ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Boku no hero academia | สมุดบันทึกของวิลเลิน [OC/Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #10 : Episodio IX : สอบเข้า UA

    • อัปเดตล่าสุด 26 ต.ค. 64


    มุคุโร่ได้ร่นถอยจนมาอยู่ข้างหลังฝูงชน 


    เมื่อรอบข้างเปิดโล่งเขาจึงใช้อัตลักษณ์สร้างแท่งกระดูกที่มีความยาว 1 เมตรขึ้นมาหนึ่งแท่ง ก่อนจะกระโดดขึ้นไปเหยียบบนของที่ตัวเองสร้างขึ้นมา ซึ่งมันกำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศ 


    เมื่อแน่ใจว่าขาทั้งสองข้างทรงตัวได้เขาจึงเริ่มควบคุมให้มันลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนตอนนี้ลอยอยู่เหนือหัวของเหล่าผู้เข้าสอบคนอื่นๆ


    นัยตาสีขาวทำการกวาดสายตามองไปยังพื้นที่เบื้องล่าง ที่ในขณะนี้มีละอองกระดูกขนาดเล็กลอยละล่องไปทั่วทุกพื้นที่ของสนามสอบในระยะทาง 300 เมตร มือทั้งสองข้างกวาดไปมากลางอากาศเพื่อควบคุมให้เหล่าละอองเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ๆเหล่าหุ่นยนต์ที่กำลังมุ่งตรงเข้ามาหา


    "ขยาย"


    หลังจากเสียงสัญญาณถูกเปล่งออกไปเพียงแค่ไม่กี่วิ จากละอองกระดูกขนาดเล็กกลับกลายเป็นขยายใหญ่และพุ่งตรงเข้าไปแทงทะลุร่างของเหล่าเครื่องจักรมากมายเบื้องล่าง 


    "หนึ่งแปด.. สองสอง.. สามหนึ่ง.. 15 คะเเนนสินะ"


    ตู้ม!!


    เสียงระเบิดตามมาติดๆ หุ่นยนต์จำนวนมากถูกทำลายลงพร้อมๆกัน จนผู้เข้าสอบหลายคนต่างพากันหยุดชะงัก บางคนเพราะตกใจในเสียงระเบิดส่วนบางคนก็ด้วยความฉงนใจหลายหลายเหตุผลกันไป แต่นั่นก็ทำให้ในเวลาต่อมาเกิดการอุปทานหมู่ของคนทั้งสนามและไม่มีใครกล้าขยับตัว


    มุคุโร่ไม่ปล่อยให้ตัวเองพลาดโอกาสไป เขาอาศัยจังหวะที่ทั่วทั้งสนามกำลังหยุดนิ่งเคลื่อนตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วและใช้ความได้เปรียบจากมุมสูงสอดส่องหาเป้าหมายที่ซ่อนตัวตามอาคาร 


    เขาใช้วิธีเดิมจนทำลายหุ่นยนต์ไปได้อีก 2-3 ตัว ก่อนที่เหล่าผู้เข้าสอบจะพึ่งตระหนักได้ว่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่ เป็นฝีมือของชายที่พึ่งบินผ่านไปและเสียงระเบิดอีกระลอกที่แทรกเข้ามาในโสตประสาททำให้พวกเขาต่างรู้สึกตัวว่าตนเองไม่ควรจะยืนอยู่เฉยๆแบบนี้ 


    บรรยากาศที่หยุดชะงักได้พลันหายไป สถานการณ์แห่งการแย่งชิงได้กลับมาอีกครั้ง


    มีเพียงสิ่งหนึ่งที่เพิ่มเข้ามาในความคิดของเหล่าผู้เข้าสอบ คือ'ต้องเร่งสปีดเต็มที่ขืนมัวชักช้าจะถูกชายผมขาวแย่งคะแนนไปจนหมด'







    ในตอนนี้ผมมีทั้งหมด 38 คะแนน


    เพียงแค่จัดการหุ่นยนต์อีกสักหนึ่งหรือสองตัวก็จะถึงตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ในตอนแรก จะใช้วิธีเดิมในการทำลายหุ่นมันก็ได้อยู่หรอก เเต่แบบนั้นมันเปลืองแคลเซียมที่ใช้ในการสร้างกระดูกมากเกินไปแถมตอนนี้มือของผมก็เริ่มสั่น มันเป็นสัญญาณเตือนว่าถ้ายังใช้วิธีแบบสร้างแล้วทิ้งร่างกายจะขยับเขยื้อนลำบากมากขึ้น


    'คงต้องลงไปจัดการเอง'


    หลังจากตัดสินใจกับความคิดของตนเองได้แล้ว เด็กชายได้เคลื่อนตัวออกไปข้างหน้าจากตำเเหน่งเดิมหนึ่งช่วงตึก ก่อนจะกระโดดออกจากแท่นเหยียบที่ตนยืนอยู่ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะคว้ามันติดมือมาด้วย ก่อนที่ร่างกายจะร่วงหล่นสู่พื้น เมื่อเท้าทั้งสองข้างมีพื้นที่เหยียบที่มั่นคง ทำให้มีสมาธิกับการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของวัตถุในมือมากขึ้น จากรูปทรงกลมมนง่ายต่อการยืนเหยียบก็ถูกเปลี่ยนให้มีปลายแหลมคมจนเปรียบเสมือนหอกยาวเล่มหนึ่ง


