คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : [BJin] My J -ONE-
My J
-ONE-
...ผมกำลังรู้สึกว่าตัวเองแปลกไป...
แล้วอะไรที่มันแปลกไปล่ะ? นั่นสิ... ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน เพราะช่วงนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองหงุดหงิดบ่อยซะเหลือเกิน พอใครทำอะไรไม่ถูกใจเข้าหน่อยก็พาลหาเรื่องเค้าไปทั่ว หรือจะบอกว่าเป็นเพราะการที่ผมรับหน้าที่เป็นลีดเดอร์เลยต้องทนรับแรงกดดันจนเครียดมันก็อาจจะใช่ แต่ผมว่ามันก็ยังไม่ใช่ทั้งหมดอยู่ดี...
ผมไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้อยากให้ใครมาเข้าใจผมนักหรอก... ผมไม่อยากให้ใครเป็นห่วง เพราะงั้นปล่อยไปเรื่อยๆแบบนี้เดี๋ยวก็คงหายเป็นปกติเองนั่นแหละ
“หมดเวลาพักแล้ว รีบไปซ้อมกันเดี๋ยวนี้เลย ให้ไวๆ” ผมตะโกนเสียงดังลั่นห้องทันทีที่เห็นเวลาเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาหนึ่งทุ่มตรง
สมาชิกสามคนที่นั่งหน้าสลอนอยู่ในห้องหันมามองทางผมเป็นตาเดียวก่อนจะโอดครวญว่าขอพักอีกซักหน่อยไม่ได้หรือไง ...ก็อยากจะอนุโลมอยู่หรอกนะ แต่นี่มันก็ถึงเวลาที่ตกลงกันเอาไว้แล้ว และถ้าขืนยืดเวลาออกไปอีกทีนี้เมื่อไหร่จะได้กลับหอกัน?
“ฮันบินฮยองอ่า~ อีกแป๊บนึงแล้วกันเนอะ ถึงยังไงบาบิฮยองกับจินฮวานฮยองก็ยังไม่กลับมาเลย” ดงฮยอกเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อนๆตามสไตล์น้องเล็ก ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คงมองว่าน่ารักดีแถมยังจะยอมทำตามเลยด้วยซ้ำ
แต่ก็อย่างว่าแหละ... ผมบอกแล้วว่าช่วงนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองแปลกๆไป ยิ่งพอได้ยินประโยคนั้นก็ยิ่งอารมณ์เสียขึ้นมาโดยไร้เหตุผล ไม่สิ... เหตุผลก็เพราะว่าบาบิฮยองกับจินฮวานฮยองพากันออกไปซื้อของกินด้านนอกแล้วไม่ยอมกลับมาเข้ามาซักทีนี่ไง
ใช่ๆ... ตอนนี้ผมว่าผมคงอารมณ์เสียเรื่องที่สองคนนั้นกำลังผิดเวลากันอยู่แหง
ผมคิดว่างั้นนะ...
“งั้นให้เวลาอีกสิบนาที ถ้าพวกนั้นยังไม่มาเราก็ต้องซ้อมก่อนไปเลย” ผมพูดตัดปัญหาพลางเดินเข้าไปนั่งพักต่อตรงที่นั่งมุมห้อง
จุนฮเวที่นั่งแผ่หลาอยู่ข้างๆกำลังนั่งจิ้มโทรศัพท์อย่างเมามันส์... สงสัยจะติดเกมอีกตามเคย ส่วนถัดไปนั่นก็เป็นยุนฮยองที่กำลังนั่งถ่ายรูปตัวเองอยู่หลายสิบช็อต ไม่รู้ว่าจะถ่ายอะไรกันนักกันหนา แต่ก็นะ... ผมเคยถามไปแบบนั้นอยู่เหมือนกัน ซึ่งก็ได้รับคำตอบกลับมาทันทีว่า
‘ช่วยไม่ได้นี่ คนมันหน้าตาดี’
ครับ... ผมก็เลยไม่รู้จะพูดอะไรต่อเพราะพูดไม่ออกจริงๆ หน้าตาดีกับชอบถ่ายเซลก้ามันเกี่ยวกันตรงไหนวะ ผมไม่เห็นจะเข้าใจเลย อาจจะเป็นเพราะผมไม่ค่อยถ่ายรูปด้วยล่ะมั้ง ไม่ใช่ว่าไม่ชอบอะไรขนาดนั้นนะ... ก็แค่ไม่ถ่าย... เท่านั้นแหละครับ
“โอ๊ยแม่งงงงงง ตายอีกละ” อยู่ๆเด็กตัวโตที่นั่งเล่นเกมอยู่ก็โวยวายใส่โทรศัพท์ในมือจนผมต้องหันไปมองด้วยความสงสัย
