คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่สาม
หลังจากที่ตัดปัญหาของหอพันดาราไปได้ไม่ถึงสองเดือน คนจากสำนักหมื่นกระบี่กลับส่งเทียบเชิญมาถึงเธออีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอไม่อาจปฏิเสธได้ง่ายๆอย่างเช่นตอนหอพันดารา ลูกอ้อนของเธอไม่ได้ผลกับบิดาเพราะอีกฝ่ายบอกว่าถ้าเธอไปอยู่สำนักหมื่นกระบี่ย่อมไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะที่นั่นเหมือนบ้านหลังที่สองของเขา
บิดาเธอจึงตั้งหน้าตั้งตาโน้มน้าวเธออยู่ทุกวัน วันละหลายๆครั้ง
และเมื่อรู้ตัวว่าทำไม่สำเร็จบิดาของเธอกลับไม่ยอมแพ้ เขาถึงกับให้ฮ่องเต้มาช่วยโน้มน้าวเธอด้วยอีกคน แต่ฮ่องเต้นั้นย่อมมีเล่ห์กลกว่าบิดาเธออยู่มาก อีกฝ่ายมีข้อเสนอว่าเธอสามารถไปที่นั่นโดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตนก็ได้ เพราะเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นเป็นศิษย์พี่ของพวกเขา เขารับประกันว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าเธอคือใครอย่างแน่นอน
หยางเยว่ซินจึงตอบตกลงไปเพื่อตัดปัญหา แต่เพราะสิ่งที่เธอเห็นในปีนี้ยังไม่เกิดเธอจึงไม่อาจตัดใจไปได้ หยางเยว่ซินขอเวลาเตรียมตัวอยู่หลายเดือนจนสุดท้ายก็ไม่อาจหาข้ออ้างได้อีก เธอถูกส่งมายังสำนักหมื่นกระบี่ในทันทีแม้เธอจะไม่ยินยอมก็ตาม
แต่หยางเยว่ซินยังไม่อาจเข้าพิธีปฏิญาณโลหิตได้เพราะเธอยังอายุไม่ถึง ซึ่งเธอก็ไม่ได้ใช้ชื่อปลอมอย่างที่ตกลงไว้กับฮ่องเต้ ด้วยเพราะเธอไม่เคยปรากฏตัวที่ไหนมาก่อน เธอมั่นใจว่าหากไม่ใช่คนของวังเหวินเจี้ยนหรือตำหนักกลางย่อมไม่เคยเห็นหน้าเธอและไม่อาจรู้ได้ว่าเธอคือใคร
อีกอย่างคือผู้คนต่างพากันเรียกเธอว่าท่านหญิงโง่งมมาตลอด จนต่างพากันลืมชื่อจริงๆเธอไปจนหมดแล้ว
และเพราะเธอยังทำปฏิญาณโลหิตไม่ได้ก็เลยยังวัดระดับพรสวรรค์ไม่ได้เช่นกัน ในช่วงห้าเดือนก่อนถึงวันเกิดของเธอจึงต้องเรียนกับศิษย์ระดับหนึ่งไปก่อน ระดับพรสวรรค์นั้นคือตัวบ่งชี้ถึงความสามารถในการผสานตัวเองกับธรรมชาติของคนผู้นั้น ซึ่งระดับพรสวรรค์นั้นมีตั้งแต่หนึ่งถึงสิบและถ้าหากได้ระดับแปดขึ้นไปก็จะถูกส่งชื่อไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์ทันที
