คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่สอง
ดินแดนที่ชีวิตใหม่ของเธอถือกำเนิดแห่งนี้มีชื่อว่าดินแดนฝูซี แม้จะวัฒนธรรมต่างๆจะคล้ายสมัยราชวงศ์ถังผสมแต่ดินแดนนี้กลับไม่ตรงกับในประวัติศาสตร์ใดๆที่เธอเคยรู้จัก โดยเริ่มแรกดินแดนฝูซีประกอบด้วย 16 แคว้น 2 ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ละแคว้นจะถูกปกครองโดยอ๋อง ส่วนดินแดนศักดิ์เป็นที่ตั้งของสองสำนักใหญ่ที่มีอำนาจเหนือทั้ง 16 แคว้น
แต่เมื่อ 7 ปีก่อน หลี่อ๋องและอ๋องคนอื่นๆได้ร่วมมือกันรวมแคว้นต่างๆเขาด้วยกันจนเหลือแบ่งได้เป็น 7 แคว้นใหญ่ หลังจากแบ่งดินแดนกันอย่างลงตัวแล้วต่างฝ่ายก็ต่างตั้งตนเป็นฮ่องเต้และทำสัญญาสงบศึกร่วมกัน โดยแคว้นที่เธออาศัยอยู่มีชื่อว่าต้าถัง เป็นหนึ่งในสองแคว้นระดับหนึ่งของดินแดน ครอบครองพื้นที่ภาคตะวันออกทั้งหมด
หยางเยว่ซินยังรู้มาจากหนังสืออีกว่าโลกแห่งนี้มีสิ่งที่เรียกว่าการฝึกตน การฝึกตนจะทำให้ผู้ที่ฝึกมีพลังเหนือผู้คนทั่วไป เหมือนเป็นมนุษย์กลายพันธ์ุในหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่เธอเคยดู และจากการรวมแคว้นครั้งนั้นทำให้เกิดการแบ่งระดับของแคว้นที่วัดจากผู้ฝึกตน ซึ่งการขึ้นเป็นแคว้นระดับหนึ่งได้หมายถึงจะต้องมีผู้ฝึกตนจนบรรลุระดับผสานได้มากเกิน 200 คนในแคว้น
เหตุที่จำนวนผู้ฝึกตนเหล่านี้สามารถตรวจสอบได้ เพราะการที่จะเป็นศิษย์ของสำนักต่างๆได้ต้องผ่านพิธีปฏิญาณเลือด ซึ่งในพิธีนั้นจะถูกสลักชื่อลงบนศิลาเซียนที่ตั้งอยู่หน้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองแห่งทันที ทำให้ตอนนี้มีเพียงต้าถังและแคว้นซีเหลยที่ตั้งอยู่ในดินแดนตะวันตกเท่านั้นที่ได้ขึ้นเป็นแคว้นระดับหนึ่ง
และเธอได้รู้มาจากบิดาว่าการจะเข้าร่วมสำนักฝึกตนได้นั้น จะต้องมีอายุครบสิบเอ็ดปีและถูกเชิญจากสำนักฝึกฝนเท่านั้น โดยผู้คนที่ได้เข้าร่วมสำนักฝึกฝนจะได้รับการสอนใช้พลัง ได้เรียนตำราวิชาของแขนงต่างๆ และทรัพยากรการฝึกจากสำนักเหล่านั้น จวบจนอายุ 16 ปี พวกเขาจึงจะมีสิทธิ์กลับมาใช้ชีวิตในดินแดนเบื้องล่างได้
ทั้งบิดาเธอและฮ่องเต้หลี่จิ้งล้วนเป็นผู้ฝึกฝนวิถีเซียนของสำหนักหมื่นกระบี่ แต่เดิมสำนักหมื่นกระบี่เป็นสำนักที่ตั้งอยู่ในแคว้นไท่หยวน แต่เมื่อรวมแผ่นดินจึงกลายเป็นสำนักประจำแคว้นต้าถังร่วมกับหอพันดาราที่ตั้งอยู่นอกเมืองฉางอัน
โดยสำนักฝึกฝนนั้นมีทั้งหมดเก้าสำนักตั้งอยู่ในทุกๆแคว้น ซึ่งเจ้าสำนักแต่ละคนจะถูกคัดเลือกโดยสิบผู้พิทักษ์ของสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงทรัพยากรในการฝึกทั้งหมด ทั้งยา อาวุธวิเศษ ตำราต่างๆ ล้วนเป็นของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้มอบให้ทั้งสิ้น ว่ากันว่าผู้พิทักษ์หนึ่งคนของดินแดนศักดิ์สิทธ์มีพลังที่สามารถถล่มแคว้นระดับสองให้ราบได้โดยง่าย
