ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Boku no hero academia | สมุดบันทึกของวิลเลิน [OC/Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #4 : Episodio IV : คำสัญญาครั้งที่ 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.31K
      171
      17 ต.ค. 64

    สองวันก่อนหน้านี้พ่อของผมได้ทำการจัดเก็บข้าวของสำหรับย้ายบ้านเอาไว้ โดยที่มาบอกพวกเราหลังจากย้ายบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว


    ตอนแรกแม่ก็โกรธใหญ่เลย ที่พ่อทำอะไรไม่บอกก่อน แถมยังใช้ข้ออ้างแบบแก้ตัวน้ำขุ่นๆว่าอยากทำเซอร์ไพรส์ให้พวกเราตกใจเล่น


    แต่พอดูจากภาพรวมแล้วการย้ายบ้านก็เป็นความคิดที่ดีเลยทีเดียว บ้านหลังเก่าของพวกเราอยู่ติดถนนมากเกินไปจนไม่มีแม้กระทั่งสวนหน้าบ้านด้วยซ้ำ ส่วนภายในตัวบ้านถึงจะไม่ได้เล็กมากแต่ก็ไม่ได้มีพื้นที่มากพอสำหรับให้แม่ฝึกเดินเหมือนกัน พ่อเลยอยากให้เเม่มีพื้นที่สำหรับกายภาพบำบัดก็เลยไปเลือกซื้อบ้านหลังใหม่แถวชานเมือง


    ทั้งแม่แล้วก็ผมเห็นด้วยกับความคิดนี้ก็เลยไม่ได้มีปากเสียงอะไรกันยืดยาว


    หลังจากที่แม่ออกจากโรงพยาบาล พวกเราก็ใช้เวลาเดินทางไปที่บ้านหลังใหม่ประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง


    บ้านหลังนี้เป็นบ้านสไตล์คลาสสิกผสมโมเดิร์นตัวบ้านมีสองชั้น ส่วนภายในบ้านก็มี 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ แล้วก็ยังมีห้องย่อยอีก 3 ห้อง เเถมยังมีสวนหน้าบ้านด้วย พอได้มาเห็นของจริงถึงรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มันใหญ่กว่าบ้านหลังเก่าของผมมากเลย 


    'รู้สึกตื่นเต้นนิดๆแฮะ'


    หลังจากที่เดินทัวร์บ้านใหม่จนพอใจ ผมกับพ่อใช้เวลาช่วงเช้าแล้วก็บ่ายหมดไปกับการจัดเก็บของภายในบ้านถึง จะมีพักกินข้าวอยู่บ้างก็เถอะ เเต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็เลยมาถึงมื้อเย็นซะเเล้ว หลังจากนั้นพวกเราสามคนก็มานั่งกินข้าวบนโต๊ะเดียวกัน หลังจากที่ไม่ได้ทำอะไรแบบนี้มานาน


    บอกตามตรงถึงจะผ่านมาแค่หนึ่งสัปดาห์กับอีกสี่วัน แต่ผมเองก็รู้สึกคิดถึงบรรยากาศเหล่านี้มากๆเลย ทั้งบรรยากาศบนโต๊ะกินข้าว ทั้งอาหารแบบทำเองถึงจะเปลี่ยนจากฝีมือของแม่เป็นพ่อก็เถอะ ก็นะรสชาติก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ไหนจะเสียงพูดคุยระหว่างคนในครอบครัวที่ไร้สาระแล้วก็เป็นไปอย่างเรื่อยเปื่อย คิดถึงจริงๆนั่นแหละบรรยากาศแบบนี้


    "จริงสินาโอกิ"


    "อะไรหรอฮะ?"


    "เเถวบ้านเรามีสวนสาธารณะด้วยนะว่างๆก็ลองเเวะไปดูสิ แล้วก็บ้านเราอยู่ใกล้กับโรงเรียนด้วยนะ"


    เห.. แบบนี้แสดงว่าแถวบ้านต้องมีเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมด้วยสินะ รู้สึกแปลกๆเหมือนกันนะเนี่ยเพราะแถวบ้านเก่าดันไม่มีเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมเลยสักคนส่วนใหญ่เขาก็โตกันหมดแล้ว เเถมการเรียนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาก็เป็นการเรียนเเบบโฮมสคูลมาตลอดเพราะพวกเขาทั้งคู่ติดงาน จนไม่สามารถไปรับไปส่งผมตามเวลาได้ก็เลยตัดปัญหา โดยใช้วิธีจ้างครูมาสอนพิเศษที่บ้านแทน แล้วนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่มีเพื่อนด้วย แต่ก็นะ เเบบนี้เราอาจจะมีเพื่อนคนอื่นนอกจากโชโตะก็ได้


    'พอคิดขึ้นมาก็ชักเป็นห่วงหมอนั่นเเล้วสิ หวังว่าลุงคนนั้นจะไม่ทำอะไรเลวร้ายไปมากกว่านี้นะ'


    "จริงสินาโอกิเองก็อายุเลย 6 ขวบมาแล้วนี่นา"


    "แล้วมันหมายความว่าไงหรอฮะ ตั้งเเต่เมื่อกี้เเล้ว"นาโอกิพูดพลางใช้ตะเกียบจิ้มลูกชิ้นปลาเข้าปาก


    "หมายความว่าลูกต้องไปโรงเรียนเหมือนกับเด็กคนอื่นไง วันนี้เองก็อย่านอนดึกล่ะพรุ่งนี้พ่อจะขับรถพาลูกไปส่งโรงเรียนที่อยู่ใกล้ๆเอง"


    "พูดจริงป่ะ"


    "จริงสิ~"


    "ไปสมัครมาตอนไหนน่ะ?"


