ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Boku no hero academia | สมุดบันทึกของวิลเลิน [OC/Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #8 : Episodio VII : ก้าวเเรก

    • อัปเดตล่าสุด 17 ต.ค. 64


    "ว่าไง อยากมาด้วยกันรึเปล่า"


    เข้าร่วมกับสมาพันธ์งั้นหรอ.. นั่นสินะ เราฆ่าคนไปแล้วคงจะกลับไปใช้ชีวิตปกติไม่ได้ ที่สำคัญถ้าอยากจะฆ่าฮีโร่ก็ต้องเป็นวิลเลินเท่านั้น


    "อยากครับ.."


    "ดี งั้นเราไปจากที่นี่กัน ลุกไหว?"


    มือที่เขายื่นมาให้ เพียงแค่เราคว้าเอาไว้ก็จะข้ามไปฝั่งนั้น.. อย่างสมบูรณ์แบบ


    'อย่าเพิ่งไป'


    เสียงที่อยู่ๆก็โผล่มา ทำให้นาโอกิหยุดชะงัก มือที่กำลังจะเอื้อมไปจับคนตรงหน้าถูกชักกลับมาที่เดิม


    "เป็นอะไรไป?"


    "เอ่อ.. คือว่าคุณช่วยรอผมอีกสักหน่อยได้ไหม"


    "หา?"


    "คือผมมีเรื่องที่อยากทำนิดหน่อย ขอแค่หลังจบงานศพเท่านั้นผมจะรีบตามคุณไปเลย แถมพ่อผมเขาขอกำลังเสริมไปแล้วอีกสักพักก็คงจะมา ถ้าผมหายไปตอนนี้พวกตำรวจกับฮีโร่น่าจะออกตามหากันเพราะดันมีคนตายตั้งห้าคน มันจะกลายเป็นว่าผมทำให้คุณหนีลำบากอีก ไหนจะพวกนักข่าว แต่ถ้าผมค่อยหายไปหลังจากที่เรื่องเริ่มเงียบ แบบนั้นน่าจะสร้างความเดือดร้อนให้พวกคุณน้อยกว่านะ"


    "อืม... ไอ้เรื่องพาหนีน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ถ้ามีพวกตำรวจกับฮีโร่มาคอยตามหาตัวมันก็น่ารำคาญจริงๆนั่นแหละ.. ถ้างั้นที่เหลือคงต้องให้อาจารย์ช่วย"


    "อาจารย์หรอ?"


    คนตรงหน้าไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรไปหาใครบางคน ที่น่าจะเป็นคนที่เขาเรียกว่าอาจารย์


    "พอดีว่าผมดันไปเจอเด็กที่น่าสนใจเข้าน่ะ... ก็อยากพาไปด้วยอยู่หรอกแต่ตอนนี้ดันมีปัญหานิดหน่อย... อืม.. ถ้าเป็นสถานการณ์คร่าวๆก็ประมาณว่า....."


    ถึงจะฟังไม่ค่อยชัดแต่เท่าที่จับใจความได้ ดูเหมือนพวกเขาจะพูดคุยกันเรื่องสถานการณ์ของผมในปัจจุบัน รวมไปถึงเรื่องความต้องการที่ผมเสนอไปและพวกเขาก็พูดคุยอะไรกันอีกสักพักนึงโดยที่หูของผมไม่สามารถจับใจความได้ ก่อนที่คุณชิการาคิจะยื่นโทรศัพท์มาทางนี้


    ''เอ้า รับไปสิ อาจารย์เขาอยากคุยกับนาย''


    "อะ เออ.. สวัสดีครับ"


    "สวัสดีเด็กน้อย ฉันได้ยินเรื่องราวของเธอมาจากโทมุระแล้ว ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารจริงๆโดนพวกฮีโร่หลอกลวงจนต้องสูญเสียคนสำคัญไป คงจะโกรธแค้นมากเลยสินะ ไม่ต้องห่วงนะถ้าเธอมากับพวกเราคนพวกนั้นไม่มีทางตามตัวเธอได้ง่ายๆแน่ แต่เธอบอกว่ามีเรื่องที่อยากทำอยู่สินะ เรื่องงานศพของพ่อแม่งั้นหรอ?"


    "มันก็ส่วนนึงครับ อันที่จริงผมอยากพิสูจน์คำพูดของไอ้คนที่มันฆ่าพ่อกับแม่ มันบอกว่าเรื่องครั้งนี้จะผิดเพี้ยนไป อยากจะเห็นกับตาของตัวเองว่าเรื่องต่อจากนี้จะเป็นแบบที่มันพูดหรือเปล่า"


    "งั้นหรอ เข้าใจแล้ว ฉันจะรอเธอจนกว่าจะถึงตอนนั้นนะ แต่เธอรู้ใช่ไหมถ้าถูกพวกนั้นพาไปเธอจะต้องถูกสอบสวน"


    "รู้ครับ แบบนั้นผมจะถูกคุมตัวไว้ก่อนก็ได้ ผม..ควรทำยังไงดี"


    "ไม่ต้องห่วง หลักฐานทุกอย่างที่จะสื่อมาถึงเธอโทมุระจะเป็นคนจัดการเอง เพียงแค่เธอทำตามที่ฉันบอกต่อจากนี้ ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย..."


