ตอนที่ 15 : ▶GEMINI || Chapter 14 : ฝาแฝด
Author : Forget Me Not
ฝาแฝด
หลังจากเกิดเรื่องเมื่อคืนเจ้าหัวขโมยซึลกิก็นอนไม่หลับแทบทั้งคืน จนต้องออกมานั่งเล่นเดินเล่นที่สวนหลังปราสาทใหญ่จนเช้า เมื่อคืนเธอพยายามวิ่งตามเจ้าหญิงเวนดี้แต่ก็วิ่งไม่ทันเพราะเธอไม่ค่อยรู้ทางในปราสาทเท่าใดนัก และพอกลับไปที่ห้องนอนอีกครั้งเธอก็พบเพียงความว่างเปล่าไร้ซึ่งวี่แววของเจ้าหญิงไอรีนผู้มอบจุมพิตรักษาบาดแผลให้เธอ แต่เธอกลับปฏิเสธมันไปอย่างไร้เยื่อใย มิหนำซ้ำยังทิ้งให้เจ้าหญิงไอรีนต้องจมดิ่งอยู่กับความรู้สึกไม่ดีเพียงลำพังอีก แต่มาคิดได้ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว
นี่มันบุญหรือบาปอะไรหล่นทับเธอ!
ทำไมเจ้าหญิงแห่งคาร์นต้องมาชอบเธอพร้อมกันทั้งสองคน!
คนสามัญธรรมดาต๊อกต๋อยอย่างเธอ แค่เกิดมาก็รู้สึกต้อยต่ำจะแย่อยู่แล้ว นี่ยังเกิดมาเป็นคนธรรมดาๆ ที่เจือกเป็นหัวขโมยกระจอกงอกง่อย แล้วยังต้องจับพลัดจับผลูมาคลุกคลีกับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินอีก
มือจะกุดหัวจะขาดเข้าสักวันมั้ยไอ้ซึลกิ...
“ปัญหารุมเร้าว่างั้น” เสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือขึ้นไปบนกิ่งไม้ใหญ่ พอมองขึ้นไปเห็นเด็กสาวผมแดงเจ้าของเสียงนั้น ซึลกิก็ตกใจรีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่เด็กสาวผมแดงนามว่าจอยก็ยังกระโดดตามลงมาอีก แถมยังจ้องหน้าเธอไม่วางตาอีกต่างหาก “ดูจากสีหน้าแล้ว... ท่าทางจะเป็นปัญหาหัวใจ”
“!!!!!!” เค้ารู้ได้ยังไง!
ท่าทางกระวนกระวายปิดความลับไว้ไม่มิดของซึลกิดูน่าตลกจนจอยกลั้นขำแทบไม่อยู่ แต่เจ้าคนหน้าหมีนี่ก็คงต้องมีดีพอตัวอยู่บ้างล่ะ ไม่อย่างนั้นเจ้าหญิงฝาแฝดผู้สูงศักดิ์แห่งอาณาจักรคาร์นคงไม่ตกหลุมรักคนตรงหน้าจนหัวปักหัวปำ
“รักพี่ เสียดายน้อง หรือไม่ก็... รักน้อง เสียดายพี่” ซึลกิได้แต่ตาโตกับคำพูดของจอย มิหนำซ้ำหน้าตาเหมือนไม่ยี่หระสนใจปัญหาสักเท่าไหร่นั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกหมั่นไส้ปนหัวเสียขึ้นมานิดๆ อย่าทำเหมือนกับว่าปัญหานั้นมันเป็นเรื่องกล้วยๆ ง่ายๆ แบบนั้นสิ
“พะ... พูดอะไรของเจ้าน่ะ” ซึลกิตะกุกตะกักไปหมด แววตาล่อกแล่กเหมือนเด็กถูกจับได้ตอนทำผิดนั่นยิ่งไม่เนียนเข้าไปอีก คนแหย่เลยหลุดขำออกมาเบาๆ ไม่คิดเลยว่าบุคลิกนิสัยจะซื่อบื้อเหมือนหน้าตาด้วย ผิดกับตอนจับดาบสู้ปีศาจในวันนั้นลิบลับเลย ให้ตายเถอะ
“มีอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่มีข้าจะไปแล้ว” พอถูกต้อนเข้าหน่อยซึลกิก็หาโอกาสจะชิ่งลูกเดียว แต่จอยคงไม่ปล่อยให้ซึลกิชิ่งหนีไปง่ายๆ หรอก เพราะว่า...
“องค์ราชินีแทยอนมีพระราชประสงค์ให้เจ้าร่วมโต๊ะเสวยเช้านี้ด้วย”
“!!!!!!!!!!!!!!!!”
พอได้ฟังที่จอยบอกมา ซึลกิก็พาร่างเสมือนไร้วิญญาณของตัวเองเดินกลับไปอาบน้ำอาบท่าแต่งตัวที่ห้องด้วยความจำใจ แล้วออกมาพร้อมชุดใหม่เอี่ยมที่ทางมาเดนตระเตรียมไว้ให้ กระจกที่โถงทางเดินยาวสะท้อนภาพหญิงสาวในชุดเสื้อแขนยาวสีขาวตัวโปร่งปล่อยชาย มีเสื้อรัดลำตัวสีดำผูกสายไขว้ด้านหน้าดูทะมัดทะแมง ประกอบกับกางเกงหนังสีดำขายาวรับกับส่วนสูงของผู้ใส่เป็นอย่างดี การแต่งกายสะอาดสะอ้านไม่ต่างจากลูกผู้ดีมีสกุล ทว่าสีหน้าของซึลกิกลับดูเหี่ยวเฉาเต็มกลืน เท้าทั้งสองข้างที่สวมบูทสีเข้มออกก้าวเดินไปอย่างไร้เรี่ยวแรง หรือไม่ก็คงกำลังจะล้มฟุบลงไปกับพื้นในไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้แล้ว
‘ทำไมราชินีแทยอนต้องให้เธอไปร่วมโต๊ะอาหารเช้าที่เต็มไปด้วยบรรดาราชินี เจ้าหญิง และองครักษ์ด้วย’ เป็นคำถามที่ไม่ว่ายังไงซึลกิก็ไม่มีวันคิดออก แถมยังยากทำใจที่จะยอมรับอีกด้วย
หรือว่านี่จะเป็นบทลงโทษของนักโทษต้องประหาร โทษฐานที่บังอาจทำให้พระธิดาฝาแฝดขององค์ราชินีแห่งคาร์นต้องขุ่นข้องหมองใจ
ใช่... ต้องใช่แน่ๆ
หลอกให้กินข้าวจนอิ่มหนำสำราญ ก่อนจะทำการเชือดคอแล้วโยนทิ้งป่าแบบดิบเถื่อน เพราะฉะนั้นเธอจะไม่มีวันแตะต้องอาหารที่อยู่บนโต๊ะเป็นอันขาด!
เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องเสวยแม่หัวขโมยหน้ามนก็ทำท่าเหมือนจะขาดใจตายอยู่รอมร่อ เมื่อกี้เธอชะโงกหน้าเข้าไปดูหน่อยเดียวก็เกือบดึงหน้ากลับมาแทบไม่ทัน และแทบจะสติแตกไปหมดเมื่อรู้ว่าชาวบ้านเค้ามานั่งรอกันจนจะครบองค์ประชุมอยู่แล้ว ขาดก็แต่เธอคนเดียว ชนักความผิดติดหลังเธอยาวเป็นหางว่าวแล้วล่ะมั้ง ซึลกิเหงื่อตกพลั่กๆ ไปหมด จนกระทั่งสตรีวัยกลางคนที่เจ้าหญิงแฝดเรียกว่าคุณพยาบาลสาวเท้าเดินหน้าเคร่งมาฉับๆ
“มาถึงแล้วก็มัวชักช้าโอ้เอ้อะไรอยู่ข้างนอกล่ะแม่คุณ”
“ขอข้าทำใจแป๊บนึงได้มั้ยคุณพยาบาล” ซึลกิพยายามยื่นข้อต่อรอง เผื่อเวลาชีวิตของเธอจะยืนยาวไปอีกสักวิสองวิ
“องค์ราชินีกับเจ้าหญิงทรงหิวจะแย่อยู่แล้ว มันน่าจับไปเฆี่ยนให้หลังลายเสียจริงๆ ตามข้ามา!” ซึลกิจำต้องยอมเดินขาแข็งตัวแข็งเข้าไปแต่โดยดี
“มาแล้วเพคะ”
และทันทีที่เจ้าหัวขโมยเดินเข้าไปในห้องเสวย นัยน์ตาทุกคู่ของทุกคนในห้องก็จับจ้องมายังเธอเป็นตาเดียวจนซึลกิอยากหันหลังแล้ววิ่งหนีไปให้ไกล แต่พอมาเห็นที่นั่งที่เว้นว่างไว้ระหว่างเจ้าหญิงไอรีนกับเจ้าหญิงเวนดี้ เธอก็แทบอยากกัดลิ้นให้ขาดใจตายไปซะตอนนี้เลย
ใครมันเป็นคนจัดโต๊ะ!
