ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Boku no hero academia | สมุดบันทึกของวิลเลิน [OC/Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #6 : Episodio VI : เรื่องในวันนั้น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.09K
      162
      17 ต.ค. 64

    ถ้าในวันนั้นถ้าพวกเราไม่ไปด้วยเที่ยวกัน มันจะสามารถแก้ไขอะไรได้ไหมนะ


     


     



     


    ผมกลับมาที่บ้านของตัวเองหลังจากที่ไปเล่นเกมส์กับคัตสึ พอกลับมาถึงก็เห็นพ่อกำลังคุยโทรศัพท์กับใครบางคนอยู่ในครัว ด้วยท่าทางที่ดูมีความสุขมากกว่าปกตินิดหน่อย


    'ใครกันนะหรือว่าจะ.. เป็นกิ๊ก!?'


    ด้วยความสงสัยในท่าทีของผู้เป็นพ่อ ผมเลยไปเเอบอยู่หลังตู้เย็นเพื่อคอยฟังบทสนทนาของบุคคลปลายสาย เเต่พ่อก็ดันคุยโทรศัพท์เสียงดังซะจนไม่ได้ยินเสียงของคู่สนทนาเลยสักนิด


    "ไงไดกิ ที่โทรมาเนี่ยมีอะไรหรอ?"


    "........?"


    "ได้สิ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ลูกชายฉันต้องดีใจที่ได้เจอนายแน่เลย งั้นเดี๋ยวเสาร์นี้ฉันจะไปรับนายที่บ้านนะ "


    "... ...."


    "ด้วยความยินดีครับ"


    และสายโทรศัพท์ก็ถูกตัดไป โดยที่ผมไม่ได้ยินเรื่องราวใดๆทั้งสิ้น


    'ชิ พูดเสียงดังเหมือนรู้ว่ามีคนแอบฟังเลยแฮะ'


    "นาโอกิคุง~ จะแอบยืนฟังพ่อคุยไปจนถึงเมื่อไหร่กัน"


    'ดันรู้ตัวจริงๆซะอีก ดูถูกอดีตโปรฮีโร่ไม่ได้เลย'


    "กะ ก็พ่อทำตัวมีพิรุจเองหนิ ที่แอบมาคุยโทรศัพท์ในครัวแบบนี้แถมยังทำท่าทางดูมีความสุขอีก แล้วสรุปคุยกับใครหรอฮะ คงไม่ใช่กิ๊กหรอกใช่ไหม?"


    "จะเป็นอย่างงั้นได้ยังไงเล่า พ่อยังอยากมีชีวิตอยู่นะ ที่จริงพ่อคุยกับเพื่อนต่างหากเขาเป็นคนที่อยู่กับพ่อมาตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว แถมสมัยก่อนก็เคยทำงานที่เดียวกันด้วยนะ"


    "หมายความว่าเขาก็เป็นฮีโร่หรอ?"


    "ช่าย เขามีปัญหานิดหน่อยเลยจะมาขอติดรถเราไปลงระหว่างทาง ลูกคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?"


    "ถ้าพ่อตกลงไปเเล้วผมจะขัดอะไรได้ล่ะ"


    "จึ๊ย... ลูกเนี่ยนับวันยิ่งพูดอะไรเหมือนเเม่เขาเข้าไปทุกทีเลยนะ"


    "ผมล้อเล่นน่า เอาสิฮะผมเองก็อยากเจอฮีโร่คนอื่นเหมือนกัน แต่ตอนที่พ่อไปบอกแม่เขาคงหัวเสียน่าดู"


    "นั่นสินะ นาโอกิช่วยพ่อพูดกับแม่เขาหน่อยสิพ่อยังไม่อยากถูกแม่ยิ้มแบบนั้นใส่อ่า~"


    "ทำอะไรไว้ก็เเก้เองสิฮะ อย่าลากผมเข้าไปเอี่ยวด้วย"


    หลังจากนั้นพ่อก็ไปคุยกับแม่เรื่องที่ตัวเองไปรับคำขอของคนอื่น จนมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน ถึงตอนแรกแม่จะหัวเสียเรื่องที่พ่อชอบทำอะไรโดยไม่ถามก่อนล่วงหน้า แต่พออธิบายว่าคนคนนั้นเป็นใคร สีหน้าของเเม่ก็เปลี่ยนไปแถมยังดูตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อย


    'ไดกิงั้นหรอ.. จะเป็นคนเเบบไหนกันนะ?'


    และแล้ววันที่พวกเราจะออกไปเที่ยวกันก็มาถึง พ่อขับรถออกนอกเส้นทางเล็กน้อยเพื่อขับเข้าไปในซอยหมู่บ้านจัดสรร ก่อนจะขับเข้าไปจอดที่หน้าบ้านหลังนึง


    นั่นเป็นครั้งเเรกที่ผมได้พบกับผู้ชายที่ชื่อว่า อากิฮิโระ ไดกิ


    เขาเป็นคนที่ค่อนข้างสูงถ้าจะให้กะแบบคร่าวๆก็คงประมาณ 180 เกือบจะ 190 ซม. เส้นผมสีเเดงเข้มกับนัยตาสีเเดง บวกกับผิวสีขาวเหลือง ถึงจะไม่เท่าผม แต่รวมๆแล้วก็เป็นคนที่หน้าตาดีคนนึงเลย