     


     


     


    "จะดีหรอครับอาจารย์ ถ้าปล่อยไปแบบนี้เด็กนั่นอาจจะหนีไปก็ได้"


    "ไม่ต้องห่วง เขายังมีความโกรธแค้นอยู่เพียงแค่ยังหาไม่เจอว่าควรจะเอาไปลงกับอะไร แต่อีกไม่นานหรอก เพราะพวกฮีโร่มันกลัวการถูกเปิดเผยความลับยิ่งกว่าอะไร หลังจากที่เด็กคนนั้นรู้ความจริง ความเครียดแค้นที่มีต่อสังคมนี้จะทำให้เขาเป็นฝ่ายเดินมาหาพวกเรา"


     


     


     


    หลังจากที่มีสัญญาณขอความช่วยเหลือพวกเราก็รีบมาในที่เกิดเหตุ แต่เพราะเศษหินจากหน้าผาที่ถล่มลงมาทำให้การเข้าไปช่วยเหลือล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น


    พอพวกเราเข้าไปได้ทุกอย่างมันก็สายเกินไป สถานที่แห่งนั้นเหลือเพียงแค่ร่องรอยของการต่อสู้ กองเลือดและซากศพ ผมไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าพวกคนที่อยู่ที่นี่เขาต้องผ่านเหตุการณ์เลวร้ายขนาดไหนถึงได้มีสภาพศพที่น่าเวทนาขนาดนั้น โดยเฉพาะสภาพของศพสามในห้า ชิ้นส่วนร่างกายของพวกเขากระจัดกระจายเละเทะจนไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นใคร


    ในขณะที่พยายามสำรวจสถานที่ไปเรื่อยๆในที่สุดพวกเราก็เจอข่าวดี ยังมีผู้รอดชีวิตหลงอยู่ถึงจะมีเพียงแค่คนเดียวก็ตาม เด็กคนนั้นนอนอยู่กับพื้นในสภาพที่หายใจรวยรินตามร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล แววตาของเขาดูอิดโรยมากๆแต่เด็กคนนั้นกลับไม่ยอมหมดสติ เหมือนกำลังหวาดระแวงอะไรบางอย่าง


    หลังจากนั้นพวกเราจึงรีบพาเด็กชายไปส่งที่โรงพยาบาล เขาอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มากๆจึงต้องรีบทำการผ่าตัดโดยด่วน การผ่าตัดดำเนินไปหลายชั่วโมงจนในที่สุดเด็กคนนั้นก็พ้นขีดอันตราย พวกเราที่อยู่ที่สำนักงานพอได้ยินข่าวนั้นก็ต่างพากันโล่งใจ


    เพียงแค่สองวันเด็กคนนั้นก็ตื่นขึ้นมาจากการผ่าตัด หมอบอกว่าเขาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วจนน่าประหลาดโดยเฉพาะกระดูกแต่เด็กคนนั้นก็ไม่ยอมพูดอะไรเลยเอาแต่บอกว่าถ้าเป็นโปรฮีโร่ถึงจะยอมบอก พวกเราจึงได้รับคำสั่งให้ไปสอบปากคำถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


    ก๊อกๆ


    "ขออนุญาตเข้าไปนะมินาโตะคุง"


    ผ่านไปสักพักคนด้านในก็ยังไม่ได้ตอบอะไร พวกเราจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปเพราะคิดว่าเขาอาจจะหลับอยู่ แต่ไม่ใช่เลยเด็กคนนั้นตื่นอยู่ตั้งแต่แรก สายตาพลันเหลือบไปเห็นขอบตาดำคล้ำของเด็กหนุ่มทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเด็กคนนี้ได้นอนบ้างหรือเปล่าหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาวันนั้น


    "ตะ ตื่นนานแล้วหรอ รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม พวกเราสองคนเป็นฮีโร่เพราะฉะนั้นเธอไม่จำเป็นต้องกลัว.."


    "เข้าเรื่องสักที พวกคุณมาสอบปากคำผมไม่ใช่หรือไง"


    "อื้ม ถ้าเธอพร้อมก็เล่าเลย"


    "ในวันนั้นพวกเรากำลังจะไปเที่ยวกันโดยที่มีฮีโร่อีกคนติดรถมาด้วย แต่จู่ๆมันก็เข้ามาขัดขวางการขับรถจนรถเสียหลัก จากนั้นพวกมันก็กดระเบิดที่ซ่อนเอาไว้เพื่อปิดทางเข้าและออกและพรรคพวกของมันอีกสองคนก็โผล่มา แม่ถูกยิงและก็ถูกแทงจนตาย ส่วนพ่อก็ถูกพวกมันรุมทำร้ายจนถูกฆ่าตายไปอีกคน ตอนที่เหลือแค่ผมหนึ่งในพวกมันก็เกิดคุ้มคลั่ง มันอาละวาดจนฆ่าพวกของมันเองสุดท้ายมันก็โง่เอามือไปแตะตัวเองจนมันตายไปอีกคน และหลังจากเรื่องพวกนั้นจบลงพวกคุณถึงค่อยโผล่หัวมา"


    "เธอจะบอกว่าฮีโร่อากิฮิโระเป็นคนวางแผนทุกอย่างงั้นหรอ"