เอาอะไรคิดเนี่ย ให้เธอนั่งคั่นกลางระหว่างเจ้าหญิงไอรีนกับเจ้าหญิงเวนดี้...
บ่นไปงั้นแหละ รู้ตัวอีกทีก้นเธอก็นั่งแหมะลงที่เบาะเก้าอี้ตัวหรูซะแล้ว และทันทีที่เงยหน้าขึ้นมาเจ้าหัวขโมยก็หน้าเจื่อนไปโดยฉับพลัน เม็ดเหงื่อเริ่มผุดพรายเต็มใบหน้า มือที่กำแน่นเกร็งเริ่มเย็นชื้น ได้แต่นั่งมองตรงไปข้างหน้าพลางใช้ลูกตาเหล่มองชาวบ้านเค้าไปทั่ว เพราะไม่กล้าหันซ้ายหันขวามองใครตรงๆ จนคอจะเคล็ดลูกตาจะกระเด้งออกมาข้างนอกอยู่แล้ว อย่าว่าแต่หันไปมองใครเลย ขนาดเจ้าหญิงไอรีนที่นั่งอยู่ทางขวากับเจ้าหญิงเวนดี้ที่นั่งอยู่ซ้ายใกล้ๆ นี่ เธอยังไม่กล้าหันไปเอ่ยทักทายเลย รู้แค่ว่าทั้งสองคนแต่งองค์ทรงเครื่องมาซะเต็มยศ ต่างแค่เจ้าหญิงไอรีนอยู่ในชุดกระโปรงฟูฟ่องสีชมพูอ่อนเปิดไหล่ดูงดงาม ส่วนเจ้าหญิงเวนดี้นั้นอยู่ในชุดกระโปรงฟูฟ่องสีฟ้าอ่อนแขนยาวมีระบายลูกไม้สีขาวประดับดอกกุหลาบสีน้ำเงินเล็กๆ ดูน่ารัก
ถัดจากเจ้าหญิงเวนดี้ไปก็น่าจะเป็นราชินีทิฟฟานี่ ถามว่าทำไมถึงรู้ เพราะหน้าตาเจ้าหญิงเวนดี้นี่เคาะพิมพ์เดียวกันมาจากคนเป็นแม่เลย เลยไปที่หัวโต๊ะฝั่งซ้ายมือเธอก็คือราชินีเจสสิก้าที่ยังคงมีใบหน้านิ่งหยิ่งทะนงนับตั้งแต่วันแรกที่พบ จนกระทั่งราชินีทิฟฟานี่ผู้เป็นน้องสาวฝาแฝดเอนกายไปกระซิบกระซาบบางอย่างด้วย ราชินีเจสสิก้าถึงหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่นัยน์เนตรทรงอำนาจคู่นั้นจะตวัดมองมายังเธอด้วยความขบขัน
นี่ทั้งสองพระองค์กำลังนินทาอะไรเธออยู่หรือเปล่า!
เยื้องราชินีเจสสิก้าไปหน่อยก็เป็นท่านราชองครักษ์ยูริที่บัดนี้แต่งองค์ทรงเครื่องด้วยเครื่องแบบทหารองครักษ์สีแดงของมาเดนอย่างสง่าผ่าเผย แต่ไม่เข้าใจอยู่อย่างนึงทำไมเค้าถึงเอาแต่จ้องมองเธอไม่วางตา แถมดวงตาสีม่วงคมเข้มนั่นยังมองไปมาระหว่างเธอกับเจ้าหญิงแฝดเหมือนจะจับผิดพิรุธให้ได้
ถัดมาคราวนี้เป็นเจ้าฟ้าหญิงเยริรัชทายาทแห่งอาณาจักรมาเดน ไม่องค์ราชินีก็ท่านราชองครักษ์นี่แหละต้องเห่อลูกน่าดู เพราะไม่ว่าเธอจะเดินไปที่ไหนของปราสาทก็จะมีรูปวาดตั้งแต่สมัยยังแบเบาะยันปัจจุบันของเจ้าหญิงเยริให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ แม้เด็กน้อยจะหน้าดุไม่ต่างจากคนเป็นแม่ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ หากแต่พอปากรูปสามเหลี่ยมคว่ำแย้มรอยยิ้มขึ้นมาเมื่อใด โลกใบนี้ก็เหมือนจะสดใสขึ้นทันตา เจ้าหญิงน้อยกำลังจ้องไปยังแก้วน้ำใสโดยไม่สนใจคุณพยาบาลที่ยืนอยู่เยื้องๆ โต๊ะเสวยพร้อมกับสีหน้าตกอกตกใจที่เห็นเจ้าหญิงที่ตัวเองอบรมมากับมือเล่นพิเรนทร์บนโต๊ะเสวยอย่างไม่สำรวมกิริยา และทันใดนั้นไอเย็นเยียบก็แผ่กระจาย น้ำในแก้วค่อยๆ จับตัวแข็งจนมันกลายเป็นน้ำแข็งแข็งโป๊ก ทีแรกซึลกิก็นึกว่าเจ้าหญิงน้อยจะถูกดุแต่ที่ไหนได้องค์ราชินีกลับหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จอยที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอจะใช้พลังของตัวเองละลายน้ำแข็งในแก้วนั้นให้พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน
ส่วนทางซ้ายมือของจอยก็คือเจ้าหญิงยุนอาแห่งอาณาจักรภูตภูเขา ที่มีสีหน้าจ๋อยห่อเหี่ยวใจไม่ได้ทิ้งท้ายต่างจากเธอเท่าใดนัก คาดว่าคงมีสาเหตุมาจากเรื่องที่ทำให้ท่านราชองครักษ์ฟิวส์ขาดซัดหมัดใส่วันนั้นแน่ๆ คิดว่าอย่างน้อยเธอก็ไม่ใช่คนที่ตกที่นั่งลำบากที่สุดล่ะมั้ง...
แล้วซึลกิก็ต้องกลืนคำพูดนั้นลงกระเพาะไปในทันที เมื่อดวงตาสีนิลของราชินีแทยอนปราดเข้ามาสบเต็มๆ สองตาของเธอ
ไม่อยากมองใครอีกแล้ว!
ควักทิ้งเลยได้มั้ยไอ้ลูกตาไม่รักดี!
“เจ้าคงจะเป็นซึลกิสินะ” ราชินีแทยอนเว้นจังหวะพูดชั่วครู่ พร้อมๆ กับทั้งห้องที่เงียบลงกะทันหัน
“...” ซึลกิไม่กล้าตอบได้แต่หลุบตาลงต่ำ พร้อมกับพยักหน้าลงหงึกๆ
แต่พอเงยหน้าขึ้นมาคราวนี้ ปรากฏว่ามีเพียงเธอกับราชินีแทยอนเท่านั้นที่ยืนอยู่สนามหญ้าเขียวขจีของที่ไหนสักที่ องค์ราชินีผู้มีใบหน้างดงามสวยสะพรั่งและอ่อนเยาว์ไม่ต่างจากลูกสาวทั้งสอง ทรงชุดสีดำกางเกงขายาวคล้ายๆ เธอ ต่างแค่ที่เอวนั้นมีดาบหน้าตาประหลาดคาดมาด้วย มิหนำซ้ำปีกใหญ่สีทะมึนดั่งพญาอินทรีด้านหลังองค์ราชินียังกางออกกว้าง ก่อนจะกระพือเรียกลมพายุขนาดย่อมให้พัดว่อน
โดนเล่นแล้วมั้ยล่ะไอ้ซึลกิ...
“เดินเล่นก่อนกินข้าวหน่อยเป็นไง”
“...” ถามว่าใครจะกล้าขัด...
