร็วมาก และมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อต้องเจาะไขสันหลังตรวจแทบทุกวัน ฉันหมดกำลังใจภาวนาให้ฉันตายๆไปให้พ้นทุกข์แทบทุกวันที่ฉันต้องอยู่ที่โรงพยาบาล คนในครอบครัวจะมาเยี่ยมช่วงเย็นๆเท่านั้น เพราะต่างคนต่างต้องทำงาน โดยเฉพาะแม่ ที่มาเยี่ยมฉันน้อยที่สุด แม่ไม่เคยร้องไห้อ่อนแอให้ฉันเห็นสักครั้ง ซึ่งฉันมารู้ที่หลังว่า แม่มาทุกวันแต่แอบร้องไห้อยู่นอกห้อง ก่อนจะกลับไปโดยไม่เข้ามาหาฉัน ถ้าวันไหนทำใจไม่ได้ สำหรับฉัน ช่วงเช้าเป็นเวลาที่ฉันเกลียดที่สุด

           ฉันเหงา ฉันร้องไห้ทุกวัน เพียงแค่คิดว่ากำลังจะตาย ฉันเพิ่งอายุ 18 ปี ยังมีอะไรอีกตั้งมากที่ฉันยังไม่ได้ทำ แต่คงไม่มีโอกาสแล้ว เพราะเวลาที่เริ่มอาการเจ็บปวดเมื่อไร ฉันอยากให้หมอฉีดยาให้ฉันตายไปตอนนั้นเสียเลย


           ทุกวันช่วงบ่ายฉันจะขนหนังสือมานั่งอ่านที่สวนหย่อมบนตึก เพื่อฆ่าเวลา บางครั้งก็นั่งมองคนอื่นๆ ที่เขากำลังจะได้กลับบ้าน ฉันนึกอยากถอดชุดคนป่วย แล้ววิ่งออกจากโรงพยาบาล หนีไปให้ไกลจากความจริงที่เป็นตอนนี้ให้มากที่สุด แต่ก็ได้แค่คิด ตั้งแต่เริ่มฉายแสง ผมของฉันเริ่มร่วงฉันอายและฟุ้งซ่านอยู่คนเดียว ฉันอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกวันเพราะฉันทำได้แค่ภาวนา ฉันขอให้เพื่อนสักคนมาเยี่ยม ทั้งๆที่รู้ว่าคงไม่มีใครมา เพราะอยู่ในช่วงเอนทรานซ์ คงไม่มีใครสนใจฉัน แต่ฉันก็ยังร้องไห้ให้กับความเหงาทุกวัน

           แล้ววันหนึ่ง คำอ้อนวอนฉันก็เป็นจริง เมื่อฉันได้รู้จักกับ พี เขานั่งบนม้านั่งเดียวกับฉันตอนฉันกำลังร้องไห้ เขายื่นผ้าเช็ดหน้าให้เงียบๆพร้อมคำถามสั้นๆ


           “เหงาเหรอ? อยากให้อยู่เป็นเพื่อนไหม?” คำพูดประโยคเดียวเท่านั้นที่เขาพูดกับฉัน เหมือนมีอะไรดลใจให้ฉันพยักหน้ารับคนแปลกหน้าคนนี้



            “อยากตาย” ฉันร้องไห้ไปสะอื้นไป เล่าเรื่องของฉันให้เขาฟัง เขาสอนให้ฉันรักที่จะมีชีวิต ท้ายสุดเขากุมมือฉันพาไปส่งที่ห้อง บอกฉันแค่ว่า


         “อันต้องอดทน เพราะอันจะต้องอยู่ได้อีกนาน เชื่อเรานะว่าจะต้องดีขึ้น” ฉันยิ้มรับ แต่ไม่เชื่อหรอกว่าอะไรๆมันจะดีขึ้น นับจากวันนั้น ฉันก็ได้พีเป็นเพื่อนใหม่ที่คอยมาเยี่ยมทุกวัน พร้อมกับอาการที่ดีขึ้นของฉันอย่างน่าประหลาด ทางบ้านฉันไม่ขัดข้องอะไรที่ฉันจะสนิทกับพี


           พีเป็นคนช่างคุย มีเรื่องมาเล่าให้ฉันฟังทุกวัน ฉันถามอะไรเขาก็ตอบได้เสมอ เขาว่าเขาอ่านหนังสือเยอะ และดูรายการทีวีแทบทุกช่อง แม้แต่อาการฉันเขาก็รู้ละเอียดทีเดียว จนฉันรู้สึกเหมือนอาการเจ็บปวดน้อยลงเวลาที่พีอยู่ด้วย เขาเป็นคนเดียวที่เข้าใจความทุกข์ และความเจ็บปวดของฉัน เขาจะคอยเอาใจฉันไม่ว่าฉันจะต้องการอะไรก็ตาม พีจะต้องหามาให้ได้ เพื่อแลกกับการให้ฉันเลิกคิดว่าตัวเองจะอยู่ได้อีกไม่นาน

           ฉันเคยถามพีว่า เขาไม่ต้องไปเรียน หรือทำงานเหรอ เขาว่าเขาต้องมาเยี่ยมฉันทุกวันจนไม่มีเวลา ซึ่งรู้ตอนหลังว่าเขารอที่จะเอนท์ทรานส์อีกครั้งหลังจากที่สอบครั้งที่แล้วไม่ติด เขาเลยยังว่างอยู่ แต่ไม่ว่าฉันจะถามอะไรอย่างอื่นเกี่ยวกับตัวเขา เขาก็จะเลี่ยงจนฉันไม่นึกอยากรู้เรื่องของเขาแล้ว

           แม้ฉันจะดีขึ้น มีพีมาอยู่เป็นเพื่อนทั้งวัน แต่ความเหงาแบบเดิมๆก็กลับมาเยือนฉันอีกครั้ง เมื่อฉันต้องทนอยู่ที่โรงพยาบาลร่วมสองเดือน อาการของฉันกลับมาทรงตัว ฉันขอพ่อกับแม่กลับไปอยู่ที่บ้าน แต่พวกท่านไม่ยอม ฉันเก็บมาบ่นกับพีว่า พวกเขาต้องการให้ฉันตายเร็วขึ้น เพราะการต้องอยู่ที่โรงพยาบาลทำให้ฉันรู้สึกแย่ และไม่มีวันดีขึ้นได้ ฉันยังมีอะไรอยากออกไปทำอีกตั้งหลาย ก่อนจะตาย