หยางเยว่ซินรู้มาจากเด็กสาวร่วมห้องคนหนึ่งของเธอ ว่าเมื่อสามปีก่อนมีเด็กชายผู้หนึ่งของสำนักหมื่นกระบี่มีพรสวรรค์ถึงระดับสิบ และเขาถูกหนึ่งในผู้พิทักษ์มารับตัวไปแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วยตนเอง สร้างความฮือฮาไปทั้งสำนักอยู่พักใหญ่
ถึงวันส่งจดหมายครั้งหน้าเธอคงต้องอัพเดตข่าวให้ท่านพ่อเสียหน่อยแล้ว หยางเยว่ซินคิดในใจ
กิจวัตประจำวันของเธอคือการนั่งมองอาจารย์สอนด้วยแววตาเหม่อลอย เพราะอ่านเรื่องที่พวกเขาสอนไปตั้งแต่ช่วงแรกมาถึง เธอสามารถจดจำและทำได้โดยไม่ต้องเข้าเรียนด้วยซ้ำ แต่หยางเยว่ซินไม่ยอมทำเช่นนั้นเพราะมันจะทำให้แผนการทำตัวจืดจางของเธอไม่สำเร็จ
หยางเยว่ซินรู้ว่าใบหน้าของเธอจะทำให้เธอมีปัญหาตามมา เธอจึงขอร้องแกมข่มขู่หมอหลวงประจำวังทำยาพอกหน้าที่เมื่อพอกลงไปจะทำให้ดูเหมือนมีสิวให้เธอหลายสิบกระปุกและพกพวกมันติดตัวมาด้วย ก่อนจะพอกมันลงไปบนสองแก้มตั้งแต่วันแรกที่มาถึง
เด็กอัปลักษณ์ทั้งยังโง่งมแบบเธอจึงไม่มีผู้ใดให้ความสนใจอีกเลย
ใจจริงเธออยากทำให้ตนเองอัปลักษณ์ไปจริงๆหากแต่ใจยังไม่กล้าพอที่จะกรีดหน้าตัวเอง เธอหวังว่ายาพอกนี้จะส่งผลกระทบใดๆต่อหน้าเธอบ้าง แต่มันกลับยิ่งทำให้ใบหน้าเธอนวลเนียนและผ่องใสมากขึ้นทุกครั้งที่ล้างออก ดูท่าท่านหมอหลวงจะเป็นห่วงเธอมากเกินไปหน่อย
"เยว่ซิน เจ้าทำอันนี้ได้หรือไม่"
เสียงจากเด็กสาวที่นั่งข้างๆเรียกชื่อของเธอขึ้นมาทำให้เธอหลุดออกจากความเหม่อลอยของตนเอง หยางเยว่ซินผินหน้าไปมองอีกฝ่ายที่พยายามรวบรวมปรานไว้ในมือเพื่อที่จะใช้มันกระตุ้นอักขระให้ทำงานแต่ก็ทำไม่ได้เสียที เธอถอนหายใจแผ่วเบาก่อนส่ายหน้าด้วยสีหน้าว่างเปล่า แม้ในความจริงเธอจะทำได้ในครั้งแรกเลยก็ตาม
"เจ้าก็รู้นี่ว่าข้าโง่เพียงใด แค่อ่านยังไม่เข้าใจเลย"
"ข้าขอโทษ แต่ถึงยังไงเจ้าก็น่าจะลองฝึกดูนะ"
หลินเพ่ยจูเอ่ยขึ้นพร้อมส่งยิ้มให้กำลังใจมาให้เธอ หยางเยว่ซินจึงต้องแสร้งหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเสียใจ ก่อนจะนึกได้ว่าเมื่อครู่นั้นหลินเพ่ยจูทำผิดขั้นตอน สมองเริ่มคิดอย่างรวดเร็วว่าเธอจะเตือนอีกฝ่ายเช่นไรดีให้นาาสงสัยน้อยที่สุด
"เพ่ยเพ่ย ตรงนี้เขาบอกให้ทำยังไงนะ ข้าไม่เข้าใจ"
เธอเอ่ยถามขึ้นมาพร้อมชี้ไปในจัดที่หลินเพ่ยจูทำผิด ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจ
"ตรงนี้หรอ เขาบอกให้เดินพลังไปที่จุดกึ่งกลางมือก่อนที่จะถ่ายพลังลงไปที่ยันต์อักขระ อ๊าา ข้าเข้าใจแล้ว"
"เข้าใจอะไรหรอ..."