    "ตอนที่ชิโอริพักอยู่ไง"


    'ทำไมพ่อเราชอบทำอะไรไม่บอกอยู่เรื่อยเลย!! อา... หมดกันวันหยุดสุดที่รักจ๋า..'


     


     


     


    วันนี้ก็เหมือนกับวันอื่นๆ ที่คัตสึกิต้องมาโรงเรียนที่เปิดมาได้หนึ่งสัปดาห์และมันก็คงไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม ถ้าไม่ใช่เพราะดันมีคนเพิ่งจะย้ายเข้ามาใหม่ในช่วงกลางเทอมเเบบนี้


    "เอาล่ะทุกคนเงียบๆกันหน่อย วันนี้จะแนะนำนักเรียนที่ย้ายเข้ามาใหม่ให้รู้จักก่อนนะ เชิญเลย"


    "ผมมินาโตะ นาโอกิ แล้วก็มีเหตุผลทางบ้านนิดหน่อยก็เลยมาเข้าเรียนช้ากว่าทุกคน ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะคร้าบ"


    'เจ้านั่นสีตาแปลกชะมัดเลย ตาด้านนอกเป็นสีดำส่วนนัยตาดันเป็นสีขาว ก็นะในโลกปัจจุบันก็คงไม่แปลกเท่าไหร่หรอกมั้ง?'


    ตัวคัตสึกิได้ตั้งข้อสงสัยเล็กน้อยเกี่ยวกับสมาชิกที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ผิดกับคนในห้องที่หลังจากนั้นก็เริ่มมีเสียงพูดคุยกันเล็กน้อยจนเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆเกี่ยวกับตัวของเพื่อนใหม่ แล้วเสียงส่วนมากก็ไปในเเนวสนอกสนใจในสีผิวที่ดูสะดุดตาของเจ้าตัว แต่ก่อนที่การพูดคุยจะดังไปมากกว่านี้มันก็ถูกขัดด้วยเสียงของอาจารย์


    "พอแล้วๆ เรื่องพูดคุยกับเด็กใหม่เอาไว้คุยกันตอนพักเที่ยงเถอะ ถ้างั้นเธอก็ไปนั่งที่ว่างตรงนั้นก็เเล้วกัน"ครูประจำชั้นชี้ไปที่โต๊ะตัวเดียวที่ว่างอยู่


    'ข้างๆกันเลยนี่หว่า'


    "รับทราบครับ"


    หลังจากจบคำพูดของอาจารย์เจ้าคนผิวซีดนั้นก็เดินไปนั่งที่โต๊ะตัวข้างๆที่ผมนั่งอยู่ เจ้านั่นหันมาพูดอะไรกับผมนิดหน่อยก่อนจะนั่งลงไป


    "ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะ คุณคนโต๊ะข้างๆ"


    "อา.. เออ"


    ไม่รู้ว่าคัตสึกิคิดไปเองหรือเปล่า แต่พอได้เห็นรอยยิ้มบวกกับน้ำเสียงของนาโอกิ ตัวเขากลับรู้สึกว่ามันเป็นรอยยิ้มที่กวนประสาทยังไงชอบกล


    'รู้สึกไม่ชอบขี้หน้ามันเลยแหะ แต่เราอาจจะคิดมากไปเองก็ได้เจ้านั่นมันไม่ใช่ เดกุ ซะหน่อย'


    เหมือนว่าผมดันเผลอจ้องหน้าอีกฝ่ายนานเกินไปมั้ง.. เจ้าตัวเลยรู้สึกตัวซะได้


    'ดันจ้องกลับอีกเอาไงต่อดีเนี่ย ถ้าหลบตามันตอนนี้ก็เท่ากับเราหนีน่ะสิ'


    "......"


    'ไม่ยอมหลบตาด้วยเจ้านี่คิดจะหาเรื่องกันรึไง'


    "นี่คุณหัวฟางหน้าผมไม่ใช่กระดานซะหน่อย ไปมองหน้าห้องนู้น ด้านหน้าน่ะ หรือว่าสายตาสั้นหรอผมช่วยจดให้เอามะ?"


    "ห๊า นายว่าใครสายตาสั้นห่ะ!!"


    "อ้าวๆ ก็เห็นจ้องผมซะขนาดนั้นก็นึกว่ามองไม่เห็นซะอีก ขอโทษแล้วกันนะนายเองทีหลังก็อย่าจ้องหน้าใครเขานานสิ แบบนั้นน่ะเสียมารยาทนะ"


    "นี่แก!"


    พอจะตอบกลับ เจ้านั่นก็ดันหันหน้าไปอีกทางโดยที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่ได้ยินคำพูดที่เขาพูดออกไป


    ตอนนี้คัตสึกิแน่ใจอย่างนึงชัดเจนเลย


    'เจ้าเด็กใหม่นี่มันโครตกวนประสาทเลย!!'