    หลังจากที่ลงมาจากรถพวกเขาก็เข้าไปพูดคุยทักทายกันตามประสาเพื่อนเก่า ก่อนที่ชายคนนั้นจะหันมาทำความรู้จักกับผม


    "ไงเธอคือนาโอกิคุงใช่มั้ย? ฉันไดกิเองนะจำกันได้รึเปล่าเราเคยเจอกันอยู่ครั้งหนึ่ง"


    "อะ เออ.. ขอโทษนะฮะผมจำไม่ได้"


    "ไม่ต้องคิดมาก ตอนนั้นเธอยังเด็กมากๆอยู่เลย จะจำไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก ยินดีที่ได้รู้จักนะ"


    "เช่นกันครับ"


    ผมก้มหัวให้เขาตามมารยาท ในระหว่างที่กำลังพูดคุยกันในหัวมันก็ดันเผลอทำนิสัยติดตัว อย่างการพิจารณาลักษณะนิสัยจากภาษากาย


    'มองภายนอกเขาก็ดูเป็นคนใจดีอยู่หรอก แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกตะหงิดใจแปลกๆเวลามองดวงตาคู่นั้น เราคงคิดมากไปเองมั้ง?'


    หลังจากที่พวกผู้ใหญ่พูดคุยถามสาระทุกข์สุขดิบกันเรียบร้อย พวกเราก็เดินออกมาจากตัวบ้านเพื่อไปขึ้นรถ เเต่ว่า...


    "ทำไมแม่ไปนั่งตรงนั้นล่ะฮะ?"


    "ก็แหม~ นานๆทีแม่ก็อยากขับรถบ้างนี่นา อีกอย่างไดกิคุงอุตส่าห์มาด้วยทั้งที ให้พวกลุงๆเขาไปนั่งหลังนั่นแหละดีเเล้ว จะได้คุยกันสะดวกขึ้นไง"


    "ใจร้ายจังนะชิโอริ ฉันยังไม่แก่ขนาดนั้นสักหน่อย"


    "เอาน่า ถ้าชิโอริอยากขับก็ปล่อยเขาขับไปพวกเราขึ้นรถกันดีกว่า"


    พ่อรีบตัดบทสนทนา ก่อนจะเร่งให้พวกเราสองคนขึ้นไปนั่งบนรถ ผมนั่งที่เบาะหน้าตามเดิมส่วนพ่อกับคุณไดกินั่งที่เบาะหลัง เมื่อทุกคนขึ้นมากันครบเเม่ก็เริ่มขับพาพวกเราออกจากถนนในซอยหมู่บ้านจัดสรรผ่านถนนเลี่ยงเมืองเพื่อลดปัญหารถติด ก่อนจะมุ่งตรงไปยังถนนสายต่อไปที่จะพาพวกเราออกไปนอกตัวเมือง


    ระหว่างทางผมได้พูดคุยทำความรู้จักกับคุณไดกิมากขึ้น ทั้งเรื่องอัตลักษณ์ของเขา ทั้งเรื่องที่พ่อกับคุณไดกิได้รู้จักกันได้ยังไง รวมไปถึงเรื่องที่เขากับพ่ออยู่ด้วยกันมาตั้งเเต่สมัยประถมยันเริ่มทำงาน


    ถ้าจะให้นิยามความสัมพันธ์ของทั้งสองคนคงเป็นเพื่อนที่ดูสนิทกันล่ะมั้ง? แต่ผมก็ยังรู้สึกค้างคาใจในท่าทางของคุณไดกิอยู่ดี เพราะความสงสัยที่คอยวนเวียนอยู่ในหัวมันทำให้ผมดันหลุดปากถามออกไป...


    "คุณไดกิแววตาเเบบนั้น กำลังโกรธอะไรอยู่รึเปล่าครับ?"


    'ตายล่ะ... ดันถามออกไปโดยไม่ทันคิดหน้าคิดหลังอีกแล้ว แบบนี้เขาคงจะโกรธเเหง'


    "ไม่ใช่หรอกนาโอกิ ไดกิเขาเป็นคนที่ค่อนข้างเอาจริงเอาจังน่ะ เลยมีเเววตาแบบนี้มาตั้งเเต่สมัยก่อนเเล้ว ถ้ามองผ่านๆอาจจะดูเหมือนเขากำลังโกรธอยู่แต่ไม่ใช่หรอกนะ"


    "นั้นสินะ.. สมัยก่อนฮิโรชิเองก็เคยถามอะไรแบบนี้เหมือนกัน พวกนายสองคนนี่สมกับที่เป็นพ่อลูกกันจริงๆ นาโอกิคุงคงเป็นพวกชอบอ่านสายตาของคนอื่นสินะ"


    "เเหะๆ คือผมก็ได้แม่เขาช่วยสอนให้น่ะ"


    "จริงสิ ไหนๆข้างหน้านี้เราก็จะขับเข้าไปในอุโมงค์แล้ว... พวกเรามาเล่นเกมส์กันสักหน่อยมั้ย?"


    "เกมส์แบบไหนหรอฮะ?"


