ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Boku no hero academia | สมุดบันทึกของวิลเลิน [OC/Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #3 : Episodio III : คำสัญญาครั้งที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.41K
      170
      17 ต.ค. 64

    'มันเป็นความผิดของเรา ถ้าเราไม่ได้มีอัตลักษณ์ของเจ้านั่นแม่ก็คงไม่ต้องกลายเป็นแบบนั้น'


    เด็กชายทำได้เพียงนั่งครุ่นคิดในขณะที่รถประจำทางกำลังเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ โดยที่มีจุดหมายคือโรงพยาบาลที่แม่ของเขาพักอยู่


    'ไม่สิ... ทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้านั่น เพราะมันทั้งฉันเเล้วก็แม่ถึงต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้'


    มือทั้งสองกำเข้าหากันแน่นเพราะความโกรธ ในหัวของเขาก็พลางนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น..


    ตั้งแต่ที่เขาจำความได้ในความทรงจำของโชโตะ เขามักจะถูกฝึกให้ต่อสู้มาโดยตลอด ไม่เคยได้วิ่งเล่นเหมือนพวกพี่ๆหรือว่าเด็กคนอื่นๆ


    แต่ก็ใช่ว่าตัวเขาจะไม่เคยได้พบกับความสุข เพราะมีเเม่คอยอยู่ข้างๆโชโตะถึงยังมีที่พึ่งพิง


    แต่แล้วความสุขเพียงหนึ่งเดียวของเด็กคนหนึ่งก็ถูกพลากไป ใบหน้าซีกซ้ายของเขาที่เริ่มเหมือนกับผู้เป็นพ่อทำให้คนเป็นแม่เริ่มหวาดกลัวใบหน้านั้น


    ใบหน้าที่เหมือนกับคนที่ทำร้ายตัวเองมาโดยตลอด ความเครียดสะสมมาจนถึงขีดสุด จนเธอพลั้งมือราดน้ำร้อนใส่ใบหน้าซีกซ้ายของลูกชายตัวเอง


    เอนเดเวอร์ที่เข้ามาในห้องเพราะได้ยินเสียงกรีดร้อง พอได้เห็นผลงานชิ้นโบว์แดงของตัวเองโดนทำร้ายจนมีตำหนิ ด้วยความโกรธผู้ชายคนนั้นก็เริ่มลงมือทำร้ายภรรยาของตัวเอง แม้ว่าโชโตะจะพยายามร้องห้ามไม่ให้เขาทำร้ายเธอ แต่ว่ากว่าที่เสียงของเขาจะส่งไปถึง แม่ของเขาก็ถูกทำร้ายร่างกายจนหมดสติไป


    เธอถูกพาไปส่งโรงพยาบาลในภายหลังเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บทั้งด้านร่างกายและจิตใจ


    ทั้งโชโตะเเล้วก็พวกพี่ๆทั้ง 3 คน นอนเฝ้าแม่หน้าห้องผ่าตัดทั้งคืน แต่พอตื่นมาอีกทีพวกเขาทั้งหมดก็ถูกพากลับมาอยู่ที่บ้าน ทั้งยังถูกคนเป็นพ่อสั่งห้ามไม่ให้ไปเยี่ยมแม่อีกในช่วงนี้โดยไม่มีกำหนดว่าระยะเวลาจะยาวนานถึงตอนไหน ด้วยเหตุผลที่ว่ามันไปรบกวนการทำงานของพวกคนที่โรงพยาบาล


    'แก้ตัวหน้าด้านๆ แกก็แค่อยากหาเหตุผลให้ฉันอยู่ซ้อมกับแกต่อไม่ใช่รึไง'


    นี่เป็นความคิดอย่างแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของเด็กหนุ่ม


    จากความหวาดกลัวแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง หมดสิ้นซึ่งความเคารพและยำเกรงในตัวของผู้เป็นพ่อ โชโตะเกลียดชายที่ชื่อ โทโดโรกิ เอนจิ จนหมดหัวใจ


    แต่ความรู้สึกในหัวตอนนี้มีบางอย่างที่มากกว่าความเกลียดชัง เขาอยากจะไปพบแม่ อยากจะไปเจออีกสักครั้ง อยากลองพูดคุย อยากจะถามอะไรบางอย่างถึงไม่รู้ว่าจะถามอะไร แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้มันมีความรู้สึกที่ค้างคาอยู่ในอกแบบนี้


    แต่ตัวของเขาก็ยังเด็กเกินไป ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เขาจะได้ออกไปข้างนอกคนเดียว ในตอนแรกมันก็เหมือนจะสิ้นหวังแต่ก็ต้องขอบคุณพี่โทยะเพราะได้พี่เขาช่วยเหลือในหลายๆเรื่อง โชโตะถึงไปที่โรงพยาบาลถูก ทั้งเขียนแผนที่ให้ ทั้งไปยืมโทรศัพท์จากเพื่อนมาให้กับเขาเพื่อให้คนติดต่อกันได้ในยามฉุกเฉิน