    คาบเเรกจบไป เเล้วคาบเรียนที่สองกำลังจะเริ่มขึ้นแต่ดูเหมือนอาจารย์ประจำวิชาน่าจะติดธุระอะไรสักอย่างมั้งทำให้มาสาย คนในห้องก็เริ่มพูดคุยกันเสียงดังมากขึ้น


    'โดยเฉพาะไอ้โต๊ะตัวข้างๆมันเสียงดังเป็นพิเศษเลย กะอีเเค่เด็กใหม่จะสนใจอะไรกันนักกันหนา!'


     


     


     


    "สีตานายแปลกดีนะ"


    "มันเป็นกรรมพันธุ์จากแม่น่ะครับ"


    "นี่มินาโมโตะผิวนายเเค่ซีดหรือว่าผิวนายเป็นสีขาวหรอ?"


    "แค่ผิวซีดเท่านั้นแหละครับ แต่ดูเหมือนว่าถ้าใช้อัตลักษณ์มันจะกลายเป็นสีขาวไปเลย"


    "มินาโตะพูดเพราะจังนะ"


    "พอดีผมติดเป็นนิสัยนิดหน่อยน่ะ"


    'ในกรณีที่อาร์ณดีนะน่ะ'


    "แล้วนี่อัตลักษณ์ของเธอคืออะไรหรอ?"


    "อ๋อ.. อัตลักษณ์ของผมคือ ควบคุมกระดูกน่ะ"


    "มันเป็นยังไงหรอเเสดงให้พวกเราดูหน่อยสิ"


    "ใช่ๆ ฉันก็อยากเห็น"


    "ถ้าอย่างงั้นก็..."


    นาโอกิประกบฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าหากันคล้ายจะพนมมือจากนั้นก็กางมันออกมาอย่างช้าๆพร้อมกับมีเเท่งกระดูกสีขาวที่ยืดยาวขึ้นมาเรื่อยๆตามความกว้างที่กางมือออก จากนั้นจึงหยุดกางมือแล้วกำนิ้วมือข้างซ้ายเข้าหาฝ่ามือพร้อมกับลดมืออีกข้างลง เผยให้เห็นเเท่งกระดูกที่ลอยอยู่กลางอากาศ พอมวลในกระดูกเริ่มคงที่เขาก็แบมือที่กำอยู่เเล้วขยับฝ่ามือขึ้นลง ซึ่งกระดูกนั้นก็เคลื่อนที่ไปตามทิศทางที่มือของเขาเคลื่อนไหว


    'อันที่จริงที่เรียกว่ามวลคงที่ ก็เปรียบเหมือนการคงสภาพให้เป็นรูปกระดูก เพราะถ้าผมไม่ควบคุมมันเอาไว้ มันก็จะแตกตัวกลายเป็นละอองกระดูกเล็กๆ ถ้าหากว่าผมเผลอขยายแทนที่จะย่อยสลายมันก็จะทำให้เด็กคนอื่นบาดเจ็บได้ อีกอย่างมันก็เป็นข้อเสียกับตัวผมได้เหมือนกันเพราะถ้าปล่อยให้รองกระดูกไหลไปเรื่อยๆแบบนี้ร่างกายของผมก็จะไม่มีแรงแล้วก็ทรุดลงเพราะแคลเซียมหายไป เป็นอัตลักษณ์ที่เปลืองความคิดจริงๆเลยน้อ เอาเป็นว่าจบเรื่องยืดยาวน่าเบื่อพวกนี้แล้วมาแสดงโชว์ให้เพื่อนดูต่ออีกหน่อยละกัน'


    "แล้วก็ทำแบบนี้ได้ด้วยนะ พวกนายช่วยถอยไปหน่อยได้มั้ย"


    ผมไล่คนออกไปจากบริเวณที่อยู่ใกล้ๆกับตัวเอง ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วคุกเข่าลงข้างนึงก่อนจะเอาฝ่ามือเเตะไปที่พื้น จากนั้นก็มีกระดูกแหลมๆ 3 แท่งโผล่ออกมาจากที่พื้น


    "โหวสุดยอดเลยเเหะ"


    "แบบนี้ก็สามารถขังพวกวายร้ายได้ด้วยสินะ"


    "ผมยังทำขนาดนั้นไม่ได้หรอก"


     


     


     


    หลังจากที่เจ้าเด็กใหม่โชว์อัตลักษณ์ของตัวเองให้พวกนั้นเห็น ดูเหมือนจะสร้างความสนใจให้กับคนในห้องได้ดีทีเดียว แต่แล้วยังไงล่ะ ยังไงเจ้านั่นก็หน้าหงุดหงิดอยู่ดี


    "แค่ควบคุมกระดูกได้เเบบนั้นมันสุดยอดตรงไหน เสกเอาไว้ให้หมางับเล่นรึไง"


    ดูเหมือนว่าคำยั่วยุจะได้ผล เป็นครั้งเเรกเลยที่เห็นหมอนั่นหุบยิ้มแล้วทำสีหน้าเเบบนั้น ดูเหมือนว่าสิ่งที่ผมพูดไปจะทำให้อีกฝ่ายโกรธแล้วเเฮะ


    'หึ ดีเลยแบบนี้ก็เข้าทางเขาสิ'


     






    สิ่งที่ชายผมฟางพูดออกมานับเป็นครั้งเเรกเลยที่มีใครสร้างความหงุดหงิดให้ตัวนาโอกิได้มากขนาดนี้


    ถ้าพูดแหย่ผมเรื่องอื่นให้ตายยังไงผมก็ไม่แสดงท่าทางโกรธให้อีกฝ่ายเห็นหรอก แต่นี่มันมาดูถูกอัตลักษณ์ของผมก็เหมือนกับกำลังดูถูกพ่อด้วยเหมือนกัน