    "มันเป็นเกมส์ที่คล้ายๆแนวจิตวิทยานิดหน่อย ถ้าพวกนายสนใจก็ลองหลับตาลงก่อนสิ"


    "อ๊ะ! งั้นแบบนี้ฉันก็เล่นด้วยไม่ได้สิ"


    "สำหรับชิโอริฉันมีอีกเกมให้เล่นแต่ต้องรอตาหน้านะ เอาล่ะพวกนายจะเล่นรึเปล่า?"


    'จิตวิทยาหรอ..'


    เพราะเห็นว่ามันน่าสนใจทั้งผมเเล้วก็พ่อต่างพร้อมใจกันหลับตาลง ในขณะเดียวกันรถเองก็ขับเข้าไปในอุโมงพอดี ทำให้ในตอนที่หลับตาอยู่มันดูมืดกว่าปกตินิดหน่อย


    "จากนั้น..... พวกแกทุกคนก็เตรียมตัวไปทัวร์นรกกันซะ"


    'เดี๋ยวนะ ประโยคที่พูดออกมานั่นมันดูไม่เหมือนสคลิปที่จะเอามาพูดในเกมส์เลย...'


    นาโอกิที่รู้สึกว่าคำพูดมันเริ่มจะไม่ชอบมาพากล เขาจึงตัดสินใจลืมตาขึ้น


    เเต่การตัดสินใจนั้นมันก็สายเกินไป...


     



    ภาพที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า คือไดกิที่พุ่งตัวมาจากเบาะหลังแล้วตรงเข้าไปหักพวงมาลัยในมือของแม่อย่างแรงจนรถเสียการควบคุม ทำให้รถของพวกเราเสียหลักพุ่งเข้าไปชนกับฝาผนังของอุโมง


    ในวินาทีนั้นทุกอย่างมันวุ่นวายไปหมด ทั้งเเรงเหวี่ยงของรถ ทั้งแม่ที่ขยับตัวเข้ามากอดผมเพื่อป้องกันจากเเรงกระเเทกที่กำลังจะตามมา ทั้งเสียงของพ่อที่พยายามร้องห้ามผู้ชายคนนั้น แล้วก็เสียงหัวเราะลั่นที่ดังออกมาจากชายผมเเดง การกระทำของเจ้านั่นทั้งหมดมันไม่ต่างกับคนเสียสติ ท่ามกลางความวุ่นวายทั้งหมด สิ่งสุดท้ายที่ผมพอจะประคองสติและจดจำเอาไว้ได้คือเสียงระเบิดที่ดังมาจากที่ไหนสักเเห่ง เสียงระเบิดที่ดังมากๆ และภาพทั้งหมดก็ถูกตัดไป


     


     


    ปัง!


    นั่นมัน... เสียงอะไร


    ปัง! ปัง!


    หนวกหู.. ทำไมเสียงมันถึงดังนัก ตอนนี้ตัวเราอยู่ที่ไหนกันมืดไปหมดเลย แล้วทำไมตาซ้ายมันถึงปวดขนาดนี้ เจ็บจัง.. ช่วยด้วย...


    ปัง!


    เสียงปืนหรอ ทำไมถึงมีเสียงแบบนี้อยู่ที่นี่ น่ากลัว.. พอสักที..


    ''ช่วยผมที... พ่อฮะ.. แม่.."


    "นาโอกิ! ได้สติเเล้วหรอ"


    เสียงของแม่ที่ดูตื่นตระหนกมากกว่าปกติ ทำให้ผมไม่สามารถข่มตาหลับต่อไปได้ แต่สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้ามันทำให้ผมไม่อยากคิดว่ามันคือความเป็นจริง


    "มะ แม่.."


    เเม่ที่อุ้มผมเอาไว้ในสภาพเลือดท่วมตัว ตามร่างกายมีแต่รอยกระสุน แต่ถึงอย่างนั้นแม่ก็ยังคงวิ่งบวกกับใช้อัตลักษณ์เพื่อหนีจากอะไรบางอย่างที่อยู่ด้านหลัง


    'อย่าบอกนะว่าเป็นฝีมือไดกิ'


    "ฟังแม่นะนาโอกิ! ตอนนี้ลูกจะต้องรีบ.. อึก หนีไป!"


    เลือดจำนวนมากทะลักออกมาจากปากทำให้คำพูดของแม่ถูกขัดจังหวะ คำพูดสุดท้ายที่ถูกเเค้นเหมือนกับคำบอกลา แต่ก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเมื่อเหลือบสายตาไปมองบริเวณอกมันกลับมีปลายแหลมของมีดแทงทะลุเข้ามา ขาทั้งสองข้างที่ไม่อาจประคองร่างกายเอาไว้ได้จึงค่อยๆทรุดและล้มลงกับพื้น


    "เเม่ฮะ!"


    "จับ ตัว ได้ เเล้ว~"


    "แก! ทำบ้าอะไรวะ!"