    จนตอนนี้เขากำลังยืนอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง ประตูที่สลักหมายเลขห้องที่แม่ของเขาพักอยู่มือของเขาเอื้อมขึ้นไปจับที่ลูกบิดประตู ก่อนที่จะหมุนมันโชโตะก็หยุดชะงักลง


    'ถ้าเข้าไปแล้วจะทำอะไรเป็นอย่างเเรกล่ะ? ถ้าแม่เห็นหน้าของเราแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น.. ดีใจหรอ เสียใจ หรือว่าหวาดกลัว ถ้าหากว่าแม่เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกในตอนที่ได้เห็นใบหน้านี้การที่เข้าไปหาเเม่ตอนนี้มันดีแล้วจริงๆหรอ?'


    สุดท้ายโชโตะก็ตัดสินใจวางมือลง และเดินออกมาจากประตูบานนั้น ตัวเขาเดินมาเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ที่ม้านั่งในสวนหย่อม ตัวเขาในตอนนี้อยากคิดทบทวนความคิดของตัวเองให้ดีๆ ก่อนที่จะไปพบเเม่อีกครั้งเขาไม่อยากทำให้แม่ต้องเจ็บปวดจากตัวเขาไปมากกว่านี้ ที่แม่ต้องเจ็บปวดจากเอนเดฟเวอร์มันก็มากพอเเล้ว


    เเล้วก็คงมีเวลาให้คิดอะไรมากว่านี้ ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้คนผิวซีดที่พูดไม่หยุดมาตั้งเเต่เมื่อกี้


    'นี่เราไล่ไปไม่เเรงพอหรอ? มันถึงยังไม่ไปสักทีแถมยังมานั่งข้างๆกันอีก ดูบรรยากาศไม่ออกรึไง ที่สำคัญดันพูดมากสุดๆอีกน่าคำคาญ'


    "นี่ นี่ นี่~ นายจะไม่ยอมคุยกับผมจริงเหรอ? อ๊ะ! จริงสิผมมีไอติมอีกเเท่งด้วยนะกินป่าว? หืม... ไม่สนใจหรองั้นผมกินเองก็ได้"


    งับ


    คนข้างๆชีกซองไอติมขึ้นมากินเป็นแท่งที่สองขนาดว่ามีของกินอยู่ในปากก็ไม่ได้ช่วยให้ความพูดมากของอีกฝ่ายลดลงเลยเเม้เเต่น้อย


    'พูดมากชะมัดกินนกกระจอกเป็นอาหารรึไง เดี๋ยวสิ นี่เราเริ่มเปลี่ยนมาคิดเรื่องหมอนี้แต่เมื่อไหร่กัน.. เอาเป็นว่าเมินไปเรื่อยๆก็พอ คนประเภทนี้ถ้าเบื่อเมื่อไหร่เดี๋ยวคงหนีไปที่อื่น'


    "เฮ้อ..."


    "ถอนหายใจแบบนี้แสดงว่านายเองก็ฟังผมอยู่เหมือนกันใช่ป่ะ รู้มั้ยถ้ากินอะไรสักหน่อยอารมณ์ที่มันเสียอยู่ก็จะดีขึ้นนะ ผมมีขนมมันจูด้วยนะสนใจมะ?


    "....."


    "ไม่ตอบแสดงว่าไม่สนใจอีกแล้วหรอ นี่ นี่~ นายหัวสองสีไม่ยอมรับน้ำใจจากคนอื่นแบบนี้ระวังคนอื่นจะไม่อยากเข้าใกล้นะ"


    'แกนั้นแหละที่ฉันไม่อยากเข้าใกล้!'พร้อมกับมองค้อนไปที่อีกฝ่าย พยายามสื่อเป็นนัยๆว่ารำคาญรีบๆไปให้พ้นๆได้เเล้ว


    "จึ๊ย สายตาหน้ากลัวชะมัดเลยเเฮะ เป็นเด็กเป็นเล็กแท้ๆทำสายตาให้สมกับวัยหน่อยซี่ ทำหน้าแบบนี้เดี๋ยวแก่เร็วไม่รู้ด้วยนะ"


    "......"


    "เฮ้อ.. ช่วยไม่ได้นะ ในเมื่อนายไม่ยอมคุยกับผมถ้าอย่างนั้น นายลองฟังเรื่องของผมหน่อยแล้วกัน ถ้าไม่ตอบผมจะถือว่านายตกลงนะ"


    'สรุปที่มาชวนคุยเพราะแค่อยากได้คนมาฟังเรื่องของตัวเองเนี้ยนะ เอาแต่ใจตัวเองชะมัด'


    "อืม.. เริ่มจากตรงไหนดี คือว่านะพ่อแม่ของผมเป็นฮีโร่ทั้งคู่เลยเพราะงั้นตั้งแต่จำความได้ก็ไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหนเลย แต่ผมก็ไม่ได้โกรธหรอกนะเพราะเข้าใจว่ามันเป็นหน้าที่แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้อยู่ดี.. มาเข้าเรื่องหลักดีกว่าคือเมื่อเร็วๆนี้แม่ของผมเพิ่งเข้าโรงพยาบาลเพราะได้รับบาดเจ็บจากหน้าที่ตอนนั้นมันรู้สึกกลัวมากเลยล่ะ...''


