คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Episodio VIII : ขัดแย้ง
สัญญาณของกล้องวงจรปิดได้ถูกตัดลง ด้วยฝีมือของอุปกรณ์ตัวจิ๋วที่เด็กชายได้รับมาจากหมอประจำกลุ่ม
เมื่อไม่ต้องมาคอยกังวลเรื่องภาพที่อาจจะหลงเหลือเป็นหลักฐาน มุคุโร่ก็มองหากระจกใสตามชั้นสองของอาคาร เพื่อเทเลพอร์ตตัวเองเข้าไปข้างใน เนื่องจากสำนักงานแห่งนี้เป็นตึกยาวที่มีเพียงแค่สองชั้นเท่านั้น ขืนตัวเขาเริ่มลงมือจากชั้นหนึ่งที่ชิการาคิบุกเข้าไปก่อน มีหวังไม่เหลือใครสักคนให้เขาฆ่าเป็นแน่
พอเข้าไปในตัวอาคารได้สำเร็จ ตัวเขาก็มาโผล่ในห้องห้องนึงที่เต็มไปด้วยเอกสารต่างๆมากมายและไร้วี่แววผู้คน ในเมื่อสถานการณ์เป็นใจมุคุโร่ไม่รอช้าเขารีบสร้างมอนสเตอร์กระดูกขนาดใหญ่เท่ากับฝ่ามือที่มีรูปร่างเหมือนกับสุนัขขึ้นมาสี่ตัว ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดที่เขาสามารถควบคุมได้ในตอนนี้ พวกมันวิ่งออกไปข้างนอกตามคำสั่งและเริ่มออกค้นหาพวกฮีโร่
พอวิ่งพ้นหัวมุมของทางเดินได้ไม่นาน พวกมันก็พบเข้ากับโปรฮีโร่สองคนที่กำลังยืนเอ้อระเหยอยู่ตรงหน้า ด้วยความที่ไม่ทันระวังตัวพวกเขาจึงถูกพวกมันกัดเข้าไปที่ขาแบบมิดเขี้ยว ถึงพวกโปรฮีโร่จะพยายามปัดพวกมันออกแต่ก็ช้าเกินไป เพราะการกัดในครั้งแรกนั้นเขี้ยวได้ถูกกัดลึกเข้าไปจนถึงกระดูก ทำให้เด็กชายสามารถใช้อัตลักษณ์สลายกระดูกของเหยื่อตรงหน้าได้ ร่างทั้งสองกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดที่กระดูกค่อยๆถูกย่อยสลายและป่นเป็นผง
เสียงร้องด้วยความทุรนทุรายยังคงดังระงมในโถงทางเดินอันว่างเปล่า
ทำให้มีความคิดนึงแล้นเข้ามาในหัวว่า'ขืนปล่อยเอาไว้นาน พวกฮีโร่คนอื่นๆคงแห่กันมาแน่ แบบนั้นตัวเราคนเดียวคงจัดการไม่ไหว'
การกระทำเร็วเท่าความคิด มุคุโร่รีบออกจากห้องที่ใช้ซ่อนตัว แล้วพุ่งตรงเข้าไปหาร่างทั้งสองพร้อมทั้งเปลี่ยนรูปร่างของกระดูกที่แขนซ้าย ให้มีปลายแหลมแทงทะลุออกมาจากผิวหนังราวกับใบมีดและใช้มันปาดเข้าไปที่กล่องเสียงทำให้พวกเขาไม่สามารถส่งเสียงใดๆได้อีก เลือดค่อยๆไหลออกมาจากคอและไม่นานร่างตรงหน้าก็แน่นิ่งไป
เมื่อแน่ใจว่าฮีโร่ทั้งสองตายสนิท มุคุโร่จึงเริ่มออกตัววิ่งเพื่อหาเหยื่อรายต่อไป..
"อ้ากกกกก!"
เสียงกรีดร้องดังขึ้น ภายในเวลาไม่นานหลังจากที่เขาเริ่มออกวิ่ง พอตั้งใจฟังดีๆก็ทำให้รู้ว่าเสียงนั้นดังมาจากชั้นล่าง ไม่ต้องสืบก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นฝีมือของใคร เพียงเท่านี้คนส่วนใหญ่ก็คงจะพากันแห่ลงไปที่ชั้นล่าง
''พวกคนที่เเข็งแกร่งนี่ดีจังน้า~ อยากฆ่าใครก็ฆ่าเลย ไม่ต้องมาคอยทำอะไรให้ยุ่งยาก..''
คำพูดที่อาจฟังดูเหมือนเหน็บแนมแต่แท้ที่จริงเเล้วแม้ เเต่ตัวของเขาเองก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้
ชื่นชมหรือหมั่นไส้
เป็นเพียงความอิจฉาในตัวผู้ที่แข็งแกร่งหรือความเห็นใจต่อผู้ที่ถูกกระทำ
เด็กชายจงใจไม่หาคำตอบ ได้เเต่ปล่อยให้มันคาราคาซังเอาไว้ภายในจิตใจส่วนลึก ในขณะนั้นหัวใจของเขากลับหนักอึ้งขึ้นมา แต่มันก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้นจนเจ้าตัวหลงลืมไปภายในเวลาไม่นานและก้าวเดินต่อไปทั้งแบบนั้น
"คนที่.. 11"
ในตอนนี้ทั้งมือและแขนทั้งสองข้างของผมถูกอาบย้อมไปด้วยสีแดง สีเเดงของเลือดที่สาดกระเซ็นโดนในตอนที่ผมได้ปิดชีวิตของคนเหล่านั้น ถึงส่วนใหญ่จะเป็นเลือดของฮีโร่โสโครก แต่หนึ่งในนั้นก็ยังมีคนธรรมดาอยู่ด้วย
คนล่าสุดเธอเป็นเพียงพนักงานธรรมดาๆเเต่เพราะเธอพยายามจะหนีไปขอความช่วยเหลือ.. ด้วยเหตุแค่นั้นผมกลับฆ่าเธอ
'นี่ผมมาถึงจุดนี้ได้ยังไง?'