“ได้ยินมาว่าเจ้าเป็นคนช่วยชีวิตลูกสาวฝาแฝดของข้า”
“หม่อมฉันช่วยเท่าที่คนธรรมดาอย่างหม่อมฉันพอจะช่วยได้” ซึลกิตอบอ้อมแอ้มโดยไม่กล้าสู้สายตาสตรีตรงหน้า
“ขอบใจเจ้ามาก” คำตอบกลับจากองค์ราชินีทำให้เจ้าหัวขโมยแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
ใครก็บอก ใครก็ลือกันว่าราชินีแห่งคาร์นพระองค์นี้โหดเหี้ยมและน่าหวั่นเกรงยิ่งกว่ากษัตริย์องค์ไหนๆ ที่เคยมีมา แล้วทำไมคนโหดเหี้ยมตรงหน้าถึงเอื้อนเอ่ยคำขอบคุณพร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่นดั่งแสงอาทิตย์ที่ฉาบไปทั่วทั้งแผ่นดินแบบนั้นได้
“เจ้ามองหน้าข้าเหมือนข้าเป็นตัวประหลาด” ราชินีแทยอนรับสั่งเสียงหน่ายพระทัยเมื่อเห็นซึลกิมองตาไม่กะพริบ
“ปะ.. เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้นองค์ราชินี” ซึลกิรีบโบกมือส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน
“ก็คงจะประหลาดจริงๆ คนธรรมดาที่ไหนบ้างจะมีปีกติดอยู่ที่หลังเหมือนข้า” ราชินีแทยอนยิ้มพราย “ว่าแต่เจ้ากลัวมันบ้างไหมล่ะ” ซึลกิส่ายหน้าเป็นครั้งที่สองของวัน
“หม่อมฉันคิดแค่ว่ามันจะเกะกะองค์ราชินีบ้างมั้ยก็เท่านั้น” คำตอบซื่อๆ ของซึลกิทำให้ราชินีแทยอนอดสรวลออกมาไม่ได้
ซึลกิไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ที่เธอเคยพบ บางคนกลัวเธอจนฉี่จะราดแต่กลับแกล้งทำเป็นกล้าหาญชาญชัย บางคนแค่หวังจะมาเกาะลูกสาวเธอกินไปวันๆ เท่านั้น พอเจอเธอเล่นงานเข้าหน่อยก็หายหัวกันไปหมด แต่เด็กคนนี้กลับเป็นห่วงการใช้ชีวิตด้วยปีกใหญ่มากกว่าจะเกรงกลัวรูปลักษณ์ภายนอกที่เหมือนปีศาจของเธอ
“ก็ดี... ถ้าเจ้าไม่กลัว เราก็อยู่ร่วมชายคาเดียวกันได้”
“!!!” คำพูดของราชินีแทยอนทำเอาซึลกิตาโตหันขวับไปหาคนพูดคอแทบเคล็ด ราชินีแทยอนคงไม่ได้หมายความตามที่พูดจริงๆ หรอกใช่มั้ย
“เห็นหน้าจืดๆ ไม่คิดเลยว่าจะเสน่ห์แรงขนาดนี้” ราชินีแทยอนหยุดเดินแล้วหันมาสบตาซึลกิที่ตอนนี้ชักจะหนาวๆ ร้อนๆ สั่นเป็นลูกหมาตกน้ำไปหมดทั้งตัว “เสน่ห์แรงจนลูกสาวฝาแฝดของข้าหลงรักหัวปักหัวปำ ว่าแต่เจ้าเป็นชาวคาร์นหรือเปล่า”
“หม่อมฉันเป็นชาวคาร์นแต่กำเนิด” ซึลกิตอบเสียงเบา
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็น่าจะรู้จารีตประเพณีดีว่าชาวคาร์นจะมีคู่ครองเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ถ้าเจ้ารักไอรีนเจ้าก็ควรสารภาพกับไอรีนไปตามตรง แต่ถ้าเจ้ารักเวนดี้เจ้าก็ควรสารภาพกับเวนดี้ไปตามตรง อย่าปล่อยให้ความสัมพันธ์มันคลุมเครือคาราคาซังอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ข้าอยากร่วมงานวิวาห์ของเจ้า มากกว่างานศพของเจ้า จงจำไว้”
“...” เจ้าหัวขโมยหน้าซีด น้ำลายหนืดคอไปหมด
แล้วทำไมต้องเป็นงานศพเธอด้วยล่ะ?!
หรือว่าองค์ราชินีแทยอนจะคิดว่าถ้าเธอเป็นตัวปัญหาสำหรับคาร์นนักล่ะก็สู้ฆ่าทิ้งซะดีกว่า...
“ทำหน้าซีดไปได้ ลูกสาวข้ารักเจ้าขนาดนั้น ข้าจะทำได้ลงคออย่างไร” พลันสตรีตรงหน้าก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นมาราวกับเป็นคนละคน “แล้วสรุปว่าระหว่างไอรีนกับเวนดี้ เจ้ามีใจให้ใครมากกว่ากัน”
“หม่อมฉัน...” พอถึงเวลาต้องตัดสินใจจริงๆ ซึลกิก็ใบ้กินไปต่อไม่ถูก
เพราะว่าเธอไม่ได้รักเจ้าหญิงไอรีนมากกว่าเจ้าหญิงเวนดี้
และเธอก็ไม่ได้รักเจ้าหญิงเวนดี้มากกว่าเจ้าหญิงไอรีน
แต่ว่าเธอ... รักทั้งคู่เท่ากัน
“หม่อมฉันรักเจ้าหญิงแฝดเท่ากัน” น้ำคำฟังดูหนักแน่นจนราชินีแทยอนแอบแย้มสรวลในพระทัย
“รู้ไหมว่าคนเป็นพ่อแม่บางคนยังรักลูกไม่เท่ากันเลย ยิ่งกับคนรักกัน... ยิ่งเชื่อยาก”
“แต่ไม่ใช่กับหม่อมฉัน”
“ถ้าเช่นนั้นเราก็คงต้องพิสูจน์” สิ้นเสียงนั้นพลธนูสองนายก็ปรากฏขึ้นด้านหลังราชินีแทยอน พร้อมกับเล็งปลายลูกธนูแหลมไปยัง... เจ้าหญิงแฝด!
“ซึลกิ! ช่วยข้าที!” เจ้าหญิงไอรีนกับเจ้าหญิงเวนดี้ที่ถูกมัดกับเสาร้องเรียกขอความช่วยเหลือสุดเสียงจนซึลกิหันมาหาราชินีแทยอนด้วยอารมณ์เดือดดาลที่ใกล้จะระเบิดอยู่รอมร่อ
“เจ้ามีเวลาแค่ข้านับหนึ่งถึงสามในการวิ่งไปช่วยลูกสาวข้าคนใดคนหนึ่ง ซึ่งนั่นหมายความว่าเจ้ารักนางมากที่สุด”
“แต่..”
“หนึ่ง!” ราชินีแทยอนเริ่มนับ ในขณะที่ซึลกิได้แต่กำมือแน่นฟังเสียงร้องตะโกนขอความช่วยเหลือจากเจ้าหญิงทั้งสองอย่างเจ็บปวดใจ
“สอง!”