    "เป็นเด็กที่หยาบคายจังนะ แต่อย่าโกรธไปเลยเพราะอีกเดี๋ยวแกก็จะได้ตามแม่ของแกไป"


    มันแสยะยิ้มและเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ในหัวของผมมันมัวแต่จดจ่อกับเลือดของแม่ที่ไหลทะลักออกมาเรื่อยๆ แต่ผมกับทำตัวไม่ถูกคิดอะไรไม่ออกทำได้เพียงนั่งตัวเเข็งทื่อ จนอีกฝ่ายเข้ามาประชิดตัวและกระบอกปืนมาจ่อที่หัว เป็นครั้งเเรกที่รู้สึกแบบนี้.. ความรู้สึกที่จะโดนฆ่า


    'ช่วงเวลานั้นเป็นครั้งเเรกที่ผมร้องไห้ออกมาเพราะความหวาดกลัว'


    แต่ในตอนนั้นพ่อก็พุ่งตัวมาจากด้านหลัง ใช้แขนที่มีกระดูกปลายแหลมงอกออกมาฟันเข้าไปที่ตัวหมอนั่นแต่มันก็หลบได้อย่างเฉียดฉิวเลยมีแผลเพียงแค่เล็กน้อย แต่ก็ทำให้มันไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ในทันที พ่อที่เห็นว่าสบโอกาสเขาจึงรีบเข้ามาอุ่มผมเเละพาวิ่งหนีออกไป


    "เดี๋ยวสิพ่อ!! อย่าพึ่งไป! แม่ยังอยู่ตรงนั้นอยู่เลย ถ้าปล่อยไว้แม่จะตายเอานะ หยุดสิ.. ขอร้องล่ะ พ่อฮะ กลับไปช่วยแม่เขาที"


    เสียงร้องไห้ที่ผสมปนเปไปกับเสียงตะโกน ตัวผมไม่อยากยอมรับความเป็นจริง คิดเพียงเเค่ว่าเเม่จะต้องไม่เป็นอะไรเพียงแค่กลับไปช่วยเธอก็จะปลอดภัย ถึงอย่างนั้นพ่อก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาทำเพียงเเค่วิ่งตรงไปข้างหน้า


    "นาโอกิ.. พ่อขอโทษ"


    พ่อที่เอาเเต่ก้มหน้าก้มตามาตลอดเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมเป็นครั้งแรก แว๊บแรกที่เห็นแววตานั้นมันทั้งเศร้าเเละเจ็บปวดยิ่งกว่าครั้งไหนๆแต่ก็ไม่มีน้ำตาไหลออกมา ก่อนที่พ่อจะเปลี่ยนเป็นสายตาที่ดูมุ่งมั่นเหมือนพร้อมจะทำอะไรบางอย่าง อย่างสุดกำลัง การที่ได้เห็นดวงตาแบบนั้นมันทำให้ผมหยุดการกระทำทุกอย่างทั้งการตะโกนและการร้องไห้


    "ต่อจากนี้นาโอกิจะโกรธหรือเกลียดพ่อมากแค่ไหนก็ได้ แต่ขอแค่ตอนนี้เท่านั้นช่วยมองไปข้างหน้าทีนะ แม่เขาเองก็ต้องการให้ลูกเดินหน้าต่อไปเหมือนกัน พ่อด้วยไม่ว่ายังไงก็จะปกป้องลูกเอาไว้ให้ได้"


    ด้วยคำพูดนั้นทำให้ความคิดของผมเลิกฟุ้งซ่าน ทันทีที่ผมตั้งสติได้ก็เป็นจังหวะเดียวกันที่พ่อวิ่งพ้นออกมาจากภายในอุโมงค์ ก่อนที่เขาจะวางตัวผมลงและหันหลังกลับไปเพื่อเสกกระดูกปิดปากทางออกอุโมงค์


    "ฟังนะนาโอกินอกจากไดกิเเล้วก็ยังมีพวกวิลเลินอีกสองคน อีกไม่นานพวกมันก็คงตามเรามาทันส่วนกำแพงนี่น่าจะกันพวกมันได้อีกสักพักนึง พ่อส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปแล้วแต่กว่าจะมาก็คงอีกสักพักใหญ่ๆเพราะพวกมันดันระเบิดถนนทางฝั่งนู้นไป..."


    'เสียงระเบิดในตอนนั้น'


    "ในระหว่างนั้นลูกต้องทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองหนีไปให้ไกลที่สุดเข้าใจไหม?"


    "แล้วพ่อล่ะ?"


    "กะจะอยู่ถ่วงเวลาพวกมันอีกสักหน่อย"


    "ไม่เอานะไปด้วยกันสิฮะ"


    "นาโอกิ!"


    "คะ ครับ!?"


    "ฝากไปขอความช่วยเหลือทีนะ อีกเดี๋ยวพ่อก็ตามไปแล้วล่ะ"


    รอยยิ้มที่ถูกส่งมาให้มันเหมือนกับทุกๆครั้งที่พ่อออกไปทำงาน เขามักจะยิ้มแบบนี้เเละกลับมาเสมอ มันทำให้ผมหลวมตัวตอบตกลงออกไป


    "อืม! ผมล่วงหน้าไปก่อนนะ พ่อเองก็ห้ามผิดสัญญาเด็ดขาดไม่งั้นผมจะโกรธพ่อไปตลอดชีวิตเลย!"