ทั้งที่ฆ่าคนไปมากมายแต่กลับ... รู้สึกสะใจ
ทั้งเล่นทีเผลอ หลอกล่อให้ตายใจ ตามล่าคนที่พยายามจะหนี ทำทุกอย่างที่ไดกิมันเคยทำ สุดท้ายฉันที่เป็นมุคุโร่ก็เดินตามทางของมันงั้นหรอ?
'อา.. ขยะแขยงตัวเองชะมัด'
"ห๊ะ..."
ตัวของเด็กชายที่กำลังก้มลงมองมือที่เต็มไปด้วยเลือดอย่างเหม่อลอย กลับต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อจู่ๆกลับมีหยดน้ำใสๆ หยดลงมาที่มือหยดแล้วหยดเล่า
ด้วยความตกใจเด็กชายจึงเร่งรีบเช็ดน้ำตาเพื่อซ่อนเเละปกปิดมันเอาไว้ให้เร็วที่สุด แต่กลับกลายเป็นว่าขอบตามันแดงก่ำกว่าเก่าโดยที่ไม่รู้ตัว
'อะไรกัน.. มันไม่น่าเป็นไปได้หนิ น้ำตาอะไรพวกนั้นเราทิ้งมันไปพร้อมๆกับนาโอกิแล้วหนิ ทำไมยังโผล่ออกมาอีก... ไม่สิ.. ถ้าเป็นแบบนี้แสดงว่านาโอกิมันยังอยู่เพราะงั้นเราถึงร้องไห้ได้'
''อา.. บ้าเอ๊ย มาขวางกันอยู่ได้"
เพียะ!
มุคุโร่ง้างมือออกแล้วตบเข้าไปที่หน้าของตัวเองอย่างเต็มแรงเพื่อดึงความตั้งใจเดิมของตนกลับมา
"หยุดคิดอะไรงี่เง่าดีกว่า~ ตอนนี้ชั้นสองก็ไม่เหลือคนเเล้ว เสียงที่ชั้นหนึ่งเองก็เงียบไปแล้วด้วย ลงไปสมทบเลยแล้วกัน"
เมื่อเทเลพอร์ตลงมาที่ชั้นหนึ่งมันก็เป็นไปตามที่ผมคาดเอาไว้ ไร้วี่แววของคนที่ยังมีชีวิตมีเพียงเศษซากของร่างกายที่แตกสลายเท่านั้น
"ชั้น 2 เคลียร์แล้วฮะ"
"ทางนี้ก็เหมือนกัน"
"แล้ว.. เจอคนๆนั้นบ้างหรือเปล่าครับ"
"ไม่อะ ดูเหมือนวันนี้โชคจะไม่เข้าข้างนายนะ"
"นั่นน่ะสิฮะ วันนี้ผมเจอแต่เรื่องซวยๆเต็มไปหมดเลย"
"ถ้างั้นทำลายที่นี่แล้วกลับกันเถอะ"
กึก กัก
เสียงแปลกๆดังขึ้นมาจากลอกเกอร์ที่อยู่ข้างหลัง ทำให้ทั้งผมและคุณโทมุระพร้อมใจกันหันหลังไปมอง ทำให้ได้รู้ว่ายังมีผู้รอดชีวิตหลงเหลืออยู่อีกหนึ่งคน
เเถมชายคนนั้น ยังเป็นคนที่ผมอยากเจอมากที่สุด
"lucky~ ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างผมแล้วล่ะ"
"ขะ ขอร้องล่ะ.. ยะ อย่าทำอะไรฉันเลย"
"แอบซ่อนตัวตอนที่เพื่อนกำลังสู้อยู่แบบนี้สมกับเป็นฮีโร่เลยนะ"
ถึงจะพูดแขวะออกไปแบบนั้น แต่อีกฝ่ายกลับดูเหมือนจะไม่ได้สนใจในคำพูดนั้นเลย ในทางกลับกันดูเหมือนจะสนใจกับการหาวิธีหนีให้ตัวเองมากกว่า คงต้องดึงความสนใจสักหน่อย
"ทำไมถึงสั่นขนาดนั้นเล่าคุณฮีโร่ นี่คุณจำผมไม่ได้เลยรึไง?"
อีกฝ่ายยังคงไม่ตอบอะไร มีเพียงแค่สีหน้าที่ดูมึนงงที่พอจะเป็นคำตอบได้ ทำให้ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองปลอมตัวอยู่จึงทำการถอดผ้าปิดปากและดึงฮูดที่ครอบหัวลงมา พร้อมทั้งเปลี่ยนสีตาให้กลายเป็นสีขาวดังเดิม
"แบบนี้พอจะจำได้รึยังฮะ? เราเคยเจอกันที่โรงพยาบาลไง คุณฮีโร่สอบปากคำ"
"เธอ!? เด็กเมื่อตอนนั้น!"
"จำได้แล้วหรอ ดีใจจัง~"หลังจากจบประโยคนั้น เสียงขี้เล่นที่แสนเสแสร้งก็เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกในพริบตา"นี่... ฉันอยากถามแกมาตลอดเลย เรื่องคดีของพ่อกับแม่ทำไมแกต้องโกหกด้วย?"
