คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Episodio V : ไม่เหมือนเดิม
พวกเราลงมาถึงตีนเขาในเวลาไม่นาน พอพวกคนที่รออยู่เห็นสภาพของพวกเราก็ดูจะตกใจกันไม่น้อยเลย โดยเฉพาะอิซึคุที่ดูจะเป็นห่วงพวกเรามากกว่าใคร
"คัตจังแผลเต็มตัวเลย! นัดจังก็ด้วย!! เป็นอะไรมากหรือเปล่า เจ็บข้อเท้างั้นหรอ กระดูกไม่ได้หักใช่มั้ย ทำไงดีต้องปฐมพยาบาลก่อนหรือว่าต้องไปตามหมอ"
'นัตจัง?'
"หนวกหูจริงเดกุ! เลิกเเหกปากโวยวายสักที"
"กะ ก็ผมเป็นห่วงหนิแล้วก็.. ไม่ได้เสียงดังขนาดนั้นซะหน่อย"
"นี่แกกล้าเถียงฉันหรอ!"
"พอได้เเล้วน่า เขาก็พูดแค่นี้นายจะไปหัวร้อนทำไม แล้วก็นะอิซึคุผมน่ะไม่เป็นไรหรอกขามันเเค่พลิกนิดหน่อยกลับบ้านทายาเดี๋ยวก็หายแล้ว ไม่ถึงกับต้องไปหาหมอหรอก"
"ถ้างั้นผมจะเดินไปส่งนะ"
"ไม่ต้อง! แค่ฉันคนเดียวก็เกินพอแล้ว"
"แต่ถ้าคัตจังเกิดล้มระหว่างทางล่ะ แบบนั้นทั้งสองคนจะไม่เเย่เอาหรอ"
"นี่แกจะบอกว่าฉันคนนี้ แบกไอ้ขี้ก้างนี่ไม่ไหวเหรอ!"
"มะ ไม่ใช่นะ"
"พอเลย! จากการเถียงกันระหว่างพวกนายมันเริ่มลามมาถึงผมและ เอาเป็นว่ายังไงพวกเราก็ต้องเดินลงไปจากภูเขาด้วยกันอยู่ดี ถ้าไม่รีบเดี๋ยวมันจะมืดซะก่อน ที่สำคัญผมไม่รู้หรอกนะว่าบ้านอื่นเป็นยังไงแต่ถ้ากลับบ้านมืดละก็แม่ผมวีนแตกแน่"
ด้วยคำพูดนั้นทำให้คัตสึกิหยุดโวยวายแล้วก็ยอมเดินลงมาจากภูเขาด้วยกันแต่โดยดี
'แบบนี้ยิ่งชัดเลยว่าเจ้านี่มันกลัวแม่ แต่ก็นะเราเองก็ไม่มีสิทธิ์พูดหรอก แม่น่ะเป็นสิ่งมีชีวิตที่หน้ากลัวที่สุดแล้ว'
พอพวกเราเดินออกจากป่ามาจนมาถึงเส้นทางที่มีถนน หลังจากนั้นก็ค่อยๆทยอยกันแยกย้ายไปกันทีละคนสองคน อิสึคุก็เหมือนกันถึงตอนแรกกะจะปล่อยให้ไปส่งถึงบ้าน แต่พอได้ยินจากที่คัตสึกิโวยวายว่าบ้านเขาอยู่คนละทางกัน ผมก็เลยเป็นอีกหนึ่งเสียงที่บอกให้เขากลับไปก่อน ถึงจะดูไม่ค่อยเต็มใจแต่ก็ยอมแยกทางออกไปอยู่ดี จนเหลือแค่ผมกับคัตสึกิแค่สองคน
'จะว่าไปพออยู่กันตามลำพังแล้วก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา ถ้าถามตอนนี้คงจะได้สินะ'
"นี่.. นายกับอิสึคุเคยมีเรื่องอะไรกันรึเปล่า แบบเคยชกต่อยกันอะไรประมาณน่ะ"
''หา!? จะไปมีได้ยังไง ถึงมีก็มีเเต่ฉันเนี้ยแหละที่อัดมันอยู่ฝ่ายเดียว"
"ไอ้คนนิสัยเสีย"
"อย่างแกก็ไม่มีสิทธิ์พูดหรอก"
"อย่างน้อยผมก็ไม่เคยไปทำร้ายใครก่อนก็แล้วกัน นายก็ด้วยถึงจะเจ้าอารมณ์แล้วก็ขี้โมโหแต่นายไม่น่าใช่พวกที่จะไปหัวร้อนกับคนที่ดูเรียบร้อยแบบอิสึคุเลยหนิ ถ้าเป็นผมหรือพวกรุ่นพี่ที่อวดเบ่งก็ว่าไปอย่างจริงไหม?"
"หนวกหูน่า! อย่ามาทำเป็นพูดเหมือนรู้ดี"
"อา.. ขอโทษนะที่พูดอะไรไม่คิด"
คำพูดที่นาโอกิพูดออกมามันตรงกับตัวเขามากเกินไปเหมือนกับอ่านใจได้ เลยเผลอขึ้นเสียงไปเหมือนกับปกติแต่ไม่คิดเลยว่าคนที่คอยกวนประสาทคนอื่นไปทั่วแบบมัน จะมารู้สึกผิดเพราะโดนคนอื่นโกรธที่มายุ่งกับเรื่องส่วนตัวแบบนี้
'โธ่เว้ยน่ารำคาญจริง..'
