ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จารจันทรา

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่หนึ่ง

    • อัปเดตล่าสุด 26 เม.ย. 63


    ศาลาหลังเล็กตั้งอยู่ริมสระน้ำขนาดใหญ่ซึ่งกินพื้นที่กว่าหนึ่งในสามของที่แห่งนี้ ระเบียงด้านหนึ่งของศาลายื่นลงไปบนผิวน้ำและถูกเปิดโล่งไร้รั้วกั้น ด้านข้างศาลานั้นปลูกต้นอิงฮวา[1] ที่มีดอกเกือบตลอดทั้งปีด้วยการดูแลแบบพิเศษจากผู้เป็นเจ้าของ

    ภายในศาลามีร่างเล็กของเด็กสาวผู้หนึ่งนอนหลับตาอยู่บนเบาะนุ่ม มือข้างหนึ่งของนางยื่นลงไปสัมผัสผิวน้ำด้านล่างที่มีกลีบอิงฮวาลอยอยู่มากมาย ดวงหน้าของนางแม้จะยังไม่อยู่ในวัยที่โตเต็มที่แต่เค้าความงามที่ปรากฏออกมานั้น สามารถคาดเดาได้เลยว่าในอนาคตนางจะกลายเป็นโฉมสะคราญเหนือใต้หล้าได้โดยไม่ลำบากอันใด

    เปลือกตาที่มีแพขนตาหนากระพือขึ้นแผ่วเบาสองสามทีก่อนจะเปิดออก ปรากฏดวงตาสีรัตติกาลที่มีประกายระยิบระยับราวกับมีดวงดารานับพันอยู่ภายในนั้น เด็กสาวนอนมองผ้าม่านสีขาวที่ปลิวเอื่อยๆตามแรงลมอยู่พักหนึ่ง ก่อนถอนหายใจแต่ผุดลุกขึ้นเมื่อได้ยอนเสียงคนเดินเข้ามาใกล้

    หยางเยว่ซิน หรือก็คือ เซเลน่า หยาง เธอที่ควรจะตายไปแล้วเมื่อสิบปีก่อน แต่กลับมาอยู่ในร่างเด็กหญิงผู้เป็นบุตรีเพียงคนเดียวของแม่ทัพใหญ่แห่งต้าถัง

    เธอในชาติก่อนถูกฝังทั้งเป็นภายในสุสานโบราณโดยคนที่เธอเรียกว่าครอบครัว ในขณะที่เธอกำลังปล่อยวางว่าจะได้ไปอยู่กับบิดามารดาและคุณย่า เธอกลับถูกคนผู้หนึ่งฟาดลงมาที่ก้นอย่างแรงจนต้องแผดเสียงร้องลั่น แม้อยากลืมตาไปมองคนที่ทำร้ายเธอมากถึงเพียงใดแต่ก็ทำไม่ได้ อย่าว่าแต่ลืมตาเลย เธอไม่สามารถทำอะไรได้เลยด้วยซ้ำเพราะเธออยู่ในร่างของเด็กทารกเพิ่งเกิดผู้หนึ่ง ได้ยินคนคุยกันว่ามารดาของเธอช่างน่าสงสารยิ่งนัก อีกฝ่ายสิ้นใจไปทันทีที่คลอดเธอออกมาสำเร็จโดยที่ยังไม่ทันที่จะได้เห็นหน้าเธอด้วยซ้ำ

    เธออยู่ในร่างของเด็กทารกมาเนิ่นนานจนตอนนี้สามารถลืมตาได้แล้ว เธอได้เห็นบิดาของเธอเป็นครั้งแรก อีกฝ่ายมีหน้าตาหล่อเหลาคมคายและผู้คนเรียกขานเขาว่าท่านหัวหน้ามือปราบ เธอนึกสงสัยที่การแต่งกายของเขาและคนอื่นๆที่ดูราวกับเป็นยุคโบราณ หากแต่เธอก็ถามอะไรใครไม่ได้ เธอทำได้แค่เพียงร้องไห้ กินนม และนอนหลับเท่านั้น