เกมยอดฮิตกำลังปรากฏอยู่บนหน้าจอพร้อมกับคะแนนสกอร์ที่จุนฮเวทำได้ล้านกว่าๆ
“อ่อน” จริงๆผมก็ไม่ได้ค่อยได้เล่นเกมเท่าไหร่หรอกครับ แต่เท่าที่ดูๆมาเกมนี้ไม่เห็นจะเล่นยากตรงไหนเลย
“โห่ ฮยองลองมาเล่นเองมั้ยล่ะ เอาให้ได้สองล้านดิ”
“แล้วถ้าเกิดได้ขึ้นมาจริงๆจะทำไง?” ผมยักคิ้วใส่น้องชายหนึ่งทีขณะที่ถามออกไปอย่างนั้น
“...พวกเราจะยอมลุกขึ้นไปซ้อมเดี๋ยวนี้เลย!”
“เฮ้ย!!” คงเพราะคำตอบของจุนฮเว เลยทำให้อีกสองคนที่เหลืออยู่ในห้องส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจ แถมยังจ้องมองไปยังน้องเล็กตัวโตที่พูดอะไรไม่ยอมปรึกษากันบ้าง
“หึ... พูดแล้วห้ามคืนคำนะเว้ย”
ผมแอบเห็นจุนฮเวกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากขณะมองไปยังเพื่อนและพี่ชายอีกคนอย่างรู้สึกผิด แต่ดูเหมือนลึกๆก็คงมั่นใจแหละว่าผมคงทำไม่ได้แน่ๆ คือผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้เหมือนกันนะ... แต่ยังไงมันก็ไม่มีอะไรเสียหายนี่ ไม่ได้ก็ช่างมัน แต่ถ้าเกิดฟลุ๊คขึ้นมาก็มีแต่ได้กับได้เห็นๆ
“ง..งั้นถ้าฮยองไม่ได้สองล้านต้องถูกลงโทษนะ” จุนฮเวเอ่ยพลางยัดโทรศัพท์ใส่มือผมอย่างรวดเร็วเหมือนเป็นการบังคับด้วยการพูดเองเออเอง
อะไรวะ? สรุปไอ้ที่มีแต่ได้กับได้เห็นๆของผมสงสัยจะไม่ใช่ละ...
ไอ้เด็กนี่... ร้ายนักนะ
เฮ้อ... ผมถอนหายใจดังพรืดพร้อมกับเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาจดจ้อง และตอนนี้สมาชิกทุกคนที่อยู่ในห้องก็กำลังมารุมดูผมกันหมด แม่งน่าตื่นเต้นขนาดนั้นเลยหรอวะ? ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเวลาเล่นเกมมันต้องจริงจังขนาดนี้ แถมไอ้พวกที่นั่งล้อมอยู่ข้างๆนี่ก็ทำให้ผมกดดันหนักกว่าเก่าอีก ช่างแม่ง... เล่นก็เล่นวะ... ผมตัดสินใจกดเริ่มเกมและเล่นอย่างมีสมาธิ โดยพยายามไม่ให้อะไรเข้ามารบกวนสายตาได้เป็นอันขาด
โคตรง่าย... นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิดหลังจากที่สกอร์ของผมพุ่งขึ้นเป็นเจ็ดแสน
ผมคิดว่าตัวเองน่าจะมีโอกาสชนะคำท้าบ้างแล้วล่ะ ถ้ามันไม่ติดตรงที่หลังจากเล่นไปได้อีกซักพัก ...มันก็ตาย
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ ไงล่ะฮยอง มาให้พวกผมลงโทษซะดีๆ”
ชิบ... รู้งี้ไม่น่าพลาดไปท้ากับจุนฮเวตั้งแต่แรกเลย นั่งอยู่เฉยๆยังจะดีซะกว่า
“อีกห้านาทีจะถึงเวลาซ้อมแล้ว เพราะงั้นจะให้ทำอะไรก็รีบๆบอกมา ไม่งั้น...อด” ผมรีบยื่นคำขาดเมื่อเห็นช่องทางที่ทำให้ตัวเองรอดได้
จุนฮเวกำลังทำหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่ในขณะที่ดงฮยอกกับยุนฮยองพากันแยกย้ายกลับไปอยู่ในมุมของตัวเองอย่างเดิม สองคนนั้นคงจะไม่สนใจอะไรเท่าไหร่ตั้งแต่แรก ซึ่งผมว่านั่นก็มันก็ดีแล้ว
“เร็วๆดิเฮ้ย”
“แป๊บนึงดิฮยอง ก็มันคิดไม่ออกอะ” จุนฮเวขมวดคิ้วแน่นจนผมเริ่มกังวลว่ามันจะให้ทำอะไรกันแน่ “...ออกไปตะโกนหน้าตึกดีมั้ยฮยอง เอาคำว่าไรดี?”