"ชิ เออ... ยอมรับก็ได้ฉันไม่ชอบขี้หน้ามัน เจ้านั่น.. เดกุน่ะ มันชอบทำอะไรที่หน้าหงุดหงิดอยู่ตลอด ทั้งๆที่ฉันเเข็งแกร่งกว่าคนไร้อัตลักษณ์อย่างเจ้านั่นแท้ๆเเต่มัน.. กลับมาดูถูกฉันคนนี้แล้วแบบนี้จะไม่ให้หงุดหงิดได้ยังไง"
"นั่นเพราะอีโก้นายล้วนๆเลยไม่ใช่หรือไง"
"อีโก้คืออะไร?"
"ไปเสิร์ชหาเอาเองดิ"
'ไอ้เจ้านี่!'
"เรากลับประเด็นเดิมดีกว่า ผมคิดว่าสายตาของอิสึคุมันไม่เหมือนสายตา ของคนที่กำลังดูถูกคนอื่นอยู่เลยนะ"
"แกพูดเหมือนรู้ว่าเดกุมันคิดอะไรงั้นแหละ"
"นั้นสินะผมจะไปอ่านใจใครเขาได้ยังไง นายเองก็เหมือนกันไม่รู้ซะหน่อยว่าอิสึคุคิดอะไรอยู่ ถ้าสงสัยหรือหงุดหงิดมากนักก็ไปถามเจ้าตัวเอาตรงๆเลยสิ แต่ถ้าให้ผมแนะนำนะไปลดอีโก้ลงซะแบบนั้นอาจจะช่วยให้นายหงุดหงิดน้อยลงก็ได้แต่สิ่งที่เรียกว่าอีโก้น่ะอย่างคัตสึกิคงจะลดไม่ได้ง่ายๆหรอก ก็นายเป็นพวกอีโก้สูงลิบเลยนี่นะ~"
'เน้นแต่คำว่าอีโก้ อีโก้ อยู่ได้อย่าให้รู้ความหมายเชียวนะ!'
"เฮอะ! เห็นเงียบเข้าหน่อยก็คิดที่จะสั่งสอนฉันแล้วงั้นหรอ ไอ้คนที่หงอยไปเพราะโดนตะคอกใส่มันหายไปไหนแล้วล่ะ"
"เอ๋~ นี่นายเชื่อด้วยงั้นหรอ แต่ก็นะดูจากที่พล่ามมายาวเหยียดเมื่อกี้ก็คงเชื่อจริงๆนั่นเเหละ ใส่ซื่อกว่าที่คิดเลยนะคัตสึกิคุง"
และแล้วเส้นประสาทความอดทนของคัตสึกิก็ขาดลง
"ฉันจะให้แกเลือก.. ว่าจะหุบปากให้เงียบที่สุดหรือคลานกลับบ้าน"
'ชิบxายและ'
เส้นเลือดที่ปูดขึ้นตามใบหน้า ความโกรธจัดที่แสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด รังสีอาฆาตที่เด็กทั่วไปไม่น่าจะมี ทำให้ตัวผมเผลอกลั้นหายใจโดยที่ไม่รู้ตัวและก็เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าถ้าขืนไปกวนประสาทคนคนนี้อีกสักครั้งคงจะได้คลานกลับบ้านจริงๆแน่
"ครับ.. ขอโทษครับ จะทำตัวให้เงียบที่สุดครับ"
เส้นทางหลังจากนั้นนาโอกิจึงพยายามหุบปากตัวเองให้เงียบที่สุด และหลังจากนั้นซักพักคัตสึกิก็พามาส่งที่บ้านตามสัญญาหรือไม่ก็คำขู่ที่เคยลั่นเอาไว้
ตอนที่พ่อเห็นสภาพของพวกเราในตอนเเรกก็ตกใจกันยกใหญ่ พร้อมกับรั้งตัวคัตสึกิให้เข้ามาทำแผลในบ้านให้เรียบร้อยก่อน หลังจากนั้นคนผมฟางก็ขอแยกตัวกลับไปที่บ้านของตัวเอง ส่วนผมก็โดนพ่อกับแม่ดุไปตามระเบียบ
'ก็สมควรล่ะนะทำให้พวกเขาเป็นห่วงเเบบนี้'
ในมื้อค่ำวันนั้นพ่อบอกข่าวดีกับพวกเราว่าได้งานทำในช่วงพักงานเพราะพ่อดันไปมีเพื่อนที่เป็นถึงเจ้าของบริษัทอุปกรณ์ซับพอร์ตฮีโร่ พอรู้ว่าพ่อว่างงานเขาก็เลยจ้างพ่อไปเขียนโปรแกรมอะไรสักอย่างที่น่าจะเกี่ยวกับอุปกรณ์ซับพอร์ต แถมยังเป็นงานที่ทำเเบบออนไลน์ได้ด้วย จะออกไปเจอคนจ้างแบบตัวเป็นๆก็แค่ตอนส่งงานเท่านั้น
รายได้ก็ดี ทำงานที่บ้านเป็นส่วนใหญ่เเถมยังมีเวลาดูเเลแม่มากขึ้นตามไปด้วย ถ้าให้เปรียบก็คงเป็นยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว เก่งสมกับเป็นพ่อเราจริงๆ
แต่ที่ทำให้ผมเเล้วก็พ่อตกใจจริงๆ คือเรื่องที่แม่ก็ได้งานทำแล้วเหมือนกัน แถมยังได้งานทำก่อนพ่อซะอีก ถ้าจะให้อธิบายคือแม่เป็นคนที่ถนัดภาษาต่างประเทศอยู่แล้วรวมๆก็พูดได้ประมาณ 4-5 ภาษา ตอนที่อยู่โรงพยาบาลก็เลยเเอบไปสมัครเป็นล่ามออนไลน์ที่มีรายได้เป็นรายชั่วโมง พอลองถามถึงเหตุผลที่ไม่ยอมบอกแม่ก็ตอบกลับมาว่า'กลัวโดนโกงแล้วโดนพ่อล้อก็เลยยังไม่ได้บอก' ทั้งที่ตัวเองก็เก็บเงินได้เกือบสามหมื่นเยนแล้วแท้ๆ แต่ก็นะเรื่องหาเงินเนี่ยต้องยกให้แม่เขาเลย
'ไม่รู้ว่าทำไมแต่เหมือนทั้งสองคนกำลังพยายามเก็บเงินกัน แต่ช่วงนี้ก็ไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินหนิ'
อาจจะรู้สึกไปเองก็ได้ แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ดูเหมือนอะไรหลายๆอย่างเริ่มเปลี่ยนไป พ่อกับแม่ถึงจะดูง่วนกับการทำงานแต่ก็ดูผ่อนคลายมากขึ้น รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคัตสึกิ ถึงการพูดจาระหว่างเราจะยังคงเหมือนเดิมเเต่การกระทำของคัตสึกิกลับเปลี่ยนไปตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้น ถ้าจะให้พูดก็คงเป็น ดูเต็มใจที่จะอยู่กับผมมากขึ้นมั้ง
"นาโอกิวันนี้ตื่นสายจังนะ คัตสึกิเขามารอลูกได้สักพักนึงแล้วรีบๆเข้าล่ะ"
"เห~ นี่ผมตื่นสายขนาดเจ้านั่นมารอเลยหรอ"
'เดี๋ยวก็คงส่งเสียงบ่นน่ารำคาญอีกแหงเลย'
"อยากได้นาฬิกาปลุกไหมล่ะ?"