           น่าแปลกใจที่รุ่งขึ้นหมอก็อนุญาติให้ฉันออกไปพักฟื้นที่บ้านได้ แต่ต้องมาโรงพยาบาลวันเว้นวัน เพื่อตรวจอาการ ฉันมั่นใจว่าพีเป็นคนจัดการเรื่องนี้ เพราะเขารับปากกับแม่ฉันว่าจะเป็นคนพาฉันมาที่โรงพยาบาลแทนทุกคนที่ต้องทำงาน แม้ว่าฉันจะได้จอพีแค่วันเว้นวัน แต่ฉันกลับรู้สึกดี ที่จะได้คอยให้ถึงวันที่ต้องไปโรงพยาบาลกับพี เวลานี้ฉันใส่วิกผมเวลาออกจากบ้าน



           เราสองคนจะไปที่โรงพยาบาลแต่เช้า เพื่อที่ตอนสายจะได้มีเวลาไปดูหนังหรือเดินเที่ยวก่อนกลับบ้าน พีบอกให้ฉันเขียนหรือเล่าให้เขาฟังเวลาที่เจอกันว่าพรุ่งนี้อยากทำหรือทำอะไรไปบ้าง พี่สัญญาว่าจะทำด้วยเพื่อฉันและเขาจะได้รู้ว่าเหลืออะไรที่อยากจะทำอีกไหม ฉันว่าเป็นวิธีที่ดี เพราะฉันจะได้มีกำลังใจสู้ต่อไปเรื่อยๆที่ละวันที่จะอยู่ทำรื่องนั้นๆ ให้สำเร็จ

           เราสองคนสนิทกันมากจนพี่สาวฉันแซวว่าเราเป็นแฟนกัน ฉันก็เคยแอบคิดแต่ไม่เคยถามเขาเลย คงเพราะมันเป็นรักครั้งแรกของฉัน ฉันไม่อยากจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน จนแล้วจนรอดฉันก็ไม่เคยรู้ จนได้โอกาสถามวันหนึ่ง แต่เขาว่า



           “มันขึ้นอยู่กับอันด้วย ว่าอันอยากให้พีอยู่ในฐานะอะไร ความรู้สึกอย่างนี้มันต้องคิดตรงกันสองคน ให้คิดแค่ฝ่ายเดียวไม่ได้หรอก แต่ยังไงพีก็ยังคงเป็นเพื่อนของอันนะ”

          

           ฉันไม่เข้าใจว่ามันลำบากมากเหรอที่จะตอบให้ตรงคำถาม แต่ฉันก็ไม่ถามอีก เราเปลี่ยนเรื่อง พีอยากให้ฉันรีบกลับบ้านวันนี้ แต่ฉันขอให้พีไปเดินซื้อเสื้อผ้ากับฉันที่ห้าง ซึ่งฉันโดนบ่นเรื่องนี้ตลอด เพราะฉันซื้อเสื้อผ้าใหม่ทุกอาทิตย์ แต่ฉันมีเหตุผลส่วนตัว ฉันก็แค่อยากจะสวยก่อนตายเท่านั้นเอง พีไม่พูดอะไรอีก เขาเดินหน้ามุ่ยถอนใจยาวๆทั้งวันเพราะไม่พอใจ แต่ฉันคิดเขาหายใจไม่ออกมากกว่า ฉันอยากรู้ว่าพีจะโมโหเป็นบ้างไหม ฉันเลยแกล้งขอให้เขาดูหนังกับฉันอีกเรื่องก่อนกลับ เขาไม่แสดงอาการอะไรมากกว่านั้นเลย

         


           แต่พีหายหน้าไปสามวัน พอเขามาหา ฉันก็ต่อว่าเขาขนานใหญ่ หาว่าเขาเบื่อฉัน และแกล้งปล่อยให้ฉันรอจนไม่ได้ไปหาหมอ เพราะอยากให้ฉันกลับไปอยู่โรงพยาบาลอีกครั้ง เขาจะได้ไม่ต้องลำบาก ฉันพูดออกไปแล้วก็เสียใจ และกลัวว่าพีจะโกรธ แต่ตรงกันข้าม พีกลับเป็นฝ่ายเสียใจ และเสียใจกับเรื่องนี้มาก เขาขอโทษฉัน แต่ไม่มีคำแก้ตัวหรือเหตุผลอะไรมาอ้างเลย 
       


           หลังจากตรวจร่างกายแล้ว พีพาฉันไปเดินห้างที่ไกลไปอีกห้างแทนห้างเดิม ฉันเพิ่งได้สังเกตว่าวันนี้พีดูโทรมมาก หน้าตาไม่สดใสเหมือนทุกวัน เหมือนเขาจะผอมลงด้วยซ้ำ 
       

           บังเอิญที่ห้างนี้อยู่ใกล้กับบ้านเพื่อนสมัยมัธยมปลายของฉัน แจงเดินคลอเคลียมากับหนุ่มหล่อ ตรงมาทางฉัน เธอจำฉันได้ แจงทักทายและแนะนำแฟนหนุ่มรุ่นพี่ที่คณะให้รู้จัก ฉันยินดีกับเธอที่เอนทรานซ์ติด ก่อนกลับแจงให้เบอร์มือถือกับฉัน ฉันเริ่มรู้สึกเห็นพีดูขัดหูขัดตา เมื่อเทียบเขากับแฟนเพื่อน ฉันเดินทิ้งระยะห่างตามหลังพีไปเงียบๆ บางขณะฉันนึกอยากจูงมือกอดแขนเขาบ้าง แต่ต้องชักมือกลับ เพียงเพราะพีไม่สูง ไม่เท่ห์ เหมือนแฟนของแจง แถมชอบแต่งตัวด้วยเชิ้ตตัวใหญ่ๆ ฉันเคยชี้ให้เขาดูชุดที่หุ่นแต่งหน้าร้าน เขาไม่ชอบ 
       


           “ แต่ฉันชอบ ” ฉันขึ้นเสียงใส่เขา พีเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถามฉันกลับ


           “ถ้าอันชอบใครสักคน อันจะชอบที่เป็นเขา หรือเสื้อผ้าของเขา” ฉันตอบแทบไม่ต้องคิด


          “ก็ทั้งสองอย่าง”



           “อย่างนั้นอันก็ยังไม่เคยรักชอบใครจริงๆ” ฉันนิ่งไป ก่อนจะถามอีก



          “แล้วพีเคยชอบใครจริงๆหรือไง”


          “เคย”...