    'เรื่องของหมอนี่คล้ายกับเราเลย'


    "แต่ว่านะ.. แววตาของนายตอนนี้เหมือนกับผมเลยแววตาของคนที่กลัวอะไรบางอย่าง แต่ของนายดูเหมือนหวาดกลัวยิ่งกว่าของผมซะอีก เห็นแล้วมันรู้สึกไม่สบายใจเลย ขอร้องล่ะเล่าเรื่องของนายให้ผมฟังหน่อยได้ไหม?"


     


     


     


    "บ้ารึเปล่านายน่ะ"


    ''....."


    'ยอมพูดแล้ว'


    "ที่ตื้อจะคุยขนาดนี้ เพราะเป็นห่วงคนแปลกหน้าเนี่ยนะ"


    นาโอกิอึ้งกับปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มตอบกลับบทสนทนา


    ''อะ เออ.. ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกเรียกว่าอยากรู้อยากเห็นมากกว่ามั้ง"


    "ฮะ ฮะ.. บ้าจริงๆด้วย"


    'คราวนี้เขายอมหัวเราะด้วยแฮะ ก็ถือว่าความพยายามที่ผ่านมาสำเร็จล่ะนะ'


    "ถ้านายสบายใจจะเรียกอะไรก็เรียกไปเถอะผมไม่ถืออยู่แล้ว"


    "บอกว่าอยากฟังสินะ อย่ามาเบื่อกลางคันซะล่ะ"


    "ไม่หรอกน่า"


    อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองให้คนตรงหน้าฟัง


    "พ่อน่ะ มักจะทำร้ายแม่กับฉันเป็นประจำเลย ที่ผ่านมาแม่ก็คงเก็บความรู้สึกของตัวเองที่เกลียดเจ้านั่นไว้มาโดยตลอด ใบหน้าซีกซ้ายนี้ก็เป็นฝีมือของแม่เพราะใบหน้าของฉันมันเริ่มเหมือนกับเจ้านั่นมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเเม่ก็พลั้งมือทำร้ายฉันแต่มันไม่ใช่ความผิดของเเม่นะ ตอนที่แม่ได้สติเธอทั้งร้องไห้ทั้งขอโทษที่ทำอะไรแบบนี้ลงไป ทุกอย่างมันกำลังจะดีขึ้นแล้วแท้ๆ แต่พอเจ้านั่นโผล่มามันกลับทำร้ายแม่ ทั้งเตะ ทั้งตี ฉันร้องห้ามไปเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมฟัง แม่เองก็กรีดร้องไปขนาดนั้นแท้ๆแต่มันก็ยัง..."


    ก่อนที่จะได้เล่าต่อ นาโอกิกลับคว้าหัวของอีกฝ่ายมากอดเอาไว้เเน่น


    "เห้ย! ทำอะไรเนี้ย"


    "เข้าใจเเล้ว ผมเข้าใจเเล้วนะ ไม่ต้องเล่าส่วนนั้นอีกเเล้วก็ได้ มันไม่ใช่ความผิดของนาย ในเหตุการณ์แบบนั้นนายทำได้ดีที่สุดเเล้ว"


    ถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้ตอบอะไรแต่ตัวของเขาก็เริ่มสั่นน้อยลง


    "นายชื่ออะไรงั้นหรอ?"


    "...โทโดโรกิ โชโตะ"


    "โชโตะไม่ผิดเลยนะ เป็นคนที่เท่มากๆเลย"


    พอเห็นโชโตะตัวสั่นมากขึ้นเรื่อยๆในระหว่างที่กำลังเล่าเรื่อง นาโอกิก็เผลอไปคว้าหัวอีกฝ่ายมากอดโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ มันให้ความรู้สึกว่าไม่ควรปล่อยให้เขาเล่าเรื่องเมื่อครู่ต่ออีกแล้ว


    'ลืมตัวไปเลย แบบนี้จะโดนโกรธไหมเนี่ย'


     


     


     


    บรรยากาศรอบตัวมีแต่ความเงียบ ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ยังได้ยินเสียงสะอื้นออกมาเป็นระยะ ทั้งผมและเขายังคงไม่พูดอะไรแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือมือทั้งสองที่เอื้อมไปกอดที่แผ่นหลังเล็กๆเอาไว้เเน่น


    นอกจากแม่ก็เพิ่งมีคนอื่นเนี่ยเเหละ ที่เขายอมเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังมากถึงขนาดนี้


    "ปล่อย..."