     


     


     


    "ฮะ ฮะ แบบนั้นก็แย่สิ... "


    หลังจากที่จบประโยคจากลาของลูกชายฮิโรชิก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังวิ่งออกไป ไกลออกไปเรื่อยๆ


    'นี่ชิโอริลูกของเราเป็นเด็กที่เข้มเเข็งมากๆเลยนะ ถึงตอนแรกจะทำท่าเหมือนไม่อยากไปแต่สุดท้ายก็ยอมหยุดร้องไห้แล้ววิ่งออกไปอยู่ดี'


    "ดีจริงๆที่เราสามคนได้อยู่ด้วยกันมามากขนาดนี้"


    กำเเพงนี่เริ่มสั่นมาสักพักเเล้วอีกเดียวเราก็คงต้องสู้กับพวกนั้น แต่ทั้งกระดูกซี่โครงและกระดูกที่ขามันก็ดันหักไปแล้ว ขอโทษนะนาโอกิมันอาจจะเป็นครั้งเเรกเลยก็ได้ที่พ่อผิดสัญญากับลูก ทั้งที่พ่ออยากจะสอนลูกอีกหลายๆเรื่องแท้ๆ แต่ว่าถ้าหากมันจะเป็นคำพูดสุดท้ายละก็...


    "รักนะไอ้ลูกชาย!"


    'ว่าไปนั่น ป่านนี้แล้วจะไปได้ยินได้ยังไง...'


    "ผมก็รักพ่อเหมือนกัน!"


    "หึ.. ไอ้เด็กบ้ายังจะมาทำให้ผู้ใหญ่ร้องไห้อีกนะ"


    ตัวเขารีบปาดน้ำตาพวกนั้นออก พร้อมๆกับเสียงกำแพงที่เริ่มพังลง


    การต่อสู้แบบ 1 ปะทะ 3 ที่แทบจะไม่มีทางชนะกำลังจะเริ่มขึ้น


     


     


     


    เนื่องจากบนถนนเส้นนี้ทางฝั่งนึงเป็นหน้าผาส่วนอีกฝั่งก็เป็นเหวลึก นาโอกิจึงทำได้เพียงเเค่วิ่งตรงไปข้างหน้าพร้อมกับเทเลพอร์ตตัวเองไปเรื่อยๆ ท่ามกลางวิสัยทัศน์ที่มีหมอกหนาทำให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ทีละนิดเท่านั้น เขาจึงเปลี่ยนมาวิ่งแทนการใช้อัตลักษณ์เพื่อเป็นการลดการเกิดสภาวะหัวใจวายเฉียบพลันที่เป็นผลกระทบจากการใช้อัตลักษณ์มากเกินไป


    ณ วินาทีนั้นตัวเขาคิดเพียงอย่างเดียวคือต้องหาใครสักคนมาช่วยพ่อของเขาให้ได้ จนในที่สุดนาโอกิก็วิ่งพ้นเหล่ามวลหมอกออกมาได้ แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้น คือ


    ทางตัน มันทำให้ตัวของเด็กหนุ่มได้ตระหนักความจริง ว่าตลอดระยะทางที่ผ่านมาสิ่งที่คอยขวางทางการใช้อัตลักษณ์ของเขาไม่ใช่หมอกแต่เป็นฝุ่นผงที่เกิดจากการระเบิด วิลเลินพวกนั้นไม่ได้ปิดแค่ทางเข้าแต่รวมไปถึงทางออกด้วย สถานที่แห่งนี้มันไม่ต่างกับที่ปิดตายขนาดใหญ่ ที่รอให้ตัวเขาวิ่งวนไปวนมา


    "บ้าเอ๊ย! ทำยังไงดี.. ไม่สิตอนนี้เราต้องตั้งสติแล้วก็ใจเย็นๆ โอเค.. พวกเศษหินที่หล่นลงมาปิดทับทางค่อนข้างสูงให้เทเลพอร์ตคงได้อีกสักห้าครั้ง.. ไม่ได้ระยะการใช้มันเหลือน้อยเกินไป จริงสิถ้าเราอ้อมไปด้านข้างแทนล่ะก็ ถึงจะอันตรายหน่อยแต่เหลือแค่วิธีนี้วิธีเดียวแล้ว"


    "ว้าย~ น่าสงสารจังนะ วิ่งมาตั้งไกลแต่ก็ดันมาเจอทางตันแบบนี้น่าสงสารจริงๆ"


    'เวรเอ้ย! มันตามมาทันได้ยังได้'


    "คงสงสัยสินะว่าฉันตามแกมาทันได้ยังไง คำตอบก็ง่ายๆ... ก็พ่อของแกมันตายไปแล้วยังไงล่ะ"


    "อย่ามาโกหก!! ไอ้หมาลอบกัดแบบแกไม่มีทางชนะพ่อฉันได้หรอก!"


    "ปากเก่งดีหนิไอ้หนูแต่ก็คิดเอาไว้แล้วว่าแกต้องพูดแบบนั้น แต่การจะให้เอาศพมาให้ดูทั้งตัวมันก็ดันหนักเกินไป เพราะงั้นแหละ.. แต่นแต้น! จำได้ไหมว่าใครเอ่ย~"


    สิ่งที่มันเอาออกมาจากด้านหลัง ทำให้ผมแทบล้มทั้งยืน ตัวผมที่เชื่ออย่างหมดหัวใจมาโดยตลอดว่าพ่อจะตามมาในภายหลัง ถูกภาพที่อยู่ตรงหน้าตอกกลับด้วยความเป็นจริง


    'หัวของพ่อที่ถูกตัดออกมา'


