คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Episodio II : โรงพยาบาล
ทันทีที่พวกเรามาถึงหมอก็เริ่มผ่าตัดชิโอริไปได้สักพักแล้ว ต่อจากนี้ก็คงทำได้แค่รอเท่านั้น
"อะไรกัน... มาช้าไปหรอ"
เด็กหนุ่มข้างกายพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อยจนคนเป็นพ่อเกิดความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นภายในใจ
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิที่แม่ได้ผ่าตัดเร็วมันก็ดีแล้วไม่ใช่หรอ แม่เขาจะได้ปลอดภัยเร็วๆไง”
"มันก็จริง.. แต่ผมแค่กลัว กลัวว่ามันอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมอาจจะได้เห็น..."
ก่อนที่นาโอกิจะพูดจนจบประโยค ฮิโรชิก็เอามือมาลูบหัวลูกชายอย่างอ่อนโยนไม่ให้เจ้าตัวกังวลใจไปมากกว่านี้ มือที่หยาบเเละหนาจากการทำงานหนักเลื่อนมือมาจับบ่าทั้งสองข้างอย่างช้าๆและย่อตัวให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกัน
"อย่าคิดอะไรน่าเศร้าแบบนั้นสิ.. นาโอกิเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรอว่าเชื่อในความเข้มแข็งของแม่น่ะ ถ้าลูกพูดแบบนั้นมันก็เหมือนกับว่าเราไม่เชื่อใจแม่นะ พ่อเข้าใจว่าตอนนี้นาโอกิเป็นห่วง แต่อย่าคิดอะไรในแง่ร้ายแบบนั้นเลย"
"..…"
"ตอนนี้สิ่งที่เราทำได้ก็มีแค่รอ แล้วก็เชื่อใจในความสามารถของหมอเท่านั้น มานั่งรอด้วยกันนะ?"
"ครับ.."
'ถึงนาโอกิจะดูเสียใจที่ไม่ได้เห็นชิโอริก่อนผ่าตัดก็เถอะ แต่ก็ดีแล้วล่ะ..ถ้าเด็กอายุแค่นี้ต้องมาเห็นแม่ของตัวเองในสภาพแบบนั้นมันคงกลายเป็นภาพฝังใจแน่'
ในขณะที่ขณะที่คิดแบบนั้นตัวเขาก็พลันกุมมือเล็กๆของลูกชายแน่นมากขึ้น
'ขนาดอยู่ในสถานการณ์แบบนี้นาโอกิก็ยังไม่ยอมร้องไห้ออกมาเลยสักนิด ทั้งที่เป็นอย่างงั้น..ตัวเรากลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแบบนี้มันเรียกว่าฝืนหรือเข้มแข็ง เพราะงั้นเเหละชิโอริห้ามเป็นอะไรเด็ดๆขาดนะ ไอ้เรื่องแค่นี้ฉันยังไม่รู้เลยเพราะงั้น ฉันทำหน้าที่พ่อคนเดียวไม่ได้หรอก..'
ผมกับพ่อได้เเต่นั่งรออยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องผ่าตัด
ตั้งแต่ที่มาถึงจนถึงตอนนี้มันก็ผ่านมา 3 ชั่วโมงแล้ว แต่ไฟหน้าห้องผ่าตัดก็ยังไม่ดับลง คนข้างในห้องนั้นยังคงไม่มีท่าทีที่จะออกมา
'ในอกมันรู้สึกจุกไปหมดอยากร้องไห้สุดๆเลยด้วย แต่อีกใจนึงมันก็รู้สึกว่าถ้าเผลอร้องไห้ออกไปพ่อต้องรู้สึกผิดมากกว่านี้แน่ ทำไมถึงคิดแบบนี้เราเองก็ยังรู้สึกงงเหมือนกัน ทั้งๆที่มือของพ่อก็ไม่ได้สั่นอะไร แล้วก็มีท่าทีที่สงบนิ่งเหมือนเคยแต่กลับรู้สึกได้ว่าสายตาของพ่อมันสั่นอยู่ตลอดเวลา เพราะแบบนั้นเราเลยรู้สึกว่าไม่ควรร้องไห้ตอนนี้งั้นหรอ?'
เด็กหนุ่มย้ำถามกับตัวเองทั้งๆที่เขาก็ไม่ใช่คนที่ร้องไห้บ่อยอะไร
พรึ่บ
"พ่อ! มันดับเเล้วอ่ะ ดับจริงๆใช่มั้ยฮะ"
นาโอกิรีบกระชากเเขนคนที่ก้มหน้าอยู่ให้หันมามองที่ประตู เพื่อเช็คว่าตัวเองไม่ได้มองอะไรผิดไป
"อะ อืม!"