           คำตอบของพีทำให้ฉันนอนไม่หลับ อยากรู้ว่าคนที่พีชอบคือใคร ฉันแอบเข้าข้างตัวเองว่าถ้าเป็นฉัน “ไม่หล่ะ” ฉันบอกตัวเองว่าพียังไม่เท่ห์พอจะเป็นแฟนฉัน แล้วถ้าไม่ใช่ฉัน ฉันกลับรู้สึกเศร้าลึกๆ



          พียังคงสม่ำเสมอ มารับฉันตามที่เคยรับปาก เพียงแต่ฉันเองที่ไม่ค่อยมีอะไรคุยกับเขาแล้ว ระยะหลังฉันจะขอให้เขาส่งฉันกลับบ้านเลยหลังจากออกจากโรงพยาบาล




          แจงคงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่ฉันโทรหาวันนี้ ฉันนัดแจงมาเจอที่ห้างใกล้ๆบ้าน ฉันโกหกแม่ว่าออกไปกับพี แจงมาพร้อมผู้ชายคนใหม่ แม้ว่าจะหล่อสู้คนแรกไม่ได้ แต่ก็ดูดีไม่น้อย ฉันแอบเทียบกับพีอีกแล้ว แจงแอบบอกฉันว่า คนนี้เป็นแค่กิ๊ก ก่อนจะถามถึงพี ซึ่งเธอเข้าใจว่าเป็นแฟนฉัน




          “ไม่ใช่” ฉันรีบปฏิเสธ ฉันยังไม่มีแฟน แต่ก็อยากมี ฉันเตือนแจงว่าคบหลายๆคน ระวังแฟนจะจับได้ แจงท่าทางไม่แยแสกับคำเตือนฉัน เธอว่า คนเราเดี๋ยวๆก็ตายแล้ว คบทีละคนกว่าจะเจอคนที่ใช่เสียเวลา แจงยังอาสาที่จะหาแฟนให้ฉันลองคบดูด้วย เธอให้ฉันไปถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ เพื่อจะได้มีรูปไปให้หนุ่มๆดู



          ฉันเริ่มมีชีวิตชีวาอีกครั้ง คอยคิดตลอดเวลาว่าจะมีคนสนใจฉันบ้างหรือเปล่า แจงโทรมาบอกหลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ว่า มีคนสนใจอยากรู้จักฉัน พรุ่งนี้ให้เจอกันที่ห้าง กำชับให้ฉันแต่งตัวน่ารักๆ แต่พรุ่งนี้ฉันต้องไปโรงพยาบาล ฉันรีบโทรไปบอกพีว่า ไม่ต้องมารับฉัน เพราะจะไปกับครอบครัว และบอกทุกคนว่าไปกับพีเหมือนทุกครั้ง เป็นครั้งแรกที่ฉันโกหกกับคนมากอย่างนี้ มันน่าตื่นเต้นมาก




          แจงนั่งอยู่กับผู้ชายที่บอกว่าชอบฉัน (จากรูป) เขาชื่อ วิน สูงผิวเข้มและหน้าคม ที่สำคัญเขาคุยสนุกไม่แพ้พี จนฉันเองเป็นฝ่ายที่เอาแต่เงียบเพราะว่าประหม่า นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมีคนมาจีบ วินชวนฉันไปดูหนังต่อ ส่วนแจงขอแยกกลับไปแล้ว ในโรงหนังวินกุมมือฉันไว้แน่น เขาว่ามือฉันเย็นเจี๊ยบเลย เราแลกเบอร์โทรกันตอนที่เขามาส่งที่บ้าน วินเป็นคนแรกที่ชมว่าฉันน่ารัก และฉันไม่ได้บอกเขาเรื่องอาการป่วยของฉันมากนัก นอกจากระยะนี้ฉันต้องไปตรวจร่างกายบ่อยๆเท่านั้น



          ฉันโทรหาพี บอกเขาว่าตั้งแต่นี้ไม่ต้องมารับฉันไปโรงพยาบาลแล้ว ฉันจะไปกับคนที่บ้านแทน แต่ที่จริงฉันให้วินพาไป




          วินทำได้ไม่นาน ก็เริ่มบ่นเรื่องที่ต้องพาฉันมาโรงพยาบาลบ่อยๆ หลังจากที่มากับฉันแค่สามครั้ง เขาว่าเสียเวลาและน่าเบื่อ เขาไม่ค่อยชอบรออะไรนานๆ และบรรยากาศในโรงพยาบาลทำให้เขารู้สึกแย่ ฉันเริ่มรู้สึกเป็นภาระกับเขา ที่จริงฉันก็ไม่อยากมาโรงพยาบาล เลยตัดสินใจที่จะไม่มาอีก เวลาที่อยู่กับเขาฉันจะไม่กินยา ฉันไม่อยากให้เขารู้ว่าฉันป่วยหนักแค่ไหน ฉันกลัวเขาจะไม่สนใจฉันอีก



           ฉันไม่ไปโรงพยาบาลได้สองอาทิตย์แล้ว แต่วินก็หาเรื่องบ่นฉันอีก ที่ต้องมาส่งฉันที่บ้านก่อนทุ่มทุกวัน เขาหาว่าฉันเป็นลูกแหง่ ไร้เดียงสา ฉันนิ่งไปไม่มีข้อแก้ตัวที่จะเถียง ทำได้แค่น้ำตาซึมเท่านั้น เขาส่งฉันแล้ววนรถออกไป ไม่หันมามองฉันด้วยซ้ำ




          ฉันหันไปเห็นพีที่ก้าวออกมาจากรั้วบ้าน ฉันตกใจมากที่เห็นเขามา เพราะแวบแรกที่ฉันนึก ฉันกลัววินจะเห็นพี ฉันทักเขาสั้นๆ พีว่าเขามาก็เพื่อมารอบอกฉันให้ไปโรงพยาบาลและกินยาด้วยเท่านั้น ฉันโกรธที่รู้สึกเหมือนเขารู้เรื่องฉันไปทุกอย่าง ฉันตวาดใส่เขาเป็นครั้งแรก “เลิกตามฉันเหมือนโรคจิตเสียทีเถอะ” ฉันว่าเขาเพราะรู้สึกว่าเขาจุ้นจ้านยุ่งกับชีวิจฉันมากไป พีนิ่งเงียบใจเย็นเหมือนทุกครั้ง พร่ำบอกแค่ขอโทษ ก่อนกลับพียื่นโทรศัพท์มือถือยัดใส่มือให้ฉัน เขาบอกให้เก็บเอาไว้ใช้เผื่อจำเป็น



          “ดูท่าทางเขาจะดูแลอันได้นะ เราคงไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว” พีกลับไปแล้ว
      ฉันนอนร้องไห้ทั้งคืนเพราะโมโห ฉันโมโหตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าเพราะที่ฉันตวาดเขาหรือกลัวว่าเขาจะไม่กลับมาอีก




           สามเดือนกว่าที่พีไม่ติดต่อฉันเลย สามเดือนกว่าที่ฉันคบวินแต่ไม่มีอะไรคืบหน้าไปกว่าวันที่พีเจอวันนั้น เพราะฉันไม่รู้สึกตื่นเต้นเวลาที่จะได้เจอเขาอีกแล้ว หรือกระวนกระวายใจเวลาที่เขาไม่โทรมา ฉันกลับนึกถึงแต่พี อยากรู้ว่าเขาหายไปไหน และทำอะไร กับใคร ???




