ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic WIN] VAGUE AFFECTION ► BJinJun

    ลำดับตอนที่ #9 : ► Chapter 8 (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.36K
      1
      13 ธ.ค. 56

    Chapter 8


     

     

    จุนฮเวกำลังโมโห...
     

    ใช่แล้ว... เขากำลังโมโหและอารมณ์เสียมากๆด้วย สาเหตุก็ไม่ได้มาจากใครที่ไหน เพราะตั้งแต่ตอนเด็กจนโตเอาป่านนี้ก็มีแค่คนๆเดียวเท่านั้นที่สามารถทำให้เขาหัวเสียจนไม่เป็นอันทำอะไรได้ ...ซงมินโฮ... ตั้งแต่เมื่อคืนวานเขาไม่สามารถติดต่อกับพี่ชายได้เลย ขนาดโทรไปถามเพื่อนๆของพี่ชายที่เขาพอจะรู้จักก็ยังไม่รู้ว่าตกลงแล้วเจ้าตัวไปอยู่ที่ไหน บุกไปถึงห้องก็แล้ว ไปถึงร้านที่ทำงานก็แล้ว...
     

    นั่นสินะ... เมื่อคืนนี้ตอนไปที่ร้านเขาจำได้ว่าเห็นร่างเล็กคุ้นตานั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ในร้านนั้นด้วย แถมยังมีใครอีกคนที่ทำหน้าที่คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง... ภาพที่ยังติดอยู่ในความทรงจำคือตอนที่มือหนาของฮันบินเลื่อนไปกุมมือเล็กของคนที่ได้ชื่อว่าแฟนของเขา... ไม่สิ... ตอนนี้คงไม่ใช่อีกต่อไปในเมื่อร่างเล็กนั้นดูเหมือนจะรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว
     

    แต่ไม่รู้ทำไม... พอนึกถึงภาพนั้น... จากที่หงุดหงิดอยู่แล้วกลายเป็นว่าเขากำลังรู้สึกหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม อาจเป็นเพราะเขารู้สึกเหมือนกำลังเสียของเล่นก็เป็นได้หละมั้ง... จุนฮเวพยายามบอกกับตัวเองอย่างนั้น
     

    ในขณะที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยเสียงข้อความจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้นจนเขาต้องรีบคว้ามันขึ้นมาดูทันที ลากนิ้วไปบนหน้าจออย่างร้อนรนและรู้สึกดีใจที่ได้เห็นชื่อผู้ส่งข้อความ
     

    เลิกโทรมาได้แล้ว พี่ไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย ไม่ต้องเป็นห่วง แค่ไปทำงานส่งอาจารย์ที่บ้านเพื่อนเลยนอนค้างด้วย
     

    อ่านซ้ำอีกรอบแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ถึงพี่ชายจะไม่ใส่ใจความรู้สึกของเขาสักนิด แต่อย่างน้อยตอนนี้จุนฮเวก็ได้รู้ว่ามินโฮยังโอเคดี
     

    ที่เป็นห่วงพี่ชายมากขนาดนี้... ก็เพราะรักนั่นแหละ ทำไมถึงไม่ยอมเข้าใจกันบ้างนะ... จุนฮเวเคยบอกตัวเองหลายครั้งว่าให้เลิกเป็นอย่างนี้ได้แล้ว มันมีแต่จะทำให้ทั้งเขาและพี่มินโฮต่างก็อึดอัดใจกันซะเปล่าๆ แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ แล้วยิ่งเพิ่งจะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้พี่มินโฮถึงกับทำร้ายตัวเองแบบนั้น จะให้เขาห้ามใจตัวเองไม่ให้เป็นห่วง... ได้ยังไงกัน
     

    อ๊อดดดดด อ๊อดดดดด อ๊อดดดดด
     

    เสียงกริ่งที่ดังขึ้นเรียกให้จุนฮเวหลุดออกจากภวังค์ความคิดก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปที่ประตู จำได้ว่าเขาไม่ได้นัดใครไว้และก็ไม่ได้สั่งอะไรมากกินเช่นกัน ถ้างั้นใครมาหาเขาเอาตอนนี้? ชะโงกหน้าไปดูที่ตาแมวเล็กๆก็ถึงกับแปลกใจเมื่อเห็นร่างเล็กของใครบางคนมองตอบกลับมา
     