    "ใช่"


    "แน่ใจนะว่าเธอไม่ได้ตกใจจนจำอะไรผิดพลาดน่ะ"


    "คิดว่าฉันจะโกหกรึไง คนที่ฆ่าพ่อกับแม่เชียวนะ ต่อให้สภาพใกล้ตายแค่ไหนก็ไม่มีทางที่จะมองพลาดเด็ดขาดไอ้ฮีโร่สาระเลวคนนั้น"


    "ใจเย็นๆก่อนนะ ฉันขอโทษนะทั้งที่เธอพึ่งผ่านเรื่องเลวร้ายขนาดนั้นมาแท้ๆ และฉันก็ไม่คิดว่าเธอมีสาเหตุที่ต้องโกหกด้วย ขอโทษจริงๆที่ปล่อยให้เธอต้องเผชิญกับเรื่องโหดร้ายเพียงลำพัง"


    "ขอโทษ.. ตอนนี้เนี่ยนะ ไม่สายเกินไปหน่อยหรอทั้งๆที่ปล่อยให้คนอย่างไดกิหลุดรอดออกมาจนเป็นถึงโปรฮีโร่แท้ๆ แต่ฮีโร่อย่างพวกคุณกลับคิดวิธีรับผิดชอบได้แค่การขอโทษงั้นหรอ ไม่ดูมักง่ายเกินไปหน่อยรึไง"


    "มะ ไม่ใช่นะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะสื่อความหมายแบบนั้น"


    "พอเถอะ คำพูดของคุณที่สักแต่จะปั้นแต่งให้สวยหรูแต่กลับไร้ซึ่งการกลั่นกรอง มันก็ชัดเจนพอแล้วว่าคุณเป็นคนแบบไหน ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นเยอะเลย จะบอกให้ฟังแบบชัดๆนะ ผมไม่ยกโทษให้"


    ถึงน้ำเสียงจะเรียบนิ่งแต่สายตาที่ถูกส่งมากับเต็มไปด้วยความเกลียดชัง


    ทั้งๆที่คุยกันครั้งแรก ทั้งที่เป็นแค่สายตาของเด็กแท้ๆแต่มันก็ทำให้ผมรวมไปถึงคนข้างๆรู้สึกกลัว พวกเราจึงหยุดการสอบปากคำไว้เพียงแค่นั้นและถอยกลับมา


    "เออ.. รุ่นพี่เราจะบอกกับทางสำนักงานยังไงดีหรอครับ เรื่องคำให้การของเด็กคนนั้น..."


    "เอามาประกอบกับหลักฐานได้เยอะเลย ถึงสถานที่เกิดเหตุจะเละเทะแต่ยังไงคนที่ฆ่าพวกเขาก็เป็นวินเลินสองคนนั้นแน่นอน เด็กคนนั้นคงจะตกใจแล้วก็โกรธที่พวกเราไปช้าถึงได้พยายามโยนความผิดให้กับฮีโร่"


    "ตะ แต่เขียนรายงานคนละอย่างกับคำให้การมันจะดีหรอครับ"


    "อย่าพูดเหมือนว่าฉันแต่งเรื่องเอาเองสิ ที่พูดไปมันมาจากประสบการณ์ในหลายๆครั้งต่างหาก หัวหน้าก็คงเห็นด้วยเหมือนกัน"


    "เข้าใจแล้วครับ! ประสบการณ์ของรุ่นพี่สินะครับ!"


    ไอ้ที่ฮีโร่ทำเรื่องแบบนั้น ไม่ว่ายังไงก็ให้หลุดไปถึงพวกสื่อไม่ได้เด็ดขาด


     


     


     


    เพื่อไม่ให้เรื่องลามไปถึงคุณชิการาคิเราถึงได้โกหกออกไปว่าตัวเองและเขาไม่ได้เป็นคนฆ่าเจ้าพวกนั้น เพราะฉะนั้นนอกจากเรื่องราวในตอนท้ายทั้งหมดที่เล่าออกไปมันเป็นความจริงทุกอย่าง


    แต่นี่อะไรกัน หนังคนละม้วนเลยไม่ใช่หรือไงทำไมไดกิมันถึงกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ ทำไมผู้คนถึงได้เยินยอมันทั้งที่เรื่องทุกอย่างก็เกิดจากมัน แล้วทำไมเสียงของเรามันถึงไม่มีค่าอะไรเลย


    เพราะเป็นแค่เด็กหรอ หรือเพราะผมไม่ได้เป็นฮีโร่ถึงได้ไม่มีใครเชื่องั้นหรอ เรื่องที่ฮีโร่เป็นฆาตกรมันเชื่อยากขนาดนั้นเลยรึไง