    "หา!? พูดแบบนี้ไม่รู้จักฮีโร่ bonedy รึไงตัวเขาก็ใช้กระดูกสร้างเป็นอาวุธได้เชียวนะ เเถมกระดูกนี่มันก็เเข็งนะเฟ้ย ฟาดหัวนิ่มๆของนายสักทีนายสลบเเน่"พร้อมกับเสกกระดูกเเท่งที่ห้าของวันขึ้นมากำไว้ในมือเพื่อข่มอีกฝ่าย พยายามสื่อเป็นนัยๆว่า


    'ท่าไม่มีท่าทีว่าจะยอม ผมก็พร้อมฟาดหน้าแกเหมือนกัน'


    "ไม่รู้จักเว้ย ถึงฮีโร่คนนั้นจะสร้างกระดูกเป็นอาวุธได้จริงแต่แล้วยังไงล่ะ ที่เเกสร้างน่ะมันเเค่เเท่งกระดูกโง่ๆไม่ใช่หรือไง อัตลักษณ์ของแกน่ะยังไงก็สู้อัตลักษณ์ของฉันไม่ได้หรอก"


    ทางฝั่งคนผมฟางเองก็จุดระเบิดขึ้นมาที่ฝ่ามือของตัวเอง เหมือนเป็นการสื่อทางสายตาว่าพร้อมปะทะกับผมเต็มที่


    "นี่ไอ้หัวตั้ง พูดแบบนี้แสดงว่าอยากจะมีเรื่องกับผมมากสินะ"


    "เออ! เอาซิฉันเองก็หมั่นไส้แกมาสักพักเเล้ว"


    คนในห้องเริ่มทำตัวไม่ถูก ว่าควรเข้าไปห้ามหรือว่าควรปล่อยทั้งสองคนเอาไว้แบบนั้นดี แล้วก่อนที่ทั้งสองคนจะเริ่มต่อยกันจริงๆ ก็มีเสียงของเด็กผู้ชายคนนึงตะโกนออกมา


    "หยุดเถอะ! เออ.. ครูเขาเดินขึ้นบันไดมาเเล้วนะ ทั้งสองคนอย่าพึ่งมีเรื่องกันเลยนะ"


    "ชิน่ารำคาญจริง ถือว่าแกโชคดีไปนะ"


    "คนที่ควรพูดคำนั้นน่าจะเป็นผมมากกว่า"


    'เอาไว้คราวหน้าจะทำให้เจ้าแยงกี้นั่นต่อปากต่อคำไม่ได้เลย'


    ''เอ่อ... มินาโมโตะคุง.. ปกติคัตจังเขาจะชอบพูดไปโดยไม่ค่อยคิดอยู่แล้วเพราะงั้นอย่าไปถือสาเลยนะ''


    ก่อนที่จะเดินไปนั่งที่เดิมก็มีเด็กผู้ชายผมฟูสีเขียวเข้มที่มีกระอยู่บนหน้า เดินเข้ามาพูดคุยด้วยน้ำเสียงที่ดูประหม่า


    'เสียงแบบนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนเดียวกันกับที่ห้ามพวกเราเมื่อกี้นี้สินะ'


    "เรียกผมว่านาโอกิเฉยๆก็ได้ แล้วก็ขอบคุณที่เข้ามาห้ามนะ ว่าแต่นายล่ะชื่ออะไร?"ตัวเขายิ้มตอบกลับเหมือนเช่นเคยเเต่ดูเหมือนมันจะไปเพิ่มความประมาทให้อีกฝ่ายซะได้


    "เอ่อคือ.. ผะ ผม มิโดริยะ อิสึคุ"


    "ไม่เห็นต้องเกร็งเลย ยินดีที่รู้จักนะอิสึคุฝากตัวด้วยนะ"พร้อมกับยืนมือไปให้อีกฝ่าย ฝ่ายนั้นดูลังเลอยู่ครู่นึงก่อนจะยืนมือมา


    "ฝากตัวเช่นกันนะ"


    ก่อนอาจารย์จะเข้ามาในห้องพวกเราทั้งสองคนก็แยกย้ายไปนั่งที่ของตัวเอง ถึงตอนกลางวันพวกเราเกือบจะทะเลาะวิวาทกันต่อจากตอนเช้าแต่เพราะว่ามีครูเข้ามาห้ามไว้ซะก่อนเรื่องก็เลยเงียบไป จนถึงเย็นวันนั้นผมบอกกับพ่อไว้ว่าจะเดินกลับบ้านเอง ในตอนเเรกพ่อก็ทำท่าว่าจะไม่ยอมเเต่สุดท้ายไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆก็ยอมเขียนแผนที่ทางกลับบ้านเอาไว้ให้


    เหตุผลที่ผมดึงดันจะกลับบ้านเองเพราะผมเเอบไปรู้มาว่าพ่อกำลังหางานเสริมในช่วงที่กำลังพักงานอยู่ ไม่ใช่ว่าพ่อไม่ได้เงินชดเชยในช่วงพักงานหรอกนะ เเต่ว่าพอแม่เข้าโรงพยาบาลเท่ากับว่ารายได้ลดลงไปครึ่งนึง ค่าใช้จ่ายก็มากขึ้นถึงจะไม่รู้รายละเอียดต่างๆแต่ถ้าปล่อยไว้แบบนั้นเงินของเราก็คงค่อยๆหมดไปเรื่อยๆ ผมเองอยากให้พ่อได้มีเวลาหางานมากขึ้นก็เลยตัดสินใจจะไม่ให้พ่อเปลืองค่ารถกับการต้องไปรับไปส่ง เพราะระยะทางจากบ้านมาที่โรงเรียนก็ไม่ได้ไกลมากอะไร ถือว่าเป็นการออกกำลังกายไปด้วยในตัว