    "หืม?"


    "ปล่อยฉันได้เเล้วล่ะ"


    "อ๊ะ ขอโทษทีนะ ผมไม่ได้ตั้งใจ"


    "ไม่หรอกทางฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณนาย เอ่อนาย..."


    'จะว่าไปคุยกันมาตั้งนานเรายังไม่รู้ชื่อหมอนี่เลยแหะ'


    "เรียกว่านาโอกิก็ได้"


    "ขอบคุณนะนาโอกิ"


    "อย่าเพิ่งขอบคุณกันเลยน่า เรื่องทุกข์ใจของนายน่ะ ยังไม่ได้เล่าออกมาทั้งหมดหรอกใช่ไหม?"


    "อืม... หลังจากนั้นแม่ก็เข้าโรงพยาบาลแต่ว่าตั้งแต่วันที่เเม่เข้าโรงพยาบาลจนถึงวันที่แม่ฟื้นฉันก็ยังไม่ได้เจอแม่เลยสักครั้ง เพราะว่ากลัว กลัวว่าถ้าแม่เห็นได้เห็นใบหน้านี้มันจะเป็นการไปทำร้ายเธอ ทั้งๆที่ฉันไม่อยากให้คิดว่ามันเป็นความผิดของเธอเลยเเท้ๆ นี่.. นาโอกิ ฉันควรทำไงดี?"


    ''เริ่มจากอย่างเเรกนะ ที่นายไม่อยากให้เธอโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองน่ะ มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก"


    "......"


    "อ่า..โทษทีใช้คำรวบรัดไปหน่อย ผมไม่ได้จะตัดความต้องการของนายแล้วบอกว่ามันไม่มีทางทำได้หรอกนะ ที่ผมอยากจะพูดก็คือจากที่ฟังมานายคงรักแม่มากเลยสินะ แม่ของนายเองก็คงไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจอะไรมาก่อนหน้านี้ใช่มั้ย?"


    ชายหนุ่มหัวสองสีพยักหน้าตอบแทนคำพูด


    "นั่นแปลว่าเธอรักนายยังไงล่ะ การที่ทำคนที่ตัวเองรักต้องเจ็บไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ ถ้าเรารักเเล้วก็เเคร์คนคนนั้นมากจริงๆมันก็ต้องรู้สึกผิดเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ถ้างั้นผมขอถามอีกครั้งนะสิ่งที่นายต้องการอยากจะสื่อกับแม่คืออะไร?"


    "อยากให้เเม่ยกโทษให้ตัวเอง"


    "แล้วในใจของนาย สิ่งที่กลัวจริงๆคืออะไร?"


    "กลัว.. กลัวว่าเเม่จะเกลียด.. ฉันไม่อยากให้เธอเกลียดฉันเลย"


    "นี่ฟังนะโชโตะ คนที่ขอโทษลูกตัวเองทั้งน้ำตาไม่มีทางที่จะเกลียดนายหรอก อย่างน้อยๆเชื่อเเบบนั้นเถอะนะ"


    "นั่นสิ... คงต้องไปเผชิญหน้ากันได้แล้ว"


    "จริงสิผมมีอะไรจะแนะนำ มีคนเคยบอกผมไว้ว่าถ้าเรากลัวที่จะเผชิญหน้ากับมันลองถอยออกมาสักนิดเเล้วค่อยเผชิญหน้าต่อ แบบนั้นมันจะต้องไม่เป็นอะไรเเน่"


    "อืม.. ขอบคุณมากนะนาโอกิ"


    "ด้วยความยินดีครับ"


    "นายเป็นที่ปรึกษาที่ดีนะ เหมือนกับว่าเราเป็นเพื่อนกันเลย"


    'พอคนไม่เคยมีเพื่อนเเบบเรามาพูดเเบบนี้ มันก็แปลกๆยังไงอยู่'


    "เอ๊ะ! งั้นหรอ?"


    "พูดแบบนี้มันแปลกจริงๆสินะ"


    "ไม่ใช่นะ! คือผมเเค่ตกใจแล้วก็ดีใจน่ะ ที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครมาพูดกับผมแบบนี้เลย"


    "คนแบบนายเนี่ยนะไม่เคยมีเพื่อน"


    "ก็ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีครั้งไหนเลย ที่มีคนถามผมแบบนี้ส่วนมากผ่านมาเเล้วก็ไป จนผมคิดว่าตัวผมอาจเป็นเเค่คนหนึ่งคนที่ผ่านไปมาในชีวิตของพวกเขามากกว่า มันอาจจะสั้นเกินไปที่พวกเขาจะนับผมเป็นเพื่อนก็ได้ เเหะๆ แปลกดีเนอะ"


    "ฉันเองก็ไม่เคยมีเพื่อนหรอก แต่การได้เจอคนแบบนายมันสำคัญสำหรับฉันมากนะ มากเกินกว่าจะเป็นเเค่คนเเปลกหน้า"


    "งั้นผมกับนายมาเป็นเพื่อนกันมั้ยล่ะ"


    ถึงแม้ว่าคนตรงหน้าจะชีกยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร แต่ตัวของโชโตะก็ยังมีความรู้สึกกังวล


    "ฉันคงจะมาเจอนายอีกไม่ได้หรอกนะ แบบนั้นมันยังเรียกว่าเพื่อนได้อีกงั้นหรอ?"