“ไม่เอาเว้ย! จะให้ทำอะไรก็ทำในนี้ดิ ขี้เกียจออกไป”
“โห่ย... ฮยองไม่รักษาสัญญาเลยนี่หว่า” เจ้าตัวพูดพลางทำหน้าหงอ แต่พอผมถลึงตาใส่เข้าหน่อย จุนฮเวก็รีบเปลี่ยนสีห้าทันที ...ต้องให้ใช้อำนาจมืดตลอด “เออๆ งั้นฮยองไปทำหน้าประหลาดๆใส่กล้องซักรูปก็ได้ นู่นอะ ยุนฮยองกำลังถ่ายรูปอยู่พอดี”
จุนฮเวทำท่าบุ้ยใบ้ไปทางอีกคนที่กลับไปนั่งเซลก้าตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว ซึ่งอีกฝ่ายก็ลดโทรศัพท์ลงก่อนจะหันหน้ามามองด้วยความสงสัยประมาณว่า ...กูเกี่ยวอะไรด้วยวะ?...
“ทำหน้าประหลาดยังไง”
“เอาแบบที่ดูแล้วมันตลก ดูแล้วมันฮาโคตรๆ แบบนี้อะๆ” ว่าแล้วก็ทำท่าเหลือกตาขึ้นมองเพดานพร้อมทำปากจู๋โชว์ผมทันที
อื้อหือ... บอกเลยครับว่างานนี้ผมไม่สู้...
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” แต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าท่าทางของน้องเล็กตัวโตนั่นทำเรียกเสียงหัวเราะจากคนทั้งห้องได้เป็นอย่างดี ขนาดผมที่ตอนแรกว่าหงุดหงิดๆอยู่ก็เริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาเฉยเลย
“ขำอะไรกันนักหนา” จุนฮเวยู่หน้าเล็กน้อยขณะมองทุกคนหัวเราะก่อนจะหันกลับมาทางผม “ไปทำดิฮยองอะ”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ เออๆ เอากล้องมายืมหน่อยฮยอง” ผมลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งข้างๆกับยุนฮยองที่กำลังขำค้างและขำหนักไม่แพ้กัน
ส่วนดงฮยอกน่ะหรอ... ลงไปขำกลิ้งอยู่บนพื้นห้องเรียบร้อยแล้วครับ...