ในตอนที่กำลังตื่นตระหนก ทันใดนั้นหมอเเล้วก็พยาบาลอีกหนึ่งคนที่อยู่ในห้องผ่าตัดเดินออกมา ชายหนุ่มทั้งสองคนกุรีกุจอนรีบลุกขึ้นยืนและตรงปรี่เข้าไปหาผู้ที่เป็นหมอ น้ำเสียงที่ถามออกไปเต็มไปด้วยความลุกลี้ลุกลน
"ชิโอริเป็นยังไงบ้างหมอ?"
ถึงเสียงของเพื่อนเก่าที่ถามขึ้นมันจะดึงความสนใจไปเกือบทั้งหมด แต่สิ่งที่คนเป็นหมอสังเกตุเห็นในทันทีที่ออกมาคือสายตาคู่เล็กคู่นั้นที่ฉายเเววความเศร้าสร้อยเเละเป็นห่วงออกมาอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงคลี่ยิ้มออกมาเพื่อให้เด็กน้อยแล้วก็เพื่อนของเขาที่ยืนอยู่ข้างๆรู้สึกสบายใจขึ้น แล้วดูเหมือนว่ามันจะได้ผลด้วย
"คุณชิโอริ พ้นขีดอันตรายเเล้วครับแถมสภาพตอนนี้ก็ถือว่าดีขึ้นเรื่อยๆ"ถึงประโยคนั้นจะทำให้คนฟังรู้สึกโล่งอก แต่หลังจากที่พูดจบประโยคเเรกหมอเองก็เปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงที่ดูจริงจังมากขึ้น
"เเต่ว่ามันก็ยังเหลือผลกระทบอยู่เหมือนกัน บริเวณกระดูกสันหลังได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ทำให้ขาทั้งสองข้างของเธอเป็นอัมพฤกษ์ ถึงตอนนี้จะยังไม่สามารถเดินได้ แต่ไม่ต้องห่วงไป ถ้าได้รับยาเเล้วก็การกายภาพบำบัดอย่างดี ภายในไม่กี่เดือนก็สามารถกลับมาเดินได้อย่างปกติแล้วล่ะครับ"
"ขอบคุณมากนะอากิโอะ"
"ภรรยาของเพื่อนทั้งคนผมต้องช่วยให้ได้อยู่แล้ว"
"เอ่อคือว่า.. ผมเข้าไปข้างในได้รึยังครับ"
'ก็รู้หรอกว่าเข้าไปขัดตอนผู้ใหญ่คุยกันมันเสียมารยาท ไว้จะขอโทษทีหลังนะฮะ'
"ตอนนี้พวกพยาบาลกำลังเก็บพวกเครื่องมือผ่าตัดอยู่น่ะ สักพักก็คงเข็นเตียงที่คุณแม่เธอนอนอยู่ออกมาเพื่อพาไปพักที่อีกห้อง รอพวกเขาออกมาก่อนแล้วเธอค่อยตามพวกเขาไปนะ"
"ครับ!"
"แล้วพวกค่าใช้จ่ายนี่เท่าไหร่หรอ?"
"เชิญทางนี้ครับ"คนเป็นหมอผายมือเชิญให้ฮีโร่ตรงหน้าเดินตามตนเองมา เพื่อรับรายละเอียดต่างๆทั้งค่ายา ค่าที่พัก แล้วก็รายระเอียดยิบย่อยที่เหลือ
"นาโอกิไปด้วยกันไหม?"
"ไม่ล่ะ..ผมรอพวกพี่พยาบาลออกมาดีกว่า!"
"เดี๋ยวพ่อจะรีบกลับมานะ"
ก่อนที่พ่อจะเดินตามหมอไป หมอก็ฝากผมไว้กับพี่พยาบาลอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆให้ช่วยดูแลผมในช่วงที่พวกเขาไม่อยู่ หลังจากนั้นสักพักพวกพยาบาลก็เข็นเตียงที่มีแม่นอนอยู่ออกมา ส่วนผมก็เดินตามพวกเขาไปเรื่อยๆจะมาถึงห้องพักห้องหนึ่งพอพวกพยาบาลจัดทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ผมจึงเข้าไปนั่งเฝ้าแม่ข้างในเเล้วเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ
จนมาถึงช่วงเวลาหัวค่ำของวันนั้น จู่ๆก็มีโทรศัพท์ โทรเข้ามาหาพ่อแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องสำคัญซะด้วย
"มีเรื่องอะไรหรอครับ? ทำหน้าเครียดเชียว"
"คือว่า.. พ่อได้รับรายงานจากสำนักงานน่ะ ว่ามีวินเลินบุกปล้นร้านสะดวกซื้อแถวๆนี้ แถมตอนนี้ยังมีแค่พ่อคนเดียวด้วยที่อยู่ใกล้ที่สุด.."
