ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จารจันทรา

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่สี่

    • อัปเดตล่าสุด 26 เม.ย. 63


    หยางเยว่ซินถูกแยกตัวออกมาจากศิษย์คนอื่นๆในทันทีหลังจากผ่านพิธีปฏิญาณโลหิตไป เจ้าสำนักให้เธอพักผ่อนในระหว่างที่รอบิดามาถึงที่นี่ แม้จะไม่รู้แน่ชัดว่าเหตุใดบิดาเธอจึงต้องมาที่นี่ แต่เธอคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับระดะบพรสวรรค์บองเธอเมื่อวานที่ขึ้นถึงระดับสิบแต่กลับไม่มีธาตุปรากฏ

    เธอได้แต่หวังว่าพวกเขาอาจจะไล่เธอออกและให้บิดามารับตัวเธอกลับไป ถ้าหากเป็นเช่นที่เธอหวังจริงๆก็นับว่าคุ้มค่ากับการที่ถูกรีดเลือดไปจนเกือบหมดตัว

    บิดาเธอมาถึงสำนักในอีกสองวันต่อมา เธอที่ได้พักผ่อนจนเต็มที่จึงถูกเรียกเข้าไปที่แท่นพันธะอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับมีชายหนุ่มผู้หนึ่งอยู่กับเจ้าสำนักด้วย เขาสวมชุดสีขาวสะอาดทั้งยังมีใบหน้างดงามราวกับสตรี หากไม่ได้ยินเสียงที่เขาโต้ตอบกับเจ้าสำนักเรียกเขาคงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นสตรีอย่างแน่นอน

    "เป็นนางหรือ"

    บุรุษผู้งดงามนั้นเอ่ยถามขึ้นเมื่อหันมาเห็นเธอ เจ้าสำนักเอ่ยรับคำด้วยท่าทีสุภาพ และด้วยท่าทางนั้นทำให้หยางเยว่ซินลอบประเมินเขาอยู่ในใจ ก่อนจะพบว่าแม้อีกฝ่ายจะดูอายุไม่น่าเกิน 25 ปี แต่กลิ่นอายรอบตัวของเขานั้นช่างสูงศักดิ์และทำให้คนที่อยู่รอบๆรู้สึกยำเกรงขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

    "วางมือเจ้าลงบนแท่นพันธะอีกครั้งได้หรือไม่แม่นางน้อย"

    เขาหันมาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน หยางเยว่ซินพยักหน้าและทำตามที่เขาบอก ชื่อของเธอลอยขึ้นมาจากแท่นพันธะก่อนที่อ่างทั้งสิบจะเปล่งแสงขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาใกล้อ่างเพื่อมองสิ่งที่ปรากฏอยู่ในนั้น

    หยางเยว่ซินแอบคิดเล่นๆว่าถ้าหากเธอทำอ่างแตกไปพวกเขาจะไล่เธอออกเร็วขึ้นไหม ในขณะที่เธอกำลังครุ่นคิดถึงวิธีทำให้ตนเองถูกไล่ออก เจ้าสำนักกับส่งเสียงออกมาดังลั่น อีกทั้งบิดาเธอยังถลามาดึงแขนเธอให้มาหลบด้านหลังเขา ก่อนที่คนทั้งสองจะกางม่านพลังขึ้นมาราวกับต้องการป้องกันอะไรบางอย่าง แม้แต่ชายหนุ่มชุดขาวเองก็พริ้วกายหลบไปยืนอยู่มุมห้อง

    เธอมองภาพนั้นด้วยความงุนงง ดวงตาสีรัตติกาลกวาดมองไปรอบๆอย่างสำรวจและเมื่อเห็นว่ามันยังคงปกติดีทุกประการจึงได้กระแอมขึ้นมา สิ้นเสียงกระแอมของเธอทุกคนต่างสะดุ้งเฮือกราวกับคนเพิ่งตื่นจากความฝัน บิดาเธอและเจ้าสำนักมองไปรอบๆก่อนมองหน้ากันด้วยความงุนงง ท่าทางเก้ๆกังๆของพวกเขาทำให้เธอลอบยิ้มแม้ไม่รู้สาเหตุของการกระทำเมื่อครู่ก็ตาม