"มะ มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นี่!! คดีของนายมันเป็นกรณีพิเศษ ขืนเอาเรื่องหน้าขายหน้าเเบบนั้นไปเผยแพร่มั่วซั่ว มันจะทำให้ประชาชนต้องหวั่นวิตก มันเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติเลยนะ! เธอต้องเข้าใจหน่อยสิ นี่มันเพื่อส่วนรวมนะ เธอต้องยอมเสียสละเพื่อผู้อื่นหน่อยสิ ขะ เข้าใจใช่ไหมมินาโตะคุง?"
"นี่แกกำลังจะบอกว่าที่พ่อแม่ฉันถูกฮีโร่ฆ่า.. เป็นเรื่องน่าขายหน้างั้นหรอ?"
ด้วยอารมณ์โกรธที่ควบคุมไม่อยู่มุคุโร่จึงเศษกระดูกปลายแหลมขึ้นมาและปักเข้าไปที่ขาของชายคนนั้น
ชายคนนั้นได้แต่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามประคองเสียงให้สั่นเครือน้อยที่สุด เพื่อที่จะสามารถแก้ต่างให้กับคำพูดของตัวเองได้
"ฉะ ฉันไม่ได้.. หมายความแบบนั้น คดีของเธอ ผะ ผู้ร้ายจัดอยู่ในกรณีที่ต้องคอยเฝ้าระวัง ในการเปิดเผยข้อมูล เพื่อความสงบสุข.."
"แล้วพ่อแม่ฉันไม่ใช่คนของประเทศนี้หรือไง ไม่ใช่ประชาชนที่แกอ้างว่าอยากปกป้องรึไง! เพียงเพราะต้องการประคองไอ้ความสงบสุขจอมปลอมนั่น! ครอบครัวของฉันถึงต้องยอมถูกทิ้งเป็นตัวตลกอยู่ฝ่ายเดียวรึไง!!"
หลังจากความรู้สึกอัดอั้นถูกระบายออกไป ทำให้บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความเงียบ มีเพียงแค่เสียงหอบหายใจจากความเหนื่อยล้าของเด็กชายเท่านั้น มันเป็นผลมาจากการใส่อารมณ์ที่มากเกินไป
"เข้าใจแล้ว.. พวกฮีโร่มันห่วงชื่อเสียงมากกว่าผู้คนสินะ"
"มะ ไม่ใช่นะ" เมื่อเห็นว่าเข้าตาจน เขาจึงยอมเปิดเผยความลับที่ถ้าหากเป็นเวลาปกติแล้วเผลอหลุดพูดออกไปชีวิตของเขาคงจะจบลงแค่นั้น
"ทะ ทั้งหมด! เป็นคำสั่งของพวกกระทรวงรักษาความสงบสุข ฉันแค่ทำตามคำสั่งของคนพวกนั้น"
"อ๋อ.. แสดงว่าต้องไปฆ่าพวกมันต่อจากแกสินะ"
มุคุโร่ในตอนนี้ละความสนใจจากข้อมูลใหม่ที่พึ่งได้มา และมุ่งเป้าไปที่การฆ่าชายตรงหน้า
เขาพยายามตะเกียดตะกายหนี ทั้งๆที่ลุกไม่ขึ้น และกล่าวขอโทษเด็กชายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สิ่งที่เด็กคนนั้นตอบกลับมาก็เป็นคำพูดคำเดิม ที่เคยพูดครั้งแรกที่เจอกันคือ"ไม่ยกโทษให้"
เมื่อได้ยินคำพูดที่น่าสิ้นหวัง น้ำตาของชายอายุ 30 กว่าก็ไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง แต่ในสายตาของเด็กชายก็เป็นเพียงสิ่งที่ดูอุจาดลูกตา เขาพยายามพ่นคำพูดต่างๆนานาเผื่อว่าเด็กชายจะยอมใจอ่อนและไว้ชีวิตของตน แต่แล้วคำคำหนึ่งก็ได้ทำให้เด็กชายหยุดชะงัก
"ขอร้องล่ะ.. แค่วันนี้ก็ได้ ช่วยปล่อยฉันไปเถอะ วันนี้เป็นวันเกิดของลูกสาว ขอให้ฉันกลับบ้านไปหาแกเถอะนะ.."
การกระทำต่างๆถูกหยุดลง ความคิดในหัวของเด็กชายเริ่มตีกันด้วยความสับสนอีกครั้ง
ที่จริงมุคุโร่ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร แต่ประโยคสุดท้ายนั่นมันทำให้เขาอดนึกไม่ได้ถึงเหตุการณ์ที่ตัวเองเคยเจอมา
'มันเป็นเรื่องจริงรึเปล่า.. แล้วถ้าเป็นเรื่องจริงเราควรทำอะไร? ปล่อยไปงั้นหรอ..'