    'อาวุธพร้อม ร่างกายพร้อมและหุ่นยนต์ตรงหน้าก็พร้อมเข้าปะทะกับผมเหมือนกัน'


    ปากกระบอกปืนถูกหันเข้าใส่แล้วรัวกระสุนยิงมาแบบไม่ยั้ง แต่เนื่องจากตัวเขาเกลียดปืนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับอาวุธประเภทนี้ไวเป็นพิเศษ ทำให้กระโดดหลบวิถีกระสุนได้อย่างง่ายดาย พร้อมทั้งวิ่งตรงเข้าไปหวังทำลายเครื่องจักรตรงหน้า


    แต่ในพริบตาที่กำลังจะถึงเป้าหมาย ขนทั่วทั้งร่างกายกลับลุกชูชันขึ้นอย่างน่าประหลาด คำว่าอันตรายแทรกเข้ามาในโสตประสาท ทำให้เด็กชายรีบกระโดดหลบไปจากบริเวณนั้นและเพียงเสี้ยววินาทีต่อมาหุ่นยนต์ 3 คะเเนน ตรงหน้าก็ถูกระเบิด


    'เมื่อตะกี้คืออะไร?'


    ภาพสุดที่ตัวเขาจำได้ก่อนที่หุ่นยนต์ตัวนั้นจะระเบิด คือมีแสงสีเหลืองบางอย่างพุ่งเข้ามาจากทางด้านหลังและเฉียดลำตัวของเขาไปแค่นิดเดียว 


    'ขนลุก.. กับแสงสีเหลือง.. ใช่สายฟ้ารึเปล่านะ'


    สายตาเลื่อนไปมองทิศทางที่ถูกโจมตีโดยอัตโนมัติ ที่ตรงนั้นมีเด็กผู้ชายผมสีเหลืองเเซมด้วยปอยผมสีดำยืนอยู่ คนๆนั้นเอาแต่ก้มหน้าก้มตาถึงจะผ่านไปสักพักใหญ่ๆก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา


    'ตายยังหว่า?'


    "เฮ้ย นายหัวเหลืองตรงนั้นน่ะ ก้มหน้ามากไประวังจะหน้า.."


    "อูเวววว"


    ชายหนุ่มเหลืองพูดขัดขึ้นมาอย่างไม่เป็นภาษา พร้อมทั้งใช้สองมือชูนิ้วโป้งขึ้นลงไปมา


    'นี่เรา.. โดนคนแบบมันแย่งเหยื่อเนี้ยนะ'เส้นเลือดปุดขึ้นบนใบหน้าด้วยความหัวเสียแต่พอเห็นท่าทางเด๋อด๋าของอีกฝ่าย เส้นเลือดที่ปูดอยู่ก็ยุบลงในเวลาต่อมา 


    'เมินมันไปก็แล้วกัน'


    มุคุโร่หันหลังให้กับคนตรงหน้าและกลับไปวิ่งดั่งเดิมเพื่อหาหุ่นยนต์ตัวต่อไป...






    "ไม่เจอเลยแหะ... "


    นี่มันก็ผ่านมาสักพักแล้วนะตั้งแต่ที่วิ่งหนีออกมาจากไอ้คนท่าทางแปลกๆนั่น แต่กลับไม่มีหุ่นยนต์ตัวไหนยอมโผล่หัวออกมาเลยสักตัว นี่เราเล่นมากไปงั้นหรอ...


    ในขณะที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยพื้นดินโดยรอบกลับเริ่มสั่นไหว ตามด้วยเสียงระเบิดที่ดังขึ้นมาอีกหลายระลอก พอหันไปตามเสียงก็มองเห็นร่างใหญ่ยักษ์ของเจ้าหุ่นยนต์ 0 คะแนน ที่กำลังเคลื่อนตัวมาทางที่ผมยืนอยู่


    'ตัวใหญ่ชะมัดเลยเเหะ กำจัดไปก็คงเสียเวลาเปล่าๆ เรารีบชิ่งไปเก็บคะเเนนเพิ่มก่อนดีกว่า'


    ในตอนที่ผมกำลังเตรียมตัวที่จะหนีเหมือนกับคนอื่นๆ หางตามันก็ดันเหลือบไปเห็นใครบางคนที่แสนคุ้นเคย ร่างของชายหัวเหลืองที่ดูไม่ค่อยสมประกอบยังคงเดินวกไปวนมาอย่างไม่เกรงกลัวหุ่นยนต์ตัวใหญ่ยักษ์ที่อยู่ข้างหลัง 


    ่'เจ้าบ้านั่นทำไมถึงไม่ยอมหนีไปอีก! จะเอ๋อก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยสิวะ!!'และเส้นเลือดก็กลับมาผุดขึ้นบนใบหน้ามากกว่าเก่า 


    ถ้าหากใช้อีกอัตลักษณ์ได้ตัวเขาคงพุ่งไปตั้นหน้าชายคนนั้นอย่างไม่ลังเลเป็นแน่ แต่ไม่ใช่กับสถานการณ์แบบนี้ที่มีกล้องคอยจับภาพจากทุกทิศทางและถึงวิ่งออกไปอย่างเต็มกำลังก็คงไม่ทันการอยู่ดี