“เมื่อไหร่จะเลิกหัวเราะกันซักที ผมให้ฮันบินฮยองทำนะ ทำไมผมเหมือนโดนลงโทษซะเองล่ะ!?” เจ้าน้องเล็กตัวโตยืนขึ้นมาโวยวายทันที
“ก็แม่งตลกจริงๆนี่หว่า ฮึฮึ...” ผมเอามือกุมท้องและพยายามที่จะหยุดขำ
“งั้นเปลี่ยนใจละ ฮยองถ่ายเซลก้าคู่กับยุนฮยองไปเลยละกัน พากันหัวเราะผมดีนัก แต่ไม่เอาแบบธรรมดานะบอกไว้ก่อน” จุนฮเวเดินเข้ามาวนเวียนอยู่ใกล้ๆพร้อมกับออกบทลงโทษใหม่ที่ผมฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจ หรือขำเพลินจนสมองไม่รับรู้อะไรแล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน
คือผมต้องทำหน้าตลกกับฮยองงี้หรอ? งงครับ
“ให้ทำอะไรก็รีบๆบอกมาเหอะ จะได้ซ้อมกันซักที” ผมแอบลอบยิ้มกับยุนฮยองแบบขำๆเมื่อเห็นท่าทางที่ดูอารมณ์เสียของจุนฮเว
“...ฮยองหันข้างดิ” หมอนั่นสั่งผมขณะที่เจ้าของกล้องก็เริ่มยกโทรศัพท์ขึ้นมา “นั่นแหละๆ หน้าชิดๆกันหน่อยดิ”
ต้องชิดด้วยหรอวะ? แค่นี้จมูกผมก็จะชนแก้มยุนฮยองเค้าอยู่แล้วนะ แต่เออๆ... ทำก็ทำวะ เมื่อกี้หัวเราะน้องมันเยอะไปหน่อยชักเริ่มสงสาร ภาพตาเหลือกปากจู๋นั่นมันติดตาผมมากจริงๆ พอนึกแล้วก็อยากจะปล่อยฮาอีกซักรอบ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
“โหยเนี่ยยยยย มองด้านข้างแล้วสันจมูกฮยองโคตรคมเลย ชิดอีกนิดนึงงงงงง นั่นแหละๆ ถ่ายเลย!” นะ... แล้วผมก็บ้าจี้ทำตามที่มันบอกซะทุกอย่าง ตอนนี้ภาพบนหน้าจอที่ออกมาดูยังไงๆก็เหมือนผมกำลังหอมแก้มยุนฮยองอยู่ ...ก็ตลกดีครับ เราทั้งคู่มองภาพนั้นแล้วหัวเราะออกมากันอีกรอบ
“อ้าว! บาบิฮยอง จินฮวานฮยอง” เสียงของดงฮยอกที่นอนกลิ้งอยู่บนพื้นดังขึ้น ทำให้ผมกับอีกสองคนที่อยู่ข้างๆหันกลับไปมองตรงประตูอย่างรวดเร็ว
“มีเรื่องอะสนุกๆกันหรอ? ได้ยินเสียงหัวเราะตั้งแต่เดินเข้ามาเลย” บาบิฮยองเอ่ยพลางวางถุงที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นถุงขนมลง
“พวกฮยองแกล้งผมกันอะ” พอได้ที จุนฮเวก็ชักเอาใหญ่ มาทำเป็นฟ้องทั้งๆที่ผมไม่ได้รังแกอะไรเลย ก็แค่ขำนิดๆหน่อยๆเท่านั้นเอง...มั้งนะ
ว่าแต่สองคนนี้เดินเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าจินฮวานฮยองที่กำลังเดินไปเตรียมตัวซ้อมอยู่หน้ากระจกถึงได้ไม่ยอมสบตากับผมเลย ฮยองจะเห็นตอนที่ผมถ่ายรูปกับยุนฮยองรึเปล่านะ? แล้วทำไมผมต้องมากังวลเรื่องที่ฮยองเค้าจะเห็นหรือไม่เห็นด้วยล่ะ
ต่อให้จินฮวานฮยองเห็นภาพนั้นก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นซักหน่อย ในเมื่อเราไม่ได้เป็นอะไรกัน... ไม่สิ นี่ผมกำลังคิดอะไรอยู่... พวกเราเป็นพี่น้องกันนะ...
แต่ทำไมมันถึงได้น่าหงุดหงิดนักก็ไม่รู้... ฮยองสองคนพากันออกไปข้างนอกตั้งนานแล้วเพิ่งจะกลับมาเอาป่านนี้ แถมฮยองตัวเล็กก็ทำท่าเหมือนไม่อยากมองหน้าผม นี่ผมทำอะไรผิด? ผมสิที่ควรโมโหเรื่องผิดเวลาซ้อม หรือถ้าผมไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไป...
ไม่หรอกมั้ง...