    เจ็บ.. ภายในอกมันเจ็บไปหมด ความเจ็บที่เหมือนกับมีอะไรสักอย่างกรีดเข้าไปกลางหัวใจ จนรู้สึกหายใจไม่ออก 


    แม่ที่ต้องตายเพราะปกป้องเขา พ่อที่รักษาสัญญาเอาไว้ไม่ได้ คนสองคนที่รักมากที่สุดในชีวิตถูกฆ่าตายโดยที่ตัวเราทำอะไรไม่ได้เลย ทั้งที่ทั้งคู่อุตส่าห์ไว้ใจ ไว้ใจมันมากขนาดนั้นแท้ๆ แต่ไอ้ฮีโร่สาระเลวนั่นมันกลับทรยศพ่อกับแม่ สุดท้ายพวกเขาก็ถูกฆ่าด้วยฝีมือของฮีโร่?


    ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยถูกปลูกฝังมา มันดูผิดเพี้ยนไปหมด


    "อ้าว~ เงียบไปเลยหรอ ไอ้เด็กปากดีเมื่อตะกี้มันหายไปไหนซะล่ะ รู้รึเปล่ากว่าฉันจะตัดมันออกมาได้เนี่ยมันยากแค่ไหน.."


    "หุบปาก!! ทำไม! อึก ทำไมทำแบบนี้ แกก็เป็นฮีโร่ไม่ใช่รึไง ทั้งที่พ่อกับแม่ไว้ใจแกมากขนาดนี้แท้ๆ แต่แกกับฆ่าเขา.. ฆ่าพวกเขาทำไม?"


    "อา.. ถามอะไรได้ปัญญาอ่อนดีหนิ อย่างแรกเลยที่พวกมันโดนฉันฆ่าก็เพราะพวกมันคิดเองเออเองทั้งนั้นว่าฉันเป็นเพื่อน ส่วนสาเหตุที่ฆ่าก็เพราะเกลียดพวกมันไงจำเป็นต้องมีเหตุผลอื่นด้วยเหรอ ไม่ใช่ว่าแกก็รู้เหตุผลอยู่แล้วหรอ แต่แค่แกล้งโง่ทำเป็นไม่รู้"


    "หุบปากไปไอ้สาระเลว!! อย่าคิดว่าคนอย่างแกจะรอดไปได้ คนแบบเเกต้องถูกออลไมท์ จะต้องถูกฮีโร่คนอื่นๆจัดการ แกจะต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปจนกว่าจะได้ชดใช้ในทุกสิ่งทุกอย่างที่แกทำ"


    "นี่.. ไอ้หนูพ่อแม่แกก็ถูกฮีโร่ฆ่าไปแล้ว ยังคิดว่าพวกฮีโร่มันจะช่วยอะไรแกได้อีกเหรอ?"


    "หุบปาก!!"


    "กะอีแค่คนสองคนตายไปคิดว่าพวกฮีโร่มันจะสนใจกันขนาดนั้นเลยรึไง อย่าลืมสิถึงอดีตพวกมันจะเคยเป็นโปรฮีโร่แต่ก็ลาวงการมานานจนปัจจุบันที่เป็นแค่คนธรรมดา คดีเล็กๆแบบนี้อีกไม่นานเดี๋ยวก็คงถูกลืมแล้ว"


    "หุบปากซะ!!"


    "อีกอย่างถ้าแกตายไปสักคนก็จะเหลือแค่ฉันเพียงคนเดียวที่เป็นพยาน เรื่องต่อจากนั้นฉันจะจัดฉากให้มันเป็นยังไงก็ได้ รวมไปถึงเรื่องที่พ่อแม่แกถูกฆ่าอาจจะไม่เคยเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ ไม่มีใครที่รู้ความจริงนอกจากแก"


    "...."


    'ลืมคิดถึงเรื่องนั้นไปเลย'


    "นี่ไอ้หนู พวกฮีโร่ที่แกชื่นชมนักหนาน่ะ ถ้าสังคมแบบนั้นมันดีจริง จะมีคนอย่างฉันหลุดรอดออกมาจนเป็นถึงโปรฮีโร่ได้หรอ ยอมรับซะเถอะสังคมในปัจจุบันมันก็คือเศษขยะดีๆนี่เเหละ พยายามสร้างภาพว่ามันสวยงาม ทั้งที่เนื้อแท้ก็ยังเป็นแค่ขยะที่ซ่อนความเน่าเหม็นเอาไว้"


     


     


     


    'เจ้าเด็กนี่เอาแต่เงียบมาสักพักแล้ว เลิกคิดที่จะหนีแล้วงั้นหรอ ถ้างั้นขอทดสอบหน่อยก็แล้วกัน'


    ไดกิโยนหัวที่ตัวเองถือมาทิ้งไปแต่เด็กชายตรงหน้ากลับไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ พอเห็นเเบบนั้นเขาจึงค่อยๆเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเรื่อยๆ แต่เด็กนั่นก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะหนี จนตัวเขาเริ่มมั่นใจ


    'เจ้าเด็กนี่มันคงยอมรับชะตากรรมของตัวเองเรียบร้อยแล้วสินะ'