    เหอะ... นี่มันบ้าอะไรอีกเนี่ย
     

    มือหนาบิดลูกบิดประตูแล้วดึงประตูให้เปิดออกก่อนจะพบกับพี่ชายตัวเล็กที่ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าชาตินี้คงไม่มีวันได้คุยกันอีก
     

    “ข...เข้าไปได้มั้ย?” จินฮวานเอ่ยถามออกมาเหมือนไม่ค่อยมั่นใจ
     

    “เข้ามาสิ” แต่ร่างสูงก็หลีกทางเชิญให้เข้าไปแต่โดยดีถึงจะรู้สึกแปลกๆก็เถอะ
     

    ไม่รู้อะไรกันนักกันหนา เมื่อวานก็พี่ชาย วันนี้น้องชายยังมาด้วยตัวเองอีก...
     

    นึกถึงเมื่อวานตอนที่กำลังนอนดูทีวีแล้วอยู่ๆก็มีคนมากดกริ่งหน้าห้องรัวๆจนทำให้เขาสะดุ้ง พอเปิดประตูไปเจอร่างโปร่งบางที่เขารู้จักเท่านั้นแหละ... ตอนแรกก็ไม่คิดว่าคนอย่างพี่จินอูจะมีธุระอะไรกับเขา แต่พอพี่จินอูเริ่มพูดถึงจินฮวานเขาก็รู้ได้ทันที... คงรู้เรื่องกันหมดแล้วสินะ
     

    “เลิกยุ่งกับจินฮวานซะ พี่รู้ว่านายเองก็รักมินโฮมาก และพี่เองก็ทำให้มินโฮต้องเสียใจ แต่จินฮวานไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะงั้น... ขอร้องหละ...”
     

    คำพูดของพี่จินอูนั้นเขายังจำได้ดี เหอะ... ถ้ารู้แล้วทำไมถึงยังทำอย่างนั้นกับพี่ชายของเขาได้ลงคอ แต่อย่างน้อยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าและการขอความเห็นใจจากเขานั้นก็ทำให้เขาได้รู้ว่าเขาเลือกเล่นเกมได้ถูกทางเลยทีเดียว มองไปยังคนตัวเล็กกว่าที่เดินเขาไปนั่งในห้องแบบเก้ๆกังๆแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าขนาดรู้ความจริงแล้วยังไม่กลัวเขาอีกหรือยังไง?
     

    เขารู้สึกว่าความเสียใจของพี่จินอูนั้นยังไม่เท่าเขาตอนที่เห็นพี่มินโฮต้องเจ็บปวดด้วยซ้ำ แต่เมื่อวานหลังจากที่พี่จินอูกลับไปเขาก็ตัดสินใจจะเลิกยุ่งกับเรื่องพวกนี้ ไม่ใช่เพราะคำสั่งนั่น แต่อาจเป็นเพราะเขาเหนื่อยที่ต้องมาคอยทำเรื่องบ้าๆแบบนี้ และอีกอย่าง... คนที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขาในตอนนี้ก็คงจะรู้เรื่องหมดแล้วด้วย จะให้เขาเดินเกมต่อไปได้อย่างไร
     

    “พี่จะกินน้ำหรือเปล่า?” จุนฮเวพยายามใช้น้ำเสียงธรรมดาที่สุด
     

    “ไม่เป็นไร ว่าแต่...” ร่างเล็กหันไปมองรอบห้องเขาเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง “คาอึลอยู่ไหนล่?ะ”
     

    จุนฮเวนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อนึกถึงลูกแมวตัวนั้น
     

    “ให้เพื่อนเอาไปเลี้ยงแล้ว ผมเลี้ยงที่อพาร์ทเมนท์ไม่ได้”
     

    “...” ร่างเล็กพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ แต่ดูก็รู้ว่าผิดหวังแค่ไหนที่เขายอมปล่อยลูกแมวตัวนั้นไปให้กับคนอื่นแทนที่จะเอามาให้ตัวเองเลี้ยง
     

    ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งรู้สึกว่าบรรยากาศภายในห้องนั้นเต็มไปด้วยความอึดอัด ร่างเล็กได้แต่นั่งนิ่งเล่นมือตัวเองเพราะความประหม่า แต่นั่นก็ทำให้จุนฮเวรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น เขารู้ตัวว่าเป็นคนอารมณ์ร้อน เมื่อไม่พอใจอะไรก็จะระบายออกมาทันที แต่ที่ผ่านมาเขาก็พยายามระงับอารมณ์ของตัวเองมาโดยตลอด ในตอนนี้ก็เช่นกัน... เขาพยายามที่จะไม่อารมณ์เสียใส่จินฮวาน
     

    “พี่มาที่นี่เพราะต้องการอะไรกันแน่” แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงปกติแต่ก็ยังทำให้ร่างเล็กนั้นสะดุ้งอยู่ดี “ผมรู้ว่าพี่รู้แล้ว ทำไมยังมาที่นี่อีก ไม่กลัวผมหรือไง?”
     