“ส...”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงนั้นดี ซึลกิก็หมุนตัวพุ่งเข้าไปดึงดาบที่คาดอยู่ที่เอวของราชินีแทยอนแบบไม่แคร์โลกออกมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับฟาดฟันคมดาบเข้ากับคันธนูของทหารทั้งสองนายจนพังยับเยินด้วยความโกรธภายในเสี้ยววินาที
ทว่าราชินีแทยอนได้แต่นิ่งอึ้งกับการกระทำของเด็กสาว แทนที่ซึลกิจะวิ่งไปช่วยลูกสาวเธอคนใดคนหนึ่ง แต่ซึลกิกลับทำในสิ่งที่ทำให้เธอต้องทึ่งมากกว่า ด้วยการช่วยชีวิตลูกสาวของเธอทั้งคู่อย่างที่ได้ลั่นวาจาไปก่อนหน้านี้จริงๆ
“นั่นธิดาของพระองค์นะ! พระองค์จะให้ทหารเล็งธนูใส่อย่างไร้ซึ่งความปรานีได้ยังไงกัน!” ซึลกิเดินเข้ามาเผชิญหน้าองค์ราชินีแทยอนแบบลืมตัว แถมยังถลึงตามองคนตรงหน้าแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมด้วยความโมโหถึงขีดสุด
“มันเป็นเพียงภาพมายาน่ะเด็กน้อย อย่าลืมสิว่าข้าเป็นแม่ของไอรีนกับเวนดี้ เจ้าคิดว่าข้าจะกล้าทำอย่างนั้นกับลูกข้าจริงๆ หรือ” พอราชินีแทยอนชี้แจงเสร็จ ภาพของเจ้าหญิงแฝดแล้วก็พลธนูทั้งสองคนก็ค่อยๆ จางหายไป
“องค์ราชินีคงสนุกมากที่ได้ปั่นหัวหม่อมฉันเล่น” ซึลกิโมโหจัดจนลืมตัวไปสนิท “พาหม่อมฉันออกไปจากที่นี่ซะที” มิหนำซ้ำยังออกปากสั่งองค์ราชินีแห่งคาร์นด้วยน้ำเสียงที่บ่งชัดถึงความไม่พอใจอย่างยิ่ง หรือไม่ก็คงจะโมโหหิว ยังดีที่ราชินีแทยอนไม่ได้ถือสา แถมยังเดินเข้ามากอดคอว่าที่ลูกเขยพร้อมกับเอ่ยเสียงนุ่ม
“มาเถอะ ได้เวลาอาหารเช้าสำหรับครอบครัวเราแล้ว”
รู้สึกตัวอีกทีอาหารเลิศรสมากมายก็ถูกยกมาวางเรียงเป็นตับตรงหน้าเต็มไปหมด แต่ว่าซึลกิไม่ได้มีอาการอยากอาหารเลยแม้แต่นิด เพราะมัวแต่ระแวงว่าจะโดนสั่งโบยสิบยกโทษฐานอาละวาดสติแตกใส่องค์ราชินีไปเมื่อครู่ หน้าตาของเจ้าหัวขโมยในตอนนี้จึงแลดูพะอืดพะอมเต็มทน
“ไม่สบายหรือ” ราชินีแทยอนถามซึลกิ พร้อมนัยน์เนตรเป็นประกายที่ฉายถึงความสนุกที่ได้แกล้งเจ้าคนซื่อ
“หม่อมฉันสบายดี” ซึลกิส่ายหน้าซีดๆ ของตัวเองไปมา ทว่าองค์ราชินีแทยอนเลิกพระขนงขึ้นเหมือนถามกลายๆ ว่าเจ้าแน่ใจ? จนกระทั่งราชินีทิฟฟานี่ที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะเสวยกระแอมไอขึ้นเบาๆ ราชินีแทยอนจึงหยุดแหย่ซึลกิทันที แต่ราชินีเจสสิก้ากลับเป็นฝ่ายพูดหยอกขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้ากินไม่หมดเจ้าหลังลายแน่”
“พี่สิก้า!” ราชินีทิฟฟานี่รวบช้อนส้อมแล้วหันไปจ้องเขม็งพี่สาวฝาแฝดทันที ก่อนจะลดเสียงพูดให้ได้ยินกันแค่สองคน “พี่ไม่เห็นหรือไงว่าซึลกิเกร็งจะตายอยู่แล้ว”
“ก็เด็กมันน่าแกล้ง” ราชินีเจสสิก้าตอบราชินีทิฟฟานี่พร้อมรอยยิ้มเลศนัยก่อนหันไปหาซึลกิ “ตามสบายนะซึลกิ คิดเสียว่านั่งกินข้าวกับครอบครัวของเจ้าก็ได้”
ยิงธนูดอกเดียวได้นกสามตัว...
ราชินีเจสสิก้าทรงขำในพระทัยไม่หยุด เห็นสีหน้าตื่นๆ ของเจ้าเด็กหน้าหมีว่าตลกแล้ว มาดูหน้าลูกสาวฝาแฝดเจ้าหน่อยเถอะฟานี่ กระวนกระวายอยู่ไม่สุขเหมือนวันนัดดูตัวแฟนพอกันทั้งคู่ โดยเฉพาะไอรีน หลานสาวผู้เฉลียวฉลาดและเพียบพร้อมทั้งกิริยามารยาท แต่ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาตกม้าตายให้กับสิ่งที่เรียกว่า... ความรัก
“กินเยอะๆ นะซึลกิ/ กินเยอะๆ นะซึลกิ” สองเสียงของเจ้าหญิงฝาแฝดประสานขึ้นพร้อมกับอาหารที่ถูกตักใส่จานของซึลกิพร้อมกันท่ามกลางดวงตาทุกคู่ จนเจ้าหญิงไอรีนกับเจ้าหญิงเวนดี้จึงต้องรีบทำทุกอย่างที่มันผิดปกติให้กลับมาปกติอย่างเร็วที่สุด ทั้งสองเลยแก้เขินด้วยการยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มพร้อมกัน แล้วก็ต้องตกเป็นเป้าสายตาเข้าไปกันใหญ่เพราะอยู่ๆ ฝาแฝดที่ไม่เคยมีอะไรเหมือนกันเลย แต่วันนี้กลับใจตรงกันเป็นพิเศษ
ที่น่าตลกยิ่งกว่า คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากซึลกิที่พยายามเขี่ยอาหารที่เจ้าหญิงแฝดตักให้ใส่ในช้อนเดียวแล้วยัดเข้าปากไปคำเบ้อเร่อ ไม่ใช่เพราะหิว แต่เป็นเพราะเธอกลัวว่าถ้าเธอเลือกกินของคนใดคนหนึ่งก่อน อีกคนจะน้อยใจ เลยตัดปัญหาด้วยยัดเข้าไปให้หมดเลยเนี่ยแหละ
“ความสัมพันธ์ซับซ้อนดีแฮะ” จอยกระซิบข้างหูเจ้าหญิงเยริเบาๆ
และเป็นครั้งแรกเลยที่เจ้าหญิงเยริรู้สึกว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่ไม่ได้เกิดมามีฝาแฝดเหมือนพี่ไอรีนกับพี่เวนดี้ แต่ขออย่างเดียว ขออย่าให้เกิดเรื่องวุ่นๆ กับพี่สาวทั้งสองคนของเธอเลย
“อาหารมื้อนี้อร่อยจังเพคะ แถมยังหน้าตาแปลกๆ เหมือนหญิงไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” เจ้าหญิงเยริรีบเปลี่ยนเรื่อง พยายามทำให้บรรยากาศที่มันกลืนไม่เข้าคายไม่ออกตรงหน้านี้ดีขึ้น
“หญิงจะเคยเห็นได้อย่างไร นี่มันไม่ใช่อาหารของโลกเรา” ราชินีเจสสิก้าตอบผู้เป็นลูกสาวที่กำลังทำหน้าอึ้ง ส่วนซึลกินั้นเตรียมวางช้อนส้อมลงจานแล้ว
‘ไม่ใช่อาหารของโลกเรา... แล้วมันถูกส่งมาจากไหน?! กินแล้วจะตายมั้ย ฮืออ’
“แม่ไม่เคยบอกหญิงหรือว่าเสด็จน้าทิฟฟานี่ของเจ้าเกิดที่นี่ แต่เพราะเกิดเรื่องวุ่นวายนิดหน่อยตอนพวกเรายังเล็กเสด็จน้าของหญิงจึงต้องไปเติบโตที่มิติอื่น อาหารพวกนี้จึงเป็นสูตรที่เสด็จน้าของเจ้าจำมาทำให้พวกเรากินกัน” ราชินีเจสสิก้าอธิบายให้ลูกสาวตัวน้อยฟัง
‘สรุปว่าอาหารพวกนี้... กินได้ ใช่มั้ย’ ซึลกิยังคงลังเล ทั้งที่ความจริงก็กินเข้าไปแล้ว
“งั้นก็แสดงว่าวันนี้เสด็จน้าทิฟฟานี่ลงทุนเข้าห้องเครื่องเองเลยใช่มั้ยเพคะ” เจ้าหญิงเยริหันไปถามน้องสาวฝาแฝดของมารดาด้วยสีหน้าแจ่มใส
“น้าไม่ได้ทำคนเดียวนะ พี่ไอรีนกับพี่เวนดี้ของเราก็ช่วยน้าทำเหมือนกัน” ราชินีทิฟฟานี่ตอบพร้อมรอยยิ้มงดงาม
“ท่าทางข้าต้องขอสูตรอาหารจากเจ้ามาทำให้คนทางนี้กินบ้างเสียแล้ว”
คำพูดเปรยจากราชินีเจสสิก้าทำให้ท่านราชองครักษ์ยูริที่กำลังกระดกน้ำขึ้นดื่มเกิดอาการสำลักจนเกือบพ่นน้ำออกมาจากปากในทันใด ก่อนจะส่ายหน้าส่งสัญญาณให้ราชินีทิฟฟานี่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามว่าห้ามถ่ายทอดสูตรอาหารพวกนั้นให้คนรักของตนเด็ดขาด เพราะไม่ว่าสูตรอาหารจะรสเลิศมาจากที่ใดก็ตาม แต่ถ้าได้ผ่านมือและกระบวนการปรุงอาหารแบบพิสดารจากเจสสิก้าแล้วล่ะก็ มันก็ไม่ต่างอะไรกับยาถ่ายดีๆ นี่เอง
ดูเหมือนว่าเหล่าทวยเทพจะเห็นใจตอบรับคำขอของเธอ เพราะเรื่องวุ่นๆ มันดันมาหวยออกที่เธอแทนซะงั้น พอกินอาหารเช้าไปได้สักพักท่านแม่ยูริก็ขอตัวออกไปตรวจตราความเรียบร้อยนอกวังก่อนตามปกติ และเพราะท่านแม่ไม่อยู่มันจึงเป็นการเปิดทางให้ท่านน้ายุนอาเข้าหาเธอง่ายขึ้น
“หญิง... หญิง...” เสียงเรียกจากท่านน้ายุนอาดังไล่หลังขึ้นมาทันทีที่เจ้าหญิงเยริเดินออกจากห้องเสวย แต่เท้าน้อยๆ ก็ยังออกเดินไปอย่างเร่งรีบเหมือนไม่ได้ยินเสียงเพรียกหานั้น จนกระทั่ง... “เยริ!”