    ชายหนุ่มในชุดขาวที่เพิ่งได้สติเช่นเดียวกับทุกคนหันกลับมามองที่เธอ ก่อนที่ใบหน้างดงามจะประดับรอยยิ้มขึ้นมา หยางเยว่ซินที่หันไปมองมองเขาพอดีถึงกับตาพร่าไปชั่วครู่กับความงดงามที่เกิดขึ้น เธอไม่ได้หลงตัวเองแต่เธอก็พอรู้ว่าตัวเองนั้นถือว่าเป็นโฉมสะคราญผู้หนึ่ง แต่ถ้าหากให้เทียบกับบุรุษตรงหน้า เธอก็เริ่มไม่มั่นใจในความงามของตัวเองขึ้นมาตะหงิดๆ

    ตาเฒ่าบนสวรรค์พวกนั้นกำลังทดสอบความอดทนเธออยู่หรืออย่างไร

    "มายาจิตของแม่นางน้อยช่างแข็งเกรงยิ่งนัก"

    เขาพูดขึ้นมาพร้อมกับพริ้วกายกลับมายืนที่เดิมโดยที่ใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้มดังเดิม เธอเลิกคิ้วขึ้นเมือได้ยินคำพูดของเขา แเธอเคยอ่านเจอเกี่ยวกับสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่ หากแต่เธอไม่แน่ใจก็คือที่เขาบอกว่ามันเป็นของเธอ เมื่อลองคิดตามดูจึงได้แต่อธิษฐานขอให้มันไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด

    "ข้าชื่อหยาจื่อ ข้ามาที่นี่เพราะพรสวรรค์อันน่าทึ่งของเจ้าโดยเฉพาะ"

    หยางเยว่ซินรับรู้ได้ว่าเขาไม่ได้หมายถึงพรสวรรค์ระดับสิบของเธอ เธอรู้สึกอยากสาปแช่งเฒ่าชะตามากขึ้นกว่าเดิมหลายพันเท่า เธอเคยอ่านเจอในห้องหนังสือของหยางสือเมื่อนานมาแล้ว การฝึกวิถีเซียนนั้นมีวิชาต้องห้ามแขนงหนึ่ง มันถูกตีตราว่าเป็นวิชามารและห้ามผู้ใดฝึกฝนมากหลายพันปี วิชานั้นมีชื่อเรียกว่ามายาจิต

    แต่จะมีบุคคลอยู่บางกลุ่มที่เป็นข้อยกเว้น เพราะพวกเขาสามารถใช้มายาจิตได้โดยไม่ต้องฝึกใดๆเนื่องจากพวกเขามีมันมาแต่กำเนิด และจากที่หยาจื่อพูดเมื่อครู่นั่นหมายความว่าเมื่อครู่เธอใช้มายาจิตได้โดยที่เธอเองก็ไม่เคยฝึก หยางเยว่ซินได้แต่สบถในใจเมื่อสิ่งที่ตนกำลังกังวลนั้นน่าจะเป็นความจริง

    ผู้มีมายาจิตแต่กำเนิดนั้นไม่ปรากฏในดินแดนนี้มานานมากแล้ว ซึ่งหากเธอมีมันจริงๆก็เท่ากับเธอเป็นคนแรกในรอบหลายพันปี และที่เธอพยายามทำตัวเองให้ไม่โดดเด่นและจมหายไปกับผู้คนนั้นสูญเปล่าในทันที

    นี่มันไม่รังแกกันมากไปหน่อยรึไง!!

    เพราะวันเกิดปีนี้ของเธอนั้นเธอเมาหลับไม่เป็นท่า ทำให้หยางเยว่ซินพลาดโอกาสดูอนาคตของตนเองไปอย่างน่าเสียดาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้จึงเป็นเรื่องที่เธอไม่ได้คาดคะเนเอาไว้ล่วงหน้า หยางเยว่ซินได้บทเรียนเพิ่มเติมว่าเมื่อคิดแย่งชิงชะตาตนเองกับพวกเทพบนสวรรค์เหล่านั้น หญิงสาวจะไม่สามารถพลาดได้แม้เพียงก้าวเดียว

    หยาจื่อบอกว่าพรสวรรค์ของเธอต้องมีคนขัดเกลา และเขาเป็นคนเดียวในดินแดนนี้ที่ศึกษาเรื่องมายาจิตอย่างจริงจัง เมื่อได้ข่าวจากเจ้าสำนักหมื่นกระบี่จึงรีบมาที่นี่เพื่อรับตัวเธอไปเป็นศิษย์ก่อนที่จะมีผู้อื่นมาชิงตัวไปเสียก่อน แต่หยาจื่อเองก็ไม่ได้บังคับหากเธอไม่ยินยอมที่จะไป