และถ้าศิษย์ของสำนักใดความสามารถเข้าตาคนของแดนศักดิ์สิทธิ์ก็จะถูกรับเป็นศิษย์สายใน นั่นหมายถึงการได้รเรียนวิชาและใช้ทรัพยากรล้ำค่าได้อย่างไม่จำกัด นั่นหมายถึงความก้าวหน้าย่อมมากกว่าผู้คนที่เรียนจากสำนักธรรมดา
แต่บิดาบอกว่าคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ปรากฏตัวในดินแดนเบื้องล่างมาหลายปีแล้ว ทั้งยังไม่มีผู้ใดสามารถเข้าเป็นศิษย์สายในได้ในรอบหลายปีนี้อีกด้วย ในตอนนั้นเธอก็เพียงฟังผ่านๆไว้เป็นความรู้เท่านั้น เพราะคิดว่ายังไงตนเองก็ไม่น่าจะได้รับเทียบเชิญจากสำนักใดๆอยู่แล้ว
ด้วยชื่อเสียงของเธอนั้นย่อยยับจนไม่มีชิ้นดีเพียงนี้ อีกทั้งเธอยังไม่ได้เดือดร้อนที่จะแก้ไขมันเพราะเธอไม่หวังจะโดดเด่น สิ่งที่เธอต้องการคือการให้ทุกคนลืมเธอไปให้หมดต่างหาก ดังนั้นการไม่ได้เข้าร่วมสำนักเหล่านั้นย่อมเป็นคนทางที่ดีสำหรับเธอ
อีกอย่างคือเธอยังไม่อยากเป็น X-Men
แต่ตาเฒ่าชะตาพวกนั้นก็ไม่ปราณีเธออีกครั้ง หลังจากแผลงฤทธิ์เป็นคนปัญญาอ่อนอยู่นานบิดาก็เพิ่งเฉลยความแก่เธอว่ากลุ่มคนเหล่านั้นเป็นคนจากหอพันดาราและพวกเขารู้ว่าเธอนั้นปกติดี หยางเยว่ซินที่เปลืองแรงร้องไห้อยู่นานจึงค่อยลุกขึ้นยืนและปัดฝุ่นที่เกาะตามเสื้อผ้าของตนเองด้วยท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อน ก่อนย่อกายลงทำความเคารพพวกเขาโดยไร้ซึ่งความอับอายใดๆ
"ผู้น้อยล่วงเกินท่านผู้อาวุโสแล้ว ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ"
ชายคนที่ดูเหมือนหัวหน้าของกลุ่มคนนั้นโบกมือไปมาเป็นเชิงไม่ถือสา หยางเยว่ซินจึงเดินไปนั่งลงข้างๆบิดาโดยไม่ลืมส่งค้อนวงใหญ่ให้อีกฝ่ายที่ปล่อยให้เธอตะโกนจนเจ็บคอไปหมด เมื่อทุกคนนั่งลงแล้วชายคนเดิมจึงได้เอ่ยขึ้นมาถึงเรื่องที่พวกเขามาหาเธอถึงวังเหวินเจี้ยน
"ข้าได้ยินว่าท่านหญิงกุ้ยฮวา[1]นั้นเป็นอัจฉริยะเหนือผู้ใดจึงอยากเชิญให้ท่านเข้าฝึกฝนกับหอพันดารา แต่ท่านอ๋องบอกว่าเรื่องนี้ต้องถามความเห็นจากท่านด้วยตัวเอง"
เขาเว้นคำพูดไปเพื่อสังเกตุสีหน้าเธอ เมื่อเห็นหยางเยว่ซินยังคงสงบนิ่งจึงได้พูดต่อ
"ไม่ทราบว่าท่านหญิงมีความเห็นเช่นไร"
"เรียนท่านผู้อาวุโสตามตรง ตัวข้านั้นไม่มีความคิดจะเข้าร่วมสำนักฝึกฝนใดเจ้าค่ะ"
เสียงฮือฮาดังขึ้นจากคนในห้องนั้น รวมถึงบิดาของเธอที่หันมามองเธอราวกับเห็นเรื่องประหลาดที่สุดในชีวิต แม้กระทั่งตอนที่เธอบอกเรื่องแผนการรบตอนอายุสามขวบยังดูตกใจน้อยกว่านี้เลย หยางเยว่ซินลอบค่อนขอดอีกฝ่ายอยู่ในใจ
"ท่านหญิงคิดให้ดีก่อนเถิด..."