ยุนอารีบวิ่งมาคว้าข้อมือของเยริไว้ทันที แต่เจ้าหญิงน้อยพยายามสะบัดออก “ท่านน้า หญิงเจ็บ”
“หญิงจะหลบหน้าน้าไปอีกนานแค่ไหน” ยุนอาถามพร้อมกับคลายมือออกหลวมๆ แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากหลานสาว
“หญิงไม่ได้หลบค่ะ” เจ้าหญิงเยริพูดโดยไม่สบตาคนตรงหน้า เพราะกลัวว่าเค้าจะจับไต๋ได้ว่าตัวเองโกหก
“ถ้าหญิงไม่ได้หลบหน้าน้า งั้นเรามาคุยกันดีๆ ได้มั้ย” ยุนอาส่งสายตาอ้อนวอนมาจนเยริไปต่อไม่ถูก อีกทั้งน้ำเสียงก็ยังน่าสงสารจับใจจนเกือบใจอ่อนแล้ว “มาปรับความเข้าใจเรื่องของเรากันก่อนนะ”
“หญิงว่าเราไม่มีเรื่องต้องปรับความเข้าใจกัน หญิงเข้าใจท่านน้าทุกอย่างค่ะ” ดวงตาแข็งๆ ของเยริจ้องลึกกลับเข้าไปไร้ซึ่งแววตาขี้เล่นเหมือนแต่ก่อนจนยุนอาใจเสีย ขนาดพี่สิก้าที่ได้ชื่อว่าเป็นราชินีน้ำแข็งยังไม่เคยแสดงออกถึงความเฉยชาได้ขนาดนี้ มันเป็นสายตาที่เย็นชาที่สุดเท่าที่เธอเคยพบมา
“หญิงอย่าเพิ่งคิดไปเอง ฟังน้าก่อน” เจ้าหญิงเยริทิ้งไหล่ลงกับคำพูดนั้น แล้วหันมาทำหน้านิ่งเฉยใส่ยุนอาทันที “น้าขอโทษกับทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องที่น้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้หญิงต้องตกอยู่ในอันตรายจนเกือบต้อง... เกือบต้องตาย น้ารู้ว่าคำขอโทษของน้ามันคงไม่เพียงพอ หรือต่อให้น้าชดใช้ด้วยชีวิตก็ตาม แต่น้าขอโอกาส โอกาสครั้งสุดท้ายที่น้าจะได้พิสูจน์ตัวเองต่อหญิงแล้วก็ทุกคน ว่าน้าคู่ควรที่จะเคียงข้างหญิง”
“...” เจ้าหญิงเยริยังคงนิ่งเงียบ
ยุนอาทั้งใจเสียทั้งหน้าเสียไม่น้อยที่เห็นอีกฝ่ายทำเมินเฉยใส่
เธอกลัวเหลือเกิน... กลัวว่าเยริจะไม่ได้รู้สึกเหมือนเดิมกับเธออีกต่อไปแล้ว
“เราจะกลับมาเป็นคนรักกันเหมือนเดิมได้มั้ย”
อยากบอกไปใจจะขาดว่าเธอยังคงมอบสถานะนั้นให้ท่านน้ามาจนจวบปัจจุบัน มันไม่เคยเปลี่ยนแปลง และจะไม่มีวันเปลี่ยนไป แต่เธอก็ต้องทำใจแข็งให้ปากพูดทุกอย่างที่สวนทางกับความรู้สึกในหัวใจออกมา
“หญิงไม่เห็นว่าการทำแบบนั้นมันจะเป็นผลดีต่อเราสองคนตรงไหน” และเพราะฝืนพูดออกไปแบบนั้นหัวใจของเธอเลยยิ่งร้าวรานเมื่อได้เห็นสีหน้าหมดหวังของอีกฝ่าย “หญิงมีความสุขกับตอนที่เราเป็นแค่น้าหลานกันมากกว่า หญิงคิดถึงรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และวันเวลาที่เรามีแต่ความสุขมอบให้กัน ไม่ใช่ต้องมาเสียน้ำตาให้กับความผิดหวัง ความไม่เชื่อใจกันอย่างนี้ หญิงไม่อยากให้ความรักแบบนั้นต้องมาทำลายความสัมพันธ์ของเราสองคน” เจ้าหญิงเยริพยายามทำใจแข็ง แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความอ่อนแอปล่อยให้ทำนบน้ำตาที่กลั้นไว้พังทลายลงมาตามความรู้สึกที่มีอยู่ข้างในหัวใจ
“เยริ น้าขอโทษ” ยุนอาเอื้อมมือจะเช็ดน้ำตาให้ แล้วก็ต้องโหวงไปทั้งใจเมื่ออีกฝ่ายรีบถอยห่างจากมือของตัวเองไปในเร็วพลัน “น้ายอมรับผิดทุกอย่าง ขอแค่อย่างเดียวเรากลับมาเป็นเหมือนเดิมกันนะ”
“เหมือนเดิมของท่านน้าหมายถึงความสัมพันธ์คลุมเครือ ไม่ชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นคือทำลายความรู้สึก ความเชื่อใจกันอย่างนั้นหรอคะ” ทว่ายุนอาไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น
“น้าอยากให้เรากลับมาเป็นคนรักกัน” ยุนอาพูดเสียงหนักแน่น “น้าไม่ขอให้หญิงลืมเรื่องแย่ๆ ที่น้าทำกับหญิง มันจะเป็นเครื่องเตือนใจไม่ให้น้าละเลยความรู้สึกของหญิงหรือทำให้หญิงเสียใจอีก แต่ที่น้าอยากรู้ตอนนี้ก็คือ... หญิงยังคงรู้สึกเหมือนเดิมกับน้าหรือเปล่า”
“...” เจ้าหญิงเยริไม่ตอบ แต่ทำเพียงหันหลังให้ยุนอาแล้วหลับตาปล่อยให้น้ำตารินไหลออกมาอย่างเชื่องช้า
“ไม่เป็นไร...” ยุนอาฝืนพูดคำนั้นออกมาอย่างยากลำบาก เพราะรู้อยู่แก่ใจดีว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกอย่างที่พูดออกไปหรอก “ถ้าหญิงหมดรักน้าแล้วก็ไม่เป็นไร น้าจะทำทุกอย่างเพื่อให้หญิงกลับมารักน้าอีกครั้งให้ได้ แต่น้าขอโอกาสให้หญิงยอมเปิดใจกับน้าหน่อยได้มั้ย”
คนโง่... ทำไมท่านน้าถึงได้โง่เขลาอะไรอย่างนี้ ถ้าเธอเกลียดใคร แม้แต่หน้าเธอก็ไม่อยากจะมองหรอก แค่เฉียดกรายเข้าไปใกล้ก็ขยาดแล้ว แล้วนี่อะไร เสียทีที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เธอยังเล็กยังน้อย ถ้าเธอไม่รัก ไม่สนใจ เธอจะมายืนนิ่งให้ท่านน้าตื๊อใส่อย่างนี้ทำไม อยากจะหันไปทุบกำปั้นใส่สักสิบสักร้อยทีจริงๆ
ในวินาทีที่เจ้าหญิงเยริกำลังใจอ่อนจะหันไปตอบตกลง อยู่ๆ ท่านราชองครักษ์ยูริท่านแม่ของเจ้าหญิงน้อยก็เดินกลับมาพร้อมกับเข้ามาแทรกกลางระหว่างทั้งสองคน ก่อนจะทำหน้าเหม็นขี้หน้าส่งสายตาไม่พอใจไปให้ยุนอาที่เอาแต่มาเกาแกะลูกสาวตัวเองอยู่ได้
“เกิดอะไรขึ้นหรือหญิง” ท่านราชองครักษ์ยูริโอบลูกสาวคนเดียวด้วยความหวงแหน
“ข้ามาปรับความเข้าใจเรื่องระหว่างข้ากับเยริ”
“ไม่เห็นหรือไงว่าเยริเกลียดเจ้าแค่ไหน! เลิกมายุ่งย่ามกับลูกสาวข้าซะที!” เจ้าหญิงเยริหันขวับกับคำพูดนั้นทันที
‘ไม่ๆ ท่านแม่... หญิงยังรักท่านน้าเหมือนเดิม หญิงแค่แกล้งเล่นตัวไปงั้นค่ะ’ เจ้าหญิงเยริคิดพลางดึงตัวท่านแม่ไว้ไม่ให้พุ่งออกไปซัดหมัดใส่ท่านน้า แล้วเธอก็ต้องมาน้ำท่วมปากในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างนี้ อึดอัดใจชะมัด!