    "แต่มายาจิตของเจ้าอาจจะเป็นภัยต่อตัวเจ้าและคนรอบข้าง หากไม่ได้รับการขัดเกลา"

    เขาทิ้งท้ายไว้ก่อนหันไปบอกเจ้าสำนักว่าถ้ามีอะไรคืบหน้าให้ส่งยันต์ตัวแทนไปหาเขาอีกครั้ง ก่อนจะพริ้วกายหายไปราวกับภูตผี เมื่อแขกผู้ทรงอำนาจจากไปทั้งเจ้าสำนักและบิดาก็หันมากดดันเธอ เพราะการที่ผู้พิทักษ์ของหุบเขาดับตะวันมารับตัวศิษย์ด้วยตนเองนั้นไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก

    "ที่นั่นมันไกลนะเจ้าคะ.."

    เมื่อหาเหตุผลอื่นโต้แย้งพวกเขาไม่ได้ เธอก็ใช้ความน่าสงสารเป็นเครื่องต่อรอง แม้น้ำตาที่เอ่อคลออยู่บนดวงตานี่จะเกิดจากความรู้สึกจริงๆของเธอก็ตาม หุบเขาดับตะวันนั้นตั้งอยู่เหนือสุดของดินแดน หากจะเดินทางไปจากฉางอันย่อมต้องใช้เวลาสองเดือนเป็นอย่างต่ำทั้งยังไม่อนุญาตให้ผู้อื่นเข้าเขตของหุบเขา นั่นหมายความบิดาเธอไม่อาจมาเยี่ยมเธอได้เหมือนตอนที่อยู่ที่นี่

    เธอไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กเท่าครั้งนี้มาก่อน เธอสูญเสียพ่อแม่ไปแล้วหนึ่งครั้งและเธอไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นมาอีกครั้งโดยที่เธอไม่อาจอยู่แก้ไขได้ทันการณ์ หยางสือมองดวงหน้างดงามของบุตรสาวที่มีส่วนคล้ายภรรยาที่เสียไปถึงห้าส่วนด้วยความรักใคร่ ก่อนยกมือขึ้นลูบศีรษะของอีกฝ่ายแผ่วเบาราวกับต้องการปลอบโยน

    "เพียงแค่ห้าปีไม่นานหรอกลูกรัก พ่อจะรอเจ้าอยู่ที่นี่เสมอ"

     

    สุดท้ายเธอก็ตอบรับการเป็นศิษย์สายในของหุบเขาดับตะวันเพราะไม่อยากให้ความหวังที่บิดาตั้งเอาไว้นั้นเสียเปล่า ในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่เธอตอบรับ เจ้าสำนักก็รีบส่งยันต์ตัวแทนไปให้ว่าที่อาจารย์ของเธอทันที เขาดูกระตือรือราวกับเป็นตนเองที่จะได้ไป

    หยางเยว่ซินได้เห็นการใช้ยันต์ตัวแทนเป็นครั้งแรกก็ตกใจไม่น้อย เธอเคยอ่านเจอว่ามันเป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารของผู้ฝึกฝนวิถีเซียน พวกมันสามารถส่งข้อความไปถึงปลายทางได้ในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งตอนนั้นเธอคิดว่ามันคงเหมือน E-mail ในโลกเก่าของเธอ

    แต่เมื่อมาได้เห็นกับตาก็ลงความเห็นว่ามันแฟนตาซีกว่าที่เธอคิดไว้มาก เพราะยันต์ตัวแทนที่ว่านั้นเป็นหุ่นไม้ตัวเล็กเท่าฝ่ามือ โดยผู้ส่งจะเขียนชื่อจริงของผู้รับไปที่กลางลำตัวของพวกมัน ก่อนที่จะใช้ปรานกระตุ้นอักระที่ฝังอยู่ในตัวของมันขึ้นมา

    เมื่อหุ่นไม้เหล่านั้นเริ่มขยับตัวได้ ผู้ส่งสาสน์ก็แค่เพียงแตะมือไปที่ตัวของมันเพื่อถ่ายทอดข้อความโดยที่ไม่ค้องใช้การเขียนหรือพูด เมื่อได้รับข้อความครบถ้วนแล้วหุ่นไม้เหล่านั้นก็หายตัวไปในทันที เจ้าสำนักบอกเธอว่ามันจะไปปรากฏตัวต่อหน้าผู้รับ โดยที่มีเพียงคนที่มีชื่ออยู่บนตัวมันเท่านั้นที่จะเห็น