    'ทำยังไงดี'คำคำนี้วนอยู่ในหัวของเด็กชายซ้ำไปมาปะปนไปกับคำด่า แต่เพียงไม่นานมันก็กลับกลายเป็นความสงสัย


    'นี่เราจำเป็นต้องคิดแบบนี้ด้วยหรอ... จำเป็นต้องคิดหาวิธีช่วยชีวิตคนมากขนาดนี้ด้วยหรอ.. จากฆาตกรแบบเราเนี่ยนะ ใช่.. ไม่จำเป็นต้องคิดเลยคนที่แม้แต่ช่วยเหลือตัวเองยังทำไม่ได้ก็สมควรที่จะรีบๆตายไปซะ..'


    สองขาที่หนักอึ้งค่อยๆก้าวออกไปและหันหลังให้กลับร่างที่ต้องการความช่วยเหลือ ไกลออกไปทีละก้าว ทีละก้าว



    'จะปล่อยเขาเอาไว้งั้นหรอ?'



    เสียงของใครบางคนแว่วเข้ามาในหู ทำให้ร่างกายทั่วทั้งร่างถูกหยุดชะงักไปชั่วขณะและหันหลังกลับไปยังทิศทางเดิมพร้อมทั้งออกตัววิ่งอย่างสุดกำลัง 


    "บ้าเอ๊ย!! ไปไม่ทันแน่คงต้องใช้แผนนั้นแต่ถ้าใช้มันล่ะก็.. อา... ช่างแม่ง! เป็นไงเป็นกันวะ"


    แผนที่พึ่งคิดได้เมื่อครู่ถูกงัดออกมาใช้ มุคุโร่นำมือทั้งสองข้างแตะลงไปที่พื้น เพื่อใช้เป็นสื่อกลางเร่งความเร็วในการควบคุมมวลหมู่ละอองที่พึ่งถูกปล่อยออกไป ละอองกระดูกจำนวนมากถูกควบคุมให้ลอยไปอยู่ข้างใต้ร่างของหุ่นตัวใหญ่ยักษ์


    'ขยาย'เสียงคำสั่งที่ถูกเปล่งออกไป ทำให้ละอองจำนวนมากขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นเสากระดูกขนาดใหญ่โพยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินแล้วแทงทะลุร่างใหญ่ยักษ์ของหุ่นยนต์ 0 คะแนน จนหยุดการเคลื่อนไหวของมันได้สำเร็จ


    "บ้าจริง!"เสียงอุทานจากความหัวเสียซึ่งเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่อาจนับได้


    เพราะตัวเขาดันรีบใช้พลังเร็วเกินไปทำให้ส่วนที่ถูกทำลายมันไม่บาลานซ์กัน ถ้าหากกระดูกรับน้ำหนักไม่ไหวเมื่อไหร่มันคงล้มลงมาทิศที่เขายืนอยู่เป็นแน่ 


    'คงต้องรีบไปเอาตัวเจ้านั่นออกมา'แต่ในขณะที่กำลังจะลุกขึ้นยืน ขาทั้งสองข้างกลับไร้เรี่ยวแรงและนำพาให้ร่างกายของผมทรุดลงไปกับพื้น


    "เอ๊ะ?"


    'ขาขยับไม่ได้... แถมมือยังสั่นขนาดนี้.. อย่าบอกนะว่าถึงขีดจำกัดแล้ว?'


    ก็จริงอยู่ที่การใช้ท่าเมื่อตะกี้มันกินพลังงานแคลเซียมที่อยู่ในร่างกายเป็นจำนวนมาก แต่ก็ใช่ว่าตัวของเขาจะไม่เคยลองทำและในหลายๆครั้งตัวเขาก็ยังเหลือเเรงมากพอในการขยับร่างกายไปอีกสักระยะหนึ่งเพราะงั้นเหตุการณ์แบบนี้มันไม่น่าเกิดขึ้นได้ ภายในหัวรู้สึกปั่นป่วนไปด้วยความฉงนมากมายแต่ในที่สุดก็รู้คำตอบ


    มุคุโร่นึกย้อนกลับไปยังเมื่อคืนว่าตัวเองพึ่งท้องเสียจากการกินนมบูดเข้าไปทำให้ไม่ได้รับแคลเซียมในส่วนของวันนั้น แล้วตอนเช้าตัวเขาก็ดันตื่นสายและเร่งรีบที่จะมาสอบให้ทันจนลืมเติมส่วนของวันนี้ไปเหมือนกัน 


    กำปั้นทั้งสองทุบลงกับพื้นอย่างเหลืออดเมื่อรับรู้ถึงความสะเพร่าของตัวเอง และผมก็ไม่รู้จะสรรหาคำด่าไหนมาด่าตัวเองดี แต่ก็ไม่ได้มีเวลาที่จะให้คิดถึงขนาดนั้น 


    ในตอนแรกที่เป็นเพียงแค่เสียงกึกกัก แต่ในตอนนี้มันกลับกลายเป็นเสียงระเบิดที่ดังกระหึ่ม ถึงมองไม่เห็นก็รับรู้ได้ว่ากระดูกที่ค้ำร่างใหญ่ยักษ์นั้นอยู่คงถูกเเรงระเบิดอัดทำลายไปเรียบร้อยและอีกไม่นานมันคงพังลงมา 


    'อีกแล้ว เป็นแบบนี้อีกแล้ว ทั้งๆที่หนึ่งชีวิตตรงหน้ากำลังจะถูกฮีโร่พรากไป แต่เรากลับช่วยอะไรไม่ได้..'