"งั้นก็ไปสิฮะ แค่เฝ้าแม่คนเดียวผมทำได้สบายๆอยู่แล้ว"
"พ่อขอโทษนะ เดี๋ยวพ่อจะรีบกลับมา"
"ขอโทษอีกแล้วน้า.."นาโอกิลากน้ำเสียงยียวนเป็นพิเศษเพื่อดึงบรรยากาศไม่ให้อึมครึม
"พ่อไม่ไม่ได้ผิดสักหน่อย! การปราบเหล่าวิลเลินมันเป็นหน้าที่ของฮีโร่นี่ฮะ อีกอย่างผมโตแล้วนะพ่อเป็นห่วงเกินไปแล้ว ผมไม่ได้กลัวผีเหมือนสมัยก่อนสักหน่อย"
'เด็กคนนี้เข้มแข็งมากจริงๆด้วย ส่วนเรานี่มัน..'
จนฮิโรชิหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยให้กับความน่าสมเพชของตัวเอง
"หึ หึ งั้นหรอ.. งั้นฝากเราดูเเลแม่แล้วก็ดูเเลตัวเองดีๆนะ เห็นเขาว่ากันว่าผีที่โรงพยาบาลเนี่ยมันเฮี้ยนยิ่งกว่าผีที่อื่นหลายเท่าเลยน้า~"
"พ่อ! จะไปอยู่แล้วจะมาพูดให้กลัวทำไมเนี้ย!"
“อ้าว?ไหนบอกว่าไม่กลัว?”
"ผะ ผมพูดว่าตกใจต่างห่าง! รีบไปได้เเล้ว!"
"คร้าบๆ"
'จะปล่อยให้นาโอกิอยู่คนเดียวแบบนี้อีกเเล้ว ควรทำตัวให้สมกับเป็นพ่อสักที'
ฮิโรชิปิดประตูเเล้วรีบเดินออกไป ในตอนที่เขาหันหลังให้ลูกชายตัวน้อย ตัวเขาเองก็ได้ตัดสินใจบางอย่างเเล้วเหมือนกัน
'ต้องหยุดได้เเล้ว เพื่อตัวนาโอกิ แล้วก็เพื่อชิโอริด้วย'
หลังจากที่เขา จับวินเลินได้ฮิโรชิก็รีบตรงมาที่โรงพยาบาลแต่ภาพที่เห็นคือลูกชายที่อยู่เฝ้าแม่แม่จนเผลอหลับคาเตียงผู้ป่วยไป
"ขอโทษที่พ่อกลับมาช้านะนาโอกิ"
ตัวเขาคิดที่จะเอื้อมมือไปลูบหัวคนตรงหน้า แต่ก็ต้องหยุดชะงักความคิดนั้นไป เพราะดันนึกขึ้นได้ว่าเด็กคนนี้ตื่นง่ายมากเเค่ไหนและเขาก็ไม่อยากทำให้นาโอกิตื่น
'วันนี้เด็กคนนี้เหนื่อยมามากเกินพอแล้ว'
ผ้าห่มผืนหนาถูกนำมาคลุมตัวนาโอกิที่กำลังนอนหลับสนิท ส่วนคนที่นำมันมาคลุมก็นั่งสัปหงกอยู่บนโซฟาและแล้ววันอันแสนวุ่นวายวันแรกก็จบลง
ในเช้าวันต่อมา พ่อบอกว่ามีธุระด่วนทำให้ต้องรีบไปตั้งแต่เช้า วันนี้ผมก็เลยรับหน้าที่เฝ้าแม่เหมือนกับเมื่อวานจนเวลาล่วงเลยไปจนถึงในช่วงบ่ายของวัน ตั้งแต่ที่แม่ออกมาจากห้องผ่าตัดนี่มันก็ผ่านมาเป็นวันที่สองแล้ว เเต่เเม่ก็ยังไม่ฟื้น
'เเต่ผมเชื่อนะว่าเเม่จะฟื้น เหมือนที่พ่อบอกเสมอว่าให้เชื่อในตัวแม่ ลุงอากิโอะเองก็ยืนยันเเล้วด้วยว่าอาการของเเม่กำลังดีขึ้นเรื่อยๆ'
หลังจากสะบัดความคิดในแง่ลบที่อยู่ในหัวออกไป ตัวผมเลยตัดสินใจออกมาเดินเล่นที่โถงทางเดินของโรงพยาบาล หลังจากที่นั่งแช่อยู่ในห้องผู้ป่วยมาเกือบค่อนวัน พวกหมอกับพยาบาลจะได้ทำงานสะดวกขึ้นด้วย แต่ดันเจอคนที่คาดไม่ถึงซะได้
"อ้าวพ่อทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แล้วงานล่ะ?"นาโอกิจ้องมองไปที่ผู้เป็นพ่อ ที่ขณะนี้มือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยถุงขนมมากมาย
"เรื่องนั้นเราค่อยๆคุยกันดีกว่า ส่วนตอนนี้เราไปนั่งกินขนมพวกนี้กันก่อนดีม่ะ? มีมันจูไส้เผือกด้วยนะ"
"เอาฮะ!"