"เป็นอะไรไปมุคุโร่ รีบๆฆ่ามันซะสิ"
เสียงของชิการาคิทำให้มุคุโร่เริ่มได้สติขึ้นมา ว่าตัวเขาไม่สามารถปล่อยให้ชายคนนี้มีชีวิตรอดออกไปจากเหตุการณ์นี้ได้ เพราะตอนนี้ตัวเขาไม่ได้อยู่คนเดียวและได้สัญญากับตัวเองเเล้วว่า จะปกป้องชายคนนี้ด้วยชีวิต
'ถ้าปล่อยไปก็เท่ากับว่า เป็นการนำอันตรายมาสู่คุณโทมุระด้วยเหมือนกัน มีแต่ต้องกำจัดเสี้ยนหนามของคุณโทมุระให้หมดไปเท่านั้น'
ความลังเลได้หมดไป มุคุโร่เทเลพอร์ตตัวเองไปที่ด้านหลังของชายคนนั้น ก่อนจะใช้แขนที่เปลี่ยนให้มีปลายแหลมคม ปาดเข้าไปที่คอจนหัวของเขาพับลงมาอยู่กับบ่า ตามด้วยเสียงร่างกายที่ล้มลงกับพื้น
เลือดที่ไหลทะลักออกมาสาดกระเซ็นเต็มหน้า แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เด็กหนุ่มสนใจเลยแม้แต่น้อย กลับกันเขากลับรีบเดินเข้าไปค้นร่างกายของศพที่ไร้วิญญาณ เพื่อหาคำตอบของสิ่งที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจและสิ่งที่เขาเจอก็เป็นเครื่องย้ำเตือนถึงคำตอบได้เป็นอย่างดี
รูปถ่ายของครอบครัวและการ์ดอวยพรวันเกิด
หัวใจมันหนักอึ้งยิ่งกว่าครั้งไหนๆ มือเเละเท้ารู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาเรื่อยๆ ความคิดในหัวเต็มไปด้วยความสับสนและถูกตอกหน้าด้วยความเป็นจริงที่พยายามจะมองข้ามมาตลอด
ใช่... มันคือความจริงที่นายควรรู้สึกตัวตั้งนานแล้ว
อย่าพูดนะ
ทุกๆคนที่นายฆ่าไป ต่างก็มีคนสำคัญที่รอคอยและคาดหวังให้พวกเขากลับมา แต่นายกลับเป็นคนที่พรากความคาดหวังนั้นไป
แกจะพูดออกมาตอนนี้เพื่ออะไร
สำคัญด้วยหรอ.. อยากรู้จริงๆว่านายจะทนได้ไปตลอดหรือว่าผมจะหายไปก่อน..
มารอดูความชิบxายของร่างกายนี้ด้วยกันเถอะ
"ฉันพังเสาหลักๆไปเยอะแล้ว อีกเดี๋ยวตึกนี้ก็คงถล่มแล้วล่ะ"
"...."
"เฮ้ ได้ยินรึเปล่ามุคุโร่ มุคุโร่!"
"อ๊ะ! เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะครับ?"
"บอกว่าออกไปกันได้แล้ว.. เฮ้ย ไหวรึเปล่าเนี่ย บอกกี่ครั้งเเล้วว่าอย่าฝืนเกินไป"
'ตั้งแต่ตอนซ้อมต่อสู้เลยละมั้งที่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่เป็นพวกหัวดื้อมากกว่าที่คิด แม้ร่างกายจะโดนอัดจนยับสักแค่ไหน เจ้าเด็กนี่ก็ยังฝืนขอฝึกซ้อมต่อ แถมพอจะขู่ฆ่าเพื่อให้ไปห่างๆก็ดันไม่กลัวอีก เป็นเด็กที่พิลึกสุดๆ'
"ไม่ครับ ผมไม่ได้ฝืน"
"อย่ามาโกหก.."ชิการาคิเว้นจังหวะในการพูด แล้วขยับเข้ามาใกล้เจ้าเด็กหัวดื่อพร้อมกับยื่นมือมาจับบริเวณใบหน้าเพื่อเช็คดูว่าจมูกโดนกระเเทกอะไรมารึเปล่า เมื่อเเน่ใจว่าไม่ได้มีแผลจากภายนอก เขาจึงเลื่อนมือมาบริเวณจมูกและเช็ดเลือดที่กำลังไหลออกมา พร้อมทั้งใช้มืออีกข้างล็อกหัวของอีกฝ่ายไม่ให้หันหน้าหนีไปไหน
"ทำอะไรครับ!?"
''คงไม่รู้ตัวเลยสินะว่าตอนนี้ตัวเองเลือดกำเดาไหลอยู่น่ะ ไอ้เด็กขี้โกหก"
"มะ ไม่ได้โกหกฮะ แล้วผมก็ไม่ได้ฝืนด้วย"
'อ๊ะ หน้าแดงด้วยแฮะ'
ป๊อก!
มุคุโร่ยกมือขึ้นมากุมหน้าผากของตัวเองด้วยความงุนงง ที่จู่ๆคุณโทมุระก็ยกนิ้วขึ้นมาดีดหน้าผากของตัวเอง ส่วนทางฝ่ายของชิการาคิพอเห็นว่าอีกฝ่ายน่าเเกล้ง เลยเผลอดีดหน้าผากของคนตรงหน้าไปโดยที่ไม่รู้ตัว
การหยอกล้อแบบนี้ที่ไม่เคยเกิดขึ้น เลยกลายเป็นสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างงุนงงกันไปสักพักใหญ่ๆ
แต่หลังจากนั่นไม่นานนัก ทั้งคู่ก็ถูกเรียกสติด้วยเสียงของตึกที่กำลังถล่มลงมาภายในไม่ช้า จึงได้รีบพากันออกมาก่อนที่จะถูกทับตายทั้งคู่...