    ช่างน่าหงุดหงิดจริงๆ

    วัยทารกของเธอผ่านไปโดยที่ตัวเธอเองก็มีพัฒนาการที่รวดเร็วกว่าเด็กทั่วไปอยู่มาก เธอสามารถคลาน เดิน พูดและกินอาหารด้วยตนเองได้ในวัยเพียงหนึ่งปีครึ่ง และยังฉลาดเฉลียวจนบิดาและเหล่าคนดูแลต่างพากันดีอกดีใจที่เธอเป็นเด็กอัจฉริยะ โดยที่ไม่รู้เลยว่าภายในของเธอนั้นเป็นหญิงสาววัย 28 ปี

    หยางเยว่ซินโตขึ้นมาอย่างดี จนถึงอายุสามปีจู่ๆบิดาก็ถูกเลื่อนตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพอย่างรวดเร็ว เธอได้รู้ว่าหลี่อ๋องผู้เป็นนายของบิดานั้นวางแผนร่วมกันกับอ๋องอีก 6 คนยึดรวมแคว้นทั้งหมด โดยในตอนนี้พวกเขาสามารถยึดดินแดนของภาคกลางไว้ได้ทั้งหมดแล้ว และจะบุกตีฉางอันที่เป็นเมืองหลวงของแคว้นสุดท้ายที่เป็นศูนย์กลางในอีกหนึ่งเดือน พร้อมทั้งก่อตั้งราชวงศ์ใหม่โดยมีหลี่อ๋องเป็นผู้นำ

    บิดาชอบเอาเธอมานั่งตักด้วยยามอยู่ที่จวน ด้วยเพราะคิดว่าเธอยังเด็กและคงฟังพวกเขาปรึกษาหารือกันไม่รู้เรื่อง แต่หารู้ไม่ว่าเธอรู้ทุกอย่างทั้งยังอยากไปร่วมวงสนทนานี้ด้วยใจจะขาด ถ้าไม่ติดว่าพูดไปก็ไม่มีใครฟังเธอรู้เรื่องน่ะนะ

    เด็กสามขวบลิ้นสั้นเช่นนี้ทุกคนหรือ เธอไม่เข้าใจ

    หยางเยว่ซินอยากบอกพวกเขาว่าพวกเขาควรทำเช่นไรจึงจะชนะศึกนี้โดยง่าย เพราะตัวเธอในโลกแห่งนี้สามารถมองเห็นอนาคต ซึ่งเธอรู้ได้โดยบังเอิญจากการสัมผัสตัวแม่นมของตนเองและเห็นว่าอีกฝ่ายจะถูกรถม้าชนจนพิการไปตลอดชีวิต เธอจึงร้องไห้งอแงอย่างหนักเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายออกไปตลาด ซึ่งหลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์แบบที่เธอเห็นขึ้นมาจริงๆ แต่เป็นผู้อื่นที่รับเคราะห์ไปแทน

    เธอพยายามครุ่นคิดว่าเธอจะบอกพวกเขาอย่างไรดีเมื่อเธอไม่สามารถพูดได้ดั่งใจ ส่วนเรื่องเขียนนั่นลืมไปได้เลย มือเธอยังจับพู่กันไม่รอบด้วยซ้ำ เมื่อลองใช้นิ้วเขียนกระดาษเหล่านั้นก็เปื่อยยุยไปเสียก่อน เมื่อเดินวนไปวนมาอยู่นานจนเมื่อยก็คิดออก