"พ่อก็รู้หนิฮะ ไม่จำเป็นหรอก"
เมื่อเดินลงมาชั้นล่างก็พบกับคนผมฟาง ที่กำลังนั่งกินของว่างในห้องรับเเขกบวกกับมีเเม่มานั่งคุยอยู่ข้างๆ
'เดี๋ยวนะ.. นั่นมันขนมที่เราแอบซื้อมาหนิแม่เอาไปได้ไงเนี่ย'
"เฮ้ยนาโอะ! ช้าชะมัดกว่าจะตื่นขึ้นมาได้นะแก!!"
"ผมว่านายนั่นแหละตื่นเร็วเกินไปแล้ว นี่เหงาจนต้องตื่นมารอผมตั้งแต่เช้าเลยหรอเนี้ย"
"เช้าบ้านแกสิ!! ถ้าไม่รีบไปอีก 5 นาทีเราสายเเน่"
"คร้าบๆ จะรีบไปเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนะ.. เมื่อกี้นายเรียกผมว่าอะไรนะ?"
"นาโอะไง จะได้หัดตรงเวลาตามชื่อซะบ้าง"
"งั้นต่อไปนี้นายคือคัตสึ~ เหมือนนายดีใช่ป่ะ"
"ตรงไหนฟระ!"
"สีผมนายไงเหมือนหมูชุบแป้งก่อนทอดเลยว่าไหม"
"เออจะเรียกอะไรก็เรียกไป แต่ถ้าแกยังไม่รีบย้ายก้นออกมาจากบ้านฉันจะซัดแกเเน่"
"เห็นแก่ความพยายามที่นายมารอผมแต่เช้าผมจะรีบให้ก็ได้"
ผมหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วก็เดินตรงไปที่ประตู เเต่เหมือนจะทำตัวเอ้อระเหยเกินไปหน่อย สุดท้ายก็โดนเท้าของคัตสึกิช่วยยันออกจากบ้านจนได้
3 เดือนต่อมาผมก็ยังคงไปไหมมาไหนด้วยกันกับคัตสึตลอด ถึงไม่อยากยอมรับเเต่ผมกับเขาก็เข้ากันได้ในหลายๆเรื่องมากกว่าที่คิดไว้ซะอีกเรียกว่าเป็นสีสันของชีวิตเลยด้วยซ้ำ คงเป็นเพราะเจ้าตัวทั้งขี้โมโหแล้วก็ปากร้ายทำให้เป็นคนเดียวที่ผมรู้สึกว่าสามารถกวนประสาทได้แบบไม่รู้สึกผิด เป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจมากกว่าใคร ในฐานะเพื่อนน่ะนะ
แถมบางครั้งก็ยังมีอีเว้นท์ที่เจ้าตัวไปมีเรื่องกับพวกรุ่นพี่อีก ผมพยายามห้ามแล้วนะแต่พวกรุ่นพี่มันก็กวนประสาทจริงๆนั่นแหละเอาความแก่กว่าแค่ปีสองปีมาข่มรุ่นน้องแบบไม่เข้าท่า เลยปล่อยไปเลยตามเลย ถึงเวลาสู้แบบตัวต่อตัวหมอนี่จะชนะตลอดก็เถอะแต่ตอนที่โดนรุมผมอดใจไม่ไหวจนเผลอเข้าไปร่วมวงด้วยคน ก็นะถ้าผมเข้าไปร่วมวงแบบนี้ยังไงพวกเราก็ต้องชนะอยู่แล้วถือว่าสนุกใช้ได้เลย
ในระหว่างที่กำลังรำลึกความหลังตัวนาโอกิก็กำลังเดินเหม่อลอยเลยอยู่ข้างๆสนามบอล ทำให้ไม่ได้ทันระวังตัวจนมีลูกบอลลูกนึงที่ปลิวมาจากไหนไม่รู้อัดเข้าไปที่หัวจนเต็มๆ จนเกือบล้มหงายหลังไปกับพื้น ยังดีที่ข้างหลังมีคัตสึกิเดินตามมาทำให้เจ้าตัวรับตัวนาโอกิไว้ได้อย่างเฉียดฉิว
แต่ว่าเสียงของคนที่ทำมันกลับ..