"ก็นี่ไง เพราะข้าทำตรงนี้ผิดข้าเลยทำไม่ได้ซะที"
หลินเพ่ยจูเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระตือรือล้น ก่อนจะปรบมืออกมาด้วยความยินดีเมื่อสามารถทำให้นกอักระของตนเองบินได้ดั่งใจ หยางเยว่ซินแสร้งยิ้มอย่างโง่งมก่อนเสมองออกไปด้านนอกห้องเรียน แต่ก็ต้องหยุดชะงักไปเมื่อสายตาประสานกับเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ด้านนอกห้องเรียนโดยไม่ได้ตั้งใจ
อีกฝ่ายดูโตกว่าเธอในตอนนี้สองถึงสามปี เขาสวมชุดสีน้ำเงินเข้มปักลายเมฆมงคลด้วยดิ้นเงิน ยังมีที่คาดเอวและแถบแขนสีเงินเดียวกันกับลายปัก ทั้งหมดในชุดนั้นทำให้เขาโดดเด่นและสง่างามอย่างมาก แม้ชุดจะดูหลวมโพร่กไปบ้างเนื่องจากร่างกายของเขายังไม่โตเต็มวัยก็ตาม
หากแต่สิ่งที่โดดเด่นกว่าการแต่งกายก็คงเป็นใบหน้าของอีกฝ่าย ผมสีน้ำตาลอ่อนรวบสูง ดวงตาหงส์ดูสูงศักดิ์และเย่อหยิ่ง จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางเหยียดตรงไม่บ่งบอกอารมณ์ ทั้งหมดบนใบหน้านั้นหาที่ติไม่ได้แม้แต่น้อย เธอมั่นใจว่าตัวเองเห็นคนหล่อมาเยอะแต่เธอยกให้เด็กหนุ่มผู้นี้ชนะคนอื่นขาดลอย เธอเพิ่งเข้าใจคำว่าหล่อราวกับปีศาจก็ตอนนี้
ไม่อยากคิดถึงตอนโตเลย
อีกฝ่ายเองก็มองมาที่เธออยู่เช่นกัน และเมื่อสบตากันเขากลับเลิกคิ้วขึ้นราวกับต้องการหยั่งเชิงเธอ หยางเยว่ซินเองก็เลิกคิ้วสวนกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ เธอและเขาจ้องตากันอยู่เนิ่นนานอย่างไม่มีใครยอมใคร จนหลินเพ่ยจูสะกิดแขนเธอเสียก่อน เธอจึงต้องเป็นฝ่ายละสายตาจากเขาเพื่อหันไปหาเพื่อนร่วมห้อง
"อาจารย์มาแล้ว"
หลินเพ่ยจูกระซิบกับเธอก่อนยืดตัวตรงอย่างตั้งใจเรียน เธอพยักหน้าตอบรับก่อนจะหันกลับไปมองเด็กหนุ่มผุ้นั้นอีกครั้ง แต่กลับพบว่าตรงนั้นไม่มีใครยืนอยู่แล้ว หยางเยว่ซินกดมุมปากลงพร้อมกับในหัวเริ่มวิเคาระห์ หากอีกฝ่ายไม่ใช่ยอดฝีมือก็คงเป็นผีอย่างแน่นอน ถึงสามารถหายตัวได้ว่องไวและไร้ร่องรอยได้ถึงเพียงนี้
เมื่อไม่มีคนให้มองเธอจึงหันหลับมานั่งมองอาจารย์อย่างเหม่อลอยต่อ และไม่ได้นึกถึกเด็กหนุ่มผู้นั้นอีก
หยางเยว่ซินใช้เวลาเรียนพื้นฐานของการฝึกวิถีเซียนจนอายุครบ 11 ปี เธอจึงได้เข้าร่วมพิธีปฏิญาณโลหิตที่จัดขึ้นบนหอคอยของสำนักในทุกๆปี และศิษย์ที่เข้าเรียนในปีนั้นจะต้องผ่านพิธีปฏิญาณโลหิตทุกคน
การปฏิญาณโลหิตจะทำได้โดยใช้เลือดของผู้ฝึกตนสร้างอักขระบนแท่นพันธะ ซึ่งแท่นพันธะนั้นเป็นศาสตราวัตถุระดับสูงและมันเชื่อมโยงกับศิลาวิญญาณที่ตั้งอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์โดยตรง เมื่อชื่อของผู้ฝึกฝนปรากฏขึ้นที่แท่นพันธะมันก็จะถูกสลักลงบนศิลาในทันที