โอ๊ย! หงุดหงิดโว๊ย!! ทำไมอะไรๆมันก็ไม่ได้ดั่งใจเอาซะเลยนะ ไอ้เรื่องที่ทำให้ผมหัวเราะได้เมื่อกี้มันหายไปหมดและแทนที่ด้วยเรื่องบ้าบออะไรก็ไม่รู้
เรื่องที่ทำให้ผมสับสนจนเครียด...
ตลอดระยะเวลาในการซ้อมของช่วงค่ำนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกอึดอัด และที่สำคัญคือมันก็เกิดขึ้นจากตัวผมเองทั้งนั้น แม้จะพยายามควบคุมอารมณ์และจดจ่ออยู่กับการเต้นมากแค่ไหนก็ไม่ได้ช่วยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลย มีแต่จะพาลให้อารมณ์เสียมากขึ้นเรื่อยๆ
“ดงฮยอก!! บอกแล้วไงว่าท่านั้นต้องยกมือขึ้นอีกหน่อยน่ะ!!” ผมตะโกนเสียงดังเมื่อเห็นว่าน้องเต้นผิดเป็นครั้งที่หกแล้ว
ทั้งๆที่จริงผมก็ไม่ควรว่าน้องขนาดนั้นเลย ผมรู้... แต่ผมห้ามตัวเองไม่ได้ และการที่เต้นผิดแบบนั้นก็ไม่ใช่ความผิดของดงฮยอกด้วยซ้ำ มันเป็นเพราะผมเองต่างหากที่เอาแต่จ้องและกดดันจนน้องกลัวแล้วเต้นไม่ถูก
“ข..ขอโทษครับ” เขาก้มหัวลงเล็กน้อยตอนที่บอกผมอย่างนั้น
อา... แล้วทำไมผมต้องไปลงที่น้องด้วยล่ะ นี่มันบ้าชะมัดเลย!
“ใจเย็นน่าฮันบิน” บาบิฮยองเดินเข้ามาแตะไหล่ผมเบาๆ เขารู้ว่าเวลาที่ผมเป็นแบบนี้ควรทำยังไง แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่... ผมรู้สึกว่าตัวเองกลับรู้สึกหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมอีก
ทำไมล่ะ... มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่?
“งั้นก็เลิกซ้อมก่อนแล้วกัน เพราะซ้อมต่อไปก็ไม่ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นมาหรอก” เสียงจินฮวานฮยองประกาศขึ้นในฐานะพี่คนโต ฮยองคงเห็นว่าตอนนี้ลีดเดอร์อย่างผมนั้นทำหน้าที่ดูแลสมาชิกทุกคนไม่ไหวแล้วถึงได้ออกปากเองอย่างนี้ “ใครอยากอยู่ต่อก็อยู่ไป ใครจะกลับก็รีบกลับไปพักซะ”
แล้วอย่างผมนี่ควรกลับไปพักด้วยรึเปล่า... บางที ถ้าได้พักมันอาจจะช่วยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง...
ตอนนี้จุนฮเวกับดงฮยอกเดินไปเก็บกระเป๋ากันแล้ว ส่วนทางยุนฮยองเองก็เหมือนกัน... ทีนี้เลยเหลือแค่ผมกับบาบิฮยองและจินฮวานฮยองที่ยังคงนั่งอยู่ในห้องขณะที่คนอื่นเริ่มทยอยเดินออกไป
เราสามคนลุกขึ้นมาซ้อมกันต่ออีกซักพักโดยไม่มีใครพูดอะไรทั้งนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืน บาบิฮยองก็ทำท่าว่าจะกลับด้วยอีกคน โดยปกติแล้วคนที่อยู่ในห้องซ้อมคนสุดท้ายมักจะเป็นผม และคืนนี้มันก็คงจะเป็นอย่างนั้น...
จินฮวานฮยองเดินไปเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเป้ของตัวเองแล้วเช่นกัน อยู่ๆผมก็มีความรู้สึกที่อยากจะเดินเข้าไปแล้วบอกกับฮยองว่า ‘กลับพร้อมผมนะ’ ...แต่ผมไม่ได้มีความกล้ามากมายอะไรขนาดนั้น แล้วอีกอย่างมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฮยองจะต้องมากลับพร้อมผมนี่
สุดท้ายก็เลยได้แต่นั่งมองดูทั้งสองคนเดินออกจากห้องซ้อมไป...