"ฮะ ฮ่า โฮ่ยๆ เดินระวังๆหน่อยสินี่มันข้างสนามบอลนะเว้ย ไม่ระวังเลยเป็นแบบนั้นไงถึงได้โดนบอลอัดหน้าเข้าไปเต็มๆ"ตามด้วยเสียงคิกคักของคนโดยรอบที่อยู่ในสนาม
'ดูมันเเตะมาโดนคนอื่นแท้ๆ กลับยิ้มหน้าระรื่นอีก'
"นี่แก!!"
"ใจเย็นก่อนคัตสึคุง ไม่ถึงกับต้องมีเรื่องกันหรอกผมจัดการเอง"
ผมรีบเอื้อมมือไปขว้าไหล่ของเพื่อนข้างกายเพื่อห้ามอีกฝ่ายก่อนที่เจ้าตัวจะพุ่งไปซัดคนที่อยู่ในสนาม
''เฮ้ย! ไอ้คนข้างล่างน่ะอยากได้บอลคืนใช่ไหม?"
"ใช่ส่งมาเร็ว"
"ได้สิ~ ถ้าอยากได้คืนนักงั้นก็.."
ผมเปลี่ยนปลายเล็บให้ยาวและแหลมขึ้น ก่อนจะออกแรงกดที่มือทั้งสองข้างเข้าไปที่ลูกบอล จนมันระเบิดออกมาเเล้วเกิดเสียงดังไปทั่วสนาม
"เฮ้ย!!ทำอะไรของนายเนี่ย!"
"อ้าว~ แปลกจังนะแค่จับธรรมดาๆมันก็ดันแตกซะแล้ว แต่ไม่เป็นไรหรอกเนาะเอาไปอุดรูสักหน่อยเดี๋ยวก็คงกลับมาใช้ได้เหมือนเดิม จริงสิไหนๆก็จะไปอุดรูรั่วแล้วนายเองก็อย่าลืมไปอุดรูรั่วที่กะโหลกด้วยสมองไหลหายไปหมดแล้ว ปะพวกเราไปกันเถอะ"
หลังจากพูดจบผมจึงรีบเดินออกไป โดยทำเป็นไม่ได้ยินเสียงของพวกที่โวยวายอยู่ข้างล่าง คัตสึเองถึงจะดูหงุดหงิดอยู่เเต่ก็ยอมเดินตามมาอยู่ดี ก่อนที่จะหันไปคุยอะไรสักอย่างกับเพื่อนอีกสองคนที่อยู่ข้างหลังโดยที่ผมไม่ได้ยิน
'รู้สึกลางไม่ดีเลยแฮะ'
ในเย็นวันนั้นคัตสึกิขอแยกตัวกับนาโอกิ แล้วออกมาพร้อมกับเพื่อนอีกสองคนที่นัดกันไว้ว่าจะไปสั่งสอนไอ้คนปากดีเมื่อตอนกลางวัน
'ถึงเจ้านาโอะมันจะยอมแต่ใครจะปล่อยให้คนหน้าหมั่นไส้อย่างมันลอยหน้าลอยตากันล่ะ'
พวกเราแอบมาดักรอเจ้านั่นตรงสวนสาธารณะพอรอไปสักพักมันก็เดินมา ตัวเขาเองไม่รอช้ารีบตรงไปคว้าคอเสื้อของมันเเล้วลากเข้าไปในสวนสาธารณะก่อนจะต่อยเข้าไปที่ท้องหนึ่งหมัด
"อึก เจ็บ นายเป็นใครกันทำไมถึงทำแบบนี้ล่ะ!?"
''หึ!! ดูสิ! ตอนนี้ทำมาเป็นพูดจาน่าสงสาร แล้วตอนที่แกเตะบอลใส่หน้าคนอื่นดันทำมาเป็นปากดี พวกฉันคงต้องสั่งสอนแกหน่อยเเล้วว่าถ้ามายุ่งกับคนของคนอื่นมันจะเป็นยังไง"
เสียงจากการหักมือดังขึ้นมาตามทาง พวกเราค่อยๆเดินเข้าไปใกล้กับร่างที่กำลังสั่นกลัว
''โถ่.. น่าสงสารตัวสั่นใหญ่เลย แต่ไม่ได้ผลหรอก ถึงแกจะร้องไห้เเค่ไหนก็ต้องโดนอัดอยู่ดี''
แต่ก่อนที่พวกเราจะได้เดินเข้าไปใกล้มากกว่านี้กลับมีคนวิ่งมาขวางซะก่อน
'ชิ!! เจ้านั่นอีกแล้ว'
"ใจร้ายคัตจัง เขาร้องไห้ใหญ่เเล้วไม่ใช่หรอ ขืนทำไปมากกว่านี้ล่ะก็... ผม.. ผม... ไม่ยอมจริงๆด้วย!"
'ยังจะกล้าตั้งการ์ดขึ้นมาอีก ทั้งที่สั่นเป็นเจ้าเข้าขนาดนั้นแท้ๆ'
"เฮอะ!! ทั้งที่ไม่มีอัตลักษณ์แท้ๆ ยังสะเออะทำตัวเป็นฮีโร่อีกหรอ เดกุ"
'เจ้านั่นเอาไว้ทีหลัง อัดเจ้าเดกุที่บังอาจทำตัวน่าหงุดหงิดนี่ก่อนแล้วกัน'
ผลหลังจากนั้นเจ้าเดกุมันก็ถูกอัดเละอย่างที่ควรจะเป็นทั้งๆที่ไม่มีอัตลักษณ์ ทั้งที่สู้ตัวเขาไม่ได้เลยแท้ๆ แต่กลับออกตัวว่าจะปกป้องเจ้านั่นจนน่ารำคาญ ถึงจะล้มไปกี่ครั้งก็ยังลุกขึ้นมาเอาเเต่บอกว่าจะปกป้อง
'ไอ้เจ้าบ้านั่นน่าหงุดหงิดชะมัด!'