          อาการของฉันเริ่มแย่ลง ฉันต้องกลับไปอยู่ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง คราวนี้ฉันอยู่ประมาณหนึ่งเดือน ฉันทิ้งเวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมคนเดียวกับดอกไม้ในแจกันใบเล็กที่ถูกเปลี่ย
      นทุกวัน ฉันไม่รู้ว่าใครเอามาแต่มันช่วยให้ฉันสดชื่นขึ้นได้บ้าง




           วินโทรมาหาหลังจากฉันออกจากโรงพยาบาลได้สองวัน เขาขอโทษที่หายเงียบไปเพราะติดสอบ วินไม่รู้เรื่องที่ฉันเข้าโรงพยาบาลเลย ซึ่งฉันกลับสบายใจที่เขาไม่รู้ อาจเพราะอาการของฉันช่วงนี้ดีที่สุดก็แค่ทรงตัว ฉันรู้ตัวดีว่าคงอยู่ได้ไม่นาน ความคิดอยากตายหวนกลับมาอีกครั้ง เมื่อไม่มีใครติดต่อฉันมาอีกเลยนานกว่าสองเดือน ฉันอาจดูโง่ที่อยากตายแต่ความเหงามันทรมานกว่าความเจ็บปวดหลายเท่า เวลานี้ฉันไม่นึกถึงวินเลย คนที่ฉันอยากเจอคือพี ฉันภาวนาให้เขามาหาฉันบ้าง โทรมาก็ยังดี เพราะเดือนหน้าจะถึงวันเกิดฉันแล้ว ฉันภาวนาขออย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นกับฉันก่อนเลย แต่ตอนนี้ผมฉันเริ่มร่วงแล้ว ร่างกายก็ผอมลงทุกวัน
      กำลังจะครบปีแล้ว นับจากวันที่ฉันรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง และนี่ก็นานมากทีเดียวจากวันที่หมอว่า ฉันจะต้องตายในสามเดือน ฉันเองก็แทบจะไม่เชื่อว่าจะอยู่ได้นานขนาดนี้




           ฉันไม่ได้ติดต่อวินเลย เขาก็เช่นกัน แต่ก่อนวันเกิดฉันแค่หนึ่งสัปดาห์ วินโทรมา เขาโทรชวนฉันไปเที่ยว เขาบอกว่าครั้งนี้จะพิเศษที่สุด แต่ต้องกลับดึกหน่อย และฉันห้ามปฏิเสธ ทางบ้านฉันแม้จะห่วงไม่อยากให้ไป แต่ก็จนปัญญาที่จะห้าม เมื่อฉันบอกว่าจะขอไปเพราะอาจจะเป็นโอกาสสุดท้าย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เที่ยวกลางคืน ฉันแต่งตัวด้วยชุดใหม่ตามสมัยนิยม และสวมหมวก ซึ่งวินไม่ได้เอะใจอะไร คงเพราะนี่เริ่มเข้าหน้าหนาวแล้ว วินขับรถพาฉันไปที่ผับแห่งหนึ่งเพื่อเจอเพื่อน ก่อนที่จะไปจบที่ถนนสายเปลี่ยวสายหนึ่งตอนเที่ยงคืน รถยนต์นับสิบคันจอดเรียงรายกันเป็นทางยาว เพื่อเตรียมที่จะแข่ง มันเหมือนในหนังที่ฉันเคยดู




          แม้ว่าจะตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ๆ แต่ฉันก็ทนนั่งหายใจสูดควันในรถของวินที่คลุ้งกลิ่นบุหรี่ต่อไปไม่ไหว ฉันแอบเลื่อนกระจกลงนิดหน่อย วินจอดรถเทียบที่ว่างๆ กำชับฉันให้คอยในรถอย่าออกไปไหนเด็ดขาด ก่อนจะลงไปหาเพื่อนผู้ชายที่เดินมายืนผิงข้างกระจกฝั่งฉันเพื่อตกลงกันบางอย่าง แน่นอนวินไม่คิดว่าฉันจะได้ยินคำพูดทุกคำอย่างชัดเจน



          “เดือนนี้เงินมันช็อตว่ะ ใช้ผู้หญิงพนันแทนได้ใช่ไหม คราวที่แล้วแกยังทำเลยนี่หว่า คนนี้เกินสิบแปดแล้วด้วย รับรองไม่มีปัญหา แถมประกันได้เลยว่ายังสดๆซิงๆ รับรองว่าไม่เคยผ่านมือใคร”



          “งั้นก็ไม่ผ่านมือเอ็งด้วยดิ เว้ยเสียชื่อไอ้วินหมด” เพื่อนของวินก้มมองเข้ามาในรถเหมือนสำรวจสินค้า



           “แล้วจะตกลงไหมวะ ข้าอุตส่าห์หลอกมันออกมาได้ ไม่ใช่ง่ายนะโว้ย”
      ฉันช็อคกับคำพูดของวินที่ลอดกระจกเข้ามา ดีที่กระจกรถของเขาติดฟิลม์มืดพอจะให้เขามองไม่เห็นน้ำตาของฉันที่ไหลอาบแก้มตอนนี้




           วินเดินไปหาเพื่อนที่รถอีกคันซึ่งจอดเลยถัดไปหน่อย ฉันแอบหนีออกจากรถเดินน้ำตานองหน้า ครุ่นคิดกับคำพูดที่ได้ยิน ไปตามทางเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมาย แต่วินคงหัวเสียไม่น้อยที่กลับมาที่รถไม่เจอฉัน เพราะเขาสบถออกมาตอนเดินผ่านตรงที่ฉันหลบอยู่