    “น...นายก็ไม่ได้เป็นคนน่ากลัวไม่ใช่หรอ?” ทั้งๆที่พูดออกมาอย่างนั้นแต่กลับหลบสายตาเขายังกับระแวงกันอยู่เนี่ยนะ
     

    “พี่รู้ได้ไงว่าผมไม่ได้เป็นคนอย่างนั้น”
     

    “เพราะว่าพี่มองเห็นนายมาตลอด...” ว่าแล้วก็หน้าแดงระเรื่อแต่ก็ยังอุตส่าห์ก้มหน้าหลบเขางุดๆ อาจเป็นเพราะแบบนี้ล่ะมั้ง... ที่ทำให้เขาไม่สามารถทนทำร้ายคนตรงหน้าต่อไปได้อีก ทั้งตัวเล็กหน้าตาน่ารักแถมยังดูบอบบางสุดๆ แล้วอย่างนี้จะให้เขาทนเล่มเกมที่ตัวเองสร้างขึ้นมาต่อไปได้ยังไง...
     

    หรือว่าเขาจะเริ่มมีใจให้กับคนๆนี้กันนะ... ไม่หรอก... ร่างสูงพยายามบอกกับตัวเอง มันต้องไม่ใช่อย่างนั้น มันก็แค่... ความสงสารเท่านั้นเอง
     

    “พี่กลับไปเถอะ ผมไม่ใช่คนนิสัยดีอะไรขนาดนั้น ยังไงผมก็ยังไม่ชอบพี่ชายของพี่อยู่ดี”
     

    “ถ้างั้นก็ทำอย่างที่นายต้องการเลยสิ... จะทำร้ายพี่ยังไงก็ได้ ขอแค่อย่างเดียว อย่ายุ่งกับพี่จินอูเลย...” น้ำเสียงนั้นแม้จะสั่นเครือแต่ก็รู้สึกได้ถึงความหนักแน่น
     

    เส้นอารมณ์ความรู้สึกของจุนฮเวขาดผึงทันทีราวกับถูกใบมีดตัด เมื่อวานคนพี่ก็มาขอให้เลิกยุ่งกับคนน้อง มาคราวนี้คนน้องก็มาขอให้เลิกยุ่งกับคนพี่ มือหนาทั้งสองข้างคว้าจับเข้าที่ไหล่เล็กก่อนจะดึงร่างที่นั่งอยู่นั้นเข้ามาใกล้ๆจนคนตัวเล็กถึงกับเซเข้ามาอยู่ชิดร่างสูง ใบหน้าที่อยู่ห่างกันแค่คืบ ดูเหมือนจินฮวานจะหลบหนีไม่ได้แล้ว
     

    “พี่รู้หรอว่าผมรู้สึกยังไง!!?
     

    “ไม่... พี่ไม่รู้...” ดวงหน้าเล็กบิดเหยเกเมื่อรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่บริเวณไหล่ “ถ้านายเสียใจมากก็มาลงที่พี่ซะ อย่าไปทำ... อื้อ...”
     

    เสียงหวานนั้นถูกปิดด้วยริมฝีปากหนาที่เข้ามาครอบครองโดยไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากเรียวเล็กนั้นถูกบดเบียดทั้งยังถูกลุกล้ำจากลิ้นร้อนที่ดุนดันเข้ามาภายในโพรงปาก ลิ้นเล็กโดนต้อนจนมุม การจูบที่แสนร้อนแรงนั่นทำให้ร่างเล็กแทบทรงตัวไม่ไหวจนสุดท้ายก็ถูกมือหนาที่ประคองไว้ในตอนแรกดันให้ลงไปนอนที่พื้นห้อง เสียงหอบหายใจดังกระเส่าบ่งบอกให้รู้ว่าจินฮวานกำลังขาดอากาศหายใจ แต่ร่างสูงก็ยังคงมอบจูบเร่าร้อนนั้นต่อไปพลางย้ายร่างกายขึ้นไปคร่อมคนตัวเล็กอย่างง่ายดาย
     

