ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ช่วยด้วย!! หนูอยากเป็นสัตวแพทย์

    ลำดับตอนที่ #2 : เริ่มต้นการลองใจ สัตวแพทย์มันใช่หรือเปล่า?

    • อัปเดตล่าสุด 4 เม.ย. 54


     หลังจากที่วุ่นวายกับประโยคต่างๆที่ไม่สนับสนุนคณะที่อยากเรียน



    นั่งเครียดอยู่หลายวัน



    เปิดเน็ต  หาคณะอื่นๆที่สามารถเรียนได้




    เป็นคนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษ อ่อนเลข  เกลียดฟิสิกส์   พอได้เคมี   แต่ชอบชีวะ

    ซึ่งจากวิชาที่เห็นๆกันแล้ว นอกจากสัตวแพทย์ก็ไม่รู้ว่าจะหาคณะอะไรไว้สำรองเลย

    หลังจากคิดหนักมานาน

    ก็เลยตัดสินใจ คุยกับแม่อีกครั้งหนึ่ง

    "แม่  หนูอยากไปฝึกงาน....  อยากลองไปฝึกงานที่คลินิคสัตว์  จะได้รู้ๆกันไป ถ้าหนูไม่ชอบ ก็จะได้เปลี่ยนคณะได้ทัน   แต่ถ้าหนูชอบ  มันก็เป็นประสบการณ์ที่เหนือคนอื่นเค้าบ้าง"


    อืมมม  ก็ดี จะไปที่ไหนล่ะ


    แถวบ้านนี่ล่ะ  มีที่นึง  ลูกค้าเยอะดี  แถมหมอเค้าดูใจดีด้วย  เดี๋ยวจะลองไปขอเค้าฝึกงานดู







    แล้วในวันที่ไปคลินิคสัตว์




    "สวัสดีค่ะ  คือว่าหนูอยากจะมาลองฝึกงานดูอ่ะค่ะ คือหนูอยู่ม.6 อยากเรียนคณะสัตวแพทย์ แต่อยากจะมาลองใจดูก่อนอ่ะค่ะ  ว่าชอบจริงๆหรือเปล่า?"



    ได้  อยากจะมาลองดูใช่ไหมล่ะ  จะมาเมื่อไหร่ก็มาได้เลย  


    >< (เฮ้อ...เย่!!   เต็มที่โว้ยยยย)


    วันแรกมาตั้งแต่เค้าเปิดร้าน  อยู่ช่วยจัดของ หมาแมวแค่ของหมออย่างเดียว ก็7-8ตัว เข้าไปแล้ว

    ไม่เบื่อเลย  เล่นกับมันได้ทั้งวัน

    พอสักเที่ยงหมอก็ลงมา   ลูกค้าก็เริ่มทยอยมากัน

    ได้ดูหมอขูดหินปูนให้ชิสุ  

    หมอบอกว่า"เป็นสัตวแพทย์เป็นทุกอย่างนะ  เป็นหมอหมา แล้วยังต้องมาเป็นหมอฟันอีกต่างหาก"


    ก่อนที่จะทำฟัน หมอก็ฉีดยาสลบให้ ก็เพิ่งจะรู้เหมือนกัน  ว่ายาสลบ

    หมาจะตาค้าง  แล้วเราต้องบีบครีมป้ายตาให้มันเพื่อกันกระจกตาอักเสบ

    แล้วถึงมันสลบ ก็ใช่ว่าจะนิ่งไปเลย  บางทีทำๆอยู่  ขากระตุกมาซะงั้น

    เสียงที่กรอฟัน  ช่างเสียวจี๊ด  จริงๆ

    มันต่างกับการขูดหินปูนคนก็ตรงที่ว่าไม่จำเป็นต้องใช่เครื่องดูดน้ำลาย  เพราะเราจับหมานอนตะเครงทำฟัน

    หากฟันไหนโยก  หมอก็จับถอนเลย ไม่เสียเวลาขูด
    (หมาเรา กลัวจะโดนจับถอนหมดปาก  ไม่ต้องขูด    เพราะโยกแทบทุกซี่)

    แล้วเราก็ต้องจับลิ้นมันให้ดี เพราะลิ้นจะห้อย

    คลินิคที่ไป โชคดีที่มีผู้ช่วยเพิ่งมาใหม่ไม่ถึง10วัน
    เค้าก็เลยกันเองกัยเรามาก   ทำให้ไม่เกร็ง

    และหมอเค้าก็ใจดีด้วย เค้าเคยเป็นอาจารย์  ก็เลยช่วยแนะนำการเรียนให้เยอะ  ตั้งแต่อาชีพอื่นๆ

    อาชีพที่ใกล้ๆหากไม่ติดสัตวแพทย์ ก็สามารถที่จะไปเรียนสัตวบาล แล้วไปสอบใบประกอบอาชีพแทนเอาได้
    ก็จะมีประเภท ก  ประเภท ข  

    ประเภท ข  คือ  รักษาได้ แต่จะไม่สามารถ ฉีดยาเข้าเส้น  และก็ไม่สามารถผ่าตัดใหญ่ได้
    ประเภท ก  จะสามารถรักษาทุกอย่างได้หมด เหมือนสัตวแพทย์

    หมอเค้าจะบอกว่าหากเข้าไปเรียนแล้ว  เวลาเราผ่าอาจารย์ใหญ่ จะต้องมีผู้ช่วย3คน 

    คอยซับเลือด คอยตัดไหม คอยเตรียมอุปกรณ์
    คนผ่าตัด ถึงเวลาผู้ช่วยก็จะใส้เสื้อ ใส่ถุงมือให้ แล้วก็ผ่าตัดอย่างเดียวเลย


    หมอเขาจบสัตวแพทย์ม.ขอนแก่น  หมอบอกว่า  ถ้าเป็นตอนที่เขาเรียน

    จะมีให้เลี้ยงสัตว์เป็นของกลุ่มตัวเอง  แล้วหมาตัวนั้น จะเอาไว้เรียน
    บางวันก็เรียนเรื่องการทำหมันก็จะนำสัตว์ที่เราเลี้ยงไว้มาเรียนการทำหมัน

    เรียนการควักลูกตา   ก็จำเป็นต้องสละลูกตาของหมาที่เราเลี้ยงไว้เพื่อไว้ช่วยชีวิตอีกหลายชีวิต

    หมอบอกว่า พอเรียนจบ หมาที่เราเลี้ยงไว้ ใครจะเมตตาฆ่าก็ฆ่า   ใครจะรับเลี้ยงไว้ก็เลี้ยง

    ฟังดูแล้วมันก็เหมือนโหดร้าย  แต่หากเราไม่เรียนรู้จากเขา  ก็จะมีอีกหลายตัวนักที่ประสบชะตากรรมอย่างนี้


    วันแรกที่ไป  กลับมา รู้สึกเกิดอาการแพ้ขนสัตว์อย่างมาก

    คันตาคันจมูก จามไม่หยุด  น้ำตาไหลตลอด  รู้สึกท้ออย่างมาก


    ไม่เอาแล้วล่ะ  สัตวแพทย์  เหนื่อยมาก  ขนหมาขนแมวลอยฟุ้งไปทั่ว  

    ดูแล้วเหนื่อยมาก

    ทำไปแต่ละตัวๆ  ลืมวันลืมคืน แป๊บๆ ก็สี่โมงเย็น

    กลับบ้านไป  นอนซมทั้งคืน  คันตามาก  ต้องรีบอาบน้ำแล้วนอน

    เหนื่อยจริงๆ   ชีวิตสัตวแพทย์

    ชักจะท้อแล้วสิ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×