    ในตอนที่ผมกำลังหมดหวัง กลับมีเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากด้านหลังพร้อมกับร่างของชายหนุ่มผมสีดำที่วิ่งผ่านไป


    "เดี๋ยวที่เหลือฉันจัดการเอง!!"


    ทั้งๆที่ผมควรจะหมดหวังกับพวกฮีโร่ไปแล้วแท้ๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไมกลับรู้สึกมีความหวังกับคำพูดพื้นๆที่ผู้ชายคนนั้นพูดออกมา


    ชายคนนั้นพุ่งตรงเข้าในที่ๆเศษซากกำลังถล่มลงมาอย่างไม่หวั่นเกรงและคว้าร่างของไอ้บ้าตรงนั้นออกมาได้อย่างฉิวเฉียด


    'อา.. เจ้านั่นรอดแล้วสินะ โล่งอกไปที เราเองก็ต้องรีบหนี...'


    ตุบ


    ร่างกายตกกระทบกับพื้นปูน มุคุโร่หมดสติไปในทันทีที่รู้สึกโล่งใจ ตัวเขานอนอยู่ท่ามกลางสถานที่ที่มีเศษซากมากมายหล่นลงมาและกำลังจะหล่นทับตัวเขาในไม่ช้า






    "หมดเวลา!!"


    ''เฮือก!''


    เสียงสัญญาณแจ้งเตือนที่ดังกระหึ่ม ปลุกมุคุโร่ขึ้นจากอาการสลบไสล การทดสอบได้จบลงเเล้ว หน่วยพยาบาลที่ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ต่างพากันวิ่งกรูกันเข้าไปหาเหล่าผู้บาดเจ็บ


    ภายในหัวของเด็กชายเต็มไปด้วยความสงสัยว่าตนเองรอดออกมาจากเหตุการณ์เมื่อตะกี้ได้ยังไงแต่ก็เลือกที่จะเก็บเงียบเอาไว้ไม่ถามใคร


    เมื่อพยายามเงยหน้าขึ้นมามองรอบๆ ความรู้สึกเเรกที่เขาสัมผัสได้คืออาการปวดที่ลามไปทั่วตัว แต่ตัวเขาก็กัดฟันทนไม่ทำเสียงโอดโอยออกไป เพราะไม่อยากให้หน่วยพยาบาลของพวกฮีโร่เข้ามายุ่มย่ามกับร่างกาย


    เขาพยายามใช้มือทั้งสองยันตัวเองให้ลุกขึ้นมา แต่ด้วยสภาพร่างกายที่เป็นแบบนี้แม้ว่าจะพยายามอยู่นานสองนานมันก็ไม่เป็นผล จนกระทั่งมีมือของใครบางคนช่วยประคองร่างกายของเขาให้ลุกขึ้นมาจากพื้น


    "โอ๊ส! นายฟื้นเร็วจังนะ แต่ดูเหมือนยังเจ็บอยู่เดี๋ยวฉันเรียกพวกพยาบาลให้.."


    "ไม่ต้อง!"


    'อา.. เวรเเละดันหลุดปากไป'


    "เออ.. คือฉันไม่เป็นอะไรมากหรอก จริงๆนะ นายวางฉันเอาไว้แถวๆนี้สักพักเดี๋ยวฉันก็ลุกไหวแล้ว นะ อย่าเรียกเลย"


    ยังดีที่ชายคนนั้นไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมแถมยังช่วยพาร่างของผมไปนั่งพิงกับกำแพงในบริเวณใกล้ๆนั้นเป็นอย่างดี


    'เป็นคนดีจังนะ จะว่าไปเสียงนี้แถมยังผมสีดำหรือว่าจะเป็นคนเดียวกันกับคนเมื่อตอนนั้น'


    "ตอนที่หุ่นถล่มลงมาเมื่อตะกี้ นายเป็นคนช่วยผมเอาไว้เหรอ?"


    "โอ้ ก็ใช่แหละ"


    "ขอบคุณนะ"มุคุโร่พูดออกไปพร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติที่นานๆทีจะได้แสดงมันออกมา


    "ไม่เป็นไรหรอก"ชายผมดำรู้สึกเคอะเขินขึ้นมา ที่จู่ๆตัวเองก็ได้รับคำขอบคุณพร้อมกับรอยยิ้มแบบนั้น จึงพยายามหาเรื่องมาพูดแก้เขิน"อ๊ะ! แต่ทางนายเองก็เท่สุดๆไปเลยนะ ในตอนที่คนอื่นๆพยายามจะหนี นายเป็นเพียงคนเดียวที่สังเกตเห็นหมอนั่นแล้วก็พุ่งตรงเข้าไป แถมยังจัดการเจ้าหุ่นยนต์ยักษ์นั้นได้อีก โครตจะสุดยอดเลย!!"