    และเส้นทางที่เดินกลับบ้านก็คงจะสุขใจมากกว่านี้ถ้าไม่มีไอ้คนหัวฟางนั้นมันมาเดินอยู่ข้างหน้า


    'ทำไมดันซวยกลับบ้านทางเดียวกับมันอีกล่ะเนี่ย'


    "เห้ยแก!! จะเดินตามฉันไปถึงเมื่อไหร่เนี้ย"


    "หา!? ผมเนี่ยนะจะเดินตามนาย นายนั่นแหละมายืนขวางทางผมอยู่ได้ช่วยหลีกทาง แล้วเดินไปให้ไกลๆผมหน่อยจะได้ไหม"


    "ทำไมต้องหลีกทางให้คนเดินช้าเเบบแกด้วย ถ้ารีบมากก็เดินให้มันเร็วๆเองสิ ฉันเหยียบเท้าแกไว้รึไง อ๋อลืมไปเป็นแค่กระดูกคงจะหนักมากสินะ"


    'นั้นไงไอ้หมอนี่มันกวนประสาทกันจริงๆด้วย ชักเริ่มทนไม่ไหวกับคำกวนประสาทของมันเเล้วสิ'


    ผมเลยเริ่มวิ่งหวังจะเเซงหน้าคนหัวฟาง แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเห็นแล้วก็เริ่มวิ่งเหมือนกัน กลายเป็นว่าพวกเราสองคนวิ่งตีคู่กันมาเกือบสิบนาที จนในที่สุดผมก็มาหยุดที่หน้าบ้านของตัวเองก่อนจะตะโกนใส่อีกฝ่ายด้วยเเรงที่ยังเหลืออยู่


    "ฉัน/ผม ถึงบ้านเเล้วแกเลิกตามมาซะทีสิฟะ!!"


    ''ห๊ะ!?''


    ตอนนั้นความเงียบที่นานที่สุดตั้งเเต่ที่พวกผมสองคนอยู่ด้วยกันก็เกิดขึ้น มีแต่เสียงหอบหายใจที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยที่ดังขึ้นมาไม่หยุด ก่อนที่คนผมฟางจะเป็นคนเปิดประโยคคำถามขึ้นมา


    "เดี๋ยวนะ แกบอกว่าถึงบ้านเเล้วบ้านแกมันอยู่หลังไหน"


    ตัวนาโอกิที่ยังคงเหนื่อยอยู่จนไม่สามารถพูดอะไรยาวๆได้จึงทำเพียงเเค่ชี้ไปที่บ้านฝั่งตรงข้ามหน้าบ้านที่ทั้งสองคนยืนอยู่


    'เฮ้ยๆ เอาจริงดิไม่จริงใช่ไหม'


    "อ้าว? คัตสึกิกลับมาเร็วจังนะ คนที่อยู่ข้างๆนั้นหรือว่าจะเป็นนาโอกิคุง"


    'ชัดเลย.. เเบบนี้มันยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าเป็นบ้านมันจริงๆอะสิ ทำกรรมอะไรเอาไว้เนี้ย เดี๋ยวนะเธอรู้จักผมด้วยงั้นหรอ?'


    "แม่รู้จักกับมันด้วยหรอ? โอ๊ย!! เจ็บนะเขกหัวกันทำไมเนี้ยยายแก่!!"


    "เเกไปเรียกคนอื่นว่า'มัน'ได้ยังไง เเล้วเดี๋ยวนี้กล้าเรียกแม่ตัวเองว่า'ยายแก่'แล้วงั้นหรอ"


    ก่อนที่คนเป็นเเม่ของเจ้าหัวฟางจะเขกไปที่หัวอีกหมัด ดูเหมือนว่าเธอจะสังเกตเห็นใบหน้าสงสัยของผมก็เลยหันมาพูดกับผมก่อน โดยที่เจ้านั่นก็รอดตัวไป


    'เขกไปก่อนก็ดีนะ'


    "พ่อของเธอเขามาทำความรู้จักกับน้าเมื่อวันก่อนน่ะ ก็เลยได้คุยกันหลายเรื่องเลย รวมไปถึงเรื่องของเธอพ่อเธอเองก็มาเล่าให้น้าฟังเหมือนกัน หน้าของเธอกับพ่อเนี่ยเหมือนกันอย่างกับแกะเลยนะ"


    "อ๋อ.. ครับ"


    'ถึงว่าเมื่อวานช่วงบ่ายพ่อถึงหายไป'


    "อ้าว นั่นคุณฮิโรชิมาพอดีเลย"


    "สวัดดีครับคุณมิทซึกิ ไงนาโอกิเจอกันพอดีเลยนะ"


    "เจอกันบังเอิญเกินไปเเล้ว ไม่ใช่ว่าพ่อแอบตามผมมาจากโรงเรียนหรอ"


    "บ้าน่า พ่อก็ให้แผนที่ไปแล้วนี่ไม่มีความจำเป็นต้องไปรอหน้าโรงเรียนเลยจริงไหม"


    'นั่นไง แอบตามมาจริงๆด้วย'


    ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรต่อพ่อก็ลากผมเข้าไปในบ้านพร้อมกับบอกลาคุณมิทสึกิ ก่อนจะหันหลังไปสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของเจ้าคนผมฟาง


    'ไอ้คนที่ไม่พอใจมันควรจะเป็นผมมากกว่าที่ต้องมาอยู่ใกล้บ้านกับคนแบบนาย'


     


     


     


    วันต่อมา..