    "นั่นไม่ใช่ปัญหาซะหน่อยนายเป็นคนแรกเลยที่พูดว่าอยากมีผมเพื่อนออกมาตรงๆ นายเองก็เป็นความทรงจำสำคัญสำหรับผมเหมือนกัน ถึงจะไม่เคยมีเพื่อนมาก่อนแต่ผมว่าแบบนี้เเหละที่เค้าเรียกว่าเพื่อน สักวันถ้าเราได้เจอกันอีกในที่ไหนสักแห่งจะได้พูดเต็มปากไง ว่าผมกับนายเราเป็นเพื่อนกัน"


    คำพูดพวกนี้ทำให้ความลังเลก่อนหน้านี้หายไปจนหมดสิ้น ยิ่งได้รู้จักกับนาโอกิมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่าคนตรงหน้า'เป็นคนที่สว่างไสวมากแค่ไหน'


    โชโตะเเอบยิ้มเล็กๆออกไป ก่อนจะยื่นมือไปหาอีกฝ่าย


    "ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ นาโอกิ"


    "ทางนี้ก็ฝากตัวเช่นกันนะครับ"


    "ต่อจากนี้จะไปหาเเม่สินะ ให้ผมตามนายไปด้วยได้มั้ย?"


    "เอาสิ ถ้ามีนายอยู่ด้วยก็รู้สึกอุ่นใจขึ้น"


    โครกกก


    พอพูดจบประโยคเสียงท้องของโชโตะก็ดังขึ้นมา ที่มันร้องขึ้นมาไม่น่าแปลกใจเลยสักนิดก็ตัวเขาไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้านี่นา


    "นี่ไงๆ พออารมณ์ดีขึ้นก็รู้สึกหิวขึ้นมาเลยสินะ เอ้าโดรายากิไส้เผือกสนใจมั้ย?"


    "อืมขอบใจ"


    อีกฝ่ายรับขนมในมือขึ้นมากินก่อนจะเริ่มเดินต่อ


    "อะไรกันแกล้งไม่สนุกเหมือนตอนนายอารมณ์เสียเลยแหะ"


    ในระหว่างที่เราเดินกันไปเรื่อยๆ ก่อนที่มันจะเงียบจนเกินไปโชโตะกลับเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาขึ้นมา


    "นี่นาโอกิ ในอนาคตนายอยากเป็นอะไรงั้นหรอ?"


    "ผมอยากเป็นฮีโร่"


    "อย่างนายคงเป็นได้เเน่.. ฉันเองก็อยากเป็นฮีโร่เหมือนกัน"


    คนด้านข้างที่เดินด้วยกันทำสีหน้าตื่นเต้นจนออกนอกหน้าจนผมต้องกั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ให้ตัวเองหลุดขำออกไป


    "พูดจริงนะ?"


    "จริงสิ"


    "คนที่คอยนึกถึงคนอื่นแบบนายต้องเป็นได้แน่นอน เรามาสัญญากันมั้ย?"


    "สัญญา? เรื่องอะไรล่ะ?"


    "ในสักวันเราสองคนจะเป็นฮีโร่ที่คอยช่วยเหลือผู้คนทำงานเสี่ยงอันตรายไปด้วยกัน ในตอนนั้นเราจะคอยปกป้องแผ่นหลังของอีกฝ่าย เป็นคู่หูฮีโร่ที่เจ๋งที่สุดตกลงมั้ย?"


    พอจบประโยคนาโอกิก็ยื่นกำปั้นมาทางโชโตะ


    'ขอแหย่คืนบ้างแล้วกัน'


    "ประโยคแรกๆนั่นดัดแปลงจากคำพูดของออไมท์มาใช่มั้ยน่ะ ที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า ผมไม่กลัวพี่จะหันหลังให้กับพวกวิลเลินเพราะยังมีคู่หูที่คอยปกป้องแผ่นหลังนั้นให้อยู่เสมอ"


    "กะ ก็ใช่นั้นแหละผมเองก็อยากพูดอะไรเท่ๆเหมือนที่พวกโปรฮีโร่เขาพูดกันนี่น่า แล้วสรุปเอาไง"


    "สัญญา"


    โชโตะยิ้มกว้างให้เห็นชัดๆเป็นครั้งแรกหลังจากที่ไม่ได้ยิ้มมานาน ก่อนจะยื่นกำปั้นไปชนอีกฝ่าย


    "นายน่ะ พอยิ้มแล้วยิ่งดูหล่อนะเนี่ย"


    นาโอกิยังคงยิ้มออกมาเหมือนกับทุกๆครั้ง แต่คงเป็นเพราะคำพูดที่ฝ่ายพูดออกมามันทำให้เขาใจเต้นเเรงกว่าปกติ


    "หน้าดูแดงๆนะเป็นอะไรเปล่า เเต่เรื่องที่พูดไปผมพูดจริงนะ"


    "เข้าเเล้ว พอเถอะ..."