    ยอมรับสักที สังคมนี้มันหมดหวังแล้ว


    เสียงนี้ดังขึ้นอีกแล้ว.. เสียงใครกันน่ะ


    ความความต้องการจริงๆของนายไง จำไม่ได้รึไงเราเกือบจะข้ามไปฝั่งนั้นแล้วแท้ๆ แต่เเกกลับหยุดฉันเอาไว้ เพราะความฝันและคำสัญญางี่เง่ามันคอยฉุด แกคงอยากจะเชื่อว่าฮีโร่มันยังคงเป็นแสงสว่างที่จะสามารถพึ่งพาได้ แต่แล้วยังไงล่ะ สุดท้ายก็โดนหักหลังอีกจนได้ พอสักทีเถอะนาโอกิ ทิ้งสิ่งที่คอยถ่วงแข้งถ่วงขาออกไปได้แล้ว พ่อกับแม่เป็นคนที่สำคัญที่สุดไม่ใช่หรือไง ต่อจากนี้เหลือเพียงแค่การแก้แค้นก็พอ


    อา.. ใช่ แก้เเค้นสังคมที่เน่าเหม็นนี่ ให้มันได้รู้ว่าความโกรธแค้นที่โดนหักหลังของเรามันมีมากขนาดไหน


    เพราะงั้นเเหละนาโอกิต่อจากนี้ปล่อยให้ฉันจัดการเถอะ คนที่อ่อนแอแบบนายมีแต่จะทำให้เป้าหมายมันล่าช้าขึ้นเท่านั้น


    "การจะฆ่าพวกมัน ความใจอ่อนมันไม่จำเป็น"


     


     


     


    และแล้ววันจัดงานศพก็มาถึง พวกญาติห่างๆต่างพากันมาร่วมงาน แม้บางคนจะเพิ่งเคยเห็นหน้าเป็นครั้งแรกก็ตาม แต่พวกเขาก็พากันมาแสดงความเสียใจในการจากไปของพ่อกับแม่ ถึงคำพูดจะดูเป็นห่วงเป็นใยในตัวของเขามากขนาดไหน แต่มันก็แค่ฉากบังหน้า ลับหลังคนพวกนั้นก็เอาแต่ถกเถียงกันว่าใครจะเป็นคนรับเด็กที่ไร้พ่อแม่ไปดูแลต่อจากนี้


    'คุยกันเสียงดังแบบนั้นกลัวฉันจะไม่ได้ยินหรือไง แต่.. ช่างเถอะ ยังไงหลังจากนี้ก็คงจะไม่ได้เห็นหน้าพวกเขาอีกถือซะว่าเป็นการนับญาติครั้งสุดท้าย'


    เด็กชายค่อยๆเดินไปที่หน้าโรงศพของบิดาและมารดา ในมือของเขาถือดอกลิลลี่สีม่วงที่เป็นดอกไม้ที่พ่อกับแม่ของเขาชอบมากที่สุด ก่อนจะนำมันไปวางที่หน้าโรงศพของคนทั้งคู่


    พอได้เห็นศพของพวกเขาอีกครั้ง แม้ว่าศพจะถูกแต่งเเต้มให้มีสภาพที่งดงามกว่าที่เห็นครั้งล่าสุด แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความโกรธ ความรู้สึกหงุดหงิด ความเจ็บใจ หรือความรู้สึกกระอักกระอ่วนที่อัดเเน่นอยู่ภายในอกลดลงแม้แต่น้อย


    "พ่อครับ แม่ครับ ผมขอโทษที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย ตัวตนของผมมันอ่อนแอเกินไป ไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้เลยสักนิด เรื่องที่ผมจะทำต่อจากนี้ทั้งคู่อาจจะโกรธ แต่ผมก็โกรธเหมือนกัน โกรธพวกฮีโร่ โกรธไอ้ข่าวบ้าๆนั่นที่ทำให้พ่อกับแม่ต้องกลายเป็นตัวตลก ผมจะตามคนคนนึงไป จะทำให้พวกมันได้รู้ว่าการเลือกที่จะปกปิดมันจะพาเรื่องเลวร้ายย้อนกลับไปสู่พวกมันมากแค่ไหน ลาก่อนครับ ผมคง... กลับมาเจอพ่อกับแม่ไม่ได้อีกแล้ว"


    คำบอกลาครั้งสุดท้ายถูกกล่าวออกไป ตัวเขาเลือกที่จะหันหลังโดยไม่มีความรู้สึกติดค้างใดๆ ก่อนที่จะเดินตรงไปเรื่อยๆเพื่อออกไปจากงานศพ


    'คุณชิการาคิคงรอนานแล้วมั้ง'


    แต่ในตอนที่กำลังจะก้าวขาพ้นประตูกลับถูกมือของคนสองคนรั้งเอาไว้ซะก่อน


    'คัตสึหรอ.. ส่วนทางด้านซ้ายใครกันคงเป็นอิซึคุล่ะมั้ง... เหลือตาข้างเดียวเเล้วมองลำบากชะมัด อา.. ดันเจอคนน่ารำคาญซะได้'


    "มีอะไรงั้นหรอ?"


    "นาโอะนั่นแกจะไปไหน?"


    "นั่นสิ นัดจังงานศพของพวกคุณลุงยังไม่จบเลยนะ"


    "ฉัน... ทำเรื่องที่อยากทำเรียบร้อยเเล้ว เลยคิดว่าจะกลับเลย.. มีอะไรแปลกรึไง?"


    "แปลกดิวะ!! ญาติของแกยังไม่มีใครไปไหนเลยสักคน! แล้วตัวแกที่มีสภาพแบบนี้คิดว่าจะไปไหนคนเดียวได้รึไง?"