"พอ! กลับ"
เสียงที่ดังแกมตะคอกของคัตสึกิส่งไปถึงอีกสองคน จนทั้งคู่ต้องหยุดมือและเท้าที่กำลังจะกระทืบไปที่ตัวของคนผมเขียวที่นอนอยู่กับพื้น
"เอ๊ะ จะกลับแล้วหรอแล้วเจ้านั่นล่ะ"
"บอกให้กลับก็กลับดิ!"
'ฝากไว้ก่อนเถอะเดกุ'
'รู้สึกแปลกๆเหมือนกันนะ ที่คัตสึขอกลับบ้านก่อนแบบนี้'
แถมพอไม่มีหมอนั่นอยู่ก็เลยไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี จนเผลอเดินมาเรื่อยๆรู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ที่สวนสาธารณะซะเเล้ว แต่ผมดันได้ไปเห็นภาพที่คัตสึกับเพื่อนอีกสองคนที่เดินออกมาจากในสวน เพราะรู้สึกทะแม่งๆ เลยเลือกที่จะซ่อนตัวพอพวกนั้นพ้นสายตาก็ค่อยเดินเข้าไปข้างใน จนไปพบกับอิสึคุแล้วก็เจ้าเด็กสนามบอลนอนอยู่ในสภาพสะบอม
'อา.. พอจะเดาได้เเล้วว่าสถานการณ์มันเป็นยังไง'
ตัวผมที่เห็นแบบนั้นก็เลยรีบวิ่งกลับไปที่บ้าน คว้ากล่องปฐมพยาบาลมาก่อนจะวิ่งกลับไปที่สวนสาธารณะ
'โชคดีแฮะ.. ดูเหมือนจะยังอยู่ที่เดิม'
ผมเดินเข้าไปอย่างช้าๆ เเต่พอเจ้าเด็กสนามบอลนั่นเห็นผมมันก็รีบวิ่งออกไปเลย
'หลังจากนี้คงต้องไปคุยกับคัตสึหน่อยแล้ว'
"นัตจัง?"
"ไงอิสึคุสภาพดูไม่ได้เลยนะ ลุกขึ้นมาก่อนสิเดี๋ยวผมทำแผลให้"
"อะ อืมขอบใจนะ"
อีกฝ่ายเอื้อมมาจับกับมือที่ผมยื่นไปให้เพื่อพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น หลังจากนั้นเราจึงเดินไปหาม้านั่งที่ใต้ต้นไม้แล้วเริ่มทำแผล
"นี่อิสึคุแผลพวกนี้คัตสึเป็นคนทำใช่ไหม"
"อืม.. เเต่ไม่ใช่ฝีมือคัตจังคนเดียวหรอก"
"ไอ้พวกบ้านั่น เดี๋ยวหลังจากนี้ผมไปซัดพวกนั้นเรียงตัวให้เอง"
"ไม่ต้องหรอก! ผมเองก็เป็นคนเข้าไปขวางไม่ดูตาม้าตาเรือเองน่ะ เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก"
"อิสึคุเนี่ยเป็นคนดีจังนะ นี่.. ผมต้องขอโทษด้วยนะ"
"เอ๊ะ! นัตจังไม่จำเป็นต้องขอโทษเลยนะ มันไม่เกี่ยวกับนัตจังซะหน่อย"
"เกี่ยวสิ.. ก็ผมน่ะเป็นคนที่อยู่กับคัตสึบ่อยที่สุดนี่ รู้ทั้งรู้ว่าหมอนั่นจะทำอะไรแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจถึงขนาดจะตามไปห้าม เพราะผมมันนิสัยไม่ดียังไงล่ะ เเถมยังรู้สึกถูกใจหมอนั่นก็เลยทิ้งไม่ลง ขอโทษนะ ผมรู้ว่านายชื่นชมในตัวเขาเเต่ว่าช่วยพยายามถอยห่างออกมาจากคัตสึหน่อยได้ไหม แล้วถ้าเจ้านั่นมันอยู่ในสายตาผมละก็จะไม่ปล่อยให้เจ้านั่นไปทำร้ายนายแน่นอน"
'เงียบไปเลยเเฮะ... เราพูดอะไรผิดหรือเปล่า'
"เรื่องคอยอยู่ห่างๆคัตจังผมจะทำตามที่นัตจังบอก แต่ไอ้เรื่องที่ให้นายปกป้องน่ะไม่เอาหรอก ผมรู้ว่าการจะพูดเรื่องต่อจากนี้ คนไม่มีอัตลักษณ์แบบผมพูดมันออกมาอาจจะดูเกินตัว แต่ผมก็อยากเป็นฮีโร่เหมือนกัน จะคอยแต่ให้ใครมาปกป้องอยู่ฝ่ายเดียวน่ะไม่เอาหรอก!"
คำพูดที่อิสึคุพูดออกมาทำให้ผมอึ้งไปชั่วขณะ ที่ผ่านมาผมมองเขาเป็นเเค่เด็กเรียบร้อยคนนึง โดยที่ไม่ทันสังเกตว่าเขาก็เหมือนกับคนอื่นๆที่อยากจะเป็นฮีโร่ ด้วยความที่อิสึคุไม่มีอัตลักษณ์ทำให้เราเผลอดูถูกเขา คิดว่าเขาจะปกป้องตังเองไม่ได้ เรานี่มัน...
"อืม! เข้าใจเเล้ว ขอโทษที่พูดกับนายแบบนั้นนะ ผมจะไม่คอยปกป้องนายแล้ว"
"อ้าว? นายไม่ขำผมหรอกหรอ"
"เรื่องอะไรล่ะ?"