    "โอเค~ ผมพอเเล้วก็ได้"


    'อา.. ไม่น่ารีบตัดสินใจเป็นเพื่อนกันเลย'


    ในตอนนั้นโชโตะได้แต่มานั่งเสียใจภายหลัง


     


     


     


    พวกเราสองคนเดินพูดคุยกันมาตลอดทาง ไม่นานนักเราก็มาถึงที่หมาย ผมตัดสินใจหยุดอยู่ที่หน้าห้องของคนไข้ห้องถัดมา เพราะอยากให้โชโตะมีเวลาทำใจแล้วก็รวบรวมความคิดของตัวเอง ไม่นานนักเขาก็ตัดสินใจก้าวเดินออกไปช้าๆแล้วหยุดอยู่ที่หน้าห้องที่เเม่ของตัวเองพักอยู่


    'หมอนั่น จะทำยังไงกันนะชักเป็นห่วงขึ้นมานิดหน่อยเเล้วสิ เพราะยังไงมันก็เป็นการเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตัวเองหวาดกลัว โดยเฉพาะเธอเป็นคนที่สำคัญสำหรับตัวเองด้วย ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นดีเพราะผมเองก็เคยเผชิญหน้ากับความรู้สึกแบบนั้นมาเเล้วเหมือนกัน'


    ก๊อก ก๊อก


    "แม่ครับตื่นอยู่รึเปล่าผมโชโตะเองนะ ขอคุยกับเเม่หน่อยได้มั้ย?"


    "นั่นโชโตะหรอ? ได้สิ เข้ามาเลย"


    เสียงแม่ของโชโตะเป็นเสียงที่อ่อนโยนจังนะ เหมือนกับของเเม่เลย หรือว่าเสียงของคนเป็นแม่ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้กันนะ ถึงดูแข็งไปหน่อยแต่กับอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ


    "ไม่หรอกครับตรงนี้เเหละดีเเล้ว"


    'เจ้านั่นถอยออกมาจริงๆด้วยแหะ คงจะไม่ต้องห่วงเเล้วมั้ง'


    ภาพตรงหน้า คือโชโตะยืนอยู่ที่ประตูอยู่หน้าห้องเเล้วพูดด้วยเสียงที่ดังพอจะให้คนในห้องได้ยิน


    'หมอนั่นเลือกที่จะไม่เผชิญหน้ากับแม่ตรงๆในตอนนี้ คงอยากจะพูดความรู้สึกของตัวเองให้หมดก่อนที่จะเผชิญหน้ากัน ยังคงเป็นเด็กดีที่ห่วงความรู้สึกของเเม่เหมือนเดิมเลยนะ'


    "ทำไมล่ะหรือว่าลูกไม่อยากเห็นหน้าแม่แล้วหรอ นั้นสินะ คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนี่เนอะที่ลูกจะเกลียดเเม่ ก็เเม่เป็นคนผิดเองที่ทำให้หน้าของโชโตะต้องเป็นอย่างนั้น แม่ขอโทษนะโชโตะ แม่ขอโทษ..."


    เสียงที่เกือบจะร้องให้ ที่กำลังพรรณนาคำขอโทษ ถูกหยุดลงด้วยเสียงของลูกชาย


    "ผมไม่ได้โกรธหรือเกลียดแม่เลยนะ! ผมแค่ไม่อยากให้แม่ต้องโทษตัวเองไปมากกว่านี้ ผมยกโทษให้นะเรื่องที่แม่ทำลงไป เพราะงั้นแม่ก็ยกโทษให้ตัวเองด้วยนะ ผมจะรอ รอวันที่แม่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เพราะงั้น..."