    "ฉันมีคนมารับแล้วต่างหาก แล้วก็.. ช่วยปล่อยสักทีจะได้มั้ย ที่นายจับอยู่มันเริ่มรู้สึกเจ็บแล้ว"


    "ชิ! เออ.. รู้เเล้วน่า"


    คัตสึกิผ่อนเเรงที่กำมือออกนิดหน่อย แต่ก็ยังไม่ได้ปล่อยมือ เหมือนกับอีกฝ่ายกำลังลังเลอะไรบางอย่าง แต่ในที่สุดเขาก็ยอมปล่อยมือข้างนั้น ผิดกับอีกคนที่ยังกำแขนอีกข้างนึงของผมเอาไว้แน่น


    "อิซึคุทำไมถึงยังไม่ปล่อยอีกล่ะ ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรอว่ามันเจ็บ ดูสิเลือดเริ่มไหลแล้ว.."


    "ขอโทษ เเต่ผมปล่อยไม่ลง.. นี่นัตจัง.. ผมขอถามอะไรสักอย่างหน่อยสิ ตอนนี้นายกำลังเจ็บอยู่จริงๆงั้นหรอ... ถ้างั้นทำไมถึงดูโกรธมากขนาดนั้นล่ะ มันดูไม่เหมือนกับนัตจังเวลาปกติเลย"


    อา.. ทำไมถึงพึ่งรู้สึกตัวนะ ว่าอิซึคุเป็นคนที่น่ารำคาญมากขนาดนี้..


    ไดกิมันพูดถูกอีกแล้วพวกที่อ่านสายตาคนอื่นได้เนี่ยน่ารำคาญชะมัด


    "พ่อแม่ตายทั้งคนนะ จะให้เป็นเหมือนกับปกติได้ยังไง ใช่.. ถูกอย่างที่นายพูดฉันกำลังโกรธอยู่จริงๆนั่นแหละ โกรธที่นายไม่ยอมปล่อยมือฉันสักที ทั้งๆที่เหนื่อยมากๆอยากไปพักสุดๆแต่นายกลับรั้งเอาไว้อยู่ได้!"


    "อ๊ะ! ขะ ขอโทษครับ"


    อีกฝ่ายรีบขอโทษอย่างลุกลี้ลุกลนและตามด้วยการปล่อยมือข้างนั้น ก็.. ไม่แปลกใจเท่าไรเพราะเราเองก็เพิ่งจะเคยตะคอกใส่อิซึคุเป็นครั้งแรกเหมือนกัน


    "งั้นฉันไปล่ะ ลาก่อนนะ"


    คำบอกลาถูกส่งไปให้คัตสิกิและอิซึคุ คนเพียงสองคนที่นาโอกิอยากพูดคำบอกลาออกมาจากใจ เพราะพวกเขาเป็นเพื่อนคนสำคัญ ที่เด็กชายผู้บอกช้ำอยากเก็บรักษาเอาไว้แต่ก็ทำไม่ได้


    เพราะถ้าอยู่ด้วยกันมากกว่านี้ความฝันที่เจิดจ้าของพวกเขาจะถูกตัวตนที่มีแต่ความเกลียดชังทำร้ายเข้าในสักวัน นาโอกิยังไม่ใจแข็งมากพอที่จะทำลายสิ่งสำคัญด้วยมือของตัวเอง


    'ถึงจะเกลียดฮีโร่จนไม่อยากให้คนสำคัญเป็นแบบพวกมันมากเเค่ไหน แต่การบอกความจริงแล้วไปทำลายความฝันของพวกนายผมก็ทำไม่ลงเหมือนกัน'


     


     


     


    เมื่อไม่มีคนมาคอยขัดขวางอีกต่อไป ตัวผมจึงเดินออกไปจากห้องจัดงาน เดินไปเรื่อยๆจนถึงลานจอดรถซึ่งมันเป็นสถานที่ ที่ตัวผมนัดกับเขาเอาไว้


    "รอนานหรือเปล่าครับ?"


    "ก็สักพักอะนะ แต่ช่างมันเถอะคราวนี้จะไปกันได้รึยัง"


    "ครับ"


    หลังจากนั้นชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆก็ขยายร่างของตัวเองให้กลายเป็นกลุ่มก้อนไอหมอกสีดำขนาดใหญ่ คุณชิการาคิเป็นฝ่ายเดินนำเข้าไปข้างในก่อน ส่วนผมก็ครุ่นคิดถึงสิ่งที่จะทำต่อจากนี้ พอความคิดทั้งหมดในหัวเข้าที่เข้าทาง จึงค่อยเริ่มเดินตามอีกฝ่ายเข้าไป


    'การล้างแค้นจะเริ่มต่อจากนี้'


    พอเดินผ่านหมอกเข้ามาผมก็มาโผล่ในห้องแปลกๆห้องนึง มันเต็มไปด้วยสายไฟระโยงระยางเต็มไปหมด ในมุมห้องอีกฟากมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ พอมองดูดีๆใบหน้าของเขาไม่มีเเม้กระทั่งดวงตาทั้งสองข้างด้วยซ้ำ ทำให้รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ยังพอมีลูกตาหลงเหลืออยู่บ้าง ตามตัวของชายคนนั้นเต็มไปด้วยสายน้ำเกลือกับสายออกซิเจนมากมาย บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความเงียบ แต่กลับไม่รู้สึกถึงแรงกดดันอะไร ก่อนที่ความเงียบจะปกคลุมไปมากกว่านี้ชายที่นั่งอยู่ก็เป็นคนเปิดบทสนทนาขึ้นมา