พวกเราเดินมาเรื่อยๆจนถึงสวนหย่อมของโรงพยาบาล หลังจากนั้นจึงหาที่นั่งเหมาะๆสักที่ ก่อนจะนั่งลงเพื่อกินขนมมากมายที่พ่อซื้อมา พอกินไปได้สักพักผมจึงเริ่มถามประเด็นเดิมที่ถามค้างไว้อีกครั้ง
งับ
"ตกลงพ่อมาอยู่นี่ได้ไงอ่ะ โดดงานหรอ?"
"ไม่ใช่ซะหน่อย นี่เห็นพ่อเป็นคนยังไงเนี่ย แล้วอีกอย่างพ่อก็ยังไม่ได้บอกเลยนะว่าไปทำงาน พ่อแค่บอกว่าวันนี้มีธุระก็แค่นั้นเอง"
"อ๊ะ! จริงด้วยสรุปพ่อจะบอกธุระที่พ่อไปทำได้ยังอะ"
"พ่อไปยื่นเรื่องแทนเเม่ที่จะต้องพักงานยาวในช่วงนี้น่ะ
"งั้นหรอ.. แต่สำนักงานของแม่ก็น่าจะอยู่ใกล้ๆนี้เองไม่ใช่หรอทำไมไปนานจังล่ะฮะ?"
"มีอีกเรื่องด้วย คือพ่อไปคุยกับทางสำนักงานฮีโร่ที่พ่อสังกัดอยู่ว่าจะขอพักงานยาวสัก 6 เดือนน่ะ"
"เอ๊ะ!? โครตนาน! แล้วแบบนั้นพ่อไม่โดนไล่ออกหรอ?"
"ไม่หรอกฮีโร่น่ะเป็นอาชีพที่เสี่ยงอันตรายอยู่แล้ว การเกิดสถานะการณ์ฉุกเฉิน สำหรับฮีโร่แต่ละคนก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะงั้นเลยมีฮีโร่หลายคนที่ขอลาหยุดยาวเพราะปัญหาครอบครัวหรือไม่ก็ปัญหาด้านสุขภาพเยอะเลย แล้วถ้าสภาพพร้อมเมื่อไหร่ก็กลับไปทำงานได้เสมอเพราะว่ายังมีใบประกอบวิชาชีพฮีโร่อยู่ล่ะนะ"
"แบบนั้นสุดยอดไปเลยนะ บริษัทของพ่อเนี่ยมีจิตใจกว้างขวางดีจังน้า"
"แต่ก็ไม่ใช่ว่าฮีโร่ทุกคนจะทำได้หรอกนะเพราะฮีโร่ก็เป็นอาชีพประเภทหนึ่งเหมือนกัน รายได้จะขึ้นอยู่กับความสามารถแล้วก็ความนิยมของเเต่ละคนเพราะงั้นถ้าไม่ดังพอตำแหน่งของเราก็จะถูกแทนที่ด้วยฮีโร่หน้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ทางสำนักงานเขาเลยตั้งโควต้าพิเศษเพื่อเหลือพื้นที่สำหรับคนที่มีความสามารถดีเด่นและเป็นที่สนใจเอาไว้เผื่อมีกรณีฉุกเฉินที่ต้องลางานระยะยาวจะได้กลับมาทำงานที่สำนักงานได้เสมอยังไงล่ะ แต่ว่าเรื่องยุ่งยากแบบนี้นาโอกิคงจะยังไม่เข้าใจหรอกเนอะ?"
"เข้าใจสิ การที่ได้โควต้ามาแบบนี้แสดงว่าพ่อของผมนะสุดยอดเลยใช่ไหมล่ะ"
'ไม่เข้าใจสักนิด'
"เจ้าเด็กคนนี้ เดี๋ยวนี้ปากหวานขึ้นเยอะเลยนะ"ฮิโรชิเอื้อมมือไปขยี้หัวลูกชายด้วยความหมั่นไส้
"ฮะ ฮะ พ่อผมจักจี้นะ"
"เพราะงั้นวันนี้ พ่อจะอยู่เฝ้าแม่กับนาโอกิเอง"
“อื้ม!”
"งั้นพ่อขอถามอะไรหน่อยสิ?"
"อะไรหรอครับ?"
"โกรธแม่กับเด็กคนนั้นที่แม่ช่วยเอาไว้หรือเปล่า?"
"ก็... โกรธนะ การที่เด็กคนนั้นปลอดภัยแล้วแม่ต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ผมโกรธจริงๆนั่นแหละ มันเป็นเรื่องที่ผิดหรอฮะ?"