    แต่เธอก็อดคิดไม่ได้ว่าหากมีคนชื่อซ้ำกันขึ้นมา มันจะไปถูกคนหรือไม่

    ในช่วงเย็นของวันเดียวกัน หยาจื่อก็ได้ส่งหุ่นไม้มาถึงเธอโดยตรง เขาบอกให้เธอเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อที่จะเดินทางไกล และบอกว่าเขาจะมารับเธอในอีกสามวัน หยางเยว่ซินจึงใช้เวลาเหล่านั้นล่ำลาบิดาและเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวอย่างหลินเพ่ยจู

    หลินเพ่ยจูเข้าใจว่าเธอนั้นไร้พรสวรรค์ต้องถูกส่งกลับบ้านจึงร่ำไห้ยกใหญ่ ทั้งยังบอกว่าจะไปขอร้องอาจารย์ให้เธอสามารถอยู่ที่นี่ได้ต่อ จนหยางเยว่ซินต้องปลอบอยู่นานถึงจะสงบลงได้ แม้ในใจอยากบอกเพื่อนสนิทมากเพียงใดแต่เธอก็ไม่อาจทำเช่นนั้น เพราะเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวพันเพียงแค่ชีวิตเธอคนเดียว

    สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก็ถึงวันที่เธอจะต้องเดอนทาง หากแต่เธอรอหนาจื่อจวบจนพระอาทิตย์ตกดินแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของเขา หยางเยว่ซินจึงได้แต่ภาวนาขอให้เขาลืมหรือเกิดเรื่องจนมารับเธอไม่ได้

    หากแต่คำภาวนาของเธอไม่เคยเป็นผลในทางที่เธอต้องการเลยซักครั้ง เพราะทันทีที่เธอภาวนาจบก็เกิดเสียงประหลาดดังขึ้นที่หน้าลานหน้าห้องพักของ หยางเยว่ซินสบถขึ้นมาในใจแต่ก็ตัดสินใจที่จะออกไปดู

    ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาเธอที่มักจะเฉื่อยชามาตลอดถึงกับเบิกตากว้าง เพราะสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเธอคือนกเฟิ่งหวงสีแดงเพลงตัวใหญ่ มันกำลังยืนสงบนิ่งโดยมีอาจารย์ของเธอนั่งอยู่บนตัวมันด้วยท่วงท่าสง่างาม

    หยางเยว่ซินเคยเห็นนกเฟิ่งหวงอยู่ในบันทึกโบราณและภาพวาดอยู่หลายครั้ง เธอก็คิดมาเสมอมามันจะน่าเกรงขามเพียงใด หากแต่เมื่อได้มาพบตัวเป็นๆเช่นนี้ทำให้รู้ว่ามันน่าสะพรึงกว่าที่เธอเคยจินตนาการไว้เป็นไหนๆ หยาจื่อเมื่อเห็นเธอก้าวออกมาจากในห้องจึงกระโดดลงมาจากหลังของนกตัวใหญ่ และหยุดลงที่หน้าของเธอเ้วยท่วงท่าราวกับเทพเซียน

    "พร้อมเดินทางแล้วหรือไม่"

    หยางเยว่ซินพยักหน้าราวกับคนโง่งมโดยที่สายตาของเธอยังคงจับต้องไปยังนกสีแดงเพลิงตรงหน้า หยาจื่อไม่ได้สนใจท่าทางของเธอ เขาจับแขนเธอก่อนจะพาขึ้รมาบนหลังของนกตัวใหญ่ได้อย่างนิ่มนวล หยางเยว่ซินตาโตขึ้นอีกครั้งเมื่อสัมผัสกับขนขนที่มีไฟลุกตลอดเวลาของมัน มันช่างอ่อนนุ่มราวกับอยู่นั่งบนพรมชั้นดี

    "นั่งดีๆ ต่อให้เจ้ามีมายาจิตแข็งแกร่งเพียงใด แต่ถ้าหากพลาดพลัดตกลงไปก็ตายได้เช่นกัน"

    ช่างเป็นคำเตือนที่ไม่น่าฟังที่สุดเท่าที่เธอเคยได้ยินมาเลยจริงๆ
     

             
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×