    "เธอสินะ มินาโตะ นาโอกิ ฉันดีใจนะที่เธอยอมรับคำเชิญของพวกเรา"


    "อา... ครับ"


    ฟังจากเสียงคงเป็นอาจารย์ที่คุยด้วยกันตอนนั้นสินะ เราคงไม่ได้ตอบชุ่ยเกินไปใช่ไหม


    "เป็นยังไงบ้าง ระหว่างที่อยู่ที่นั่นได้คำตอบที่ต้องการหรือเปล่า"


    "ครับ ยิ่งมองภาพรวมเท่าไหร่มันก็ยิ่งเกลียดพวกฮีโร่มากขึ้นเท่านั้น มากซะจนอยากจะฆ่าให้ตายแต่ผมก็ทำไม่ได้ ตัวผมมันอ่อนแอเกินไป แต่ถ้าเป็นพวกคุณต้องช่วยให้แผนการของผมสำเร็จได้แน่ๆ"


    "โห.. นี่เธอคิดแผนการเเก้เเค้นเอาไว้แล้วงั้นหรอ ไหนลองเล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ"


    "ก่อนหน้านั้นผมขอถามอะไรหน่อยนะครับ คุณคงจะสืบข้อมูลของผมมาบ้างแล้วใช่ไหม อย่างพวกเรื่องอัตลักษณ์ของผมอะไรประมาณนั้น"


    "ใช่ เรื่องที่เธอมีสองอัตลักษณ์ฉันก็พอรู้มาบ้างเเล้ว ควบคุมกระดูกกับเทเลพอร์ตสินะ"


    สืบข้อมูลเรามาลึกเหมือนกันเเฮะ


    "ความจริงเรื่องที่มีสองอัตลักษณ์ถ้าไม่นับพวกคุณ ก็มีเเค่สามคนที่รู้เรื่องนี้ สองในสามคือพ่อแม่ของผมที่พึ่งตายไป ส่วนอีกคนก็ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ถ้าเกิดว่าผมใช้เพียงแต่อัตลักษณ์ที่ปกปิดเอาไว้ บวกกับการปลอมแปลงรูปลักษณ์นิดหน่อย ก็จะไม่มีใครรู้ว่าผมคือนาโอกิ กลายเป็นอีกหนึ่งตัวตนที่จู่ๆก็โผล่ขึ้นมา ถ้าผมใช้ตัวตนนั้นสะสมเรื่องเลวร้ายจนโด่งดังขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือคำพูดก็จะมีคนสนใจมากขึ้น พอถึงตอนนั้นผมก็จะเปิดเผยความจริง ทั้งเรื่องที่ผมคือนาโอกิรวมไปถึงคดีในครั้งนี้ที่พวกมันพยายามปกปิดเอาไว้ กระแสของสังคมจะพุ่งความสนใจมาที่ตัวของผม ถึงพวกเขาจะไม่เชื่อในทันทีแต่ก็จะเริ่มตั้งคำถามว่า'ฮีโร่เนี่ยนะจะเป็นฆาตกร'หลังจากนั้นถ้าค่อยสุมไฟที่มีชื่อว่าความจริงและหลักฐานไปเรื่อยๆ เสียงของพวกนั้นก็จะแตกออกจากกันจะมีทั้งคนที่หลับหูหลับตาเชื่อมั่นและคนที่หวาดระแวงในตัวของฮีโร่ สังคมที่ผู้คนขาดความเชื่อมั่นในฮีโร่ สังคมแบบนี้แหละที่ผมอยากสร้างมันขึ้นมา"


    "หึๆ เป็นความทะเยอทะยานที่วิเศษไปเลย ฉันเองก็ชักอยากเห็นขึ้นมาแล้วสิ ย่อมได้.. ฉันจะช่วยผลักดันให้ความปรารถนาของเธอเป็นจริงเอง แล้วจะให้ฉันเรียกตัวตนใหม่ของเธอว่าอะไรดีล่ะ"


    "มุคุโร่ครับ.. มุคุโร่ที่เเปลว่าศพผมจะให้นาโอกิปรากฏตัวออกมาจากศพคนตายที่พวกมันลืมเลือนนี่แหละ"


    "ขอต้อนรับเธอสู่สมาพันธ์วิลเลินอย่างเป็นทางการนะ.. มุคุโร่"


    หลังจากนั้นผมกับอาจารย์ก็พูดคุยกันต่ออีกนิดหน่อย ส่วนมากจะเป็นการถามถึงความสมัครใจในการนำผมไปทดลองเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของอัตลักษณ์ ซึ่งคำตอบมันก็แน่นอนอยู่เเล้ว...