"ไม่ผิดหรอความโกรธเป็นสิ่งที่แสดงออกมาได้เสมอนั่นแหละ ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะยับยั้งมันได้มากแค่ไหน ที่พ่อถามพ่อไม่ได้อยากจะจับผิดอะไรหรอก"เขาพูดพรางวางมือบนหัวเล็กๆนั่น
"ก็แค่ไม่อยากให้นาโอกิโกรธเด็กคนนั้นที่แม่ช่วยไว้ พ่อเองก็พอเข้าใจนะว่ามันอาจจะยากที่จะไม่คิดแบบนั้น แต่แม่เขาก็เป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเองเพราะงั้นอย่าไปโกรธเด็กคนนั้นเลยนะ ถ้าจะโกรธก็ไปโกรธแม่ดีกว่าเนอะที่ทำอะไรไม่ระวังตัวแบบนี้"
"อืม.. นั้นสิเนอะเด็กคนนั้นไม่เกี่ยวสักหน่อย ไว้แม่ตื่นเมื่อไหร่ผมเนี่ยแหละจะเป็นคนบ่นแม่ให้หูชาแทนเอง"
"งั้นหรอ~ เดี๋ยวพ่อจะรอดู"
"งะ ผมก็พูดไปงั้นแหละไม่กล้าทำจริงหรอก"
และแล้วเช้าวันที่ 3 ก็มาถึง ผมตื่นเร็วกว่าปกตินิดหน่อยไม่รู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะผมได้นอนเต็มอิ่มหลังจากที่นอนไม่ค่อยหลับมาสองคืนก่อนหน้านี้ หรือเป็นเพราะมือที่แสนอ่อนโยนเหมือนมือของแม่ที่กำลังลูบหัวอยู่..
'เดี๋ยวนะ! มือของแม่หรอ!?'
ผมรีบเงยหน้าขึ้นมาจากเตียง สายตาทั้งสองข้างกำลังสบเข้ากับดวงตาที่ปิดสนิทมาถึง 2 วันเต็ม
"แม่... "
ภาพที่อยากเห็นมาตลอด 2 วัน ทำให้ผมเผลอน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
"อะไรกันนาโอกิ แม่ฟื้นขึ้นมาแทนที่จะดีใจทำไมถึงร้องไห้แบบนี้ละ"ชิโอริ เอื้อมมือสีขาวซีดไปเช็ดน้ำตาของเจ้าลูกชายที่กำลังไหลไม่หยุด
"อึก ผมก็ต้องดีใจอยู่เเล้วสิ แม่หลับไปตั้งสองวันเต็มๆเลยนะ รู้มั้ยว่าผมเป็นห่วงมากแค่ไหน... จริงสิ!! พ่อฮะแม่ฟื้นแล้ว"
เสียงของนาโอกิดังพอที่จะทำให้ฮิโรชิ ที่กำลังหลับสนิทอยู่ตรงโซฟาสะดุ้งพรวดขึ้นมา
"ชิโอะ.. ฟื้นแล้วงั้นหรอ! เจ็บตัวอยู่รึเปล่า ปวดหัวไหม แผลที่ผ่าตัดดีขึ้นยัง"
"พอเลย.. ใจเย็นๆก่อน เล่นถามมาทีเดียวเเบบนี้ฉันจะตอบหมดได้ยังไงเล่า"
"ขอโทษทีลืมตัวไปหน่อย จริงสิเดี๋ยวพ่อไปตามหมอมาดูอาการก่อนนะ"
พอพูดจบประโยคผู้เป็นพ่อก็รีบวิ่งออกไป ทำให้ตอนนี้ภายในห้องเหลือเพียงแค่สองแม่ลูกเท่านั้น
ตัวเขาอยากพุ่งตัวเข้าไปกอดแม่ใจจะขาด แต่อีกความคิดก็คอยเตือนสติว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเพราะถ้าเราเผลอกอดเเรงไปอาจจะทำให้เเม่เจ็บแผลที่พึ่งผ่าตัดก็ได้ แต่มันก็อยากกอดอยู่ดี...
"เเม่ฮะ คือว่าผม.."