           “หายไปไหนว่ะ ช่างไม่อยู่ก็ดี รถจะได้เบาขึ้น เดี๋ยวกูลงเป็นสร้อยคอนี่ก็แล้วกัน” ฉันร้องไห้เพราะว่าโกรธมากกว่าที่จะเสียใจ ฉันโกรธตัวเองที่ดันหลงเชื่อใจคนแบบนี้ สำหรับวินฉันมีค่าเทียบเท่าแค่สร้อยคอของเขาเท่านั้น ฉันไม่ได้เดียงสาขนาดที่จะไม่เข้าใจเรื่องที่ได้ยิน และรู้ว่าฉันเป็นแค่ของเดิมพัน ฉันไม่อยู่รอจนได้ผลสรุปหรอก ไม่ว่าวินจะชนะหรือว่าแพ้ มันไม่มีอะไรเกี่ยวกับฉันอีกแล้ว แต่ฉันเผลอเหยียบถุงขยะที่ชาวบ้านมาทิ้งไว้ วินกับ พวกเพื่อนหันมามองตรงที่ฉันอยู่ตอนจะกรูกันเข้ามา เหมือนเจอสิ่งที่พวกมันต้องการ



           “เฮ้ยอยู่นั่นไง”



          “ช่วยด้วย” ฉันร้องแต่เสียงอยู่แค่ในคอ ตัวฉันสั่นด้วยความกลัว ใจสั่งให้วิ่งแต่เท้าฉันกลับไม่ทำตาม




          มือคนพวกนั้นฉุดกระฉาก ขณะที่ฉันปัดป้องพัลวัน ความชุลมุนวุ่นวายเกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่ถึงสิบนาที แต่หลังจากที่ฉันลื่นล้มลง สายตาของวินกับพวกที่เคยมองฉันอย่างหื่นกระหาย กลับกลายเป็นความตกตะลึงและเปลี่ยนเป็นขยะแขยงในวินาทีต่อมา



          “ยี้ ตัวอะไรว่ะไอ้วิน อย่างนี้กูเอาไม่ลงน่าโว้ย” เพื่อนเขาสบถออกมาก่อนจะวิ่งหนีกลับไป



          “เชี้ยเอ้ย จะอ้วกขยะแขยง รอกูด้วย” วินขว้างวิกผมที่เขากระชากติดมือใส่หน้าฉันอย่างรังเกียจ แล้ววิ่งหนีกลับไปอีกคน ทิ้งให้ฉันนั่งจมอยู่กับที่ด้วยอาการเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรงพร้อมกับคำพูดร้ายกาจของเ
      ขาที่ดังก้องอยู่ในหัว เขาประจานฉัน ไม่ใช่สิ ฉันต่างหากที่ออกมาเพื่อประจานตัวเองสมควรแล้ว ฉันคิด



           ฉันรวบรวมกำลังลุกขึ้นเดินมาได้ไกลพอสมควร แต่บนถนนสายเปลี่ยวอย่างนี้ ฉันเหลียวหารถ แต่ไม่มีแม้แต่วี่แววเงาของคนสักคน ฉันเริ่มกลัวโกรธเกลียดตัวเอง น้ำตาก็ยิ่งพรั่งพรูออกมา ภาพทางเดินตรงหน้าเริ่มเลือนราง ฉันเริ่มหายใจหอบถี่ๆ แข้งขาอ่อนเหมือนจะหมดแรง จนต้องยึดเสาเอาไว้ไม่ให้ล้ม พยายามปลอบใจตัวเองว่า วันนี้ฉันคงเหนื่อยมากเกินไป แต่ก็โกหกตัวเองได้ไม่นาน เมื่อฉันไอออกมาเป็นเลือดเต็มผ่ามือตัวเอง และเลือดกำเดาไหลออกมาไม่หยุด ฉันมองดูเสื้อผ้าตัวเองที่เปื้อนเลือดก่อนจะหมดแรงตัวสั่นหมดความกลัว เป็นครั้งแรกที่ฉันกลัวความตายขึ้นมาจริงๆ ฉันทรุดล้มลงตรงนั้น สมองมันสับสนจนทำอะไรไม่ถูก ไม่มีแรงพอที่จะลุกหรือร้องให้ใครช่วย




           ฉันนึกถึงพี หยิบโทรศัพท์ที่เขาให้ไว้ในกระเป๋า แต่ต้องสิ้นหวังอีกครั้งเมื่อไม่เคยบันทึกเบอร์ใครไว้เลย แต่สภาพฉันตอนนี้ฉันไม่อยากโทรกลับบ้าน ฉันไม่อยากให้แม่ต้องมารับรู้ นิ้วฉันกดโทรออกไปทั้งที่ไม่ได้กดเบอร์ใคร เรี่ยวแรงฉันกำลังจะหมด ไม่สิ ฉันกำลังจะตายต่างหาก ฉันกลัว...



          “ช่วยด้วย…ช่วยด้วย” เสียงร้องแผ่วเบายิ่งกว่าลูกแมวแรกเกิดเสียอีก ฉันพูดซ้ำไปมา ภาวนาถึงใครสักคนมาช่วย ฉันไม่อยากตายอยู่ที่นี่อย่างนี้คนเดียว




         ขณะที่ฉันสิ้นหวัง เพราะใกล้จะหมดสติเต็มที แต่แล้วปลายสายก็มีเสียงคนรับ เสียงของพีนั่นเองที่ดังขึ้นมา มันทำให้ฉันเริ่มเห็นความหวังเลือนราง น้ำเสียงของพีดูร้อนรน เขาถามถึงจุดที่ฉันอยู่ก่อนที่ฉันจะหมดสติไปจริงๆ แต่ฉันก็ยังพอจำได้เลือนราง ว่าฉันอยู่ในอ้อมกอดของพี ฉันยังมีแก่ใจนึกขำและดีใจว่าทำไมผู้ชายผอมๆอย่างพีอุ้มฉันไหวด้วย และเขาไม่รังเกียจฉัน ผู้หญิงที่มีเส้นผมหลอมแหล่มบนหัว




           สองวันหลังจากที่หมดสติไป ฉันฟื้นขึ้นที่โรงพยาบาล ครอบครัวของฉันยืนรายล้อมรอบเตียง แต่ไม่มีพี ฉันมองหาทั่วห้อง แม่คงเดาได้ แม่บอกว่าพี่เพิ่งกลับไปไม่นาน เขาดูแย่มาก อาจจะแย่กว่าฉันเสียอีก เพราะไม่ได้นอนเลยตลอดเวลาที่ฉันไม่ได้สติ คงจะแวะมาอีกครั้งตอนเย็น บ่ายนั้นหมอเข้ามาตรวจอาการก่อนจะเรียกพ่อแม่ไปคุย ก่อนที่จะเข้ามาบอกฉันว่า อีกสองวันฉันก็กลับไปพักที่บ้านได้แล้ว แม่ตามเข้ามาเป็นคนสุดท้าย แม่เข้ามาทั้งน้ำตา เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นแม่ร้องไห้ ฉันใจหายวูบ รู้ดีว่านี่เป็นวาระสุดท้ายของฉันจริงๆแล้ว อันที่จริงฉันควรจะตายไปตั้งนานแล้ว ก็ไม่เลวนักที่ฉันทนกับความทรมานของโรคร้ายนี้มาได้เกือบปี