    "ฮ่าๆ ไม่หรอก ทางผมก็เกือบจะเอาตัวเองไม่รอดเหมือนกันแล้วคนที่เท่ที่สุดก็คือนายต่างหาก ถ้าเกิดนายไม่เข้ามาช่วยทั้งผมแล้วก็นายหัวเหลืองคนนั้นคงจะไม่รอดกันทั้งคู่ นายน่ะเป็นฮีโร่ของเรื่องในครั้งนี้เลยนะ"


    "ฮะ ฮีโร่ อะไรกันเล่า นายพูดชมเกินไปแล้ว ฉันแค่ไปปิดงานตอนท้ายคนที่เริ่มเรื่องทั้งหมดคือนายต่างหาก"


    ดูจากที่คุยกันมาสักพัก เจ้านี่คงไม่รู้เรื่องการเก็บคะแนนนั่นสินะ จะเป็นคนดีเกินไปแล้ว...


    "ผมมินาโตะ นาโอกิ แล้วนายล่ะ"รอยยิ้มเสแสร้งถูกส่งไปพร้อมกับมือที่ยื่นไปหาอีกฝ่าย


    'คนอย่างหมอนี่คงติดห้องเดียวกันแน่ ทำความรู้จักเอาไว้ก่อนก็คงไม่ได้เสียหายอะไร'


    ทางฝ่ายของชายผมดำที่ไม่ได้รับรู้ถึงรอยยิ้มที่เปลี่ยนไป ก็ยิ้มตอบกลับมาด้วยความใสซื่อพร้อมทั้งยื่นมือไปจับกับมือของมุคุโร่แทบจะในทันที


    "ฉันคิริชิม่า เอย์จิโร่ ยินดีที่ได้รู้จักนะ"


    "ส่วนฉันคามินาริ เดนกิ ที่พวกนายช่วยฉันเอาไว้ขอบคุณมากนะ!"


    "เอ๊ะ"เสียงที่เต็มไปด้วยความฉงนของคนทั้งสองประสานกันอย่างมิได้นัดหมาย


    "เอ๊ะ? ระ หรือว่าฉันทักคนผิดงั้นหรอ?"


    "เปล่าๆ ไม่ผิดหรอก"มุคุโร่รีบบอกปัดออกไปก่อนที่อีกฝ่ายจะคิดไปไกล


    "ผมแค่แปลกใจนิดหน่อยที่นายพูดเหมือนคนปกติได้แบบนี้"ถึงมันจะเเย่กว่าเดิมก็ตาม


    "ใจร้ายอะ! ฉันก็ต้องพูดได้อยู่แล้วสิ"


    "โทษทีนะ เห็นนายพูดแต่คำแปลกๆฉันก็นึกว่านายจะพูดเหมือนคนปกติไม่ได้ พอเข้ามาทักแบบนี้เลยรู้สึกตกใจน่ะ"


    "ใช่ๆ นายเอาแต่พูดว่า'อูเววว'อย่างเดียว นึกว่าจะคุยกันไม่รู้เรื่องซะแล้ว"


    ถึงผลลัพธ์จะออกมาตรงกันข้ามแต่คิริชิม่าก็พยายามแก้ไขความเข้าใจผิดอย่างบริสุทธิ์ใจ ผิดกับอีกคนที่จงใจพูดปั่นให้ชายผมเหลืองรู้สึกขายขี้หน้ายิ่งกว่าเดิมจนต้องยกมือขึ้นมาปิดบังใบหน้า 


    "งั้นหรอฉันทำแบบนั้นไปซินะ"


    "อ้าว? นายไม่รู้สึกตัวเลยหรอ?"


    "ไม่อะ.. แบบว่าอัตลักษณ์ของฉันคือไฟฟ้าน่ะแล้วพอใช้อัตลักษณ์มากเกินไปสมองมันก็จะถูกช๊อตไปด้วย หลังจากนั้นก็จะไม่รู้สึกตัวเลยจนเป็นแบบที่พวกนายเห็นนั่นแหละ"


    "ลำบากน่าดู"


    "ใช่ไหมล่ะๆ"


    'งั้นคราวหน้าก็หัดนึกถึงลิมิตของตัวเองซะบ้างสิเจ้างั่ง..'ก็อยากจะพูดแบบนี้อยู่หรอกแต่คงทำไม่ได้


    "งั้นคราวหลังระวังอย่าฝืนตัวเองเกินไปนะ"


    "อื้ม! เข้าใจเเล้ว ขอบใจนะ"


    ด้วยความที่ทั้งสองคนเป็นคนเฟรนลี่ทำให้บทสนทนาเป็นไปอย่างลื่นไหลจนกระทั่งถูกขัดลงด้วยเสียงประกาศจากลำโพงประจำสนามว่าตอนนี้รถบัสได้มารอรับพวกเราอยู่ที่ทางเข้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เวลาแห่งการแยกย้ายที่เเสนรอคอยในที่สุดก็มาถึง


    "มินาโตะให้ฉันช่วยประคองไปมั้ย?"