    นานทีเดียวกว่าที่ทั้งคู่จะผละออกจากกัน ร่างเล็กตาปรือในขณะที่กำลังมองร่างสูงที่อยู่ด้านบน กว่าจะรู้ตัวก็ถูกมือหนาไล่ปลดกระดุมเสื้อเชิ๊ตสีขาวของตนจนเกลี้ยง
     

    “ได้...” ดวงตาที่แข็งกร้าวจ้องมองมายังดวงหน้าเล็กซึ่งกำลังแสดงออกถึงความหวาดหวั่น “ความเจ็บปวดที่ผมเคยได้รับ... ผมจะทำให้พี่ต้องเจ็บและเสียใจยิ่งกว่า!!
     

    จุนฮเวรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่เขาไม่สามารถหยุดการกระทำของตัวเองในตอนนี้ได้ เขากำลังโกรธจินฮวานที่กำลังนอนตัวสั่นอยู่ใต้ร่างเขา แล้วก็โกรธมากด้วย ไม่ใช่เพราะเรื่องพี่มินโฮกับพี่จินอู แต่เป็นเพราะคนๆนี้กล้าพูดในสิ่งที่ทำให้ตัวเองเป็นอันตรายโดยไม่สนใจเลยซักนิดว่าตัวเองจะต้องเจอกับอะไรบ้าง!!
     

    เป็นห่วงคนอื่น ออกหน้ารับแทนทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองด้วยซ้ำ ในเมื่อก็เห็นๆอยู่ว่ากลัวขนาดนี้แล้วทำไมถึงยัง...
     

    ในเมื่อคนตัวเล็กนี่ยังไม่ห่วงตัวเองแล้วจุนฮเวจะต้องใส่ใจไปทำไมกัน!
     

    ใบหน้าคมซุกลงไปไปซอกคอขาวเนียนก่อนจะจูบและดูดดุนซ้ำไปมา ลิ้นร้อนค่อยๆไล้ไปที่ใบหูเล็กพลางตวัดเลียเบาๆให้กายเล็กรู้สึกสั่นสะท้าน หลังจากนั้นจึงค่อยไล่กลับมาซอกคออีกครั้งเพื่อประทับรอยจูบสีแดงเข้มลงไป วนซ้ำอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเลื่อนมาที่บริเวณหน้าอกเนียน เสียงครางเบาๆจากร่างเล็กไม่ได้ช่วยให้จุนฮเวรู้สึกดีขึ้นเลย หากแต่ยิ่งทำให้เขาอารมณ์เสียเพราะเสียงหวานนั้นทั้งสั่นเครือและเจือปนไปด้วยเสียงสะอื้น
     

    บ้าเอ๊ย! กลัวขนาดนี้แล้วจะมาที่นี่ตั้งแต่แรกทำไม
     

    สบถกับตัวเองในใจขณะที่กำลังใช้ลิ้นไล้วนอยู่ที่บริเวณยอดและเนินอก แต่ก็ทำได้ไม่นานเมื่อเขาไม่สามารถทนฟังเสียงครางที่มาพร้อมกับเสียงสะอื้นนั้นได้
     

    ร่างสูงลุกขึ้นนั่งแล้วดึงตัวร่างเล็กให้ขึ้นมานั่งตาม ใบหน้าหวานตอนนี้มีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนอยู่เล็กน้อย มองแล้วก็โมโหตัวเอง น่าจะยั้งคิดซักนิด... เลื่อนมือขึ้นไปติดกระดุมเสื้อเชิ้ตให้เหมือนเดิมจนคนที่ตัวเล็กกว่าถึงกับมองมาด้วยความตกใจ
     

    พอแค่นี้แหละดีแล้ว... ไม่อยากจะให้มันต้องถลำลึกไปมากกว่านี้ ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้วว่าจะเลิก ดังนั้นเขาก็ต้องทำให้ได้
     

    จุนฮเวฉุดร่างเล็กให้ลุกขึ้นยืนด้วยกันก่อนจะลากไปที่ตู้เสื้อผ้าแล้วเปิดลิ้นชักควานหาผ้าเช็ดหน้า พอหาเจอก็หยิบมันขึ้นมาเช็ดให้กับคนตรงหน้าเล็กน้อยก่อนจะยื่นใส่มือให้
     