“ข้าไม่ฆ่าเจ้าให้ตายคามือก็บุญหัวแค่ไหนแล้ว ไปให้พ้นซะ!”
“ข้าจะอยู่ที่นี่ ไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“ทำไมถึงได้หน้าด้านหน้าทนอะไรขนาดนี้”
“เพราะข้ารักเยริ” ยุนอาพูดเน้นย้ำทุกคำอย่างชัดเจน
“รักหรอ?” ท่านราชองครักษ์ถึงกับแค่นเสียงหัวเราะ “เจ้ามันรักใครไม่เป็นหรอก ข้าไม่เคยเห็นว่าคนอย่างเจ้าจะเคยให้ใจใครจริงๆ ด้วยซ้ำ ดีแต่ทำอวดเก่ง เสเพล เล่นผู้หญิง เจ้าชู้ไปวันๆ โตเป็นควายแล้วยังทำนิสัยเป็นเด็กๆ ขนาดตัวเองยังดูแลไม่ได้เลย แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่น”
“ข้ามั่นใจว่าข้าดูแลเยริได้” ยุนอายืนยันหนักแน่นพร้อมกับสบลึกเข้าไปในดวงตาของพี่สาวร่วมสาบาน
“แล้วข้าจะพิสูจน์คำพูดเจ้าได้อย่างไรกัน” ยูริทำหน้าครุ่นคิด
“ข้ายอมทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเองและพิชิตใจพี่กับเยริ” ยุนอาพูดพร้อมกับมองไปยังใบหน้าของทั้งสอง แล้วทันใดนั้นท่านราชองครักษ์ก็เผยรอยยิ้มเหี้ยมที่ชวนให้ยุนอาและลูกสาวต้องขนลุกเกรียวออกมา
“เจ้าแน่ใจว่าเจ้ายอมทำทุกอย่าง?” คำถามเปรยแบบนั้นทำให้เจ้าหญิงเยริรู้สึกกลัวใจแทนคนถูกถามเหลือเกิน
“ข้ายอมทำทุกอย่าง”
“ดีล่ะ ข้าจะจัดงานประลองการต่อสู้เพื่อเลือกคู่หมั้นให้กับเยริ และจะมีผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่คู่ควรกับลูกสาวของข้า!”
“ท่านแม่!!!” เจ้าหญิงเยริตาโตร้องเสียงดังออกมาพร้อมกับบีบแขนท่านแม่ยูริแน่น แล้วทำไมท่านแม่ถึงต้องเอาเธอมาเป็นเครื่องงัดข้อต่อรองกับท่านน้าด้วย นี่เห็นเธอเป็นสิ่งของเป็นตุ๊กตาที่ไม่มีหัวจิตหัวใจหรือไง
ได้แต่ภาวนาในใจกับตัวเองว่าท่านน้ายุนอาจะไม่บ้าจี้เล่นตามเกมของท่านแม่ไป แต่เธอก็ต้องผิดหวังเมื่อท่านน้ายุนอาพูดเสียงดังฟังชัดออกมาว่า
“ข้าตกลงเข้าร่วมการประลอง!”
ท้องฟ้ายามบ่ายปลอดโปร่ง สายลมเอื่อยพัดโชยกลิ่นไอดินมาเป็นระยะ แสงแดดจ้าส่องผ่านภาพกระจกสีบอกเล่าเรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์สะท้อนลงพื้นหินอ่อนสีขาวด้านล่างของปราสาทใหญ่วิจิตรตระการตา แต่ซึลกลับกิไม่ได้มีอารมณ์อยากมาซึมซับหรือซาบซึ้งในศิลปะพวกนี้สักเท่าไหร่ เท้าทั้งสองข้างก้าวเดินขึ้นไปบนบันไดที่ปูด้วยพรมแดงอย่างเร่งรีบ ดวงตาเรียวคมจ้องตรงไปด้านหน้าไม่วอกแวก ในขณะที่มืออีกข้างก็กำสร้อยของเจ้าหญิงไอรีนไว้แน่น
แต่เมื่อซึลกิหาผู้เป็นเจ้าของสร้อยพบ เธอกลับไม่มีความกล้าหาญมากพอที่จะเป็นฝ่ายเข้าหาเจ้าหล่อนก่อน อาจเป็นเพราะสิ่งที่เธอได้ทำลงไปเมื่อวานมันแย่เกินกว่าจะได้รับความใจดีจากเจ้าหล่อน อาจเป็นเพราะรู้สึกละอายใจที่จริงๆ แล้วตัวเองก็ไม่ได้เก่งเหมือนที่ปากดีบอกราชินีแทยอนไป ทุกอย่างมันยังคงคาราคาซังทั้งความรู้สึก ความสัมพันธ์ และความรักของเราสามคน
เจ้าหญิงไอรีนผู้งดงาม...
เจ้าหญิงเวนดี้ผู้อ่อนโยน...
ไม่ว่ายังไงเธอเลือกไม่ได้
ไม่สิ... ต้องถามว่าหัวขโมยต่ำต้อยอย่างเธอมีสิทธิ์ที่จะเลือกด้วยหรือ แค่คิดว่าหากเธอต้องเลือกคนใดคนหนึ่งจริงๆ เธอก็นึกภาพออกแล้วว่าอีกคนจะต้องเสียใจแค่ไหน เธอไม่ใจร้ายทนเห็นภาพนั้นให้เกิดขึ้นจริงได้หรอก เพราะฉะนั้นเธอขอเลือกเป็นฝ่ายเดินจากทั้งคู่ไปเองเสียดีกว่า แต่การที่ต้องมาเสียใจกันทุกฝ่ายแบบนี้ มันดีแล้วใช่มั้ย
“ซึลกิ...” ในขณะที่เจ้าหัวขโมยกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง เจ้าหญิงไอรีนที่กำลังทอดสายตามองวิวทิวทัศน์ยามบ่ายของมาเดนบนระเบียงทางเดินก็หันมาสบสายตาเข้าพอดี ทำให้เจ้าหัวขโมยเกิดอาการกระอักกระอ่วนไม่น้อย “มีอะไรหรือเปล่า”
น้ำเสียงหวานจับใจนั้นฟังดูอ่อนโยนจนซึลกิรู้สึกผิดยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าหากว่าเรื่องที่เธอทำไปเมื่อวานมันทำให้เจ้าหญิงไอรีนต้องเจ็บช้ำน้ำใจ เธอขอให้เจ้าหญิงตบหน้าเธอหรือสั่งโบยสั่งเฆี่ยนสักร้อยยก เธอยังจะรู้สึกดีเสียกว่าการที่ต้องมาเห็นคนตรงหน้ายิ้มให้กันเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนี้
“ข้าเอาสร้อยมาคืนเจ้าหญิง” ซึลกิตอบพร้อมกับสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ แต่เจ้าหญิงไอรีนกลับยิ้มกว้างกว่าเดิม แล้วดันมือของซึลกิที่กำลังจะส่งสร้อยให้กลับคืนไปดังเดิม
“ข้าให้เจ้าแล้ว เจ้าเก็บไว้ให้ดีเถอะนะ” ซึลกินิ่วหน้าด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจแต่ก็ต้องทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินประโยคนั้น
ใครก็รู้ว่าธรรมเนียมการให้เครื่องประดับแก่คนที่ตนชอบพอเป็นการหมายหมั้นทางอ้อมของคนสองคน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เจ้าหญิงไอรีนพูดมา ก็ไม่ต่างจากการบอกว่าเจ้าหล่อนได้ให้ใจเธอไปแล้ว ขอให้เธอเก็บใจนั้นไว้ให้ดี แต่ซึลกิก็ยังยืนยันที่จะทำตามเดิม
“สร้อยเส้นนี้ล้ำค่ามากกว่าจะมาอยู่กับคนต้อยต่ำอย่างข้า” ซึลกิพูดพร้อมกับใส่สร้อยให้กับเจ้าหญิงไอรีนอย่างบรรจง “หัวขโมยอย่างข้าไม่คู่ควรกับของมีค่าแบบนี้หรอก”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงไม่ใช่หัวขโมยตัวจริง” เจ้าหญิงไอรีนช้อนสายตาขึ้นมองคนตัวสูง “เพราะหัวขโมยทุกคนล้วนตาเป็นมันทั้งนั้นเมื่อได้อยู่ใกล้สิ่งมีค่า”
“พ่อข้าก็ชอบพูดแบบนั้น” ซึลกิยิ้มน้อยๆ แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นหัวใจยามนึกถึงคนเป็นพ่อ ก่อนจะส่งยิ้มนั้นให้เจ้าหญิงไอรีนต่อ “อย่าออกไปเที่ยวเล่นนอกวังเพียงลำพังอีกนะเจ้าหญิง”
ประโยคธรรมดาๆ แต่พาให้ใจคนฟังตกวูบทันทีที่ได้ฟัง
“เจ้าพูดเหมือนเจ้าจะไปไหน” เจ้าหญิงไอรีนส่งสายตาอ้อนวอนขออย่าให้ซึลกิจากไปเลย แต่ซึลกิไม่ยอมสบสายตานั้นเพราะกลัวว่าตัวเองจะใจอ่อนจึงหันเตรียมจะเดินหนี ทว่าเจ้าหญิงไอรีนกลับพุ่งตัวเข้ามากอดแน่นจากด้านหลังไม่ยอมให้ซึลกิเดินจากไปง่ายๆ
“อย่าไปเลย”
“เจ้าหญิง...”