    นาโอกิเริ่มคิดเเล้วว่าทำกรรมอะไรไว้กับคนบ้านตรงข้าม ถึงได้เป็นเจ้ากรรมนายเวรกันเเบบนี้


    ตอนตื่นก็ดันตื่นเวลาใกล้ๆกันอีก พ่อของผมกับเเม่ของมันก็เลยให้พวกเราไปโรงเรียนด้วยกันซะงั้น โดยไม่ได้ดูสีหน้าของพวกเราเลยสักนิด ไม่ก็รู้แต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แล้วก็เเน่นอนพวกเราไม่ได้เดินไปด้วยกันดีๆหรอก เรียกได้ว่าเปิดสงครามฝีปากกันตลอดทางเดินด้วยซ้ำ


    "นายจะเสร่อตื่นมาตอนนี้ทำไมเนี่ย ผมเลยต้องมาเดินไปโรงเรียนกับคนเเบบนายอีกจนได้"


    "ฉันก็ตื่นของฉันทุกวันอย่างนี้อยู่เเล้ว แกนั้นแหละที่ตื่นตามฉันถ้าทนไม่ไหวก็ย้ายบ้านออกไปสิ"


    "ไม่มีวันผมจะอยู่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของนายต่อไปอย่างงี้เเหละ อ๋อถ้าทนไม่ไหวจะย้ายบ้านไปแทนก็ได้นะ"


    เเต่ก่อนที่เราจะมีเรื่องอะไรกันก็มีเด็กคนอื่นๆเข้ามาเดินกับพวกเรา การทะเลาะกันก็ถูกขัดเอาไว้เเค่นั้นอีกครั้ง


    เป็นแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา


    ตลอดห้าวันที่ผ่านมาผมก็ไม่ได้สนิทกับใครเป็นพิเศษคอยตระเวนไปตามกลุ่มต่างๆแต่ถ้าพูดถึงคนที่พูดด้วยมากที่สุดก็คือเจ้าคนหัวฟางเนี้ยแหละ ด้วยความบ้านอยู่ตรงข้ามกัน ที่นั่งก็อยู่ข้างกันก็เลยได้ทะเลาะกันทุกวันเลย


    จนเวลาเลยมาถึงวันเสาร์ด้วยความที่พวกเราถูกห้ามตลอดเวลาที่จะมีเรื่องกัน พวกผมสองคนเลยมาท้าเเข่งกันอย่างเป็นทางการจนได้ สถานที่คือป่าหลังภูเขา ส่วนกติกาการเเข่งไม่ใช่การต่อยตีเเต่อย่างใดแต่เป็นการวิ่งเเข่ง


    ใช่วิ่งแข่ง ไม่รู้ว่าอารมณ์ไหนมันพาไปจนมาจบที่การแข่งขันนี้เหมือนกัน


    เอาเป็นว่าพวกเราตกลงกติกากันไว้ ว่าถ้าใครไปหยิบผ้าที่อยู่ตรงต้นไม้ต้นสุดท้ายบนเชิงผา ที่พวกเพื่อนของเจ้าหัวฟางพูกเอาไว้ เเล้ววิ่งกลับมาได้เป็นคนเเรกคือผู้ชนะ แน่นอนว่าผู้ชมส่วนมากคือเพื่อนของเจ้าหัวฟางเเล้วตอนนี้ก็กลายเป็นเพื่อนของผมไปด้วยตั้งแต่ตอนไหนก็จำไม่ได้เหมือนกัน รวมไปถึงมีอิสึคุตามมาด้วย ถึงตอนเเรกผมจะไม่ทันสังเกตุเลยก็เถอะ ก็ใครจะไปนึกล่ะว่าคนเรียบร้อยเเบบอิสึคุจะมาคอยตามเจ้าคนแบบนี้กัน


    "เห้ยเจ้าตาขาว เหม่อเเบบนั้นระวังจะแพ้ไม่รู้ตัวเอานะ"


    "นั่นพยายามยั่วโมโหผมอยู่หรอ บอกเลยว่ายั่วได้กระจอกมากอะ เอาเวลาไปคิดหาทางชนะผมดีกว่านะ"


    "เฮอะ ฉันจะรอดูว่าถ้าแพ้จะยังยิ้มกวนประสาทเเบบนี้ได้อยู่ไหม"


    "เอาน่าๆทั้งสองคนใจเย็นๆก่อน พร้อมรึยัง"เสียงของคนที่มีปีกสีเเดงอยู่ที่หลังพูดห้ามพอเป็นพิธี ก่อนจะถามความพร้อมของเพื่อนทั้งสองคน


    "พร้อมแล้ว~"


    "เริ่มสักที"


    "ถ้างั้นก็ 3 2 1 เริ่มได้!!"