    จินฮวานรับผ้านั้นมาแล้วก็ถูกลากให้ไปที่ประตู พอมันถูกเปิด ร่างเล็กก็ถูกเหวี่ยงเบาๆให้ออกไปนอกห้องทันที
     

    “กลับไปซะ ผมจะไม่ไปยุ่งกับพวกพี่อีก เพราะงั้นเจอกันก็ไม่ต้องมาทัก จากนี้พวกเรา...จะไม่รู้จักกันอีกต่อไป” เสียงเข้มพูดเพียงเท่านั้นแล้วปิดประตูใส่ดังโครม
     

    จุนฮเวไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับจินฮวาน ร่างเล็กอาจจะกลับบ้านไปเลยนั่นแหละ
     

    เมื่อเขาล็อกประตูเสร็จก็เดินมานอนแผ่ที่เตียงก่อนจะยกมือขึ้นมาพาดหัวเอาไว้ จบแล้ว... มันจบแล้วสินะ... ต่อไปนี้คงไม่ต้องคิดให้วุ่นวายอีกแล้วว่าจะแก้แค้นอย่างไรหรือต้องทำยังไงถึงจะได้เห็นสีหน้าเจ็บปวดของสองพี่น้องนั่น พอแล้ว... พอกันที... เขาจะไม่ยุ่งกับเรื่องพวกนี้แล้ว

     

    แต่พอคิดอย่างนั้น....

     

    ทำไมอยู่ๆที่หัวใจของเขาก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก...





     

     

     

     

    ร่างเล็กของจินฮวานยืนอยู่ที่เดิมซักพักหลังจากโดนไล่ออกมานอกห้อง เพราะอากาศที่เริ่มจะหนาวเหน็บในฤดูใบไม้ร่วงทำให้ร่างเล็กไม่สามารถทนยืนต่อไปได้ทั้งอย่างนั้น พอรู้ตัวอีกที ขาเล็กก็ก้าวออกมาแล้วตรงไปที่ป้ายรถเมล์โดยไม่รู้สึกตัว ที่มือยังคงกำผ้าเช็ดหน้าเอาไว้แน่น และพยายามอย่างยิ่งที่จะห้ามน้ำตาตัวเองไว้
     

    ทุกอย่างคงจะจบลงแล้วจริงๆ... การพยายามยื้อของเขาคงไม่เป็นผล ตั้งแต่วันแรกที่เห็นจุนฮเวเดินเข้ามาในโรงเรียน เขาก็รู้สึกชอบเด็กคนนั้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งแววตาที่ดูดดุดันแต่ขี้เล่นอยู่ในที เวลาอยู่เพื่อนๆหรือตอนที่เล่นบาสด้วยกันนั้นยิ่งทำให้จุนฮเวออกจะเป็นคนร่าเริงด้วยซ้ำ... ดังนั้น เขาจึงไม่คิดว่าจุนฮเวจะสามารถเย็นชากับเขาได้ถึงขนาดนี้

    ยอมรับเลยว่ากลัว... กลัวสิ่งที่จุนฮเวทำนั้นมันก็แค่เล็กน้อย... แต่สายตาที่ดุดันยามมองมาทางเขามันน่ากลัวยิ่งกว่า ราวกับเขาว่าเป็นคนไร้ค่ายังไงยังงั้น


    แต่ก็นั่นแหละ... เขาควรจะคิดได้นับตั้งแต่วันที่เห็นจุนฮเวและมินโฮยืนอยู่หน้าบ้านพร้อมกับพี่ชายของเขา ในขณะที่เขาได้แต่เฝ้าแอบมองเหตุการณ์อยู่ในสถานที่ไกลออกไป เรื่องในวันนั้นเขาจำได้ดี พี่มินโฮที่ร่างกายซูบซีดไปถนัดตากำลังเข้ามาขอร้องอ้อนวอนให้พี่จินอูกลับไปคบกันอีกครั้ง ส่วนพี่ชายเขาก็ได้แต่ร้องไห้ไม่ตอบอะไร จนกระทั่งจุนฮเวเดินทางมาถึงพร้อมพยายามดึงมินโฮให้กับไปด้วยกัน แม้จะใช้เวลาอยู่นานซักหน่อย แต่สุดท้ายก็พี่มินโฮก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้นั้นไป
     