“เจ้ามาทำให้ข้ารักเจ้าจนหมดหัวใจแล้วเจ้าจะทิ้งข้าไปแบบนี้ไม่ได้นะซึลกิ” อ้อมแขนที่กอดกระชับแน่นไม่ยอมปล่อย “รู้บ้างมั้ยว่าข้าต้องการเจ้า รู้บ้างมั้ยว่าข้ารักเจ้าจนแทบจะขาดใจตายอยู่แล้วหากข้าไม่ได้เจ้ามาครอบครอง หัวใจข้าอยู่กับเจ้าแล้ว เจ้าจะมาพรากมันไปไกลจากตัวข้าได้ยังไง เจ้าจะมาทิ้งให้ข้าอยู่เดียวดายเหมือนตายทั้งเป็นได้ยังไง” เจ้าหญิงไอรีนซบใบหน้าเปื้อนน้ำตาลงบนแผ่นหลังของคนตัวสูงพร้อมกับปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร ใครจะเชื่อว่าเจ้าหญิงผู้ชาญฉลาด อ่อนหวาน และไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับสิ่งใด จะมาหมดท่าให้กับสิ่งที่เรียกว่าความรักดังที่ราชินีเจสสิก้าได้คิดไว้จริงๆ
และซึลกิก็ไม่ใช่คนไม่มีหัวใจ เธอเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กันที่ต้องมาเห็นคนที่เธอรักต้องมาร้องไห้เพราะเธอ ซึลกิจึงหมุนตัวหันกลับมาโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ก่อนจะประทับจุมพิตลงบนริมฝีปากอวบอิ่มของเจ้าหญิงไอรีนอย่างนุ่มนวล พร้อมกับส่งผ่านความรู้สึกขอโทษและความรักที่เธอมีต่อเจ้าหล่อนผ่านรสจูบอันหอมหวานหากแต่เคล้าไปด้วยรสเค็มเฝื่อนของน้ำตาของทั้งสอง แต่ใครล่ะจะสน ในเมื่อทั้งสองต่างก็ต้องการกันและกันจนต่อให้โลกจะแตกสลาย ฟ้าจะพังทลายลงมาต่อหน้า ก็คงไม่สามารถแยกทั้งคู่จากกันได้อีกแล้ว จะเหลือก็เพียง...
‘เวนดี้...’ เจ้าหญิงไอรีนเหลือบเห็นน้องสาวฝาแฝดยืนนิ่งอยู่ทางเชื่อมตรงบันไดไปไม่ใกล้ไม่ไกล แต่เธอก็เลือกทำเป็นเหมือนไม่เห็นสีหน้าทรมานร้าวรานของน้องสาว แล้วหลับตาดื่มด่ำกับรสจูบตรงหน้าต่อไปอย่างไม่สนใจสิ่งใด จนกระทั่งเธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าน้องสาวของเธอได้หายไปแล้ว
“เรารักกันได้ใช่มั้ยเจ้าหญิง” ซึลกิถามขึ้นทันทีที่เราผละริมฝีปากออกมาพร้อมกัน แขนเรียวยังคงกอดเจ้าหญิงผู้งดงามอย่างหลวมๆ
“แค่ข้าบอกเสด็จแม่ว่าข้ารักเจ้าจนหมดหัวใจ เสด็จแม่ก็คงไม่ทรงขัดหรอก เพราะฉะนั้นทำไมเราจะรักกันไม่ได้ล่ะ” เจ้าหญิงไอรีนส่งยิ้มให้กำลังใจซึลกิ
“คาร์นไม่มีประเพณีการแต่งงานสามคน” ประโยคถัดมาจากซึลกิเล่นเอาเจ้าหญิงไอรีนหุบยิ้มแทบไม่ทัน “เจ้าหญิงเวนดี้ก็รู้สึกกับข้าเช่นเดียวกับเจ้าหญิง และข้าเอง..” ก็รักเจ้าหญิงเวนดี้เช่นกัน ซึลกิจำต้องปล่อยให้ประโยคนั้นดังก้องอยู่เพียงในใจของตัวเอง เพราะเจ้าหญิงไอรีนเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนอย่างรวดเร็ว
“เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะจัดการเรื่องนั้นเอง”
ดวงตาสีน้ำตาลที่เคยฉายประกายความร่าเริงสดใส บัดนี้กลับมีน้ำใสเอ่อล้นเต็มขอบตา อีกทั้งยังหมองหม่นเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจเหลือคณานับ หากความรักทำให้เจ้าหญิงผู้ชาญฉลาดอย่างเจ้าหญิงไอรีนกลายเป็นเพียงสตรีผู้ลุ่มหลงในความรักอย่างไม่ลืมหูลืมตาแล้วไซร้ ความรักนั้นก็ทำให้เจ้าหญิงเวนดี้ผู้อวดเก่งสิ้นฤทธิ์สิ้นลายกลายเป็นเพียงสตรีผู้อ่อนไหวดั่งต้นไผ่ลิ่วลมไม่ต่างกัน
เธอต้องทนเห็นภาพบาดตาบาดใจระหว่างซึลกิกับพี่สาวไปอีกนานเท่าไหร่...
คำถามที่ไม่มีคำตอบผุดขึ้นมาข้างในหัวของเจ้าหญิงเวนดี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใครๆ ก็บอกว่าฝาแฝดที่ผ่านพิธีแยกกายจิตออกจากกันแล้ว ร่างกายและจิตใจจะไม่เชื่อมโยงหากันอีกต่อไป แล้วทำไมเราทั้งคู่ถึงได้อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์เหล่านั้น
ทำไมเราถึงยังมีหัวใจดวงเดียวกัน...
ฝาแฝด... ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันเสมอไป
ฝาแฝด... ไม่จำเป็นต้องอ่านใจกันได้ตลอดเวลา
ไม่ว่าเราจะแตกต่างกันแค่ไหนมันก็ไม่เป็นปัญหาเลยสักนิด
... จนกระทั่ง ...