"ชื่อเสียงของข้านั้นเป็นเพียงเด็กสาวผู้หนึ่งที่มีปัญญาอ่อนด้อย เช่นนั้นหอพันดาราจะไม่เป็นที่ขบขันไปทั่วดินแดนหรือเจ้าคะ"
เธอบอกพร้อมยังแสร้งขมวดคิ้วราวกับเป็นห่วงพวกเขาเสียเต็มประดา แต่ภายในใจนั้นกลับลิงโลดเพราะไม่นึกว่าแผนเป็นคนปัญญาอ่อนของเธอมีประโยชน์มากมายเพียงนี้ หยางเยว่ซินปฏิญาณกับตนเองตั้งแต่ได้รับชีวิตใหม่ว่าเธอจะไม่ทำตัวโดดเดนจนชักพาภัยเข้าตัวเด็ดขาด ชะตาของเธอในชาตินี้ เธอจะควบคุมชะตาของเธอด้วยมือของเธอเอง
ลิขิตสวรรค์อันใด เธอเลิกเชื่อถือพวกตาเฒ่านั่นไปนานมากแล้ว
"แต่ถ้าท่านหญิงยอมแสดงความสามารถออกมา ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าหัวเราะเยาะท่าน"
"ข้าอยากให้ท่านผู้อาวุโสลองคิดตามข้าดูนะเจ้าคะ ด้วยอำนาจของท่านพ่อ หากข้าเปิดเผยความสามารถย่อมไม่ใช่เรื่องน่ายินดีของผู้อื่นอย่างแน่นอน เช่นนั้นมิเท่าว่าข้านำตนเองและท่านพ่อไปยืนกลางสนามรบหรือเจ้าคะ"
คนกลุ่มนั้นมองหน้ากันพลางคิดตามที่เธอพูดมา
"ต่อให้สำนักพันดาราคุ้มครองพวกเราพ่อลูก แต่ศัตรูในที่ลับย่อมยากที่จะป้องกันได้หมด ขอท่านผู้อาวุโสทั้งหลายโปรดเข้าใจข้าด้วยเจ้าค่ะ"
เธอพูดพร้อมลุกขึ้นย่อกายทำความเคารพพวกเขาทุกคนด้วยท่าท่างลำบากใจ ทั้งหมดมองหน้ากันอีกครั้งก่อนตัดสินใจทิ้งเทียบเชิญไว้ให้เธอเผื่อมีโอกาสที่เธอจะเปลี่ยนใจทีหลัง จิ้นเหออ๋องเดินไปส่งพวกเขาเสร็จก็กลับเข้ามาเธอที่นั่งดื่มชาด้วยท่าท่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนใดๆทันที
"ปกติแล้วสำนักฝึกฝนไม่มาเชิญผู้ใดด้วยตนเองเช่นนี้ เหตุใดลูกจึงไม่ตอบรับพวกเขา"
หยางสือถามบุตรสาวขึ้นพลางหยิบเทียบเชิญสีทองขึ้นมาดูด้วยความเสียดาย ตลอดสิบปีมานี้เขารู้ดีว่าบุตรสาวของตนเองไม่เคยเปลี่ยนความคิดง่ายๆ สิ่งใดที่นางตัดสินใจไปนั่นหมายถึงผ่านกระบวนการคิดที่ถี่ถ้วนมาแล้ว หากคิดจะโน้มน้าวให้นางเปลี่ยนใจนั้นคงต้องวิงวอนต่อสวรรค์เอาดูจะเป็นไปมากกว่า
"ลูกบอกเหตุผลพวกเขาไปหมดแล้วเพคะ"
"พ่อเป็นแม่ทัพคุมทหารนับแสน ย่อมไม่ยอมให้ถูกผู้อื่นทำร้ายแน่นอน""
หยางเยว่ซินวางถ้วยน้ำชาลงแผ่วเบา ก่อนหันไปหาผู้เป็นบิดา
"การทำร้ายไม่ได้มีเพียงการต่อยตีนะเพคะ สิ่งที่ลูกกลัวไม่ใช่การที่ท่านพ่อถูกทำร้ายทางร่างกาย"
"ลูกหมายถึง.."