    ตอนนั้นเขาตกใจมากที่เห็นว่าจุนฮเวรู้จักกับพี่มินโฮ แม้เขาจะไม่รู้ว่าทั้งสองคนไปรู้จักกันได้ยังไงก็เถอะ ขนาดตอนที่ร่างสูงเข้ามาขอให้เขาคบกันเขาก็ยังคิดว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้นเอง แต่พอได้ยินเรื่องส่วนตัวที่จุนฮเวเล่าให้เขาฟัง ทั้งเรื่องพี่ชายและเรื่องที่เป็นเด็กกำพร้าเขาก็พอนึกได้ ไหนจะเรื่องที่จุนฮเวทำนั่นอีก... เขาเพียงแค่... ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาจริงๆ
     

    จินฮวานขึ้นรถเมล์มาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่เขาก็นั่งมาถึงป้ายทางเข้าบ้านตัวเองได้ในที่สุด ทั้งที่จริงแล้วเขาอยากจะนั่งมันต่อไปเรื่อยๆแบบนี้... รู้สึกเหมือนไร้เรี่ยวแรงแต่ก็พยายามบอกตัวเองเสมอว่าแค่ผู้ชายคนเดียวทำให้เขาเป็นถึงขนาดนี้ได้เชียวหรือ? อีกไม่นานเดี๋ยวก็ลืมมันไปเองนั่นแหละ... แต่เขาจะทำได้จริงๆใช่ไหม ในเมื่อทุกๆวันที่ไปโรงเรียนเขาก็เคยชินกับกันเฝ้ามองเด็กคนนั้นมาตลอด...
     

    ราวกับว่าสิ่งต่างๆเหล่านั้นเกิดขึ้นแค่เพียงเวลาชั่วข้ามคืน
     

    เรื่องที่ผ่านมาจะคิดว่ามันเป็นแค่ความฝันก็คงได้สินะ...
     

    เก็บผ้าเช็ดหน้าลงกระเป๋าแล้วสูดหายใจเข้าปอดแรงๆหนึ่งที เขากำลังตั้งสติเพื่อเดินกลับเข้าบ้านไป วันนี้เขาออกมาโดยไม่ได้บอกพี่จินอูว่าไปไหน ถ้าเกิดพี่จินอูรู้เรื่องเขาคงจะไม่ดีแน่ เพราะงั้นเขาจึงต้องพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด
     

    ยังไงซะความจริงแล้ว... เรื่องราวที่เกิดขึ้นเหล่าก็ไม่ได้มาจากความรักของจุนฮเวเอง
     

    เขามันก็เป็นได้แค่เครื่องมืออย่างหนึ่ง... เท่านั้น
     

    ในเมื่อรั้งต่อไปไม่ไหว... เขาก็จะหยุด...
     

    ถึงแม้จะรู้ว่ามันยากเย็นแค่ไหนก็ตาม...

     

     

     

     


     

     

    ท่ามกลางสถานเริงรมย์ยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยเสียงเพลงและดนตรีจังหวะเร็วที่เปิดเอาไว้ให้ขาแดนซ์ได้โยกกันอย่างสนุกสนาน ซงมินโฮกำลังทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ วันนี้เป็นวันแรกที่เขาได้มาเริ่มงานเป็นบาร์เทนเดอร์ งานพวกนี้เขาเคยทำมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะต้องทำความคุ้นเคยกับมัน และเนื่องจากเขาก็เป็นเพียงนักศึกษาทั่วไป ทางร้านจึงให้เขาได้ทำงานตามเวลาที่เหมาะสม คือตั้งแต่หกโมงเย็นจนถึงห้าทุ่มซึ่งเป็นเวลาเดียวกับเด็กคนก่อนที่เพิ่งลาออกไป
     

    ตอนนี้เป็นเวลาเกือบๆสี่ทุ่มลูกค้าจึงค่อนข้างแน่นร้าน และก็คงจะแน่นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆจนร้านปิด มินโฮหันซ้ายหันขวาเพื่อหยิบนั่นจับโน่นมาผสมไปเรื่อยตามออร์เดอร์ที่ได้รับมา เรียกได้ว่าชำนาญซะจนเด็กเก่าที่ยืนดูอยู่ถึงกับอึ้งไปเลย และนั่นก็คงรวมถึงเด็กหนุ่มเจ้าของทรงผมแสกกลางที่กำลังอ้าปากค้างจ้องเขาตาไม่กระพริบนั่นด้วยอีกคน
     