            เย็นนั้นพีไม่ได้มาเยี่ยมฉัน เขามาวันรุ่งขึ้น เขาดูโทรมไปมากจริงๆ แต่ก็ไม่น่าสนใจไปกว่าเสื้อผ้าที่เขาแต่ง มันแทบจะถอดแบบมาจากหุ่นที่ฉันเคยชี้ให้เขาดู นี่เขาทำเพื่อเอาใจฉันอีกแล้ว เพื่อเพื่อนที่กำลังจะตาย ฉันยิ้มฝืนๆ กลัวตัวเองจะร้องไห้ออกมา เรามีเรื่องคุยกันมากเหลือเกิน หลังจากที่ไม่ได้คุยกันมานาน แต่ฉันไม่กล้าที่จะขอโทษเขา




           ฉันบอกเขาเรื่องที่กำลังจะตาย แม้แต่หมอก็ไม่อยากรักษาแล้ว ฉันว่าฉันเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด ที่จะต้องตายทั้งที่ยังไม่มีแฟน ฉันพยายามพูดตลก



      “ถ้ากลับบ้านเมื่อไรฉันจะรีบไปหาแฟนไว้ก่อนตาย เพราะฉันไม่อยากตายแบบโดดเดี่ยว” แต่พีกลับบอกฉันด้วยท่าทางจริงจัง





           “ความรักไม่ใช่สิ่งของที่จะวิ่งหากันได้ง่ายๆหรอกนะ ถ้าอันอยากได้ความรักจริงๆ แค่ทำตัวดีๆอยู่นิ่งๆ มองไปรอบๆตัว ก็จะรู้ว่าความรักมันอยู่รอบตัวอันแล้ว” ฉันยิ้มและยอมรับแค่ครึ่งเดียวว่าความรักมันไม่ได้หากันง่ายๆ ฉันย้อนถามพี



          “เคยมีคนรักหรือไง ทำมาสอน ถ้ามีจริงๆทำไมไม่เห็นพามารู้จักกันบ้างเลย”
      “เคยสิ เราเคยมีคนรักนะ แต่เขารักเราหรือเปล่าเราก็ไม่รู้” พียิ้มและมองสบตาตรงมาที่ฉัน



           “ว้า อย่างนี้ก็รักเขาข้างเดียวสิ เหี่ยวเฉาแย่ มันจะมีความสุขเหรออย่างนี้” ฉันก้มหน้าหลบตาเขาด้วยความรู้สึกแปลก





           “มีสิ มันอาจฟังน้ำเน่า แต่ความรักของเราๆชอบที่จะได้เห็นเขามีความสุข แค่นั้นก็พอแล้ว”



           “แต่น่าจะให้เขารู้นะ เพราะถ้าเขารู้ก็น่าจะได้ความรักกลับมาบ้าง เขาคงไม่เห็นแก่ตัวนักหรอก” ฉันพูดเปรยๆไปและภาวนาให้เขาคนนั้นของพี่เป็นฉัน




           “เขาไม่เห็นแก่ตัวหรอก แต่เพราะเขาไม่รู้นะสิ และเวลาเราเห็นเขายิ้มเราก็ถือว่าได้สิ่งดีๆกลับมาแล้วแหละ”




           “แค่นั้นเหรอ ทำไมพีไม่บอกเขา แล้วเขาจะรู้เหรอว่าพีรักเขา” ฉันลอบมองเขาด้วยความหวั่นไหวไม่น้อย นึกอยากให้เป็นคนที่เขาพูดถึงเหลือเกิน แต่ต้องผิดหวัง




          “ไม่จำเป็นหรอก ของอย่างนี้เขาจะรับรู้ได้เอง เพราะว่าเราบอกเขาทุกวัน รอแค่ให้เขารับรู้เมื่อไร แล้วบอกเราบ้างเท่านั้น”  หลังจากนั้น เราก็เปลี่ยนเรื่องคุยกันไปอีกหลายเรื่อง ฉันถามเขา ว่าช่วงที่ไม่ได้เจอกันเขาทำอะไรบ้าง พีเงียบไปเฉยๆก่อนจะยิ้มน้อยๆ ส่ายหน้าบอกฉันว่า



           “นอนเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเลย”


            ฟ้ามืดแล้ว ฉันใจหาย เวลาของฉันหมดไปอีกวัน พีเดินมาส่งที่ห้อง ระหว่างทาง พีเดินเหมือนคนหมดแรง เกือบชนรถเข็นของสอง สาม ครั้ง เขาบอกว่าง่วงนอน หมู่นี้เขานอนไม่พอ ตอนนั้นฉันไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะมัวคิดแต่ว่าเป็นเพราะฉันเองเขาถึงเป็นแบบนี้


           อีกแค่สามสิบเมตรก็จะถึงห้องฉันแล้ว ฉันกลัวทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นพรุ่งนี้ ฉันกลัวว่าถ้าพีกลับไปแล้วฉันต้องอยู่คนเดียว ฉันยังอยากมีมีชีวิตอยู่ต่อแต่ก็กลัวความเจ็บปวดที่ทวีขึ้นทุกวัน จนไม่รู้ว่าฉันจะอยู่ถึงพรุ่งนี้ไหม ฉันจับมือเขารั้งไว้ และบีบแน่นขึ้นเมื่อฝืนตัวไม่ยอมเดินต่อ ฉันเขาไม่อยากให้เขากลับ ฉันรู้ว่ามันเห็นแก่ตัวที่ แต่ฉันขอให้เขาพาฉันไปทะเลตอนนั้นเลย




           “ถ้าฉันจะตายแล้ว ก็ควรได้ทำอะไรอย่างที่อยากทำใช่ไหม” พีไม่ว่าอะไรสักคำเขาให้ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเราสองคนก็แอบออกไปด้วยกัน บนหาดที่สงบ เราสองคนนั่งพิงกันอยู่บนชายหาดที่หัวหิน มีเพียงดาวที่สว่างอยู่บนฟ้า พีกุมมือที่เย็นเชียบของฉันเอาไว้ ถามฉันว่ายังมีอะไรที่อยากทำอีกไหม ฉันโกหกว่าเหลือแค่เพียงเรื่องเดียว ทั้งๆที่ฉันมีสองเรื่องที่อยากทำ



           “ฉันอยากอยู่ให้ถึงวันเกิดของตัวเอง มันอีกแค่สองวัน แต่ไม่รู้ว่าจะอยู่ถึงไหม”