หลังจากนั้นผมก็ล้มตัวลงไปนอนแผ่หลาอยู่บนพื้นก่อนจะยกมือขึ้นมาก่ายหน้าผากด้วยความรู้สึกที่สับสน... ภาพที่เห็นเมื่อกี้ผมไม่ชอบเลยจริงๆ... แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงได้ไม่ชอบ ทั้งที่ผมควรจะเข้าใจตัวเองมากที่สุดแต่ผมกลับไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ ทุกวันนี้ผมเหนื่อยกับความรู้สึกของตัวเองเหลือเกิน
ยิ่งพยายามค้นหาคำตอบ... ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันช่างเลือนราง
แต่อย่างน้อย... ผมก็ยังพอรู้ว่าคนที่ทำให้ผมต้องเป็นแบบนี้ก็คือ... จินฮวานฮยอง
เป็นเวลาซักพักกว่าที่ผมจะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ดังนั้นผมจึงลุกขึ้นมาซ้อมและเก็บรายละเอียดอีกนิดหน่อยก่อนจะกลับหอ ...ป่านนี้ทุกคนคงเข้านอนกันหมดแล้วล่ะมั้ง
ผมกดรหัสผ่านและเปิดประตูเข้าห้องไปอย่างเคยชิน แล้วแสงไฟจากหน้าประตูสว่างขึ้นโดยอัตโนมัติ ผมรีบเก็บรองเท้าก่อนจะเดินเข้าตรงไปทิ้งกระเป๋าไว้ในห้องนั่งที่เล่นที่มืดสนิทของพวกเรา ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะเดินไปเปิดไฟแต่ก็เห็นว่ามีแสงไฟสลัวๆเล็ดลอดออกมาจากด้านในครัวซะก่อน ดังนั้นผมจึงเปลี่ยนเส้นทางเพื่อเดินเข้าไปดูให้ชัดๆว่าสมาชิกคนไหนที่ลุกขึ้นมากลางดึกอย่างนี้
พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็มองเห็นร่างเล็กคุ้นตาทันที
“จินฮวานฮยอง...”
“เพิ่งกลับหรอ?” เจ้าของใบหน้าใสหันมามองผมขณะที่ปิดตู้เย็นลงด้วย
“ครับ... แล้วฮยองยังไม่นอนอีก?”
“หิวน้ำน่ะ ...งั้นไปนอนก่อนแล้วกัน” คนตัวเล็กว่าพลางทำท่าจะเดินจากไป
“เดี๋ยวสิครับ” แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรที่ทำให้ผมพูดออกไปอย่างนั้น แถมยังเดินเข้าไปขวางทางข้างหน้าซะจนอีกฝ่ายถอยหลังหลบแทบไม่ทันอีกต่างหาก “คุยกับผมแป๊บนึงได้มั้ย...”
“คุยอะไร?”
“คือ... ผมว่าวันนี้ผมทำตัวไม่ดีเลย”
“ก็รู้ตัวนี่” จินฮวานฮยองตอบก่อนจะยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมากอดอก “นายไม่ควรใส่อารมณ์กับการซ้อมขนาดนั้นเลยจริงๆ พี่ไม่รู้หรอกนะว่านายเป็นอะไร แต่นายก็ต้องแยกแยะเรื่องซ้อมกับเรื่องส่วนตัวให้มันถูกต้องด้วยสิ ...เมื่อก่อนก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้ไม่ใช่รึไง”
“นั่นสิ... เมื่อก่อนผมไม่เห็นจะเป็นแบบนี้เลย” ผมถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า “งั้นผมขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย?”
“อืม” ใบหน้าหวานโยกคลอนเบาๆเพื่อเป็นการอนุญาต
“เมื่อตอนเย็นฮยองเห็นผมถ่ายรูปกับยุนฮยองรึเปล่า?”
“...” นัยน์ตาสวยนั่นไหวเล็กน้อยก่อนที่จะเสมองไปทางอื่น “...เห็น”
“แล้วฮยองคิดว่ายังไง”
“อะไร?”