    โอเค... มินโฮเพิ่งรู้ว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่เด็กที่ชอบเที่ยวผลาญเงินอย่างที่เขาคิดไว้ในตอนแรก แต่เขาก็เดาถูกว่าเด็กม.ปลายที่กำลังนั่งเอามือเท้าคางบนบาร์พลางทำคิ้วตกอยู่นี่แอบทำงานอยู่ในร้านนี้จริงๆ
     

    เพราะตอนที่มินโฮเริ่มงานเมื่อหกโมงเย็นเขาก็เห็นเด็กคนนี้แบกกีตาร์ขึ้นไปเล่นบนเวทีพร้อมกับร้องเพลง ซึ่งเขาก็รู้สึกว่ามันเพราะมากทีเดียว ถ้าจำไม่ผิด... เด็กคนนี้ชื่อนัมแทฮยอนสินะ เด็กที่พยายามจะช่วยปลอบใจเขาในวันนั้น และเมื่อวันก่อนตอนที่เขามาลองงานก็ได้เจอกันแค่แว๊บเดียว
     

    “พี่ไม่เห็นบอกผมเลยว่าจะมาทำงานที่นี่” สงสัยว่าแทฮยอนจะเห็นว่าเขาว่างแล้วจึงเข้ามาชวนคุยด้วย
     

    “เห็นนายบอกว่ามาที่นี่บ่อย ก็เลยคิดว่าเดี๋ยวคงรู้อยู่ดี ทำไม? เซอร์ไพรส์หรอ?” ร่างสูงตอบพลางเช็ดมือที่เพิ่งจะล้างเสร็จคู่นั้นของเขา
     

    “ก็... นิดหน่อย” ตอบออกมาพลางทำปากยู่เล็กน้อยเหมือนกำลังใช้ความคิดอะไรบางอย่างก่อนจะโพล่งคำถามอีกข้อขึ้นมา “แล้วพี่... หายเฮิร์ทแล้วหรอ?”
     

    “หืม...” มินโฮเงียบไปซักพักในขณะที่กำลังมองเจ้าเด็กคิ้วตกขี้สงสัยตรงหน้านี่ “ยังหรอก ไม่เคยอกหักไง? ของแบบนี้ต้องใช้เวลานะ”
     

    “...ไม่เคยอะ” จริงๆร่างโปร่งนั้นควรตอบไปว่าเคยแต่หักอกคนอื่นเสียมากกว่า เพราะไม่ว่าจะกี่รายๆที่แทฮยอนเคยคบด้วยต่างก็โดนแทฮยอนบอกเลิกไปทั้งนั้น “เวลาที่ว่านี่นานแค่ไหน?”
     

    “ไม่รู้เหมือนกันแฮะ ก็คงอีกไม่นาน หรือถ้าเลวร้ายกว่านั้นก็...ตลอดไป”
     

    “เฮ้ย!” สบถออกมาเสียดังจนร่างสูงต้องเลิกคิ้วมอง
     

    “อะไร?”
     

    “เปล่าครับ... ผมแค่จะสั่งเหล้า”
     

    “เป็นเด็กเป็นเล็กจะกินไปทำไม พรุ่งนี้วันจันทร์นายมีเรียนไม่ใช่หรอ” มินโฮเอ่ยขึ้นเมื่อรู้สึกต้องการสั่งสอนเด็กตรงหน้า ดูท่าแล้วเด็กคนนี้ก็คงจะถูกตามใจจนเคยตัว และเท่าที่คุยกันมาก็รู้ได้ว่านิสัยของแทฮยอนยังเหมือนเด็กที่ยังไม่โตด้วยซ้ำ
     

    “โห่ ผมไม่ใช่เด็กๆแล้วเหอะ”
     

    “อ่อ...หรอ?” ทำหน้ายียวนกวนประสาทคนตรงหน้าเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มให้เหมือนตอนที่เขาชอบยิ้มให้กับบรรดาน้องๆของเขาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่โตมาด้วยกัน เพราะอยู่ๆเขาก็รู้สึกเอ็นดูแทฮยอนเหมือนกับเป็นน้องชายของตัวเอง
     

    “...” แต่ร่างโปร่งก็นิ่งไปซะอย่างนั้นจนมินโฮต้องเอามือไปปัดๆตรงหน้าให้ได้สติ “ค..ครับ”
     

    “เป็นอะไรไปฮึเรา? ในห้องเรียนก็ชอบนั่งเหม่อแบบนี้ประจำหรอ”
     

    “เปล่าซะหน่อย ผมเป็นคนตั้งใจเรียนนะจะบอกให้...” แต่อาทิตย์ที่แล้วเพิ่งโดดไปทั้งอาทิตย์...
     