    เมื่อเริ่มออกตัวแน่นอนว่าคนที่ออกตัวไปได้ก่อนก็คือผม เเต่อีกคนก็ไม่ได้น้อยหน้าเลยเจ้าตัวใช้แรงระเบิดอัดเข้าไปที่ด้านหลังก่อนจะขึ้นมาตีตื้นกันอีกครั้ง พวกเราทั้งวิ่งหลบต้นไม้ กระโดดข้ามลำธาร จนมาถึงต้นไม้ต้นนึงที่บนกิ่งไม้มีผ้าสองผืนผูกเอาไว้ข้างๆกัน เมื่อเห็นเป้าหมายพวกเราก็รีบเร่งสปีดขึ้นเพื่อที่จะขว้าผ้าที่อยู่ใกล้ตัวเองมากที่สุด


    หมับ


    "ปล่อยสิ"


    "นายนั่นแหละที่ต้องปล่อย"


    'ดันบังเอิญจับได้ผ้าผืนเดียวกันอีก'


    เราทั้งคู่ต่างก็ไม่อยากเสียเวลาไปหยิบผ้าอีกผืน จึงทำการยือเเย่งกันไปมา 


    จนไม่ทันได้สังเกตุเลยว่าพวกเราเริ่มอยู่ใกล้ขอบหน้าผามากขึ้นเรื่อยๆ จนมีเสียงของบางอย่างพังลง


    เสียงของดินที่ร่วงหล่น ภาพที่ถูกตัดไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เด่นชัดในตอนนั้นมีเพียงเเค่เสียงกรีดร้อง


     


     


     


    ตอนนั้นคัตสึกิคิดว่าตัวเองต้องตายเเน่ๆเเต่กลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บที่ควรจะได้รับจากการตกหน้าผาเขาจึงค่อยๆลืมตาขึ้น ภาพที่ปรากฎให้เห็นตรงหน้าคือตัวของเขาที่ลอยอยู่กลางอากาศโดยที่มือข้างนึงของเขาถูกนาโอกิจับเอาไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างของเจ้านั่นก็กำลังจับกับขอบหน้าผาในสภาพที่จะหลุดเต็มที


    'นี่เราถูกเจ้านั่นช่วยเอาไว้หรอ?'


    "ปล่อยมือฉันซะ เดี๋ยวแกก็ร่วงลงมาด้วยอีกคนหรอก!!"


    "หนวกหูน่า! ช่วยเงียบๆหน่อยได้มั้ย!! ผมต้องการใช้สมาธิ"


    ถึงเจ้านั่นจะบ่นเเต่มือของหมอนั่นกับกำมือของเขาเอาไว้เเน่นมากกว่าเดิมในขณะที่มืออีกข้างก็เริ่มสั่นเพราะมันรับน้ำหลักของคนสองคนเอาไว้ไม่ไหว


    "สมาธิมันเกี่ยวอะไรวะ ปล่อยมือสักที!!"


    "ไม่เอา!"


    'เจ้านั่นช่วยเราเอาไว้ทั้งๆที่เราพูดไม่ดีกับมันไว้ขนาดนี้เนี้ยนะ...'


    "อย่ามาล้อเล่นนะ! ฉันไม่ได้ขอให้แกช่วยซะหน่อยปล่อยมือซะ ฉันไม่อยากร่วงไปพร้อมกับแกหรอกนะ ไม่จำเป็นต้องมาช่วย หน้าผาสูงเเค่นี้ฉันตกลงไปไม่ตายหรอกน่า!!"


    "บอกว่าหนวกหูไงโว้ย!! ถึงได้ไม่ขอฉันก็จะช่วย! ฉันไม่ได้ช่วยนายเพราะตัวนายสักหน่อย ฉันช่วยเพื่อตัวฉันเองต่างหาก ถ้าเกิดนายตายขึ้นมาฉันก็ฝันร้ายกันพอดี! ฉันไม่อยากมีผีมาหลอกหลอนตอนนอนหรอกนะ!!"


    "แกมัน... บ้ารึเปล่า.."


    ตัวเขาได้เเต่นิ่งเงียบ พยามสรรหาคำพูดให้อีกคนปล่อยมือเเต่ดูเหมือนว่า เเม้จะพูดอะไรไปก็ไม่เข้าหัวเจ้านี่เลยสักนิด


    'บ้าจริง... นี่เราทำอะไรไม่ได้เลยรึไง.. น่าสมเพชชะมัด'


     


     


     


    สถานะการณ์ในตอนนี้มันทำให้เขานึกถึงคำพูดของเเม่แล้วมันก็เป็นอย่างงั้นจริงๆ ตัวผมไม่อาจปล่อยให้อีกคนตกลงไปได้ ความรู้สึกมันบอกเอาไว้อย่างงั้น ตรงกันข้ามกับสังขารในตอนนี้ที่มือมันเริ่มปวดเเล้วก็สั่นไปหมด


    'ถ้าใช้อัตลักษณ์นั่นตอนนี้คงไม่เป็นไรสินะ ก็นี่มันสถานการณ์ฉุกเฉินหนิ'


    ตัวผมเพ่งมองไปพื้นที่กลางอากาศเหนือเนินผา ในหัวคิดคำว่าเคลื่อนย้ายวนไปเรื่อยๆ เเล้วผมก็ได้เห็นมันอีกครั้งภาพรอบตัวที่กลายเป็นสีขาวดำดวงไฟสีฟ้าที่เหมือนกับดวงวิญญาณมันส่องแสงอยู่เหนือท้องฟ้าที่ที่ตัวผมต้องการจะไป


    'เคลื่อนย้าย'


    สิ้นสุดคำพูดในหัวทั้งผมแล้วก็คนที่จับมือเอาไว้ ก็เทเลพอร์ตมาอยู่กลางอากาศก่อนจะร่วงหล่นลงไปที่พื้น


    ปัก!