ความจริงเเล้ว มุคุโร่ไม่ได้ฝืนตัวเองเลยสักครั้งในขณะที่เก็บกวาดชั้น 2 แต่สาเหตุที่เลือดกำเดาไหลออกมา เป็นเพราะร่างกายต้องแบกรับภาระอย่างหนักจากความเครียดในตอนที่จิตใจทั้งสองได้โต้เถียงกันภายในเวลาไม่กี่นาที
ความเป็นจริงที่แสนอันตรายนี้ มุคุโร่ยังไม่รับรู้ถึงมัน
มีเพียงนาโอกิเท่านั้นที่รู้ถึงความจริงข้อนี้และเขาได้เลือกที่จะปิดบังเอาไว้จากอีกคน ให้นานที่สุดเท่าที่ตัวเขาจะทำได้
ในภายหลังเหตุการณ์นี้ก็ถูกเรียกว่า'เหตุการณ์สังหารหมู่แห่งมาซาโกะ'หรือที่ผู้คนมักเรียกกันย่อๆว่า'คืนมาซาโกะสีเลือด"
เรื่องราวที่ประชาชนทั่วไปรับรู้ คือในเหตุการณ์นั้น มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 34 คน เป็นพนักงาน 22 คน และเป็นโปรฮีโร่ 12 คน ทางตำรวจพยายามอย่างหนักในการสืบหาฆาตกรแต่ก็ไม่พบร่องรอยใดๆ ทั้งจำนวนผู้ก่อเหตุหรือวิธีในการลงมือและเนื่องจากฮีโร่ส่วนใหญ่ที่เสียชีวิต เป็นโปรฮีโร่ที่เพิ่งบรรจุเข้าทำงานได้ไม่นาน ผู้คนจึงพากันคาดคะเนกันไปต่างๆนานา ว่าอาจจะเป็นการสังหารที่มีเป้าหมายเเบบเจาะจงเป็นเหล่าฮีโร่รุ่นใหม่ที่พึ่งกางปีกบินเพื่อข่มขวัญเหล่าคนที่อยากจะเป็นฮีโร่ เเละข้อสันนิษฐานต่างๆอีกมากมาย
ทำให้ในช่วงเวลานั้น กระทรวงรักษาความสงบสุขต่างหัวหมุนกับการคอยระเเวดระวังเหล่าวิลเลินที่ไม่รู้ที่มาที่ไปจะก่อคดีซ้ำขึ้นอีกครั้ง
ด้วยหลักฐานที่ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่อาจหาพบ ทำให้คดีนี้ลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน....
........
...
..
3 ปีต่อมา
ภายในหัวของผมเริ่มได้ยินเสียงของนาโอกิบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆครั้งที่ผมพยายามจะฆ่าใครสักคน นาโอกิมันก็มักจะโผล่ออกมาแทนที่ ทำให้ทำให้ทุกๆคนที่ผมกำลังจะฆ่าหนีรอดไปได้ทุกครั้ง
การคุยกันในแต่ละครั้งของพวกเรามีแต่การโต้เถียง และทุกๆครั้งที่คุยกันสติสัมปชัญญะที่เชื่อมโยงกับโลกภายนอกก็จะถูกตัดไปชั่วขณะ ทำให้ในช่วงเวลานั้นมักมีอันตรายเกิดขึ้นกับร่างกายนี้อยู่บ่อยๆ แถมผมพึ่งมารู้เมื่อไม่นานมานี้ ว่าทุกครั้งหลังจากที่ได้คุยกับมันเลือดกำเดาก็มักจะไหลออกมาเสมอ
จนในที่สุดผมก็รู้ถึงเจตนาของมัน ว่าที่จริงเเล้วมันอยากให้ร่างกายนี้รีบๆตายไปซะ
ทั้งๆที่อยากฆ่าพวกฮีโร่ให้ได้มากที่สุด แต่ถ้าพยายามจะฆ่าใครร่างกายจะเเบกรับความเครียดมากเกินไป กลายเป็นว่าแผนการทั้งหมดต้องหยุดชะงักเพราะมัน
"ไม่ต้องกังวลหรอก อีกไม่นานเธอจะกลับไปฆ่าคนอีกครั้งได้แน่ ตัวเธออีกคนแค่ต้องการเวลาในการยอมรับมันเท่านั้น"
"ครับ.. ผมก็หวังให้มันเป็นแบบนั้น"
"ร่างกายเธอไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่ไหม?"
"หายห่วงคร้าบ~ ผมแข็งเเรงดี แถมช่วงนี้ผมเริ่มชนะคุณโทมุระในการต่อสู้มือเปล่าแล้วนะฮะ"
'ถึงมันจะเป็นการสู้แบบไม่ใช้อัตลักษณ์ก็เถอะ'
"แต่ว่า... ที่อาจารย์เรียกผมมาที่นี่ คงไม่ได้กะจะคุยแค่เรื่องนี้หรอกใช่ไหมครับ"
ชายชราหัวเราะในลำคอเล็กน้อยกับความแสนรู้ของลูกศิษย์ก่อนจะตอบคำถามออกไป"ใช่ อีกหนึ่งสัปดาห์ทางยูเอย์จะเปิดรับสมัครนักเรียนใหม่ ฉันอยากให้เธอแฝงตัวเข้าไปที่นั่น"
"จะดีเหรอครับให้ผมทำงานแบบนั้น ช่วงนี้ผมรู้สึกควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ซะด้วย"
"ดีเเล้วล่ะ ฉันเชื่อในความสามารถของเธอ อีกอย่างตัวตนของเธอที่เป็นทั้งคนธรรมดาและวิลเลินในเวลาเดียวกัน คนที่สามารถเคลื่อนไหวได้ทั้งในโลกกลางวันและกลางคืน ไม่มีใครเหมาะสมกับการทำหน้าที่สปายมากไปกว่าเธออีกแล้ว"
"เข้าใจแล้วครับ"
"แล้วอีกอย่าง เธอไม่คิดว่านี่จะเป็นโอกาสที่ดีกับแผนการของเธอบ้างหรอ?"
"โอกาส... หรอครับ.. อ๊ะ!"
จริงด้วย.. ตอนนี้เราสร้างชื่อเสียงในฐานะวิลเลินไม่ได้ เพราะมีนาโอกิคอยขัดขวาง แต่ถ้าเป็นฮีโร่ล่ะก็ ตอนที่พวกนั้นรู้ว่าฮีโร่ที่ตัวเองฝากฝังอนาคตเอาไว้ แท้ที่จริงแล้วเป็นวิลเลิน ผลกระทบที่ตามมาต้องไม่ใช่เล่นๆแน่
'เเค่ต้องสร้างชื่อเสียงในฐานะเด็ก UA แผนทุกอย่างก็จะกลับมาลงล็อค'
"หึๆ อาจารย์เนี่ยมักคิดอะไรเกินหน้าผมเสมอเลยนะ วางใจได้เลยครับผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน"
"ดีมาก เป้าหมายหลักๆในงานครั้งนี้มีอยู่สองเรื่อง..."