หลังจากทำปฏิญาณโลหิตสมบูรณ์นั้นผู้ฝึกฝนจะมีสัญลักษณ์ขึ้นบนส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างหายที่สามารถมองเห็นได้ โดยสัญลักษณ์แต่ละสำนักก็แตกต่างกันออกไปตามธาตุประจำสัญลักษณ์ ซึ่งธาตุของสำนักหมื่นกระบี่เป็นธาตุไม้ สัญลักษณ์ของศิษย์สำนึกนี้จึงเป็นคำว่ามู่
หลังจากที่สัญลักษณ์ปรากฏ อ่างที่ตั้งอยู่รอบแท่นพันธะทั้งสิบอ่างก็จะค่อยๆเปล่งแสงออกมาตามระดับพรสวรรค์ของผู้ทำปฏิญาณ ซึ่งน้ำในอ่างจะแสดงถึงธาตุที่คนผู้นั้นสามารถควบคุมได้ดีที่สุด
หยางเยว่ซินวิ่งกระหืดกระหอบมายังหอคอยเพื่อเข้าร่วมพิธีที่จัดขึ้นหลังจากผ่านพ้นวันเกิดเธอไปเพียงหนึ่งวัน เมื่อวานเธอได้รับอาหารและขนมขึ้นชื่อจากฉางอันที่ถูกส่งมาโดยบิดาของเธอ หยาวเยว่ซินจึงชวนทุกคนในเรือนพักมากินด้วยกันจนกลายเป็นงานเลี้ยงย่อมๆ ซึ่งสำนักหมื่นกระบี่ไม่มีกฏห้ามสังสรรค์ ทำให้มีศิษย์พี่บางคนนำสุรามาดื่มด้วย เธอแอบชิมไปสองสามคำ แต่มันกลับทำให้เธอหลับสนิทจนเกือบมาไม่ทันเข้าร่วมพิธี
เจ้าสำนักและเหล่าอาจารย์ที่นั่งรออยู่เมื่อเห็นเธอปรากฏตัวเป็นคนสุดท้ายจึงส่งสายตาดุๆมาให้ หยางเยว่ซินจึงได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆไปให้อีกฝ่ายก่อนเดินไปนั่งรอเข้าพิธีปฏิญาณ ซึ่งพิธีนี้เป็นพิธีปิดเพราะเกี่ยวพันกับจิตวิญญาณของผู้ทำปฏิญาณ จึงอนุญาตเพียงเจ้าสำนักเท่านั้นที่จะอยู่ในห้องพิธีนั้นได้
ผ่านไปคนแล้วคนเล่าจนถึงเธอที่เป็นคนสุดท้าย หยางเยว่ซินเดินเข้าไปในห้องก่อนขึ้นไปยืนหน้าแท่นพันธะและยื่นมือของตนเองให้เจ้าสำนัก อีกฝ่ายกดมีดลงมาบนฝ่ามือเธอจนเลือดซึมออกมา หยางเยว่ซินนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกถึงความเจ็บที่มือ
เจ้าสำนักบอกให้เธอหยดเลือดลงบนแท่นพันธะ เธอมองเลือดที่ซึมลงไปบนแท่นนั้นอย่างรวดเร็วก่อนที่เจ้าสำนักจะส่งผ้าสะอาดให้เธอกดห้ามเลือดเอาไว้ และเขาก็ใช้พลังปรานของตนเองส่งไปยังอักขระที่อยู่รอบๆแท่ยพันธะจนมันเปล่งแสงขึ้นมา ก่อนที่จะปรากฏชื่อเธอขึ้นบนแท่นพร้อมกับความรู้สึกร้อนวาบขึ้นที่ข้อมือของเธอ
หยางเยว่ซินจึงพลิกข้อมือด้านในขึ้นมาดู เธอเห็นสัญลักณ์ของการทำปฏิญาณปรากฏขึ้นมาหากแต่มันกลับไม่ใช่คำว่ามู่อย่างเช่นคนอื่น เมื่อเธอพยายามหรี่ตาเพื่อมองให้ชัดเจนจึงได้รู้ว่าสัญลักษณ์ของเธอนั้นเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยถามเรื่องสัญลักษณ์ที่ปรากฏ ก็ถูกแสงสีเงินยวงที่เปล่งออกมาจากอ่างดึงความสนใจเธอไปเสียก่อน อ่างทั้งสิบรอบตัวเธอนั้นเปล่งแสงขึ้นมาพร้อมกันจนสว่างจ้าไปทั้งห้อง และที่สร้างความประหลาดใจให้เธอมากที่สุดคือในอ่างที่ควรเป็นธาตุต่างๆ บัดนี้กลับมีดอกหอมหมื่นลี้ล่องลอยอยู่ในนั้นแทนทั้งยังส่งกลิ่นหอมอบอวลดั่งขื่อของมัน
ชื่อที่ฮ่องเต้พระราชทานให้เธอตอนแต่งตั้งเป็นท่านหญิงก็คือ กุ้ยฮวา ที่แปลว่า ดอกหอมหมื่นลี้
ความคิดเห็น