           “ทำไมจะไม่ได้ อันต้องอยู่จนถึงวันเกิดเราด้วยซ้ำนะ” พีให้ฉันสัญญาว่าจะต้องอดทนอยู่ให้ถึงวันเกิดของเขาในเดือนหน้าด้วย



           “ฉันสัญญา” แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้ไหม สองวันของคนอื่นมันช่างสั้นหนักหนา แต่สำหรับฉันมันยาวนานแสนทรมานแสนสาหัส เวลาที่อาการเจ็บปวดกำเริบ ฉันคิดในใจ




          เรานั่งกันจนฟ้าสาง เป็นครั้งที่สวยที่สุดที่ฉันได้นั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้า พีพาฉันเข้ามาที่ตัวเมือง เพื่อตักบาตรก่อนจะขับรถพาฉันกลับมาที่โรงพยาบาล พีแวะซื้อยาลดไข้ระหว่างทาง เพราะเราสองคนนั่งตากน้ำค้างจนเช้า พีเลยมีอาการเป็นไข้ตัวร้อน หน้าเขาซีดจนฉันชักเป็นห่วง แต่เขายังยิ้มแย้ม และยืนยันว่าไม่เป็นอะไร




      ในที่สุดวันเกิดฉันก็มาถึงแล้ว ฉันยังคงมีลมหายใจอยู่ ฉันตื่นแต่เช้า เข้าไปกราบเท้าพ่อแม่ ขอบคุณที่ให้ฉันเกิดมาในครอบครัวที่ดีอย่างนี้ ฉันกอดพี่สาวที่น่ารักด้วยแรงทั้งหมดเท่าที่จะมี บอกว่าฉันดีใจที่ได้เป็นน้องสาวของเธอ หน้าบ้านมีคนเอาของขวัญมาให้ฉันแต่เช้า มันส่งมาจากพี พร้อมการ์ดใบสวย




            “สุขสันต์วันเกิด จำรอยยิ้มวันนี้ไว้นะ ขอโทษที่มาด้วยตัวเองไม่ได้” ฉันแกะของขวัญออกดู มันเป็นกรอบรูปที่มีรูปถ่ายของฉันใบเล็กๆเรียงรายกันอย่างสวยงามจนเต็มกรอบใหญ่ ด้วยท่าทางต่างๆ แต่ที่เหมือนกันทุกรูปคือ ฉันกำลังยิ้ม มีรูปตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว พีสะสมรูปฉัน เขาตั้งใจทำของขวัญชิ้นนี้มาหนึ่งปีเต็มๆ




           ฉันมั่นใจแล้วว่าพีชอบฉัน และฉันก็ชอบเขา ฉันหวนนึกถึงวันเกิดของพี ฉันควรจะให้อะไรเขาดี ฉันคิดถึงพี จนลืมนึกถึงตัวเอง เป็นครั้งแรก ฉันอยู่เลยวันเกิดตัวเองมาจะครบหนึ่งเดือนแล้ว บางครั้งฉันก็นึกแปลกใจที่ตัวเองยังไม่ตาย ฉันหาเหตุผลให้ตัวเอง ว่าอาจจะเป็นเพราะฉันสัญญากับพีเอาไว้ก็ได้




           ฉันวิตกเรื่องของขวัญให้พี จนจิตใจว้าวุ่นบวกกับความสงสัยว่าพีหายไปไหนตั้งแต่วันเกิดฉัน ฉันโทรไปหาก็ไม่มีคนรับ ตั้งแต่วันนั้น เขาก็ไม่ติดต่อฉันเลย ของขวัญที่เตรียมไว้ดูจะไร้ค่า เพราะหาคนรับไม่เจอ




          หมอนัดให้ฉันไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลในวันเกิดของพีพอดี คุณหมอพูดถึงพีให้ฉันฟัง และแปลกใจที่ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย เรื่องที่เขานอนกลายเป็นเจ้าชายนิทราตั้งแต่วันที่ฉันออกจากโรงพยาบาลเดือนก่อนแล้ว เพราะเขาหนีหายออกจากโรงพยาบาลไปกลางดึก ทั้งๆที่เขาต้องได้รับการถ่ายเลือดครั้งล่าสุดในวันรุ่งขึ้น เขาเข้ารับการรักษาอีกครั้งหลังจากนั้น แต่ร่างกายเขาไม่พร้อมเสียแล้ว




           พีเป็นอย่างนี้เพราะฉันเอง ฉันโกรธและโทษตัวเองที่ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน ไม่เคยแม้แต่จะสนใจถามเรื่องเขาให้มากกว่านี้ ยิ่งหวนนึกถึงที่ผ่านมาแล้ว มีแต่เขาที่ทำทุกอย่างให้ฉันมาตลอด ทุกครั้งที่ฉันพร่ำอ้างกับเขาว่าฉันคือคนป่วยที่ใกล้จะตาย โดยไม่รู้เลยว่าฉันเป็นคนฆ่าเขาด้วยมือตัวเองทีละน้อย



            ทุกอย่างมันขาวโพนไปหมด ฉันแทบหยุดหายใจ เมื่อยืนอยู่ที่ปลายเตียงของเขา พีนอนอยู่ในชุดคนป่วยแบบเดียวกับที่ฉันเคยใส่ ใบหน้าเขาซีดจนเหมือนไม่มีเลือดอยู่ในร่างกายสักหยด เขานอนนิ่งอยู่บนเตียงไม่รับรู้อะไร มีสายระโยงระยางรอบตัว สภาพของพีตอนนี้มีชีวิตอยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยเหล่านี้ เป็นครั้งแรกที่ฉันภาวนาให้คนที่นอนในสภาพนั้นเป็นฉันเอง ฉันฝืนกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา แต่ร่างกายสั่นเทิ้มจนตัวโยนด้วยความเจ็บปวดที่มาจากใจส่วนลึก