    "ไม่ต้องหรอก ผมดีขึ้นเยอะเเล้ว"


    ถึงจะพูดออกไปแบบนั้นแต่ความจริงแล้วขาทั้งสองข้างของเขาก็ยังสั่นไม่หายและที่เลือกปฏิเสธออกไปไม่ใช่เพราะรังเกียจในน้ำใจที่ถูกหยิบยื่น


    แต่เป็นความรู้สึกผิดว่าตนเองไม่ควรรับความใจดีจากคนๆนี้ไปมากกว่านี้อีกแล้ว





    รถบัสค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปอย่างนิ่มนวล ทำให้เด็กชายที่เมื่อคืนแทบจะนอนไม่หลับ เผลอตัวและคล้อยหลับไป


    ภายในความฝันตัวเขาได้ย้อนเวลากลับไปยังช่วงเวลาที่ยังได้พูดคุยหยอกล้อกับผู้เป็นแม่เหมือนปกติ...


    ''แม่ฮะ สมมุติว่ามีเด็กคนนึงที่เคยแกล้งเราแล้วตอนนี้เขาก็ดันถูกแกล้งถ้าเป็นแม่ แม่จะทำยังไงหรอฮะ?"


    "นั่นสิก็คงแอบสะใจอยู่ห่างๆล่ะมั้ง"


    "ปีศาจชัดๆ..."


    "หืม?"


    "เปล่าฮะ! ผมไม่ได้พูดอะไร จริงๆนะ"


    "แต่นั่นก็เป็นในกรณีของแม่ล่ะนะ ถ้าเกิดว่าเป็นกรณีของนาโอกิ ลูกจะปล่อยเขาเอาไว้งั้นหรอ?'


    "อืม.. ก็คงจะ..."


    "มินาโตะ! ตื่นเร็วถึงแล้วนะ"


    เสียงเรียกจากคิริชิม่าทำให้ฝันดีที่นานแสนนานจะเวียนมาถึงได้ถูกขัดไป จนอดไม่ได้ที่ตัวเขาจะเผลอสบถคำด่าออกมา


    "นายเนี้ยเป็นพวกที่ถูกปลุกแล้วจะโมโหร้ายสินะ"


    "อา.. ฮะๆ ประมาณนั้น"


    เผลอทำอะไรไม่เข้าท่าอีกจนได้ วันนี้มันวันบ้าอะไรเนี่ย






    ก่อนกลับผมแวะหาอะไรกินนิดหน่อยทำให้กลับมาช้ากว่าที่บอกคุณโทมุระเอาไว้


    'หวังว่าเขาจะยอมตื่นมากินข้าวนะ'


    "กลับมาเเล้วคร้าบ อ้าว.. คุณโทมุระยังไม่ตื่นอีกหรอครับ?"


    "ตื่นมาได้สักพักแล้วล่ะ แต่ตอนนี้เขากำลังคุยกับอาจารย์อยู่ที่ห้องน่ะ แล้ว.. การสอบเป็นไงบ้าง?"


    "ก็ดีครับ ถ้าดูภาพรวมยังไงผมก็น่าจะผ่านแน่นอน มันดีเกินไปด้วยซ้ำ.."


    "หือ?"


    "ไม่มีอะไรครับ ผมขอตัวไปนอนก่อนนะ"


    "ข้าวกลางวันล่ะ"


    "ผมกินมาแล้วฮะ"


    มุคุโร่ทิ้งตัวลงกับที่นอนด้วยความเหนื่อยล้า ภายในหัวของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายกับเหตุการณ์ที่พบเจอในการสอบ


    เราเกลียดฮีโร่ เกลียดคนที่เสแสร้งอย่างพวกมันมากที่สุด 


    แต่ถึงอย่างงั้น เรากลับไม่รู้สึกขยะเเขยงกับชายคนนั้นเลยสักนิด เถรตรงแล้วก็ซื่อบื้อแต่ถึงอย่างนั้นกลับวิ่งเข้าไปช่วยคนอย่างไม่ลังเล 


    คิริชิม่า เอย์จิโร่ ถ้าพวกฮีโร่เป็นเเบบเขาได้ก็คงดี...


    "ฮ่าๆๆ คิดบ้าอะไรอยู่เนี่ยมันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ธาตุแท้ของพวกฮีโร่พวกเรารู้ดีที่สุด.. ใช่ไหมนาโอกิ"


    ถึงไม่ได้มีเสียงตอบรับอะไรแต่มุคุโร่ก็สัมผัสได้เป็นอย่างดี ตัวเขาอีกคนกำลังเจ็บปวด






    หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ ผมก็เดินไปเอาจดหมายที่ถูกส่งไปยังตึกล้างที่อยู่ถัดไปอีกสองช่วงตึก


    พวกไปรษณีย์ไม่ได้ส่งผิดหรอกนะ แต่เพราะผมเขียนที่อยู่ของผมเป็นที่นี่กันเอาไว้เผื่อเวลาที่ความแตก จะได้ไม่ถูกพวกฮีโร่สาวตัวไปถึงฐานลับ


    ในตอนแรกผมก็เปิดจดหมายด้วยความรู้สึกเฉยๆอยู่หรอก แต่พอมีโฮโลแกรมของออลไมท์ปรากฏออกมาเป็นผู้ประกาศผลคะแนนก็รู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมานิดหน่อยแต่ก็ยังควบคุมตัวเองไม่ให้เผลอทำลายจดหมายได้