ก่อนที่นาโอกิจะได้พูดอะไรออกมา ชิโอริกลับเป็นฝ่ายผายมือทั้งสองออกมา
"มาทางนี้หน่อยสินาโอกิ ขอแม่กอดหน่อยนะ"
เด็กชายไม่รอช้ารีบพุ่งตัวเข้าไปหาอ้อมกอดที่แสนคิดถึง ความคิดก่อนหน้านี้หายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงแต่ความคิดที่ซื่อตรงที่อยากได้อ้อมกอดของผู้เป็นแม่เท่านั้น
ตลอด 2 วันที่ผ่านมานาโอกิต้องอดทนมาตลอด อดทดเพื่อไม่ให้คนรอบข้างมาคอยเป็นห่วง อดทนมากเกินกว่าที่เด็กหกขวบปกติเขาจะทำกัน
ภายในห้องแห่งนั้นมีเพียงเสียงร้องไห้ของเด็กคนหนึ่งหลุดรอดออกมาเป็นระยะก่อนจะค่อยๆเงียบลง เหลือเพียงแค่เสียงสะอื้นที่แผ่วเบา
ในตอนนั้นชิโอริยังคงเจ็บแผลที่ผ่าตัด แต่ว่าต่อหน้าลูกชายที่กำลังร้องไห้มากขนาดนี้ เธอจะบ่นได้ยังไงล่ะ
หลังจากนั้นไม่นานนักหมอแล้วก็พยาบาลอีกจำนวนหนึ่งก็เข้ามาในห้องเพื่อตรวจอาการของแม่ ซึ่งมันก็เป็นข่าวดีเพราะว่าร่างกายของแม่นั้นฟื้นฟูขึ้นมาเยอะแล้ว
หลังจากนั้นลุงอากิโอะจึงเริ่มเเจ้งอาการต่างๆให้แม่ฟัง ทั้งเรื่องที่แม่เป็นอัมพฤกษ์ชั่วคราว แล้วก็การที่ต้องได้รับการบำบัด รวมถึงยาบางตัวที่อาจส่งผลกระทบต่อร่างกาย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจอมาจนเคยชินหรือเพราะความเป็นมืออาชีพสำหรับคนที่ทำงานในสายนี้ ตอนที่แม่ฟังเรื่องสถานการณ์ต่างๆที่เกี่ยวกับตัวเองก็ดูไม่มีสีหน้าหวั่นไหวแม้แต่น้อย และหลังจากที่แจ้งรายละเอียดต่างๆครบถ้วน พวกหมอก็พากันเดินออกไปจากห้อง
"เดี๋ยวแม่ก็ต้องพักอยู่ที่นี้ยาวเลย เพราะงั้นพ่อจะไปเอาพวกของใช้ส่วนตัวมาให้นะมีอะไรที่อยากได้นอกจากนี้รึเปล่า?"
"งั้นฝากพ่อไปเอาพวกแว่นตาสำรองของแม่มาให้หน่อยนะ แล้วก็เอาหนังสือมาให้อ่านซัก 2-3 เล่มด้วยก็ดีเหมือนกัน "
"รับทราบ นาโอกิอยากได้อะไรไหม?"
"ผมขอมันจูไส้เผือก"
หลังจากที่พ่อเดินจากไป ตัวผมเลยกลับมาอยู่ในห้องกับแม่สองคนอีกครั้ง คงเป็นเพราะความกลัวกับความไม่สบายใจมันหายไปหมดแล้ว คำถามที่เคยสงสัยในตอนก่อนหน้านี้มันเลยกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง
คนเป็นแม่เองก็เหมือนจะรู้สึกถึงท่าทีที่แปลกไปของลูกชายเหมือนกัน
"มีอะไรไม่สบายใจงั้นหรอนาโอกิ? เล่าให้เเม่ฟังได้มั้ย?"
เด็กหนุ่มลังเลอยู่ครู่นึง แล้วค่อยตัดสินใจถามออกไป
"ทำไมแม่ถึงเลือกที่จะช่วยคนคนนั้นล่ะ ตอนนั้นในหัวคิดอะไรอยู่งั้นหรอ? ผมเข้าใจนะว่าหน้าที่พื้นฐานของฮีโร่คือสู้กับพวกวิลเลินเเล้วก็รวมไปถึงการช่วยคนด้วย แต่ว่าในสถานการณ์แบบนั้นโดยปกติเเล้วมนุษย์ส่วนใหญ่ก็น่าจะเรียงลำดับความสำคัญตัวเองเป็นอันดับเเรกไม่ใช่หรอ รองลงมาก็ครอบครัว รองลงมาอีกก็เพื่อน สุดท้ายถึงจะเป็นคนอื่นที่ไม่ได้ข้องเกี่ยวอะไรกันเลย.. นี่ฮีโร่เนี่ยเขาในหัวเขาคิดอะไรกันอยู่งั้นหรอ? ลำดับความสำคัญภายในหัวเเต่ละคนต่างกันใช่มั้ยฮะ? แล้วสำหรับแม่ล่ะ ในหัวเรียบเรียงมันเอาไว้เเบบไหนหรอ?"
คนเป็นแม่รู้สึกอึ้งไปครู่นึง เธอเคยคิดอยู่หลายครั้งแล้วว่าลูกชายของตัวเองมีความคิดที่ดูโตกว่าเด็กวัยเดียวกัน แต่ก็ไม่คิดว่าจะพูดอะไรที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากถึงขนาดนั้น แถมในประโยคที่ถามก็มีบางคำ ที่เธอรู้สึกเหมือนกำลังโดนนาโอกิดุที่ตัวเองทำอะไรเกินตัวจนได้รับบาดเจ็บแบบนี้ ถึงจะรู้สึกว่ามีความโกรธปะปนอยู่เเต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะเป็นคำเหน็บแนมเลยสักนิด ในขณะเดียวกันกลับรู้สึกถึงความไร้เดียงสาในคำถามที่ถามออกมา เหมือนกับเด็กที่ถามว่าซ้ายกับขวาคือทางไหนยังไงยังงั้น
"นี่ลูกไปฟังเรื่องลำดับความสำคัญมาจากใครงั้นหรอ?"