"เรื่อง.. ที่ผมอยากเป็นฮีโร่"
"มีอะไรต้องขำด้วยหรอก็มันเป็นความฝันของนายหนิ ผมจะคอยเชียร์นะคุณว่าที่ฮีโร่"
'เงียบไปอีกแล้ว.. เราพูดอะไรผิดอีกหรือเปล่าเนี่ย'
"นี่อิสึคุผมพูดอะไรผิดรึเปล่า... เอ๊ะ!? เดี๋ยวสิ! ทำไมอยู่ๆถึงร้องไห้เล่า เจ็บแผลหรอหรือเจ็บตรงไหนรึเปล่า"
"ฮึก เปล่าผม ผมเเค่ดีใจ ฮึก ไม่มีใครเคยพูดอะไรแบบนี้กับผมมาก่อนเลย"
หลังจากนั้นอิสึคุก็ร้องไห้ไปอีกสักพักใหญ่ๆ พอเขาหยุดร้องพวกเราก็ค่อยแยกย้ายกันไป
ผ่านมาอีก 3 เดือน ตอนนี้ก็ครบกำหนดที่หมอบอกเอาไว้ แม่เองก็กลับมาเดินเเล้วก็ทำกิจวัตรต่างๆได้เหมือนกับปกติ
'อีกไม่นานแม่กับพ่อคงกลับไปเป็นฮีโร่อีกครั้งสินะคงจะเหงานิดหน่อยเเต่.. ชั่งมันเถอะ... ไม่น่าจะเหงาหรอกก็ตอนนี้ไม่ได้อยู่คนเดียวนี่...'
"นี่นาโอกิว่างอยู่รึเปล่า?"
"มีอะไรหรอฮะ?"
"มาคุยกันหน่อยเร็ว"
พอเดินตามต้นเสียงไปยังห้องนั่งเล่นก็พบกับพ่อเเล้วก็เเม่กำลังนั่งอยู่ตรงโซฟา แม่ตบเบาๆไปตรงที่นั่งข้างๆตัวเองเป็นสัญลักษณ์ให้ผมไปนั่งตรงนั้น ผมเลยเดินตรงเข้าไปนั่งข้างๆตามที่เธอบอก
'เรียกมาคุยกันแบบนี้มีเรื่องอะไรสำคัญรึเปล่านะหรือว่าเราจะไปเผลอทำอะไรผิดมา.. ไม่น่าจะมีนี่ หรือว่าจะเป็นเรื่องที่จะกลับไปเป็นโปรฮีโร่'
"คือ.. พ่อกับแม่คุยกันเอาไว้แล้วล่ะ เรื่องที่จะกลับไปทำงานเป็นโปรฮีโร่"
'ใช่จริงๆด้วย'
"แม่คิดว่าพวกเราจะกลับไปทำงานในฐานะฮีโร่ อีกครั้งในตอนที่ลูกขึ้นชั้นมัธยมแล้วแบบนี้มันคงจะดีกว่าน่ะ"
"ห๊ะ!? เอาจริงหรอครับ ทำไมทำอย่างงั้นล่ะ?"
"ตอนนี้บริษัทเพื่อนของพ่อเขากำลังขาดแคลนคนลงโปรแกรมอยู่น่ะ พ่อก็เลยกะจะอยู่เป็นพนักงานของเขายาวๆเลย"
"แล้วเเม่ล่ะ ถ้าออกจากงานยาวแบบนี้จะกลับไปทำงานได้หรอฮะ ไหนจะพวกแฟนคลับอีก"
"เรื่องนั้นช่างมันไปก่อนเถอะ ตอนนี้เราอยากทำหน้าที่ในฐานะพ่อกับแม่ให้ดีที่สุดมากกว่า ขอโทษนะที่ชอบทิ้งให้อยู่เดียว"
"ไม่เห็นต้องทำขนาดนั้นเลย ผมอยู่คนเดียวได้อยู่แล้ว แล้วไหนจะพวกผู้คนที่พ่อกับแม่ต้องไปปกป้องอีก"
"ไม่เป็นไรหรอกเรายังมีออลไมท์อยู่ทั้งคน แม่กับพ่อเองก็โหมงานหนักมาหลายปีแล้วเหมือนกันพักสักหน่อยคงไม่เสียหายอะไรหรอก"
"เปลี่ยนจากโหมงานหนัก มาให้ความสำคัญกับเจ้าลูกชายตัวน้อยที่อยู่ในวัยกำลังโตดีกว่า ใช่ไหมแม่"
"ช่าย~ จะได้สอนให้ลูกรู้จักควบคุมอัตลักษณ์ด้วย"
"อ๊ะ.. นี่ลูกซึ้งจนร้องไห้เลยหรอ?"
"เปล่านะ!! นี่มันยุงบินเข้าตาต่างหาก"
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่รอยยิ้มกับน้ำตาที่ซึมออกมาเพราะความดีใจก็คงซ่อนเอาไว้ไม่มิด
'มันคงไม่เป็นไรใช่มั้ยถ้าผมจะเห็นแก่ตัวบ้าง.. ไม่อยากปฎิเสธคำพูดที่ว่าเลือกผมมากกว่าหน้าที่ ถ้าอย่างงั้นขอผมอยู่แบบนี้จนกว่าจะขึ้นมอ.ต้นหน่อยเถอะ ก็ผมเป็นพวกติดพ่อแม่นี่นะ'
........
...
..