เราสองคนมีหัวใจดวงเดียวกัน
ยิ่งคิดหยาดน้ำอุ่นที่คลอเต็มหน่วยอยู่ที่ดวงตาทั้งสองข้างก็ยิ่งไหลพรั่งพรูออกมา เพราะรู้ดีว่าความรู้สึกดีๆ ที่ตนเองมีให้ซึลกิเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง การสารภาพรักออกไปยิ่งเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างเด็ดขาด บางครั้งเธอก็อยากเห็นแก่ตัวบ้าง แต่พอได้เห็นทั้งคู่รักกันมากมายขนาดนั้น เธอก็ต้องมาเกลียดตัวเองแทนที่พยายามจินตนาการวาดฝันลมๆ แล้งๆ ของซึลกิกับตัวเอง เธอรักทั้งสองคนมาก เพราะฉะนั้นเธอจะกลายเป็นน้องทรยศหักหลังพี่สาวแท้ๆ ของตัวเองได้ยังไง
การที่เธอเห็นทั้งสองคนรักกันดี มันเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งไม่ใช่หรอ
แล้วเธอจะมามัวร้องห่มร้องไห้เสียใจทำไม
พลันเสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น เจ้าหญิงเวนดี้จึงรีบปาดน้ำตาออกไปจากใบหน้า แล้วพยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติก่อนจะเปิดประตูออกไปหาด้วยรอยยิ้มแจ่มใส แต่ใบหน้าเคร่งของคนที่อยู่หลังบานประตูนั้นกลับทำให้เธอยิ้มไม่ออก
“พี่ไอรีน...” เจ้าหญิงเวนดี้เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“พี่เข้าไปได้มั้ย” เจ้าหญิงไอรีนถามน้องสาวฝาแฝด เจ้าหญิงเวนดี้จึงพยักหน้าเบาๆ แล้วหลีกทางให้พี่สาวเดินเข้ามาในห้อง เมื่อเข้าห้องมาแล้วเจ้าหญิงไอรีนก็ไม่ได้นั่งลงบนโซฟายาวหรือเตียงใหญ่แต่อย่างใด ร่างบางทำเพียงยืนนิ่งอยู่กลางห้องรอจนกระทั่งผู้เป็นน้องสาวปิดประตูเสร็จจึงเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“ช่วงนี้เจ้าดูซึมๆ ไปนะ” เจ้าหญิงไอรีนเกริ่นขึ้นมา “ไม่ค่อยสดใส ร่าเริง เหมือนเวนดี้คนเดิมเลย”
“...” เจ้าหญิงเวนดี้นิ่งไปในทันที
“อาจจะจริงอย่างที่ตำราว่าไว้ สามสิ่งที่ทำให้คนเราเปลี่ยนไป อำนาจ เวลา และสุดท้าย... ความรัก” เจ้าหญิงไอรีนทิ้งท้ายประโยคพร้อมกับปรายสายตามายังน้องสาว “สิ่งใดกันเล่าที่ทำให้เจ้าเปลี่ยนไป”
“พี่ไอรีนมีเรื่องอะไรจะคุยกับข้าก็คุยกันมาตรงๆ เลย” เจ้าหญิงเวนดี้ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมาลับฝีปากกับพี่สาวฝาแฝด แต่ก็ไม่คิดว่าเรื่องที่พี่สาวหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนาจะเป็นเรื่องที่เธอไม่อยากคุยกับพี่สาวในตอนนี้ที่สุด
“เรื่องซึลกิ...” เจ้าหญิงไอรีนหันมาเผชิญหน้ากับเจ้าหญิงเวนดี้อย่างไม่หลบสายตา “พี่ไม่อยากให้เรื่องนี้มันคลุมเครือหรือยืดเยื้อไปกว่านี้ พี่ถึงต้องมาถามเจ้าตรงๆ ว่าเจ้ารู้สึกยังไงกับซึลกิ”
“...” เจ้าหญิงเวนดี้เงียบไปสักพักใหญ่ๆ จนกระทั่งเจ้าหญิงไอรีนเสหน้ามองไปทางอื่นพร้อมกับพูดขึ้นเสียงเบา
“เจ้าไม่ต้องพูดแล้วก็ได้ พี่พอจะรู้คำตอบแล้วล่ะ” เสียงหวานสั่นระริก ไม่นานนักหยาดน้ำใสก็รินไหลออกมาอย่างช้าๆ “เจ้ารักซึลกิใช่มั้ย”
เจ้าหญิงเวนดี้นิ่วหน้ามองพี่สาวด้วยความเจ็บปวดใจ “ข้ารักซึลกิ”
“พี่รู้ว่าความรักเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้ แต่ในฐานะที่เป็นเจ้าหญิงแห่งคาร์น เราต่างรู้ซึ้งดีถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของเรา โดยเฉพาะเรื่องคู่ครองที่ชาวคาร์นต่างตระหนักดีว่า ความรักอันบริสุทธิ์เกิดจากหัวใจของคนสองคนหล่อหลอมรวมกัน มากกว่าสองถือว่าผิดจารีตประเพณี...”
“เวนดี้... พี่อาจเป็นพี่ที่แย่ที่ต้องพูดอะไรแบบนี้ ที่ผ่านมาพี่ไม่เคยร้องขออะไรจากเจ้าเลย พี่เสียสละให้เจ้า พี่ยอมเจ้าทุกอย่าง แต่ครั้งนี้ถ้าพี่ขออะไรเจ้าสักอย่าง เจ้าจะทำเพื่อพี่ได้มั้ย...”
“...”
“พี่ขอร้องเถอะนะ” เจ้าหญิงไอรีนสาวเท้าเข้ามาใกล้ก่อนจะคว้ามือน้องสาวไปกุมไว้ แล้วทรุดตัวคุกเข่าลงอ้อนวอนท่ามกลางความตกใจของเจ้าหญิงเวนดี้
“พี่ไอรีน!!” เจ้าหญิงเวนดี้รีบประคองพี่สาวขึ้นมาทันที แต่เจ้าหญิงไอรีนยังคงคุกเข่าอยู่อย่างนั้น ทำให้เจ้าหญิงเวนดี้ต้องโอบกอดพี่สาวเอาไว้ทั้งน้ำตา
“พี่ขอครอบครองหัวใจของซึลกิเพียงคนเดียวได้มั้ย”
เจ้าหญิงเวนดี้หน้าสลดลงไปในทันทีที่ได้ยินสิ่งที่พี่สาววอนขอ แต่จะให้เธอปฏิเสธอย่างไร ในเมื่อเธอก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าซึลกิกับพี่สาวของเธอรักกันมากมายแค่ไหน เห็นได้จากการที่ทั้งคู่แสดงความรักต่อกันด้วยการจุมพิตหวานชื่นถึงสองวันติดต่อกันหรือบางทีอาจจะเนิ่นนานมากกว่านั้น มิหนำซ้ำซึลกิยังไม่เคยปฏิบัติกับเธออย่างที่ได้ทำกับพี่สาวของเธอเลย แค่นี้ก็รู้ได้แล้วว่าซึลกิมีใจให้พี่ไอรีนเพียงคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเป็นฝ่ายมาทีหลัง คนมาทีหลังคงไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรจากใครแม้แต่ความสงสาร ดังนั้นเธอรู้ตัวว่าตัวเองควรจะยืนอยู่ตรงไหน
“ซึลกิไม่ได้รักข้า” เพราะก้อนขมปร่าที่จุกอยู่ลำคอทำให้เจ้าหญิงเวนดี้ต้องฝืนใจพูดออกมาอย่างยากลำบาก “ไม่ต้องขอข้า พี่ไอรีนก็ได้ครอบครองหัวใจดวงนั้นมานานแล้ว ข้าสิต้องเป็นฝ่ายถอยจากไปเอง ถึงข้าจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ข้าก็ไม่ใช่คนเลวร้ายที่จะอยากมีความสุขบนความทุกข์ของพี่หรอก”
“พี่ขอบใจเจ้าจริงๆ เวนดี้”
“ข้ารักพี่มากนะ ได้เห็นพี่มีความสุขข้าก็ยินดี”
ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นฝ่ายทุกข์เพียงลำพังก็ตาม
เป็นแบบนี้... ก็ดีแล้วล่ะ ดีกว่าปล่อยให้ใจถลำลึกจนยากจะกลับคืนมา สู้ถอยห่างไปซะตั้งแต่ตอนนี้บางทีอาจจะทำให้ตัดใจได้เร็วขึ้น อย่างน้อยเจ็บคนเดียว ก็ดีกว่าเจ็บพร้อมกันทั้งสามคน
... นี่เธอกำลังปลอบใจตัวเองอยู่หรือเปล่า ...
______________________________________________________________________________
[Forget Me Not]
จบตอนนี้แล้ว..ใครมีอะไรในมือ อย่าปามาใส่เค้านะ T^T
เค้าขอเดินออกจากห้องฟิคไปอย่างเงียบๆเอง
เจอกันตอนหน้านะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

งื่อออ วานผู้เสียสละ
สงสารน้องงงง
สงสารเวนดี้ ฮื่อ