"ในหนังสือปรัชญาของแม่ไงฮะ ผมเห็นมันวางอยู่ก็เลยหยิบมาอ่าน"
'อา... ความผิดเราเองสินะ'
"งั้นหรอ มันก็เหมือนกับที่ลูกอ่านในหนังสือนั้นแหละมนุษย์ส่วนใหญ่เวลาจวนตัวก็จะคิดถึงตัวเองเป็นอันดับแรกเพราะว่ามีความเห็นแก่ตัวแล้วก็รักในชีวิตของตัวเอง แล้วก็นะถึงมนุษย์จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัว แต่มนุษย์เองก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่รู้สึกถึงความเห็นใจเหมือนกัน เพราะงั้นแต่ละคนถึงให้ลำดับความสำคัญแตกต่างกัน ยังมีพวกเราอีกหลายคนที่รู้สึกว่าชีวิตของเเต่ละคนมีค่าเหมือนกันกับของตัวเอง อยากปกป้องชีวิตเหล่านั้น ถึงได้กลายมาเป็นพวกเราที่เป็นฮีโร่ในทุกวันนี้ไงล่ะ แต่ว่าความคิดคนอื่นแม่ก็ไม่รู้และเข้าใจอย่างแท้จริงหรอกนะ แต่สำหรับแม่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือนาโอกิแล้วก็พ่อ รองลงมาก็เป็นผู้คน แล้วตัวเเม่อยู่อันดับสุดท้าย อาจจะเป็นคำพูดที่ดูอวยตัวเองไปหน่อยนะแต่จากสถานการณ์หลายๆครั้งมันทำให้เเม่เริ่มคิดแบบนั้นน่ะ"
"จากสถานการณ์หลายๆครั้งหรอ อืม... กว้างไปอะ"
"ไว้สักวันในตอนที่นาโอกิได้รู้จักกับคนอื่นมากขึ้นได้เข้าสังคมที่กว้างมากกว่านี้ พอถึงตอนนั้นอาจจะมีสักครั้งก็ได้ที่ลูกอยากจะช่วยใครสักคน ใครคนอื่นที่เราไม่แม้เเต่จะรู้จัก แต่ก็ยังอยากช่วยเขาแม้ว่าสภาพเรามันจะดูไม่ได้ หรือสะบักสะบอมแค่ไหนแต่ก็ยังอยากช่วยให้ได้ ไว้ถึงตอนนั้นนาโอกิก็คงเข้าใจคำถามนี้เองแหละ"
"งั้นความรู้สึกครั้งแรกของเเม่มันเป็นยังไงหรอฮะ?"
"อืม... มันรู้สึกว่า 'ถ้าปล่อยให้เจ้านั่นตาย ฉันต้องนอนฝันร้ายแน่ๆเลย' ประมาณนั้นมั้ง พอจะเข้าใจขึ้นบ้างรึยัง?"
"อืม แม่พูดประโยคนี้เข้าใจง่ายกว่าไอ้ประโยคที่เเม่ร่ายมายาวๆนั่นอีก"
"นั้นชมแม่ใช่ไหม?"
"ก็ต้องชมเเม่อยู่เเล้วสิฮะ คิดมากไปเเล้ว"
'เสียงสูงเชียว'
หนึ่งสัปดาห์ให้หลังแม่กำลังอยู่ในช่วงทำกายภาพบำบัดส่วนตัวผมตั้งแต่กลับไปบ้านเมื่อ 4 วันก่อนก็อยู่ค้างที่โรงพยาบาลมาโดยตลอด
แต่จะว่าไปอยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกันนะ ผมเองก็เริ่มมีเพื่อนบ้างแล้วเหมือนกัน เด็กคนแรกที่ผมเข้าไปคุยด้วยเป็นเด็กสาวผมสั้นสีน้ำตาลเข้ม เธอมาที่โรงพยาบาลเพราะอาการเวียนหัวแล้วก็คลื่นไส้ที่เกิดจากการใช้อัตลักษ์มากเกินไปเป็นเด็กผู้หญิงที่คุยด้วยแล้วสนุกมากเลย แต่เธอก็อยู่ได้ไม่นานผมเลยลืมถามชื่อของเธอไปซะสนิทเลย เเต่อัตลักษณ์เด่นแบบนั้นจะไม่มีทางลืมเด็ดขาด แถมยังเป็นเพื่อนคนเเรกแบบนี้เราคงไม่มีทางลืมง่ายๆหรอกมั้ง ถึงจะได้เจอกันแค่หนึ่งวันก็ตาม ถ้าเป็นเพื่อนกันจริงๆก็ดีนะ
ตัวผมที่อยู่โรงพยาบาลก็มักจะมีเด็กคนอื่นที่อายุไล่เลี่ยกันกับผมผ่านมาเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่มีคนไหนที่อยู่ที่นี่นานๆเลย