    และแน่นอนว่าผมผ่านการทดสอบ ก็ได้ตั้ง 75 คะเเนนหนิ ได้เป็นอันดับที่ 2 จากผู้เข้าสอบทั้งหมด อันดับสูงเกินกว่าที่ตั้งใจเอาไว้ในตอนเเรกด้วยซ้ำ ยิ่งอันดับสูงก็ยิ่งถูกพวกอาจารย์ให้ความสนใจและจะทำตัวอ่อนแอจนเกินไปก็ไม่ได้ เป็นสถานะที่ต้องคิดเรื่องการวางตัวให้ดีๆ


    'ขี้เกียจคิดชะมัด ไปตายเอาดาบหน้าก็แล้วกัน'


    หลังจากนั้นผมก็ไปบอกผลการสอบกับพวกคุณโทมุระแต่ไม่ได้เอาจดหมายไปให้ดูหรอกนะ ขืนเอาไปให้ดูมีหวังมันได้กลายเป็นผุยผงในพริบตาเเน่ ก็คุณโทมุระน่ะเกลียดออลไมท์มากกว่าผมซะอีก

     




    เช้าตรู่ของวันเปิดภาคเรียนได้มาถึง ในวันนี้ความอ่อนเพลียจากอาการนอนไม่พอยังคงรุมเร้า ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้นอนเลยนะ เพียงเเต่ทุกครั้งที่หลับก็จะสะดุ้งตื่นภายในเวลาไม่นาน เลยต้องพึ่งยานอนหลับอยู่บ่อยครั้ง 


    เมื่อส่องกระจกดู ขอบตาดำคล้ำยิ่งเห็นเด่นชัดเมื่อมาอยู่บนผิวสีขาวซีด จนผมต้องหาเครื่องสำอางมาทาปกปิดรอยดำ เสื้อเชิ้ตกับเสื้อกั๊กตัวนอกถูกใส่เข้าไปแบบลวกๆ เนคไทเองก็พึ่งหาวิธีผูกมาจากในเน็ตเมื่อตะกี้จึงนับเป็นการปฏิบัติจริงครั้งแรก พอผูกเสร็จก็ออกมาค่อนข้างดี...


    โอเค ค่อนข้างเเย่ก็ได้ แต่ช่างมันเเล้วกัน


    บอกตามตรงผมไม่ค่อยแคร์เรื่องการแต่งกายเท่าไหร่หรอก แต่รู้สึกแปลกๆที่ตัวเองได้มาสวมเครื่องแบบนักเรียนมากกว่า 


    'นึกว่าชาตินี้จะไม่ได้มีโอกาสแต่งซะแล้ว'


    สายตาเหลือบไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาที่รถไฟจะมา มุคุโร่จึงพับเก็บความตื่นเต้นไร้สาระเข้าไปพร้อมกับคว้ากระเป๋าและมุ่งตรงไปยังสถานีรถไฟ 


    ตอนนี้ตัวเขาได้มายืนอยู่ที่หน้าโรงเรียน สายลมเย็นๆที่พัดเอื่อยมา ทำให้ตัวเขารู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่ไม่ยอมสวมเสื้อเพิ่มอีกหนึ่งชั้น พอได้มาเหยียบสถานที่แห่งนี้ความทรงจำในวัยเด็กก็หวนย้อนกลับมาให้เด็กชายได้นึกถึง


    "สัญญานะ... หึ เจ้าพวกนั้นจะมาที่นี่รึเปล่านะ เเต่ถ้าไม่เจอกันมันคงจะดีกว่า"เสียงแผ่วเบาพูดพึมพำกับตัวเองก่อนจะเดินหน้าต่อ 


    "โหยยย! คนตรงนั่นนะมินาโตะใช่ไหม"


    เสียงแบบนี้มัน..


    "คิริชิม่า! เดี๋ยวก่อน.. นี่นายย้อมผมด้วยหรอ?"


    จากเด็กหนุ่มหน้าตาดูใสซื่อ พอย้อมผมเป็นสีแดงก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างไป จะว่าไงดีล่ะ...


    "อืม! อยากเปลี่ยนลุคให้ดูดุดันขึ้นน่ะ เป็นไง?"


    "เข้ากับนายดีนะ ดูเป็นผู้ใหญ่.. อืม.. จะว่าไงดี... อ๋อ! ดูเท่ขึ้นเยอะเลย"


    "แหะๆ งั้นหรอ ขอบใจนะ"


    ถึงคิริชิม่าจะพยายามหัวเราะออกไปเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจแต่ก็ไม่อาจกลบสีหน้าที่กำลังแดงก่ำของตัวเองได้ จนอีกฝ่ายที่เห็นก็อดที่จะแหย่ไม่ได้


    "หืม.. หน้าเเดงมากเลยนะ หรือว่าเขินหรอ? นี่ๆ คิริชิม่าคุง~ อย่าบอกนะว่าเขินน่ะ"


    "มันก็แน่อยู่แล้ว! โดนชมขนาดนั้นใครไม่เขินบ้างเล่า!!"