    ความเงียบครอบคลุมบริเวณนั้นไปชั่วขณะ ก่อนจะมีเสียงของแม่ดังขึ้นมา


    "เข้าใจเเล้วล่ะ ขอบคุณมากนะโชโตะที่ยกโทษให้กับการกระทำของแม่ เเต่ว่านะโชโตะเเม่อยากเห็นถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไป เพราะงั้นเข้ามาให้แม่เห็นหน้าหน่อยนะ"


    สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความลังเล แต่ก็เอื้อมมือไปอย่างช้าๆ บานประตูตรงหน้าค่อยๆถูกเลื่อนเปิดออก


    แต่ในขณะที่ประตูกำลังจะถูกเปิดเต็มบาน มันกลับถูกหยุดโดยชายร่างใหญ่ ที่บนผมกำลังมีไฟลุกไหม้ ชายคนนั้นคว้าไปที่มือเล็กๆข้างนั้นเต็มเเรง โดยไม่สนว่าคนที่ถูกจับจะรู้สึกเจ็บ


    "อึก พ่อ!?"


    "โชโตะ ใครอนุญาติให้มาที่นี่กลับกันได้เเล้ว!"


    "ไม่เอาเดี๋ยวก่อนผมขอเวลาอีกแป๊บนึง ปล่อยผมสิ!!"


    "แกกับฉันต้องกลับกันเดี๋ยวนี้!!"


    โชโตะกำลังถูกชายร่างใหญ่ที่น่าจะเป็นพ่อลากออกห่างจากประตูไปเรื่อยๆ เสียงความวุ่นวายหน้าประตูทำให้คนเป็นแม่พยายามร้องห้าม


    'ถ้าจำไม่ผิดคนๆนั้นน่าจะเป็นฮีโร่หนิ ชื่อว่าอะไรนะ เอนเดฟเวอร์? ช่างมันเถอะตอนนี้เรื่องของโชโตะสำคัญกว่า'


    "เดี๋ยวสิลุงน่ะ ทำไมทำรุนเเรงกับเพื่อนผมเเบบนั้นล่ะ แบบนี้มันเรียกว่าทำร้ายร่างกายไม่ใช่หรอ"


    ดูเหมือนว่ามันจะได้ผล ชายที่หัวไฟลุกตรงหน้าหันกลับมามองคนที่คาดว่าน่าจะเป็นต้นเสียงของคนเรียกตัวเองเอาไว้


    'เด็กงั้นหรอ? น่ารำคาญชะมัด'


    "เด็กเเบบเธอมายุ่งอะไรด้วย นี่มันเป็นเรื่องของคนในครอบครัว"


    "ผมมีสิทธิที่จะยุ่ง ถ้าเห็นใครใช้ความรุนแรงกับคนในครอบครัวก็ต้องห้ามไม่ใช่หรอครับ?"


    ผมพยายามพูดด้วยเสียงดัง ให้มันดังมากพอที่จะทำให้คนบริเวณรอบๆเริ่มหันมามอง แล้วมันก็ได้ผลคนรอบข้างเริ่มหันมาสนใจ ทำให้ฮีโร่ตรงหน้าตกอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบ ถ้าหากเอนเดฟเวอร์เลือกที่จะเถียงกับเราต่อหรือทำเป็นเมิน เเต่เรายังตะโกนเสียงดังต่อไปตัวเขาคงต้องลำบากเเน่เพราะเขาเองเป็นถึงฮีโร่อันดับ 2 แล้วถ้าไอ้เรื่องใช้ความรุนแรงในครอบครัวไหลไปถึงหูของพวกนักข่าวคงจะสนุกไม่ออกแน่


    "ทางเลือกมันเหลือเเค่ทางเดียวเเล้วล่ะมั้งคุณลุง"


    "ชิ น่ารำคาญจริงทำอะไรก็รีบๆทำ"


    'ไอ้เด็กนี่กวนประสาทเก่งจริง!'


    คราวนี้โชโตะไม่รอช้าเพราะกลัวจะไม่ได้ทำในสิ่งที่แม่ขอเอาไว้ เขารีบกระชากผ้าพันแผลออกเผยให้เห็นใบหน้าที่เป็นรอยแดงจากแผลน้ำร้อนลวก ก่อนจะเลื่อนบานประตูออกจนสุดในครั้งเดียว


    แม่ของโชโตะที่ได้เห็นภาพตรงหน้าไม่สามารถเค้นคำพูดอะไรออกมาได้ มีแต่ความเงียบปกคลุมไปทั่ว แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็มีแต่เสียงร้องไห้ของผู้เป็นแม่ดังออกมาราวกับจะขาดใจ


    ตัวของโชโตะที่ได้เห็นแม่ในสภาพนั้น ก็ทำตัวไม่ถูกจนตัวเขาเกือบจะร้องไห้ออกมา ถ้าไม่มีเสียงของคนเป็นพ่อขัดขึ้นมาเขาก็คงร้องไห้ไปแล้ว


    "พอใจรึยังไปกันได้แล้ว"


    คราวนี้คนที่ถูกถามไม่ได้ขัดขืนอะไร ทำเเค่เพียงพยักหน้าแล้วก้มหน้าลงไป เดินตามคนตรงหน้าอย่างเงียบๆ