ระหว่างที่ผมกำลังเดินกลับจากโรงอาหารหลังจากไปซื้อไอติมที่เเม่ฝากมา ผมตัดสินใจเดินอ้อมนิดหน่อยผ่านทางสวนหย่อมที่ชอบมาเดินเล่นเป็นประจำ
ครั้งนี้ก็เหมือนกับครั้งก่อนๆ ผมได้เจอเด็กที่มีอายุพอๆกับผมคนหนึ่ง นั่งอยู่ตรงม้านั่งในสวนหย่อมของโรงพยาบาล แต่ว่าสีหน้าเศร้าสร้อยแต่กลับแฝงไปด้วยความโกรธแบบนั้นผมเพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่เหมือนเด็กคนนั้นจะมีบางอย่างที่คล้ายกันกับผม
'ถึงจะดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่แต่ลองเข้าไปทักซักหน่อยก็คงไม่เสียหายอะไรหรอกมั้ง? ผมสองสีแบบนั้นสะดุดตาจัง'
พอลองเดินเข้าไปใกล้ๆเลยเริ่มเห็นใบหน้าของคนที่นั่งอยู่ชัดเจนมากขึ้นใบหน้าซีกซ้ายของเขามีผ้าพันแผลพันอยู่
'ไปโดนอะไรมากัน? ดูแล้วน่าจะเจ็บไม่ใช่เล่นๆเลย'
"นี่นายน่ะ สีหน้าดูอมทุกข์เชียวนะผมขอนั่งด้วยคนสิ"
"อย่ามายุ่งกับฉัน จะไปไหนก็ไป"
'อา.. นั้นไงอารมณ์ไม่รับแขกจริงๆด้วย หึ.. แบบนี้ก็ดีจะตื้อจนกว่าจะยอมคุยด้วยเลย'
"อะนี่ ค่าจ้างของเธอสำหรับการแสดงดีๆแบบนั้น"
"พี่ชายก็พูดเกินไป เเค่ยืนนิ่งเป็นตุ๊กตาไม่ขยับไปไหนเสเสร้งทำเป็นหวาดกลัว เรื่องเเค่นั้นมันง่ายนิดเดียว"
"รับคำชมของฉันไปเถอะน่า สามารถทำให้เหยื่อของฉันติดกับได้ เเถมผลออกมาดีเกินคาดจนพวกมันต้องไปอยู่โรงพยาบาลเเบบนี้"
"นี่ แล้วพี่ชายรู้ได้ไงว่าหนึ่งในสองคนนั้นจะมาช่วยฉันล่ะ ฮีโร่คนอื่นๆก็น่าจะเข้ามาช่วยเหมือนกันไม่ใช่หรอ?"
"ง่ายนิดเดียว ฉันรู้จักพวกอีโก้ความเป็นฮีโร่สูงเเบบพวกมันดีเลย ยังไงหนึ่งในพวกนั้นมันต้องพุ่งเข้าไปช่วยก่อนใครอยู่เเล้ว"
"พี่ชายนี่ น่ากลัวจังนะทำแบบนั้นกับเพื่อนร่วมงานได้ลงคอ"
"หึ เด็กเเบบเธอไม่มีสิทธิ์มาว่าฉันหรอกนะ"
"เเค่หารายได้เสริมเท่านั้นล่ะค่ะคุณพี่ชาย หวังว่าจะไม่มีคราวหน้านะ"
Talk : แก้ไข 26/6/64
หวัดดีค่ะไรท์คนเดิมเองจ้า คือไรท์ของถามรีดเดอร์หน่อยนะคะ เวลากดเข้าไปอ่านที่เเฟนฟิคBNHA มีใครเจอนิยายของไรท์มั้ยคะ? คือไรท์เข้าไปหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอสักทีเลยค่ะใครรู้ช่วยคอมเมนต์บอกหน่อยนะคะ ตอนนี้งงมากเลยนิยายไม่ได้ขึ้นในประเภทไหนเลยเเต่คนอ่านมาได้ไง ถ้ากรุณาบอกจะขอบพระคุณอย่างยิ่งเจ้าค่า
*อัพเดทเพิ่มเติม
อะเเฮ่ม! เออ...สาเหตุที่หานิยายในคำค้นหาไม่เจอนั้นเป็นเพราะไรท์ดันเขียนคำว่า academia ในชื่อเรื่องผิด! และในปัจจุบันข้าน้อยได้ทำการเเก้ไขเพื่อให้ทุกท่านสามารถเข้าไปค้นหาได้ตามเดิมเเล้ว ทั้งหมดทั้งมวลนี้ต้องขอขอบคุณ suchiraporn2585 มั้กๆค่า ถ้าไม่ได้เขาช่วยบอกไรท์ก็คงสะเหล่อต่อไป
ปล.อย่าไปบอกใครนะคะ
ความคิดเห็น