    'น่ารักแหะ'


    "โทษทีๆ จะเลิกแซวเดี๋ยวนี้ล่ะ ว่าเเต่นายอยู่ห้องไหนหรอ?"


    "ห้อง A น่ะ"


    "ผมก็เหมือนกัน"


    "ดีจัง! งั้นไปด้วยกันเถอะ นะ?"


    มุคุโร่ตบปากรับคำไปอย่างง่ายดาย ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินไปด้วยกันพร้อมทั้งพูดคุยเรื่องสัพเพเหระไปตลอดทางเดิน จนกระทั่งเดินมาถึงทางขึ้นบันได เสียงพูดคุยจากชายที่ตัวเล็กกว่าจู่ๆก็ถูกตัดไปเนื่องจากถูกแรงของใครบางคนกระชากไปจากด้านหลังแล้วเหวี่ยงร่างกายของเขาไปชนกับกำแพงที่อยู่ใกล้ๆ 


    "อึก!"


    ถึงร่างจะกระแทกกำแพงแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บมากมายอะไรเพราะเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้จงใจกระชากแขนของผมแรงขนาดนั้นและถ้าเป็นไปตามปกติผมก็คงไม่ตอบโต้อะไร


    'แต่ไม่ใช่กับวันที่นอนไม่พอ'


    "เห้ย!!จะหาเรื่องรึไงวะ!"เสียงตะโกนแห่งความโกรธเกรี้ยวถูกเปร่งออกไป พร้อมๆกับจังหวะที่เงยหน้าขึ้นไปมองหน้าของอีกฝ่ายและในพริบตาที่เห็นว่าคนๆนั้นเป็นใครคำกล่นด่าทั้งหมดก็ถูกกลืนกลับเข้าไปในลำคอ


    'ชิบหายแล้ว'


    "คัตสึ..."


    เคยคิดอยู่หรอกว่าต้องเจอกันสักวันแต่ไม่นึกว่าจะเจอกันเร็วขนาดนี้


    "ไอ้เวรนาโอะ! แกหายหัวไปไหนมาห๊ะ!!"


    นี่มันคาเบะด้งเวอร์ชั่นฝ่าเท้าชัดๆเลย แถมสายตานั่นดูโกรธสุดๆ เอาไงดีหว่า.. ยังไม่เคยคิดเลยว่าถ้าเจอกับคัตสึอีกจะทำตัวยังไง 


    "เออ.. คือว่า..."


    "เห้ย! นายน่ะเล่นงานคนอื่นทีเผลอแบบนี้ไม่เป็นลูกผู้ชายเลยนะ!"


    "หนวกหู! ไอ้ตัวประกอบอย่าแกมายุ่ง!!"


    คัตสึกิที่เหมือนจะโมโหอะไรมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว พอมีคนเข้ามาขัดเลยกลายเป็นว่ายิ่งฉุนเฉียวเข้าไปใหญ่ ทั้งยังมีการจุดระเบิดขึ้นมาที่ฝ่ามือเหมือนกับเป็นการเตรียมพร้อมต่อสู้มากกว่าจะเป็นการขู่และทางฝ่ายของคิริชิม่าพอเห็นเพื่อนใหม่ถูกทำร้ายก็ตั้งการ์ดเตรียมพร้อมที่จะโต้กลับเหมือนกัน


    "คงไม่ได้หรอก! นายต้องปล่อยตัวมินาโตะมาก่อน"


    "ได้!! ถ้าอยากรีบตายขนาดนั้นฉันจะจัดการแกก่อนเลย!"


    'เอาเเล้วไง..' 


















    Talk :

    สวัสดีจ้าช่วงพูดคุยที่ห่างหายไปนานกลับมาแล้น อะเเฮ่ม*ขอเข้าเรื่องเลยล่ะกันนะคะ ในตอนหน้าจะเป็นช่วงที่นาโอคุงเข้าไปอยู่ในห้อง A เต็มตัวแล้ว เเต่อย่างที่ทุกคนทราบกันในสาขาฮีโร่ทั้งห้อง A และห้อง B มีสมาชิกห้องละ 20 คน และถ้าเกิดยังมีสมาชิกเกินมาหนึ่งคนจะยากต่อการเขียนเนื้อเรื่องในช่วงจับคู่เพราะงั้นไรท์จะขอลบตัวละครห้อง A ออกไปหนึ่งคนและคนๆนั้นก็คือ!!



    น้องล่องหน หรือ ฮากาคุเระ โทรุจัง


     ใครที่เป็นเมนน้องต้องขอโทษล่วงหน้าด้วยน้า


    ต่อไปเป็นช่วงนอกเรื่องแล้วจะข้ามไปก็ได้นะคะ

    คือจากที่ทุกคนติดตามกันมาไรท์ใช้เวลาไป 10 ตอน จนในที่สุดก็มาถึงช่วงเนื้อเรื่องหลักของในอนิเมะและกว่าที่จะถึงเหตุการ์ณในตอนที่ 1 ของนิยายเรื่องนี้ก็คงกินเวลาไปอีกสิบไม่ก็ยี่สิบกว่าตอนเลยค่ะ หวังว่าจะยังไม่เบื่อกันนะ 




     แล้วเจอกันใหม่นะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×