หาจุดอ่อนเพื่อกำจัดออลไมท์และตามหาผู้สืบทอด one for all สินะ... ไม่รู้หรอกว่าเป็นใคร แต่เป็นถึงคนที่รับช่วงต่อจากออลไมท์ คงต้องกลายเป็นศัตรูของคุณโทมูระในอนาคตแน่.. เราต้องฆ่าคนๆนั้นให้ได้
"คราวนี้เกี่ยวข้องกับคุณโทมูระ แกคงไม่ออกมาขัดขวางกันหรอกใช่ไหม"
ถึงจะถามออกไป แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย มันมักจะเป็นแบบนี้เสมอ เวลาอยากคุยถึงจะโผล่ออกมา แต่เวลาที่ผมถามออกไปมันก็มักจะเงียบเสมอ
"ตอบอะไรบ้างสิวะ!! ไม่ใช่อยากจะโผล่ออกมาก็โผล่ อยากเงียบก็เงียบ! ฉันยังไม่อยากตายไปพร้อมกับแกนะเว้ย!!"
เสียงแห่งความไม่พอใจถูกพรรณนาออกไป เด็กชายยังคงร้องตะโกนถามด้วยความโกรธไปอีกพักใหญ่ๆ แต่ผลที่ได้กลับมาคือการปวดหัวที่รุนแรง จนต้องยกมือทั้งสองขึ้นมากุมเอาไว้ที่หัวเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด เมื่อเห็นว่าไร้ผลจึงเลิกร้องตะโกน และทิ้งตัวลงนอนกับเตียง
"เฮ้อ... ปวดหัวชะมัด ขอหลับสักนิดคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง.."
'พรุ่งนี้แล้วสินะที่ต้องแสร้งทำตัวเป็นนาโอกิ ไม่อยากทำเลย.. ให้ตายสิ..'
ด้วยความเหนื่อยล้า ทำให้เด็กชายค่อยๆผล๋อยหลับเข้าสู่ห้วงนิทรา...
.........
....
เฮือก!
เหมือนดั่งร่างกายถูกกระชาก เด็กชายรีบลืมตาขึ้นอย่างหวั่นวิตกพร้อมทั้งกวาดตามองไปรอบๆ ทำให้รู้ว่านี่เป็นเตียงที่นอนเป็นประจำไม่ใช่สถานที่แห่งนั้น แต่ถึงอย่างไรหัวใจก็ยังเต้นกระหน่ำโครมครามเหมือนจะหลุดกระเด็นออกมา
"บ้าเอ๊ย... ฝัน.. แบบนั้นอีกแล้ว"
มุคุโร่.. ไม่สินาโอกิมักจะฝันร้ายทุกครั้งที่เข้าสู่ห้วงนิทรา ตัวเขาไม่เคยได้นอนหลับเต็มอิ่มเลยสักครั้งตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น
และทุกครั้งที่เริ่มประครองสติได้ มุคุโร่ก็จะกลับมาเป็นคนคุมร่างหลักในสภาพที่เหงือกาฬผุดซึมขึ้นตามร่างกาย
"ผมไม่ใช่นาโอกิ.. เลิกตามมาหลอกหลอนสักที"เป็นประโยคที่เด็กชายมักพูดกับใครสักคนที่ไม่รู้ว่ามีตัวตนอยู่จริงรึไม่ แต่เขาก็มักจะพูดมันออกมาทุกครั้งในตอนที่ตื่นขึ้นจากความฝัน
ก๊อกๆ
เสียงเคาะจากประตูที่เปิดโล่งเอาไว้ เมื่อเลื่อนสายตาขึ้นไปมอง ก็พบเข้ากับชายคนเดิมที่มักจะโผล่มาบ่อยๆในช่วงเวลาแบบนี้
"ฝันร้ายอีกแล้วหรอ?"
"ฮะๆ ประมาณนั้นครับ"
เสียงหัวเราะที่แห้งผากที่ไม่ว่าใครได้ยินเข้าก็รู้ว่าเสแสร้งแต่ชายหนุ่มก็เลือกที่จะตามน้ำอีกฝ่ายและเดินตรงเข้ามานั่งที่เตียง
"อา.. คุณโทมุระตื่นเร็วจังนะฮะ"
"แค่ลุกมาเข้าห้องน้ำเดี๋ยวก็นอนต่อแล้ว"
"อ๊ะ!"
มุคุโร่ร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆชิการาคิก็ใช้เเขนรวบเข้าไปที่เอวและล้มตัวลงนอน ลากให้เด็กชายล้มลงไปกับเตียงอีกคน
"แล้ว.. ทำไมถึงมานอนต่อที่เตียงของผมล่ะครับ?"
"ขี้เกียจ..."
"ห้องคุณอยู่ถัดไปแค่ห้องเดียวเองไม่ใช่หรอ"
"หุบปากได้แล้วน่า..ฉันจะนอน"เสียงพูดเตือนแกมข่มขู่ทำให้เด็กชายต้องปิดปากเงียบอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่ก็เเค่ไม่นานเท่านั้น
"คุณโทมุระ"
"อะไร..."
"เวลาที่คันต้องกินยานะครับ อย่าเอาแต่เกาอย่างเดียว ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปผมมาอยู่ทำแผลให้คุณไม่ได้แล้วนะ"ถึงจะถามไปแต่อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีจะพูดตอบออกมา แต่ด้วยแรงกอดเอวที่เพิ่มขึ้นทำให้เด็กชายถามซ้ำอีกครั้งเพื่อเค้นคำตอบ"เข้าใจไหมครับ?"