           แม่ของพีรู้จักฉันดีทีเดียว เพราะพีเล่าเรื่องฉันให้ฟังทุกอย่าง แม่เรียกให้ฉันไปดูเขาใกล้ๆ ระหว่างนั้นแม่ของพีเล่าเรื่องของเขาที่ฉันไม่เคยรู้ให้ฉันฟัง เขาป่วยด้วยโรคไต และเกร็ดเลือดต่ำมาตั้งแต่เด็กๆ ต้องถ่ายเลือดบ่อยมาก เขาเคยนึกอยากตายให้พ้นๆชีวิตที่ทรมานอย่างนี้ เหมือนอย่างที่ฉันเคยคิด จนมาเมื่อปีที่แล้ว ที่อยู่ๆเขาก็มีกำลังใจอยากมีชีวิตต่อ เพียงเพราะผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาเห็นที่สวนหย่อมในโรงพยาบาล เขาอยากอยู่กับเธอคนนั้น แม่ของพียื่นสมุดบันทึกเล่มเล็กๆให้ฉัน เขาเริ่มเขียนบันทึกก่อนฉันจะรู้จักเขาไม่นาน เขาบังเอิญรู้เรื่องฉันจากพยาบาล สมุดทั้งเล่มมีแต่เรื่องที่เกี่ยวกับฉัน และที่เขาเป็นอย่างนี้ก็เพราะพีไม่ยอมไปรักษาตัวที่เมืองนอกตามที่แม่เขาบอกแต่แรก เลือกที่จะอยู่เมืองไทย ซึ่งถ้าเขาไปตั้งแต่สามเดือนที่แล้วเขาคงยังมีชีวิตต่อไปอีกหลายปี แต่เขาเลือกจะอยู่ที่นี่เพราะฉัน และเลือกที่จะหนีการรักษาเพราะฉันอีกนั่นเอง






           “ผมไม่เสียใจเลย ที่ตัดสินใจไปทะเลกับอันเมื่อคืนนี้ ผมเลือกที่จะตายอย่างเป็นสุข มากกว่าที่จะอยู่โดยขาดความรัก เพราะชีวิตครึ่งนึงเป็นของเขา เขาทำให้ผมมีกำลังใจสู้กับโรคร้ายและมีชีวิตมาจนถึงวันนี้ได้ ถ้าผมจะต้องตายตอนนี้ ผมก็ตายอย่างเป็นสุขเพราะได้ใช้เวลาอยู่กับคนที่ผมรักแล้ว ผมจะรักษาสัญญาให้ได้ ผมต้องอยู่ให้ถึงวันเกิดของผมเพื่อจะได้เจออัน”





            แม่ของพีบอกฉัน เขาเชื่อว่าฉันจะต้องอยู่ได้จนถึงวันนี้เพราะฉันสัญญาไว้แล้วเช่นกัน ฉันไม่ฝืนกลั้นน้ำตาไว้แล้ว ฉันจับมือที่เย็นเฉียบของพีเอาไว้แน่น ตอนนี้ฉันไม่กลัวความตายอีกแล้ว ฉันภาวนาหากปาฎิหารย์มีจริง ฉันขอยกชีวิตที่เหลือให้เขาทั้งหมด ตอบแทนทุกอย่างที่เขาให้ฉัน รวมถึงความรักที่ฉันยังไม่เคยมีโอกาสบอกเขาเลย แต่ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกจากปากของฉัน ฉันเชื่อว่าเขารับรู้ได้จากสัมผัสที่มือที่ฉันจับเขาเอาไว้ เขาต้องรู้ว่าเวลานี้ฉันรักเขามากแค่ไหน




            “อย่าทิ้งฉันไปคนเดียวนะพี ได้โปรด” ฉันคิดซ้ำๆอยู่ในใจ ฉันบอกรักเขาในใจว่าฉันรักเขามากแค่ไหน จริงอย่างที่พีเคยบอก ความรักบางครั้งมันก็ไม่จำเป็นต้องบอกออกมา แค่ทำให้รู้สึกถึงกันก็เพียงพอ ฉันรู้สึกได้ถึงไออุ่นที่มือของเขา



           “รอฉันนะพี ไม่นานเราจะได้อยู่ด้วยกันชั่วนิรันด์แล้ว เราจะได้อยู่ด้วยกันฉันสัญญา” ฉันก้มลงกระซิบบอกเขาที่ข้างหูด้วยเสียงสั่นเครือ





           ใช่…อีกไม่นานฉันกับเขาจะได้อยู่ด้วยกันชั่วนิรันดร์ ในที่ๆจะไม่มีอะไรมาทำร้ายเราสองคนได้อีก สีหน้าเขามีเลือดฝาดผุดขึ้นมา มีรอยยิ้มจางๆที่มุมปากของพีปรากฏเพียงชั่วเวลาสั้นๆเหมือนการตอบรับ พร้อมเส้นหัวใจที่วิ่งราบเป็นเส้นตรง พีจากฉันไปแล้วอย่างสงบในวันเกิดของเขา เขารักษาสัญญาอยู่กับฉันจนถึงวันเกิดของเขา




           ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าความรักที่แท้จริงเป็นยังไง เมื่อฉันได้พบความรักแรกและรักเดียวก่อนที่จะนำมันไปกับฉันในโลกหน้าเพื่อหาอีกครึ่ง
      นึงที่อยู่กับพี






           ฉันเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาหลังงานศพของพีเสร็จสิ้นไม่นาน ขอร้องพ่อกับแม่เป็นสิ่งสุดท้าย ให้จัดพิมพ์ เตรียมไว้แจกในงานศพของฉันที่คงจะมีขึ้นในอีกไม่นาน ฉันหวังให้เป็นที่ระลึกถึงพีและฉัน และสิ่งสุดท้ายที่ฉันภาวนาตอนนี้ เมื่อใดที่ฉันหมดลมหายใจจากโลกนี้ไป ฉันจะได้ไปอยู่ในดินแดนที่ปราศจากความเจ็บปวดทรมานกับคนที่ฉันรักและรักฉันชั่วนิรัน
      ดร์





      ขออาลัยแด่...พีระวิทย์ และ อันปรียา ผู้จากไปชั่วนิจนิรันดร์

      นางสาว อันปรียา พรายปริศนา
      ชาตะ 16 ก.ค.2527
      มรณะ 31 ส.ค.2546



      @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
       

      เอามาฝากทุกคนที่ยังคงไม่ทะนุถนอมความรักที่มีอยู่  ความรักอาจจะไม่ต้องการคำพูด

      แต่ความรักมันเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ต้องใช้ความสัมผัสมันด้วยหัวใจของตัวมัน

      แต่มันขึ้นอยู่กับตัวเองว่าเรายอมเปิดใจรับที่จะมองมันหรอยัง  เวลาไม่ได้หยุดอยู่กับที่

      แต่เวลามันผ่านไปทุกวัน เราไม่รู้ว่าเราจะมีเวลาเหลืออีกกี่วัน ถ้ายังคงไม่รักษามันไว้

      ทั้งเวลาและความรักก็คงผ่านไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อรู้ก็คงสายไปแล้ว

      มีนาอ่านเรื่องนี้อยากบอกอย่างไม่อายเลยว่า น้ำตาซึมเลยเมื่อหันมามองคนใกล้ๆ ตัว ที่ยังดูแลเค้าไม่ดี

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×