"เล่ห์กลในราชสำนักนั้นมีมากมาย ยิ่งท่านพ่อใกล้ชิดฮ่องเต้เท่าใดยิ่งไม่ปลอดภัยเท่านั้นเพคะ"
เธอบอกก่อนลุกยืนขึ้นและเดินเข้าไปกอดบิดา ก่อนถูหน้าไปมาบนเสื้อผ้าไหมเนื้อดีด้วยท่าทางประจบประแจง เธอมั่นใจว่าวรยุทธ์ของเธอตอนนี้บวกกับมันสมองที่เธอมีก็เพียงพอให้เธอเอาตัวรอดได้ โดยไม่ต้องดิ้นรนเอาตนเองไปอยู่ในที่แจ้งให้คนอื่นมาใช้ประโยชน์จากความสามารถของเธอ
"อีกอย่างคือลูกไม่อยากไปจากท่านพ่อเพคะ"
แผนการใช้ลูกอ้อนของเธอประสบความสำเร็จด้วยดี หยางสือเก็บเทียบเชิญนั้นเข้ากรุโดยไม่คิดจะนำมันมาโน้มน้าวกับเธออีกครั้ง หยาวเยว่ซินจึงได้ใช้ชีวิตอิสระอย่างเช่นการอ่านหนังสือ ฝึกวรยุทธ์ หรือทำเรื่องไร้สาระของตนเองไปเรื่อยๆดังเดิม
แม้การแสดงออกของเธอจะดูไม่ทุกข์ไม่ร้อน หากแต่เธอกำลังเฝ้าระวัง เพราะเรื่องที่จะเกิดในปีนี้ที่เธอได้เห็นมันยังไม่เกิดขึ้น เธอจะไม่ยอมพลาดแม้แต่จุดเดียว เพราะความสามารถมองเห็นอนาคตของเธอยังมีข้อจำกัดอยู่ เพราะเธอมีโอกาสเห็นอนาคตของเธอแค่ปีละหนึ่งครั้งในวันเกิด และในปีนี้เธอเห็นตนเองถูกคนลักพาตัวเพียงเพราะเธอเผลอแสดงความสามารถออกไปให้พวกเขารู้ว่าเธอไม่ได้โง่งม
พวกเขาลักพาตัวเธอไปเพื่อกดดันให้บิดาเธอทำตามที่พวกเขาต้องการ แม้จะไม่เห็นว่าเป็นใครหรือต้องการอะไรจากบิดาเธอ แต่หยางเยว่ซินก็เลือกที่จะกันไว้ดีกว่าแก้ นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่เธอปฏิเสธสำนักพันดาราในทันทีที่พวกเขาบอกให้เธอแสดงความสามารถ
เธอยินดีเปลี่ยนทุกอย่างที่เป็นภัยต่อตัวเธอโดยไม่สนว่าจะมีผู้ใดต้องรับชะตานั้นแทนเธอหรือไม่ ในชาติก่อนเธอคิดว่าเธอห่วงคนอื่นมามากพอแล้ว
เธอห่วงว่าพวกเขาจะไม่มีงานทำ จึงยังให้ทำงานในบริษัทของพ่อ
เธอห่วงว่าลูกสาวของพวกเขาจะไม่มีเพื่อน จึงเป็นเพื่อนกับเธอ
เธอห่วงว่าพวกเขาจะรู้สึกด้อยกว่าเธอ จึงมอบฐานะพ่อแม่บุญธรรมให้พวกเขา
แต่สิ่งที่พวกเขาตอบแทนเธอมันช่างโหดร้ายต่อความห่วงใยของเธอยิ่งนัก แม้พวกเขาจะอ้างว่าพวกเขาควรได้รับสิ่งเหล่านั้นตอบแทนกับการที่พวกเขาเติมเต็มชีวิตครอบครัวให้เธอ แต่การแย่งชิงชีวิตเธอ ตัวตนของเธอ เพราะเธอโดดเด่นเกินหน้าเกินตาพวกเขา มันไม่มากไปหรืออย่างไร
[1] กุ้ยฮวา = ดอกหอมหมื่นลี้
ความคิดเห็น