    'เราทำสำเร็จ! ถึงจะโชคดีที่หล่นลงมาบนพื้นก็เถอะ'


    เพราะมันเป็นอัตลักษณ์ที่ใช้เเละควบคุมไม่ค่อยได้ แถมมีผลเสียกับร่างกายที่รุนแรงกว่าอัตลักษณ์กระดูก ตัวผมจึงไม่ค่อยได้ใช้มันตามที่เเม่บอกเอาไว้ แต่ครั้งนี้เหมือนว่ามันจะสำเร็จแถมเรายังช่วยได้อีกหนึ่งชีวิต ถึงจะเจ็บที่อกไปหน่อยก็เถอะ


    "เราขึ้นมาได้แล้ว.. ตั้งแต่เมื่อไหร่?"


    'ถ้าอธิบายคงยุ่งยากน่าดูตอบเลี่ยงๆไปเเล้วกัน'


    "นั่นนะสิผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ถึงยังไงเราก็ปลอดภัยแล้วช่างมันเถอะ"


    "ขอบ... ที่..."


    "หืม?"


    "ขอบคุณที่ช่วย"


    ถึงเสียงนั่นจะเบาจนเกือบไม่ได้ยิน เเต่มันก็ออกมาจากใจของอีกฝ่าย งั้นผมจะไม่ไปทำให้เสียบรรยากาศก็แล้วกัน


    "บอกแล้วไงว่าผมทำเพื่อตัวเอง เห็นแบบนี้แต่จริงๆแล้วผมค่อนข้างกลัวผีน่ะ ส่วนคำขอบคุณนั้นผมขอรับไว้ก็แล้วกัน เราพักเรื่องเเข่งเเล้วกลับกันดีมั้ย?"


    "...อืม"


    คัตสึกิตอบด้วยเสียงเเผ่วเบาก่อนจะยืนขึ้นแล้วเริ่มเดินนำหน้าไป


    'ดูเหมือนจะหงอยไปเลยเเฮะ เราเองก็ลุกขึ้นบ้างดีกว่า'


    "โอ๊ะ!?"


    'นี่เราขาพลิกตอนตกลงไปงั้นหรอ?'


    ดูเหมือนว่าเสียงร้องของผมจะดังพอ ที่จะทำให้คนข้างหน้าหันกลับมามอง


    "นาโอกิ ขาเป็นอะไรน่ะ?"


    'เพิ่งจะโดนหมอนี่เรียกชื่อเป็นครั้งแรกเลยแฮะ.. ขนลุกอะ'


    "อะ.. เอ่อ.. เหมือนจะเคล็ดนิดหน่อย ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมเอาไม้ค้ำเเล้วเดินไปก็ได้"


    เเต่คนที่ได้ยินคำนั้นกลับหันหลังเเล้วนั่งลง


    "ขึ้นมา จะได้ลงไปกันเร็วๆ"


    พอเห็นคนที่ทะเลาะด้วยกันมาตลอดพูดดีด้วยเเล้วตัวเราก็ทำตัวไม่ถูกเลย จึงได้เเต่ตามน้ำไปโดยการขึ้นไปขี่หลังของอีกฝ่าย จากนั้นคนที่เเบกผมขึ้นหลังก็เริ่มลุกขึ้นเเล้วเดินต่อไปอย่างช้าๆเหมือนกลับกลัวว่าจะทำผมเจ็บยังไงอย่างงั้น


    บรรยากาศในขณะที่เดินไปเต็มไปด้วยความเงียบผมเองก็คิดจะพูดอะไรทำลายบรรยากาศแบบนี้อยู่หรอกนะ เเต่นี่เป็นครั้งเเรกที่คิดไม่ออกเลยว่าจะพูดอะไรดี


    "ไว้คราวหน้าฉันจะเเข็งแกร่งมากกว่านี้ แข็งแกร่งจนขึ้นเป็นฮีโร่อันดับหนึ่ง แข็งแกร่งมากพอที่จะไม่ให้แกต้องมาช่วย... คนที่จะปกป้องน่ะมีแค่.."


    "ไม่มีวันซะหรอกคนที่จะเป็นฮีโร่อันดับหนึ่งคือผม ไม่ใช่นายสักหน่อย"


    'ประโยคสุดท้ายนั่นเขาจะพูดว่าอะไรนะ'


    "อะไรกันเล่า!! คนอุส่าห์พูดดีด้วยอย่าทำลายบรรยากาศสิฟะ แล้วก็ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจะเป็นฮีโร่อันดับหนึ่งไม่ให้นายได้เป็นหรอก"


    "ก็ที่นายพูดดีด้วยมันแปลกๆนี่ แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ งั้นเอางี้นายกับผมมาเเข่งกันมั้ยล่ะว่าใครจะได้เป็นฮีโร่อันดับหนึ่งก่อนกัน"


    "เอาเซ่ เพราะยังไงฉันก็ไม่มีทางแพ้อีกเป็นครั้งที่สองหรอก"


    "ถือว่าสัญญานะ?"


    "ชิ!!น่ารำคาญจริง เออๆสัญญา!"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×