    “จริงดิ?” มินโฮทำหน้าเหมือนไม่ค่อยอยากเชื่อแต่ก็ขำออกมาพลางยื่นมือไปขยี้ทรงผมแสกกลางนั่นเบาๆ ทั้งๆที่เพิ่งรู้จักกัน  แต่พวกเขากลับคุยกันราวกับรู้จักกันมานานมาก “ตั้งใจเรียนอะดีแล้ว”
     

    “...ค..ครับ อะ...เอ่อ อืม.. งั้นพี่คงชอบคนตั้งใจเรียนสินะ ค...คือหมายถึงพี่ชอบคนเรียนเก่ง อา... อย่างนั้นใช่มั้ย ง...งั้นสินะ”
     

    “เป็นอะไรของนาย?” ร่างสูงขมวดคิ้วอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่าเด็กที่นั่งคุยกับเขาอยู่ข้างหน้านี่ดูแปลกๆไป “แต่ก็ประมาณนั้นแหละมั้ง ใครจะไม่ชอบคนเรียนเก่งล่ะ?”
     

    “อ...อ่อ”
     

    “นี่ก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว นายไม่กลับบ้านรึไง?” มินโฮถามด้วยความสงสัยเพราะเขาเห็นว่าเด็กคนนี้เลิกงานตั้งแต่สามทุ่มเมื่อผับเริ่มเปิดดนตรี
     

    “ก็กำลังจะกลับ แบบว่า...กะจะกลับไปอ่านหนังสือไรเงี๊ย”
     

    “โอ้โห ขยันแฮะ”
     

    “แน่นอนดิ ก็บอกแล้วว่าผมตั้งใจเรียน”
     

    “อืมๆ งั้นก็กลับดีๆล่ะ พี่ไปทำงานต่อละ” มินโฮเอ่ยลาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันกลับไปทำหน้าที่ของตนต่อเมื่อถูกคิมจีวอนเรียก
     

    “...ครับ” ทิ้งให้ร่างบางนั่งคิดอะไรอยู่เพียงลำพังซักพักก่อนจะลุกเดินออกจากร้านไป


     

    วันก่อนตอนที่เห็นมินโฮยืนคุยกับจีวอนจนเขาต้องเรียกจีวอนเข้ามาถามว่านั่นมันอะไรกัน พอได้คำตอบว่าร่างสูงนั้นกำลังจะเข้ามาทำงานที่นี่ด้วยอยู่ๆก็ออกอาการมึนไปซักพัก ไม่หรอก... จริงๆวันนั้นเขาก็เมามากด้วยนั่นแหละ สุดท้ายก็เลยต้องกลับบ้านไปทั้งอย่างนั้น ตื่นขึ้นมาถึงจะนึกถึงคำพูดของจีวอนได้อีกที
     

    นัมแทฮยอนไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับใครมาก่อน ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันเขาก็รู้สึกถูกชะตากับพี่ชายคนนั้นอย่างบอกไม่ถูก อยู่ๆก็อยากใกล้ชิดอยากสนิทสนมด้วย ยิ่งพอรู้ว่าพี่ชายคนนั้นเพิ่งถูกหักอกมาเขาก็ยิ่งอยากเข้าไปอยู่ใกล้ๆ แต่พอได้คุยกับมินโฮอีกครั้งเขากลับทำตัวไม่ถูกซะอย่างนั้น ทั้งๆที่ปกติตอนอยู่กับเพื่อนเขาเป็นคนที่ออกจะพูดมากที่สุดเลยแท้ๆ
     

    เป็นอย่างนี้ได้ไงกันนะ...
     

    นี่เขา...ต้องบ้าไปแล้วจริงๆ...




     

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    ขออัพ 50% ก่อนนะคะ พอดีพรุ่งนี้มีสอบ เดี๋ยวหลังสอบมาอัพต่อนะคะ จุ๊บๆ >3<
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    100% แล้ว แฮ่ๆ รอบนี้ปล่อยให้คู่มินัมได้ออกมาโลดแล่นกันบ้าง เดี๋ยวจะเหงา อิอิ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×