    แต่ในระหว่างที่เตรียมการอาจารย์ก็ฝากผมให้ไปอยู่ในความดูเเลของคุณชิการาคิ เขาพาผมเข้าไปในหมอกสีดำอีกครั้ง พอเดินออกมาพวกเราก็มาอยู่ในอีกสถานที่นึง มันเป็นบาร์ขนาดเล็กที่ไร้ซึ่งหน้าต่าง อาจเป็นเพราะผมยังไม่ชินกับสถานที่ปิดทึบแบบนี้ถึงได้รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย แต่ถ้าตัดเรื่องนั้นออกไปบาร์แห่งนี้มันจะสวยมากๆเลย


    "เออ.. คุณชิการาคิทำไมถึงพาผมมาที่นี่หรอครับ?"


    "ต่อไปที่นี่จะกลายเป็นบ้านใหม่ของนาย แล้วก็วิธีเรียกฉันแบบนั้นน่ะเปลี่ยนมันซะ"


    หรือว่า.. เขาจะไม่ชอบถูกเรียกว่าคุณ แต่ยังไงอีกฝ่ายก็อายุมากกว่าจะให้เรียกชื่อห้วนๆก็ดูไม่ดีด้วย..


    "พี่ชิการาคิ"


    "ไม่เอา"


    "งั้น.. ชิการาคิ"


    "ห้วนไป"


    ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คำว่าคุณหรอกหรอ


    "อืม... ถ้างั้น.. คุณโทมุระ?"


    "ค่อยฟังลื่นหูขึ้นมาหน่อย คุโรกิริฝากนายจัดการต่อด้วย"


    แค่อยากให้เราเรียกชื่อต้นไม่ใช่หรือไงบอกกันตรงๆก็ได้แท้ๆ.. ซึนชะมัด...


    และเเล้วบาร์แห่งนี้ก็กลายเป็นบ้านหลังใหม่ พอได้พักผ่อนจนปากแผลปิดตัวสนิท ผมก็ได้มาพบกับชายแก่คนนึงซึ่งเขาเป็นหมอส่วนตัวของอาจารย์และต่อจากนี้เขาก็จะกลายมาเป็นผู้ดูแลการทดลองทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับร่างกายของผม


    ในช่วงเเรกที่ถูกทดลองมันทรมาณมากๆ สารเคมีแต่ละอย่างที่ถูกฉีดเข้ามาในร่างกายรั้งแต่เพิ่มพูนความเจ็บปวด จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าแต่ละวันเสียเลือดออกจากร่างกายไปมากเท่าไหร่ แต่พอผ่านมันมาได้ผลที่ได้กลับมาก็นับว่าคุ้มค่าเช่นกัน จากแต่ก่อนที่หัวใจมีโอกาสถูกชัตดาวน์จากการเทเลพอร์ตที่มากเกินไปก็ถูกลดความเป็นไปได้จนเหลือ 0% แต่ถ้าเป็นการเทเลพอร์ตที่เคลื่อนย้ายสิ่งมีชีวิตอื่นไปด้วยก็จะยังมีโอกาสนั้นเหลืออยู่แต่มันก็น้อยมากๆจนไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ


    ส่วนตาข้างซ้ายที่เสียไป ผมเลือกปฏิเสธที่จะรับอวัยวะของคนอื่น ตาแก่คนนั้นจึงเลือกที่จะให้คอนแทคเลนส์ที่สามารถซูมมองระยะไกลได้มาแทน แถมในกรณีเร่งด่วนที่ต้องสลับตัวระหว่างนาโอกิกับมุคุโร่ มันก็ยังมีกลไกเล็กๆที่สามารถปรับเปลี่ยนสีตาระหว่างสีขาวกับสีฟ้า


    ถึงจะรู้สึกสาปแช่งตาแก่หลายครั้งก็เถอะ แต่ทั้งอุปกรณ์ซับพอร์ตนี่ รวมไปถึงเรื่องที่เขาช่วยพัฒนาอัตลักษณ์ของเรามามากขนาดนี้ ต้องขอขอบคุณหมอเพี้ยนคนนั้นล่ะนะ


    ส่วนอัตลักษณ์กระดูก พอผ่านมาหลายเดือนด้วยผลของความพยายามและการฝึกฝนผมจึงพัฒนาจนสามารถสร้างเป็นร่างของสิ่งมีชีวิตที่ควบคุมเคลื่อนไหวได้ ถึงพวกมันจะเป็นสัตว์ที่มีเพียงแค่โครงกระดูกก็เถอะ แต่ปลายแหลมของฟันและกรงเล็บจะทำหน้าที่เหมือนกับนิ้วมือของผม ถ้ามันเจาะทะลุผิวหนังจนไปถึงกระดูกเมื่อไหร่ผมจะสามารถสลายกระดูกและฆ่าคนคนนั้นได้อย่างง่ายดาย


    ส่วนเรื่องทักษะการต่อสู้ก็ได้คุณโทมุระคอยมาเป็นคู่มือให้ ถึงตอนเเรกๆจะโดนอัดอยู่ฝ่ายเดียว แต่พอผ่านมาซักพักเลยพอจะตอบโต้กลับไปได้บ้าง


    ตอนนี้ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมหมดแล้ว สำหรับการเปิดตัวครั้งแรกในฐานะมุคุโร่