"เออ.. เข้าใจแล้วน่า"
อีกฝ่ายตอบออกมาอย่างงวงเงียก่อนที่ไม่นานเสียงหายใจจะออกมาอย่างสม่ำเสมอเป็นสัญญาณว่าคนข้างๆหลับไปแล้ว
แต่ก็ใช่ว่ามุคุโร่จะรู้สึกรำคาญใจกลับกันกับรู้สึกสบายใจด้วยซ้ำเพราะเวลาที่มีคุณโทมุระนอนอยู่ข้างๆ มันทำให้เขาหลับได้โดยที่ไม่ได้ฝันถึงอะไรทั้งสิ้นเป็นนิทราที่ตัวเขาต้องการมากที่สุด
'ขอนอนต่ออีกสักชั่วโมงแล้วค่อยตื่นแล้วกัน'
และภายในเวลาไม่นานเด็กชายก็ปิดเปลือกตาลงและหลับไปอีกครั้ง
‘อีกหนึ่งชั่วโมงกับผีน่ะสิ’
พอรู้สึกตัวอีกทีผมก็ตื่นขึ้นมาตอน 8 โมงครึ่ง ซึ่งอีกครึ่งชั่วโมงผมก็จะหมดสิทธิ์สอบไปโดยปริยายและเนื่องจากตอนนี้เป็นตอนเช้าทำให้ไม่สามารถใช้คุณคุโรกิริที่เป็นเป้าสายตาวาร์ปตัวเองไปที่นั่นได้ ผมเลยต้องพึ่งตัวเองใส่เกียร์หมาแล้ววิ่งให้สุดเเรงเพื่อไปให้ทันรถไฟรอบล่าสุด
ผลสรุปคือมาทันได้เเบบเฉียดฉิว ทางเดินเข้าประตูหน้าโดยรอบปราศจากผู้คน ถ้าให้เดาผมคงมาเป็นคนสุดท้าย ผมจึงเร่งฝีเท้ามากกว่าเดิมในการเดินไปยื่นบัตรเเสดงตัวตนให้กับเจ้าหน้าที่ก่อนที่จะเข้าไปในห้องโถงสำหรับรับรองสำหรับผู้เข้าสอบสาขาฮีโร่โดยเฉพาะ
บรรยากาศของห้องค่อนข้างมืดแต่ว่ายังดีที่มีแสงไฟจากจอมอนิเตอร์พอจะส่องแสงให้เห็นทางเดินอยู่บ้าง
พอโล่งใจเมื่อเห็นว่ายังไม่ได้พลาดเรื่องการเเจกแจงรายละเอียดผมจึงลดจังหวะการเดินแล้วมุ่งตรงไปยังเก้าอี้ตัวที่ยังว่างอยู่ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะล้มตัวลงนั่งกับเก้าอี้ แสงไฟจากจอมอนิเตอร์และเวทีก็พลันสว่างขึ้น ทำให้เห็นพิธีกรที่ยืนอยู่บนเวทีได้อย่างเด่นชัด
การเเนะนำตัวของพิธีกรที่เเสนโหวกเหวกได้เริ่มขึันหลังจากนั้น
เสียงที่ดังจนแทบจะทำให้หูของใครสักคนดับไปทำให้ผมที่นอนมาน้อยอยู่แล้ว อยากลุกขึ้นไปตั้นหน้าฮีโร่ที่ยืนอยู่บนเวที
'ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้เป็นนาโอกินะ'
หลังจากการเปิดตัวที่ไม่น่าจดจำจบลง การอธิบายรายละเอียดในการสอบจึงเริ่มขึ้นในเวลาต่อมา
ถ้าให้สรุปแบบคร่าวๆ ก็คือหลังจากที่แยกย้ายกันไปตามสนามสอบของแต่ละคน ผู้เข้าสอบทุกคนจะมีเวลาทั้งหมด 10 นาที ในการทำลายหุ่นยนต์วิลเลิน 3 ชนิด ที่มีคะแนนต่างกันตามระดับความยากแล้วเก็บคะแนนมาให้ได้มากที่สุด ที่สำคัญก็คือห้ามโจมตีใส่ผู้เข้าสอบคนอื่น
พอได้ฟังกฏข้อสุดท้ายผมก็เผลอสบถคำด่าออกมาด้วยความเคยชิน ดีนะที่คนข้างๆไม่ได้ยิน
เอาเป็นว่ากลับมาเข้าเรื่องหลักดีกว่าทุกอย่างที่เจ้าฮีโร่คนนั้นพูดมันก็คล้ายๆกับที่เขียนเอาไว้ในใบเอกสารอ้างอิง ส่วนสิ่งที่เจ้าตัวยังไม่ได้พูดก็คงเป็นหุ่นยนตร์หมายเลข 4
"มันอะไรหว่าตัวบั๊กส์หรอ?"
แล้วดูเหมือนว่านอกจากผมก็ยังมีคนที่คิดแบบนี้เหมือนกันอยู่ อย่างผู้ชายใส่แว่นคนนั้น
"ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ?'
"Ok"
"ในใบเอกสารบอกเอาไว้ว่ามีวิลเลินจำลองทั้งหมด 4 ชนิดนี่ครับ ถ้าเป็นการตีพิมพ์ที่ผิดพลาดถือเป็นเรื่องน่าอับอายสำหรับโรงเรียน UA ที่เป็นอันดับ 1 ของญี่ปุ่นเลยนะครับ พวกเราคาดหวังการชี้แนะจากฮีโร่ที่เป็นแบบอย่างถึงได้มาที่นี่ยังไงล่ะครับ! แล้วก็นายคนที่หัวหยิกหยอยตรงนั้นน่ะ เอาเเต่บ่นพึมพำอะไรมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วมันรบกวนสมาธินะถ้าคิดจะมาเที่ยวชมที่นี่เฉยๆ ก็กลับไปซะเถอะ!"