ผ่านมา 5 ปี ตั้งแต่ตอนที่นาโอะย้ายมาตอนนี้พวกเราก็อยู่ป.6 กันแล้ว อีกไม่นานก็คงขึ้นม.ต้น
ส่วนเจ้าเดกุหลังจากที่โดนต่อยไปครั้งนั้นก็ไม่ค่อยมายุ่งวุ่นวายเหมือนกับเเต่ก่อน ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงมาคอยเดินตามนาโอะต้อยๆแทน แบบนี้มันยิ่งน่ารำคาญมากกว่าแต่ก่อนซะอีก ส่วนเจ้านาโอะไม่ว่าเดกุจะคอยตามตอแยขนาดไหนมันก็ไม่มีท่าทีว่ารำคาญเลยสักนิด แถมนับวันมันก็ยิ่งอัพสกิลความกวนประสาทมากขึ้นทุกวันๆ ทั้งๆที่มันแอบหลับในคาบบ่อยแท้ๆแต่ดันได้อันดับดีกว่าตัวเขาซะงั้น แต่ถ้าพูดถึงเรื่องที่พอจะทำได้ดีกว่ามันก็คงเป็น..
"โธ่!! แพ้อีกแล้ว ได้ไงเนี้ยนี้มันห้าตาติดแล้วนะ คัตสึนายเเอบโกงใช่ไหม?"
"อะไรเล่า~ นาโอะแกกระจอกเองก็อย่ามาโทษฉันสิวะ"
"ขออีกตานึง สลับจอยกันด้วย"
"ผลก็เหมือนเดิมนั้นแหละ เอ้าเอาไป"
เกมส์ต่อสู้บนกล่อง ps2 ถูกเล่นขึ้นอีกตา แม้ว่าเขาจะเเกล้งทำเป็นเสียเปรียบอยู่บ้างแต่สุดท้ายคนที่ชนะก็เป็นตัวเขาอยู่ดี
"โธ่เว้ย!! ไม่เล่นแล้ว"
"เห้ย!! อย่าโยนจอยดิวะ"
คัตสึกิคว้าจอยที่กำลังจะตกพื้นได้อย่างเฉียดฉิว
"เออจริงสิเรื่องงานเทศกาลวันพรุ้งนี้แกจะไปตอนกี่โมง"
"อ๊ะ! เอ่อ.. คือ... ขอโทษนะพอดีผมไม่ว่างเเล้ว"
"ห๊า!? แกเป็นคนนัดเองเเท้ๆ แล้วจะมาเบี้ยวนัดเนี้ยนะ"
"คือว่า.. พ่อผมเขาอยากพาพวกเราไปเที่ยวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะกลับไปเป็นโปรฮีโร่อีกครั้ง แล้วพ่อเขาก็พึ่งมาบอกผมเมื่อเช้าเอง ขอโทษด้วยนะ"
"เออ.. แกจะไปไหนก็ไป แต่ถ้าครั้งหน้าแกเบี้ยวนัดอีกฉันไม่เอาแกไว้เเน่"
"รับทราบคร้าบ~ คัตสึเนี้ยใจกว้างผิดคาดแฮะ งั้นเอางี้ถ้าผมกลับมาแล้ว.. เดี๋ยวจะบอกความลับเรื่องอัตลักษณ์ที่สองของผมให้ฟัง"
"โม้เรื่องนี้อีกแล้วหรอ เห็นเคยพูดตั้งหลายครั้งแต่ก็ยังไม่เห็นแกทำให้ดูสักที"
"คนเรามีความลับกันบ้างสิถึงจะดูเท่ไม่ใช่มีอะไรก็ออกมาโชว์หมด แล้วก็แน่นอนว่าผมแสดงให้นายดูเป็นคนเเรกเลย"
"เออๆเเล้วจะรอดู"
ในตอนนั้นผมไม่ทันได้รู้สึกตัวเลย ว่านั่นจะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้เจอกับนาโอะคนเดิมอีกครั้ง
ในเวลานั้นทั้งบ้านของคัตสึกิเเละอิสึคุกำลังกินข้าวกับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา พลางเปิดโทรทัศน์คลอไปพลางๆ แล้วมันก็คงจะเป็นมื้อเย็นที่เรื่อยเปื่อยของสองครอบครัวเหมือนกับวันอื่นๆ ถ้าไม่ใช่เพราะข่าวล่าสุดในโทรทัศน์นั่นที่กำลังฉายอยู่ ทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองคนตื่นตระหนกจนไม่อาจนั่งตัวติดกับเก้าอี้
"เมื่อ 2 วันที่ผ่านมาในช่วงค่ำของวัน ได้เกิดคดีฆาตกรรมขึ้นกับครอบครัวมินาโตะเเละโปรฮีโร่อีกหนึ่งที่ร่วมทางไปด้วย ลูกชายของครอบครัวเป็นเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตเเต่เขาก็สูญเสียตาซ้าย หลังจากที่พาเขาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเขาก็ได้มาให้ปากคำในภายหลังว่าในระหว่างที่กำลังขับรถไปทางถนนเลี่ยงเมืองพวกเขาก็ถูกวิลเลินสองคนเข้าโจมตีจนรถเสียหลักเเละพลิกคว่ำ คุณเเละคุณนายมินาโตะรอดจากเหตุการณ์ที่รถคว่ำแต่ก็ถูกพวกวิลเลินเข้าทำร้ายจนเสียชีวิตทั้งคู่ ส่วนโปรฮีโร่ที่ร่วมเดินทางไปด้วยเข้าต่อสู้อย่างสุดความสามารถจนกำจัดวิลเลินทั้งสองคนได้สำเร็จแต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บจนเสียชีวิตในที่สุด..."
คุณลุงกับคุณน้าตายเเล้วงั้นหรอ.. โกหกใช่มั้ยสองคนนั้นเป็นถึงอดีตโปรฮีโร่เลยนะ กลับโดนวิลเลินสองคนฆ่าตายเนี่ยนะ.. ไหนจะนาโอะอีกทำไมภาพที่มีมันถึงได้เอาออกมาฉายน้อยจังวะ
'มันเกิดบ้าอะไรขึ้น...'