    ตัวผมพยายามที่จะส่งเสียงเรียกอีกฝ่าย แต่ก็ต้องชะงักลงเมื่อตัวโชโตะเป็นฝ่ายหันหน้ากลับมาก่อน ใบหน้าที่แสนเศร้าเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูด


    'นี่.. การที่นายแสดงสีหน้าเเบบนั้นออกมา คำพูดของฉันมันจะช่วยเยียวยาตัวนายต่อจากนี้ได้บ้างหรือเปล่า ขอให้มันช่วยอะไรได้บ้างเถอะนะ พวกเราสองคนยังไม่ได้ลากันด้วยซ้ำ แต่ว่ามันคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้งก็เราสัญญากันไว้เเล้วหนิ


    "แล้วเจอกันนะ คุณคู่หู"


    หลังจากนั้นตัวเขาเองตัดสินใจหันหลังแล้วเดินกลับไปยังจุดหมายเดิม


    'แม่จะรอนานเกินไปรึเปล่านะ'


     


     


     


    "นาโอกิ~ ทำไมไปนานจังเเล้วแบบนี้ไอติมที่เเม่ฝากซื้อมันจะไม่ละลายไปแล้วหรอกหรอ"


    "เอ่อ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกแม่ มันไม่ละลายหรอก"


    "แล้วมันอยู่ไหนล่ะ?"


    "ผมกินไปหมดแล้ว"


    "ไอ้เจ้าลูกคนนี้หนิ!! แม่รอตั้งนานนะรู้มััย เเม่เอง แม่เองก็อยากกินไอติมรสเมล่อนเหมือนกันนะ กินไปหมดได้ไงฮะ!?"คนเป็นแม่คว้าหัวลูกชายที่อยู่ใกล้ๆเข้ามาขยี้อย่างเหลืออด


    "โอ๊ยยยย ผมเจ็บนะเเม่เดี๋ยวหัวผมได้ระเบิดกันพอดี"


    "พูดเวอร์เกินไปแล้ว แม่ป่วยอยู่นะจะไปทำลูกแรงได้ยังไง"


    "นั้นไม่ใช่เเรงคนป่วยเลยนะฮะ"


    หลังจากนั้นก็มีแต่เสียงหัวเราะของทั้งสองคนดังขึ้นมาจนมันออกไปนอกห้อง ทำให้คนที่มาใหม่อดแซวไม่ได้


    "แหม... แม่กับลูกสนุกกันน่าดูเลยนะ พ่อน้อยใจนะเนี่ย"


    "พ่อนั่นแหละ มาช้ากว่าใครเลยไหนบอกว่าทำธุระแป๊บเดียวแต่ไหงไปตั้งแต่เช้าแต่ดันกลับมาอีกทีบ่ายโมงอีกแล้วนะ ไปแอบทำอะไรมารึเปล่าเนี้ย"


    "จับผิดกันเกินไปแล้ว ก็พ่อต้องไปหลายที่นี่น่าเเม่ก็อย่ากันบ่นเลยน่า"


    "บ่นมากเดียวแก่ไวนะฮะ"


    "นาโอกิ ใครเป็นคนสอนลูกพูดคำนั้น?"


    "พ่อเป็นคนสอ-"


    "เอาเป็นว่าทั้งสองคนฟังที่พ่อพูดก่อนดีกว่านะ"


    ฮิโรชิรีบเปิดบทสนทนาใหม่ขึ้นทันทีเพราะขืนปล่อยเอาไว้ความซวยมันจะเข้าตัวเต็มๆ


    "พ่อเพิ่งไปคุยกับคุณหมอมา เขาบอกว่าสามารถพาแม่กลับไปกายภาพบําบัดที่บ้านได้แล้วนะ"


    "งั้นเราจะได้กลับบ้านแล้วหรอครับ?"


    ถึงนาโอกิจะชอบโรงพยาบาลเพราะมีคนให้เล่นด้วย แต่ว่าเขาก็อยากกลับไปอยู่บ้านกับครอบครัวเหมือนกันเพราะอยู่ที่นี่ก็ลำบากในหลายๆเรื่อง นาโอกิลองหันกลับไปมองหน้าของแม่ก็เหมือนจะมีสีหน้าเดียวกัน ถึงแม่จะไม่พูดอะไรแต่สีหน้าก็แสดงออกชัดเจนว่าดีใจอยู่ลึกๆ ที่ไม่ได้แสดงออกอะไรคงเพราะกลัวเสียฟอร์มต่อหน้าลูกชายล่ะมั้ง


    "ใช่ แล้วก็มีอีกเรื่องคือพ่อได้ทำเลดีๆแถบชานเมืองมาเเล้วนะ ทางนั้นเองก็เสนอราคาไม่ค่อยแพงมาให้ด้วย"


    "หมายความว่าไง?"


    "เราจะย้ายบ้านกัน"


    "ห๊ะ!?"


    "เห๋... เอาจริงดิ!?"


    "ตกใจช้าไปแล้วฮะ"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×