“ผมหมายถึงว่าฮยองรู้สึกยังไงที่เห็นตอนนั้น”
“ก็แค่ถ่ายรูปหอมแก้มกันเล่นๆไม่ใช่หรอ?” คนตัวเล็กตอบพลางเบือนหน้ากลับมามองผมนิดหน่อย
“ฮยองคิดแบบนั้นจริงๆหรอ...”
“อืม”
“...แล้วถ้าผมบอกว่าผมอยากให้ฮยองรู้สึกไม่ชอบล่ะ”
“นายกำลังจะพูดอะไรกันแน่คิมฮันบิน” ดวงตาเรียวคู่นั้นหรี่ลงทันทีขณะที่จ้องมองมาทางผมอย่างไม่เข้าใจ
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกำลังเป็นบ้าอะไรกันแน่ แต่ทุกครั้งที่เห็นฮยองสนิทกับคนอื่นมากกว่า หรือแม้แต่กับบาบิฮยอง ผมก็ไม่ชอบ... แล้วทำไมผมต้องรู้สึกอย่างนั้นด้วยล่ะ ทำไมผมต้องรู้สึกอย่างนั้นอยู่คนเดียว... มันไม่แฟร์เลย” ตอนนี้ไม่ว่าผมจะคิดอะไร ผมก็พูดออกมาหมดแล้ว ผมแค่หวังว่าการระบายออกมาครั้งนี้มันจะช่วยทำให้ผมเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง
“สรุปคือนายไม่รู้จริงๆใช่มั้ยว่าตัวเองเป็นอะไร”
“บางทีผมก็แค่อาจจะไม่อยากยอมรับมันมากกว่า...” ผมพูดก่อนจะก้มหน้าลงช้าๆแล้วทบทวนสิ่งที่ติดค้างอยู่ภายในใจ เพราะว่าตั้งแง่ปฏิเสธความจริงมาตลอดสินะ ถึงได้เอาแต่หงุดหงิดกับตัวเองอยู่แบบนี้ แล้วถ้าหาก... ถ้าหากว่าผมยอมรับมันได้... ผมจะกลับไปเป็นคิมฮันบินคนเดิมได้รึเปล่า “ผมคิดว่าผมคงชอบ-…”
“กลับไปคิดทบทวนดูให้ดีๆก่อนเถอะ บางทีนายอาจจะยังไม่พร้อมจริงๆ”
“ฮยอง...” เสียงของผมเบาหวิวตอนที่เงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนตัวเล็กอีกครั้ง
“พี่รู้ว่านายคิดยังไง... แต่มันก็ไม่ได้หมายความพี่จะปฏิเสธหรือรังเกียจอะไรหรอกนะ” จินฮวานฮยองพูดด้วยสีหน้าที่ดูเหนื่อยๆพลางลดแขนที่กอดอกอยู่นั้นลงไปแนบข้างลำตัว “นายไม่อยากยอมรับว่าตัวเองกำลังชอบผู้ชายใช่มั้ยล่ะ ถ้ามันยากมากขนาดนั้นนายก็อย่าเพิ่งพูดอะไรออกมาตอนนี้เลย”
ฮยองรู้?... แม้แต่ฮยองยังรู้แล้วทำไมผมถึงได้มัวแต่โง่อยู่ตั้งนานนะ... เรื่องที่ฮยองบอกว่าผมไม่ยอมรับนั้นมันก็ถูกต้องแล้วล่ะ ในเมื่อผมไม่เคยรู้สึกแบบนั้นกับใครมาก่อนมันก็เลยทำให้ผมไม่แน่ใจกับความรู้สึกของตัวเอง
“ทำไมฮยองถึงได้พูดเหมือนเคยชอบผู้ชายมาก่อนเลย”
“ไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นหรอก นายสนใจเรื่องของตัวเองไปเถอะ” เจ้าของเสียงหวานเอ่ยออกมาเป็นประโยคสุดท้ายก่อนจะเดินผ่านตัวผมไปอย่างรวดเร็ว
ผมไม่ได้รั้งจินฮวานฮยองไว้และปล่อยให้ตัวเองยืนอยู่ที่เดิมต่อไปเพียงลำพัง ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวผมมีเพียงความเงียบสงัดยามค่ำคืน... ความคิดในหัวของผมเหมือนมันจะตีกันจนยุ่งเหยิง แต่เอาจริงๆแล้วมันว่างเปล่าไปหมด ผมควรจะคิดได้แล้วว่าควรหยุดอยู่เพียงเท่านี้หรือจะปล่อยให้ความรู้สึกของตัวเองถลำลึกต่อไป...