ตั้งแต่ได้ยินข่าวก็รีบไปหามันที่โรงพยาบาลแต่เพราะพวกหมอห้ามไม่ให้เข้าเยี่ยม ทำให้ได้เจอกันอีกทีตอนงานศพ ทันทีที่ผมเห็นอีกฝ่ายสภาพของคนตรงหน้าเต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ผ้าพันแผลที่พันเอาไว้เริ่มมีเลือดไหลซึมออกมาโดยเฉพาะมือทั้งสองข้างแต่เจ้าตัวกับดูไม่สนใจใยดีเลยสักนิด
ในหัวของคัตสึกิคิดได้เพียงสิ่งเดียว คือสรรหาคำพูดอะไรก็ได้ ที่ดีพอจะทำให้เจ้าตัวรู้สึกดีขึ้นแม้สักนิดก็ยังดี เพราะสัญชาตญาณบางอย่างมันบอกกับตัวเขาว่าถ้าปล่อยนาโอะไปตอนนี้ตัวตนของเจ้านั่นคนเดิมอาจจะหายไป
ด้วยความคิดเหล่านั้นทำให้คัตสึกิเผลอเข้าไปสวมกอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง พลางลูบหัวเบาๆราวกับกลัวคนตรงหน้านี้จะแตกสลาย
"นาโอะ.. ขอโทษที่ไม่ได้ไปหาแกให้เร็วกว่านี้.. เจ็บมากไหม?"
'ถามบ้าอะไรวะ มันต้องเจ็บมากอยู่แล้ว'
"ไม่หนิ... ตอนนี้ไม่เจ็บเลยสักนิด..."
"หยุดโกหกสักที! มือแกเลือดไหลอยู่ไม่ใช่รึไง!!"
"อ้าว... ไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่"
ณ วินาทีนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมได้สบตากับอีกฝ่าย สายตาเเบบนั้นมันทำให้ผมตัวแข็งทื่อจนพูดอะไรไม่ออก
"แต่ฉันพูดจริงนะ.. แผลแค่นี้ไม่รู้สึกเจ็บเลย... ก็ไอ้สาระเลวพวกนั้นมันเอาไปจากฉันหมดแล้ว.. ทั้งความเจ็บปวด ทั้งการที่พวกมันมาพลากสิ่งสำคัญไป ทุกสิ่งสิ่งทุกอย่าง..."
คำพูดที่ปราศจากการโกหก ดวงตาที่มองมาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
"นี่.. สังคมนี้มันโหดร้าย.. ว่างั้นไหมคัตสึกิ"
ใบหน้าเหยียดยิ้มขึ้นมาอย่างบิดเบี้ยว เสียงหัวเราะที่เเทรกขึ้นมาในคำพูด ไร้ซึ่งความโศกเศร้า ยิ่งตอกย้ำคำตอบนั้นให้ชัดเจน'ตัวเขามาช้าเกินไป คนที่ชื่อนาโอกิได้เเตกสลายไปเเล้ว'
ด้วยความตกใจในการกระทำของอีกฝ่ายทำให้ผมเผลอปล่อยมือออกจากร่างที่อยู่ตรงหน้า
และเพราะการปล่อยมือครั้งนั้น
หลังจากงานศพ ผมก็ไม่เคยเจอกับนาโอะอีกเลยย
Talk : ช่วงเกล็ดเล็กน้อย
หวัดดีค่าถ้าใครยังจำกันได้ มันจะมีช่วงนึงที่นาโอะคุงกับคัตจังเขาเปลี่ยนไปตั้งชื่อเล่นให้อีกฝ่าย
ขอเสริมนิสนึงเผื่อคนที่ไม่รู้นะคะคำว่า นาโอะ มีความหมายว่าตรงหรือซื่อสัตย์ นางคัตเขาเลยตั้งไปเพื่อล้อที่อีกฝ่ายไม่ค่อยทำอะไรตรงตามที่พูดซักเท่าไหร่เพราะส่วนมากหลังจากเหตุการ์ณตกเขานาโอะจะชอบทำตัวเชื่องช้าเวลาตื่นนอนให้คัตสึโมโหเล่นค่ะ ส่วนคัตสึ ถ้าเอาความหมายตรงตัวคือมันมาจากคำว่า cutlet ที่แปลว่าทอดกับเนื้อทอดจ้า(ตั้งชื่อได้สิ้นคิดมาก)
แถมอีกนิด ถ้าใครยังจำได้นาโอะเป็นพวกตื่นง่ายค่ะน้องเลยไม่จำเป็นต้องมีนาฬิกาปลุกเเค่ได้ยินเสียงพ่อทำกับข้าวเจ้าตัวก็ตื่นเเล้วค่ะ แต่ส่วนมากจะแกล้งนอนต่อ
แถมอีกนิด V2. ในเหตุการณ์ช่วงท้ายๆนาโอกิดันคิดแต่เรื่องอื่นจนไม่ได้สังเกตคำพูดของคัตสึกิเลยว่าเขาเป็นห่วงอยู่ นานๆทีเจ้าตัวเขาจะพูดออกมาตรงๆกลับโดนเมินซะงั้นน่าสงสารจริงๆ กระซิก*
ก่อนจะจากกันไรท์ขอไว้อาลัยให้กับพ่อเเม่ของนาโอกิด้วยคนนะคะ ทั้งสองคนเป็นคนสำคัญของน้องมากจริงๆ แอบสปอยค่ะคำที่เน้นตัวหน้าจะมีผลในตอนหลังๆ
แล้วเจอกันใหม่นะคะ
ความคิดเห็น