    "นี่.. ฉันจะบอกอะไรดีๆให้ฟังก่อนตาย การที่แกจะสับสนมันก็ไม่แปลกหรอก ก็พวกสังคมเบื้องหน้านั่นมันพยายามปลูกฝังกันจะตาย ว่ามนุษย์ธรรมดาสามัญรวมไปถึงฮีโร่ผู้ผดุงความยุติธรรมกับวิลเลินที่แสนชั่วช้ามันเเตกต่างกันมากแค่ไหน ขีดเส้นแบ่งเอาไว้ชัดเจนว่าเป็นด้านที่สว่างหรือว่ามืด แต่พวกนั้นกลับเอาแต่มองข้ามความเป็นจริงว่าพวกเราก็เคยอยู่ด้านสว่างเหมือนกันคนที่สร้างวิลเลินอย่างพวกเราขึ้นมามันก็คือสังคมแบบนั้นนั่นแหละ หวาดกลัว ปฏิเสธ ไม่ยอมรับ กีดกัน เอาแต่ผลักไสพวกฉันที่แตกต่างจากพวกแกจนต้องยอมรับความเป็นวิลเลิน แต่ก็ดี.. เพราะสังคมแสนเน่าเหม็นนั่นเอาเเต่สร้างบรรทัดฐานจนพวกเราไม่สามารถเป็นตัวของตัวเอง ทั้งที่พวกมันที่เป็นฮีโร่เอาแต่หวังชื่อเสียง เงินทอง ลาภ ยศ แล้วพวกที่อยากช่วยคนอื่นท่ามกลางคนเหล่านั้น มันจะไม่หลงไปตามกระแสได้นานแค่ไหนกันเชียวสุดท้ายพวกฮีโร่มันก็เหมือนๆกันหมด สุดท้ายมนุษย์ทุกคนก็ทำตามความโลภของตัวเอง พวกเราวิลเลินยอมรับในข้อกล่าวหานั้น แต่พวกฮีโร่อย่างพวกมันกลับอ้างคุณธรรมสวยหรูแทนที่จะยอมรับความจริง ใครน่ารังเกียจกว่ากันแน่"


    'เฮ้อ... เรานี่พูดอะไรยืดยาวชะมัดเด็กอย่างมันคงจะไม่เข้าใจด้วยซ้ำ'


     


     


     


    ร่างกายถูกยกสูงขึ้นเรื่อยๆ.. คอกำลังถูกบีบ อีกไม่นานก็คงจะตายเหมือนพ่อกับแม่


    แต่เรากลับไม่ได้รู้สึกกลัวหรือเจ็บเลยสักนิด คงเพราะเราได้สัมผัสกับความหวาดกลัวและความเจ็บปวดที่มันทรมาณมากกว่านี้มาเเล้ว


    แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้อยากตาย ไม่สิ.. จะตายตอนนี้ไม่ได้


    "ฉันเข้าใจ... สิ่งที่แกพูดออกมา.. ต้องขอยอมรับเลย สังคมของพวกฮีโร่ตั้งเเต่ที่มีคนแบบแกมันเน่าเฟะจนเกินจะเยียวยาเเล้ว..."


    "หืม.. แกเข้าใจก็ดี มีอะไรอยากจะพูดก่อนตายไหม?"


    "หึ... มีคำพูดนึงที่แกพูดมามันโครตถูกใจฉันเลยวะ.. ที่บอกว่าเกลียดใครก็ให้ฆ่าคนคนนั้น"


    ในตอนนั้นนาโอกิจึงใช้มือทั้งสองข้างเกาะกับเเขนของอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้คอรับน้ำหนักของร่างกายมากเกินไป บวกกับการอาศัยความไม่ระวังตัวของไดกิ แอบเปลี่ยนปลายเล็บให้แหลมคมขึ้นและจิกไปที่เนื้อของอีกฝ่าย


    "โอ๊ยย! แก! ทำอะไรวะ!!"


    ด้วยความตกใจทำให้ไดกิเผลอปล่อยมือ แต่นาโอกิก็ยังคงจับไปที่ข้อมือของอีกฝ่ายแบบไม่ยอมปล่อย


    "ปล่อยนะเว้ยไอ้เด็กบ้า!"


    "มันสายไปแล้ว"


    นาโอกิฉีกยิ้มกว้างได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันเป็นความรู้สึกสะใจที่แปลกประหลาด ในขณะที่เล็บทั้งสิบนิ้วถูกจิกลงไปลึกขึ้น ลึกขึ้นเรื่อยๆ ลึกลงไปถึงกระดูก


    'ถ้าควบคุมกระดูกของตัวเองได้ก็ควบคุมกระดูกคนอื่นได้เหมือนกัน'


    'แหลกสลายไปซะ!'


    "โอ๊ย! อ๊ากกกกกกกกก"


    คนที่ถือไพ่เหนือกว่าอยู่เมื่อครู่ เริ่มเป็นฝ่ายที่ลงไปดิ้นทุรนทุรายกับพื้น


    "เจ็บหรอ? คงเจ็บแหละเนอะ~ ก็กระดูกโดนป่นเป็นผงแบบนั้น ตั้งแต่กระดูกข้อมือแล้วก็ค่อยๆลามไปซี่โครงอีกเดี๋ยวกระดูกกะโหลกของแกก็จะสลายไป"


    "ไอ้.. เด็ก.. เวร.."