    คราวนี้ผมอยู่ในชุดวิลเลินแบบเต็มยศ โดยคุมโทนขาวดำ เสื้อฮู้ดสีดำที่มีเขาเล็กๆสองขางติดกับหมวกของเสื้อ ใส่คู่กับกางเกงยีนส์ขายาวสีดำ ที่มือทั้งสองข้างมีถุงมือสวมเอาไว้เพื่อปกปิดรอยนิ้วมือ แล้วก็มีพร็อพอีกอย่างนึงถึงตอนนี้จะยังไม่ได้ใส่ แต่เวลาออกไปข้างนอกก็จะคอยสวมผ้าปิดปากเอาไว้ด้วย เพื่อป้องกันการโดนจับได้ว่าผมคือนาโอกิ


    แต่ว่า.. นี่มันชักจะนานเกินไปแล้ว


    "นี่.. คุณคุโรกิริไหนๆก็ใกล้จะถึงเวลาแล้ว.. เราไปที่นั่นกันเลยได้มั้ยฮะ?"


    "ใจร้อนจังนะยังเหลือเวลาอีกตั้งสามสิบนาที แต่ฉันจะยังไงก็ได้ทั้งนั้นแหละ ชิการาคิ โทมุระนายตัดสินใจเลย"


    "อืม... ไปกันเลยก็ได้"


    หลังจากสิ้นสุดคำพูดของคุณโทมุระที่เป็นหัวหน้า เจ้าของอัตลักษณ์วาร์ปเกทก็ทำการใช้พลังของตัวเองเเละเคลื่อนย้ายพวกเราออกมาจากบาร์ไปอีกสถานที่หนึ่ง สถานที่ที่วางแผนเอาไว้ว่าจะลงมือทำลายให้สิ้นซากตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน เมื่ออัตลักษณ์หมอกดำจางหายไปในที่สุดพวกเราสามคนก็มาถึง


    สำนักงานฮีโร่ที่รับทำคดีของพ่อกับแม่


    "เอาล่ะ~ ไหนๆก็มาถึงแล้ว ผมเปิดเครื่องตัดสัญญาณเลยนะ.."


    เมื่อกดสวิตซ์เครื่องจักรบนมือก็เริ่มปล่อยคลื่นรบกวนสัญญาณออกไปเป็นวงกว้าง ทำให้สถานที่แห่งนี้ไม่สามารถใช้เครื่องมือสื่อสารต่างๆได้อีกต่อไป แม้ว่าจะมีผู้บุกรุกพวกมันก็ไม่สามารถขอกำลังเสริมได้ พอผ่านไปสักพักสัญญาณไฟก็เปลี่ยนกลายเป็นสีเขียว เป็นเครื่องหมายที่แสดงว่าสัญญาณรบกวนถูกปล่อยไปจนถึงระยะที่ไกลที่สุดเรียบร้อยแล้ว


    "สัญญาณถูกตัดหมดเเล้วครับ"


    "ดี.. งั้นพวกเราไปฆ่าพวกมันกัน"


    "เดี๋ยวดิ บทพูดนั้นมันควรเป็นของผมไม่ใช่รึไงมาเเย่งกันเฉยเลย"


    "อย่าน้อยใจไปเลยน่า"


    "เฮ้อ.. ครับๆ คุณจะบุกไปก่อนเลยก็ได้นะ เดี๋ยวผมขอไปตัดสัญญาณกล้องวงจรปิดก่อน"


    "อย่าช้าล่ะ ถ้าฉันฆ่าพวกมันหมดก่อนไม่รู้ด้วยนะ"


    หลังจากจบประโยคนั้นคุณโทมุระก็พุ่งตัวเข้าไปในสำนักงานเเละเริ่มใช้อัตลักษณ์สลายสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่ขวางหน้า


    'ยังเป็นคนที่ชอบทำลายไม่เปลี่ยนเลย เราเองก็ต้องรีบเเล้ว..'


     


     


     


     


     


     


     


     


     


     


     


    Talk : ช่วงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

    สวัสดีค่าคิดถึงกันไหมเอ๋ย ภาษาดอกไม้ของดอกลิลลี่สีม่วงมีความหมายหลายอย่างเลยค่ะ แต่สำหรับนาโอะคุงเขาต้องการจะสื่อถึงพ่อกับแม่ที่เป็นคนพิเศษที่ไม่เหมือนใคร และอยากหยิบยื่นเเต่สิ่งดีๆให้ ถึงน้องจะไม่มีโอกาสเเล้วก็ตาม อีกอย่างบ้านนี้เขาชอบดอกลิลลี่สีม่วงกันทั้งบ้านเลยค่ะ


    และก็ขอสารภาพตรงนี้เลยค่ะ คือไรท์แอบไปแก้ตอนที่ 5 มานิดหน่อยไม่จำเป็นต้องกลับไปอ่านก็ได้นะคะ เพราะเนื้อเรื่องตั้งแต่ตอนที่ 5 ตอนท้าย กับตอนที่ 6,7 และ 8 ตอนต้น มันดันต่อกันมากว่าที่คิดค่ะ ไรท์ยังไม่มีความสามารถไม่มากพอเลยจำเนื้อเรื่องสับสนนิดหน่อย ขอโทษที่ทำให้รีดเดอร์บางคนสับสนนะคะ ขอย้ำค่ะแก้ไขเเค่นิดเดียวไม่จำเป็นต้องกลับไปอ่าน


    แล้วเจอกันใหม่นะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×