...และหากจะบอกว่าความรักนั้นไม่จำเป็นต้องสนเรื่องของกฎธรรมชาติที่ชายหญิงต้องคู่กัน งั้นบางที... ผมอาจจะทำเป็นลืมๆมันไปได้เหมือนกันสินะ?
ผมคิดว่าตอนนี้ผมเลือกได้แล้ว...
โทรศัพท์ของผมถูกยกขึ้นมาก่อนที่ผมจะตัดสินใจเปิดแอพพลิเคชั่นยอดฮิตที่มีไอคอนสีเหลืองแล้วไล่หาชื่อใครบางคน... ข้อความมากมายที่เคยส่งคุยกันปรากฏอยู่บนหน้าจอและแน่นอนว่าผมก็ไม่เคยลบมันออกไปเลย ผมพิมพ์ข้อความสั้นๆแล้วกดส่งไปหลังจากที่ลังเลอยู่ซักพัก
...
...
...
‘ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ผมรู้แค่ว่าผมชอบฮยอง’
แม้ข้อความนั้นจะขึ้นว่าถูกอ่านไปแล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววที่อีกฝ่ายจะตอบอะไรกลับมาเลย ซึ่งผมก็รู้อยู่แล้วล่ะว่ามันต้องเป็นแบบนี้... ผมต้องหาโอกาสไปพูดกับเจ้าตัวตรงๆอีกครั้งอย่างแน่นอน...
ฝันดีนะครับ... จินฮวานฮยอง...
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หายไปจากเรื่องนี้ตั้งนาน โปรเจ็คใหม่ผุดอีกแล้ว เฮ~~~ หลายคนคงจะแบบ...นังนี่นี่อะไรนักหนาห๊า 5555555555
ก่อนอื่นขอชี้แจงยาวๆเลยแล้วกันนะคะ ;w; ...คือตอนแรกตั้งใจว่าจะหาโอกาสเปิดเรื่องบีจินแบบนี้นานแล้ว
อยากเปิดเรื่องที่อิงเรียลหน่อยๆโดยให้ตัวละครดำเนินเรื่องไปแบบเรื่อยๆและใช้ฟีล'ความสัมพันธ์แบบไม่มีชื่อเรียก'
แล้วจังหวะเหมาะที่มีรูปบินยุนหลุดมาพอดีก็เลยเรียบเรียงพล็อตออกมาด้วยความไวแสง(?)
สำหรับเรื่องนี้ก็เหมือนเป็นโปรเจ็คหนึ่งยาวๆที่จะมาต่อตามโมเมนต์หรือแล้วแต่โอกาสอ่าค่ะ
เราเลยไม่อยากเปิดเรื่องใหม่เพราะเดี๋ยวมันจะดูเยอะเกินไป ยังไงเรื่องนี้ก็ต้องดองแน่ๆอะไรอย่างนี้ #กรรม 55555
ถ้ามีคนอ่านเยอะก็จะพยายามขุด My J -TWO- ออกมาอย่างแน่นอน เพราะที่จบไปตอนนี้ก็ค้างละเกิลลล หุหุ
ปล. เรื่องนี้ชื่อยุนฮยองจะเรียกสั้นๆ ยุนฮยอง=พี่ยุน นะคะ เพราะถ้าเรียกยุนฮยองฮยองแล้วมันจะสับสนมาก TvT
ยังไงก็ขอฝากฟิคมายเจเรื่องนี้ด้วยแล้วกันเนอะ ><
แถมๆ สำหรับคู่บินยุน เป็นฟิคที่แต่งขึ้นมาชั่ววูบค่ะ 5555555 셀카 w/ You http://twishort.com/wjefc
สรุปคือรูปหลุดเป็นเหตุจริงๆอะงานนี้ -..-
ความคิดเห็น