"ขอโทษครับ.."
พูดมากนอกประเด็นดี อยากบ่นคนอื่นออกสปอร์ตไลท์ขนาดนั้นเลยรึไง จะว่าไปคนตรงนั้นหน้าคุ้นๆจังเลยแหะ..
แต่ว่าอย่างน้อยสิ่งที่เจ้าแว่นนั่นถามก็ช่วยคลายความสงสัยได้เหมือนกัน พิธีกรคนนั้นได้อธิบายในภายหลังว่า เจ้าหมายเลข 4 เป็นเเค่ตัวก่อกวน ไม่มีคะแนนแถมยังบอกให้หนีทันทีที่เจอกับมัน หมายความว่ามันคงจะเก่งกว่าตัวอื่นในระดับนึ่งสินะ แถมสำหรับผู้เข้าสอบคนอื่นแค่หุ่นยนต์ 3 ชนิดแรกก็น่าจะวุ่นวายมากพออยู่แล้วดันมีตัวที่ 4 ที่เป็นเหมือนบั๊กส์ในเกมส์อีก เหมือนกับจงใจสร้างสถานการณ์ให้มันวุ่นวายสุดๆยังไงยังงั้น แบบนี้มันจะไม่เหมือนเกม survival มากกว่าจะเป็นการสอบของฮีโร่หรอ?
เดี๋ยวนะ.. ฮีโร่... การสอบ.. การเก็บคะแนน.. สถานการณ์..
"เข้าใจแล้ว.."
พวกมันคงไม่ได้กะจะเก็บคะแนนแค่อย่างเดียวสินะ ถ้าเป็นอย่างที่เราคิดจริงๆคงมีการเก็บพวกคะแนนช่วยเหลือด้วยเหมือนกัน แต่ถ้า.. ต้องไปคอยช่วยพวกวัยรุ่นไฟเเรงที่อยากจะเป็นฮีโร่ในอนาคต มันรู้สึกขัดๆยังไงก็ไม่รู้ แต่ก็ขี้เกียจเปลืองแรงไปทำลายหุ่นพวกนั้นเหมือนกัน
'เอายังไงดีน้า..'
"เฮ้อ..."
เอาเป็นว่าคิดว่าเจ้าพวกนั้นยังเป็นแค่คนธรรมดาอยู่ก็แล้วกัน ส่วนเจ้าหุ่นพวกนั้นเอาซัก 30 ไม่สิ 40 คะแนน ส่วนที่เหลือเดี๋ยวเก็บจากคะเเนนช่วยเหลือเอาก็คงจะพอสอบผ่าน
"ถ้าอย่างนั้นแล้วก็ขอให้ทุกคนได้รับบททดสอบที่ดีนะ!!"
'ได้เวลาไปซะทีสนามสอบ G ไปทางนี้สินะ'
ถึงจะประกาศออกไปแบบนั้น แต่ผู้เข้าสอบคนอื่นๆยกเว้นผม ได้แยกย้ายกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเองให้เป็นชุดลำลอง ส่วนตัวผมที่ไม่มีเครื่องแบบนักเรียนอะไรนั่นอยู่ตั้งแต่แรก เลยเดินนำคนอื่นๆตรงไปที่รถบัสและนั่งรอเวลาจนกว่าจะมีคนมาจนครบ
"นี่มันอะไรกันเนี่ย!?"
"เมืองชัดๆเลยไม่ใช่หรือไงกัน"
"ที่ยูเอมีสถานที่แบบนี้อีกเพียบเลยงั้นหรอ?"
และอีกอื่นๆมากมายที่เหล่าผู้เข้าสอบต่างพูดถึงความยิ่งใหญ่อลังการของมัน แต่ก็น่าตกใจจริงๆนั่นแหละ เล่นสร้างเมืองขนาดเล็กทั้งเมืองมาไว้ในโรงเรียนเนี้ยนะ?
เพื่อทุ่มทุนไปกับการสร้างฮีโร่คุณภาพ ต้องเสียงบภาษีไปเท่าไหร่กัน ไหนจะการซ่อมบำรุงหลังสอบเสร็จอีก สิ้นเปลืองชะมัดยังไงฮีโร่ที่ออกมาก็ด้อยคุณภาพอยู่แล้ว น่าจะเอาเงินตรงนี้ไปทำอย่างอื่นที่มันช่วยเหลือผู้คนได้มากกว่านี้ คิดไม่ได้หรือไม่ยอมคิดกัน
ในระหว่างที่มุคุโร่กำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย ประตูด้านหน้าก็ได้เปิดออก ทำให้เขาชั่งใจอยู่นานสองนานว่าควรเข้าไปเลยดีไหม แต่เพราะไม่อยากทำตัวเด่นตั้งเเต่เริ่ม จึงตัดสินใจรอสัญญาณเหมือนกับคนอื่นๆ
'ถ้างั้นเราก็ปล่อยละอองกระดูกเอาไว้ก่อนเลยแล้วกัน'
"เอ้าเริ่มได้!! เป็นอะไรไป ในการต่อสู้จริงไม่มีใครเขามานั่งนับถอยหลังหรอกนะ!"
พอเจ้าพวกนั้นได้ยินเสียงสัญญาณก็เริ่มวิ่งกรูกันเข้าไปด้านในแล้วเริ่มทำลายหุ่นยนต์กันไปทีละตัวสองตัว ส่วนตัวผมก็วิ่งปะปนไปกับพวกผู้เข้าสอบ ก่อนที่จะชะลอฝีเท้าของตัวเองลงเพื่อที่จะถอยห่างจากคนอื่นๆ
'เริ่มเลยก็เเล้วกัน'
ความคิดเห็น