    ตัวเขาไม่อยากปล่อยให้ร่างที่นอนอยู่กับพื้นพูดอะไรไปมากกว่านี้จึงได้เสกกระดูกปลายแหลมขึ้นและเล็งไปที่บริเวณกลางอกของอีกฝ่าย


    "แกเองก็ฆ่าเเม่ของฉันด้วยการเเทงทะลุกลางอกนี่นะ ถ้าฉันจะทำบ้างก็คงไม่เป็นไรใช่ไหม?"


    "มะ ไม่.. อย่านะ.."


    "ฮะๆ น่าสมเพชวะ... ตายซะ ไอ้ฮีโร่เวรตะไล"


    กระดูกปลายแหลมปักเข้าไปที่กลางอกจนคนตรงหน้าเเน่นิ่งไป พร้อมกับร่างกายของเขาที่ทรุดลงไปกับพื้น ความรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งหมดเริ่มถาโถมเข้ามา พร้อมทั้งอาการคลื่นไส้ที่เริ่มจุกอยู่ที่คอจนตัวเขาเริ่มทนไม่ไหวก่อนจะอวกออกมา


    ''ฆ่าไปแล้ว เราฆ่าเจ้านั่นได้แล้ว ผมแก้แค้นสำเร็จแล้วนะ นี่.. พ่อฮะ แม่ฮะ ผมทำถูกเเล้วใช่ไหมฮีโร่สาระเลวแบบมันสมควรตาย แต่คงไม่พอสินะฮะ ผมจะฆ่าพวกมันอีก.. ไอ้สาระเลวอีกสองตัวที่มันทำร้ายพ่อกับแม่.."


    นาโอกิพยายามฝืนสังขารในปัจจุบันเพื่อยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน ในหัวของเด็กชายคิดเพียงแค่จะต้องแก้แค้นทุกๆคน ที่มันมาพรากคนสำคัญไปจากเขา


    ในระหว่างที่กำลังก้าวเดินไปอย่างช้าๆ จนในที่สุดผมก็มองเห็นชายกำปั้นยักษ์ที่กำลังวิ่งตรงมาทางนี้ แต่ร่างกายมันก็ดันมาถึงขีดจำกัดขาทั้งสองข้างทรุดลงไปไม่สามารถบังคับให้ร่างกายขยับเขยื้อนได้


    'ไม่เอานะ มันจะจบเเล้วหรอ เราจะตายอยู่ตรงนี้จริงๆหรอ? ยังมีเรื่องที่อยากทำอยู่อีกตั้งเยอะ อยากพิสูจน์คำพูดของผู้ชายคนนั้น อยากกำจัดพวกฮีโร่จอมปลอมให้ได้มากกว่านี้...'


    ในตอนที่คิดว่าชีวิตกำลังจะจบสิ้น ผมกลับได้ยินเสียงกรีดร้องของชายร่างยักษ์ พอเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นร่างกายของชายคนนั้นค่อยๆแตกสลาย


    'อะไรกัน... มันเกิดอะไรขึ้น.. มีคนช่วยเราเอาไว้หรอ?'


    "เฮ้ ยังมีชีวิตอยู่ไหม?"


    ผมพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นเพื่อมองไปที่ต้นเสียง ไม่นานนักตัวผมก็ยันตัวเองขึ้นมาจนสามารถมองเห็นอีกฝ่ายในระดับสายตา คนที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือชายผมสีฟ้าอ่อนที่มีมือสีขาวซีดปกปิดใบหน้าเอาไว้


    "นาย... เป็นใครกัน?"


    "ชิการาคิ โทมุระตอนนี้รู้ไปเเค่นั้นก่อนก็เเล้วกัน"


    ''ขอบคุณที่เข้ามาช่วย นาย... ฆ่ามันไปแล้วหรอ?"


    "ทำไม? กลัวฉันรึไง?"


    "ไม่เลย... นายเป็นคนที่เข้ามาช่วยชีวิตฉันเอาไว้เลยนะ... แค่รู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่ไม่ได้ฆ่ามันด้วยตัวเอง"


    "โห.. เป็นเด็กที่น่าสนใจจริงๆด้วย เจ้านั่นนายเป็นคนฆ่าสินะ"


    "อืม"


    "เจ้าคนที่นายฆ่าไปมันเป็นฮีโร่ใช่มั้ยล่ะ ยังอยากฆ่าคนแบบนี้อยู่อีกรึเปล่า"


    "อยาก นายพอจะเห็นคนผมทอง.. ตัวสูงๆบ้างไหม.. ฉันอยากจะฆ่ามัน"


    "ถ้าเป็นหมอนั่นละก็ ฉันฆ่าไปแล้ว


    "งั้นหรอ.. ถ้างั้นก็ไม่มีคนที่อยากฆ่าเเล้วล่ะ"


    "แน่ใจหรอ?"


    "หมายความว่ายังไง"


    "ถ้าเป็นคนแบบที่นายพึ่งฆ่าไป ในสังคมนี้น่ะมันยังมีอยู่อีกเยอะเลย"


    'จริงด้วยคนแบบไดกิมันยังมีอยู่อีก.. ยังมีคนที่กำลังจะโดนฮีโร่ฆ่าโดยที่ไม่ทันระวังตัว'


    “นายน่ะ มาเข้าสมาพันธ์วิลเลินของฉันซะสิ”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×