    เธอวิ่งออกไปหักกิ่งไม้อันเล็กให้เป็นขีดสั้นยาวไม่เท่ากัน ก่อนนำมันมาจุ่มมันลงบนหมึกและประทับลงบนกระดาษจนเป็นตัวหนังสือ แม้จะเลอะเทอะและทุกลักทุเลอยู่มากแต่ก็สำเร็จออกมาได้เป็นประโยคที่เธอต้องการจะบอก ร่างเล็กวิ่งไปหาบิดายังห้องนอนของอีกฝ่าย ก่อนยื่นกระดาษของตนเองให้พร้อมบอกให้บิดาอ่าน

    "ลูกได้นี่มายังไง"

    หยางสือเอ่ยถามบุตรสาวขึ้นอย่างตกใจทันทีที่อ่านจบ ในนั้นเป็นแผนการบุกยึดฉาฃอันด้วยทางลับในพระราชวัง แม้จะเขียนบอกได้ไม่ละเอียดนักแต่ใจความสำคัญก็ไม่ตกหล่นไปแม้แต่น้อย หยางเยว่ซินยิ้มก่อนชูมือที่เปื้อนหมึกขึ้นให้บิดาดู

    "เขียน ..เขียนเอง"

    เธออยากตอบยาวกว่านี้แต่ทำไม่ได้ หยางสือเบิกตากว้างก่อนย่อตัวอุ้มบุตรสาวขึ้นมาบนตัก พร้อมทั้งชี้ไปยังกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะและถามออกมาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

    "เยว่เอ๋อร์จะบอกบิดาว่าเจ้าเขียนแผนการทุกอย่างนี้ด้วยตนเองงั้นหรือ"

    ศีรษะเล็กพยักขึ้นลงแทนคำตอบ ก่อนที่เจ้าตัวจะดิ้นดุกดิกลงจากตักของบิดาและวิ่งนำออกไปที่ห้องหนังสือ หยางสือหยิบกระดาษนั่นขึ้นมาและเดินตามบุตรสาวออกไป เมื่อมาถึงห้องหนังสือของตนเองก็ได้แต่ตกใจกับภาพตรงหน้า กิ่งไม้เปื้อนหมึกสีดำวางกระจายเต็มโต๊ะทำงานของเขา โดยมีบุตรสาวใช้มันประทับลงไปบนกระดาษจนเป็นคำขึ้นมา

    ไม่ว่าเขาจะถามอะไรไปหยางเยว่ซินก็ใช้กิ้งไม้นั่นเขียนคำตอบให้เขาได้เกือบทุกเรื่อง หยางสือมองบุตรสาววัยสามปีที่อ่านเขียนได้ราวกับผู้ใหญ่ ทั้งยังสามารถวางแผนการรบที่แสนแยบยลนี่ด้วยสายตาคาดไม่ถึง เขารู้ส่าบุตรสาวของเขานั้นเก่งกาจกว่าเด็กทั่วไป หากแต่เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำได้ถึงเพียงนี้

    "ท่านเพาะ ไม่ต้องห่วง"

    เธอกระโดดลงมาจากเก้าอี้ก่อนตบลงบนมือบิดาสองสามครั้งราวกับต้องการปลอบใจ หยางสือแม้อยากทดสอบบุตรสาวมากกว่านี้แต่เขาก็มีหน้าทีที่ต้องทำ อีกทั้งแผนการบุกในมือนี้ก็ดูเป็นไปได้อยู่มากคงไม่เสียหายอันใดหากเขาจะนำมันไปปรึกษากับท่านอ๋อง เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงหันมาหาบุตรสาว

    "พ่อขอยืมสิ่งนี้ของเจ้าไปบอกแก่ท่านอ๋องหน่อยได้หรือไม่"

    หัวเล็กพยักขึ้นลงอย่างกระตือรือล้น หยางสือจึงก้มลงจุมพิตไปที่หน้าผากมนของบุตรสาวและผุนผันออกไปอย่างรวดเร็ว

    อีกหนึ่งเดือนต่อมาก็มีข่าวลือสะพัดไปทั่วทั้งไท่หยวนว่าทัพของหลี่อ๋องบุกยึดฉางอันได้แล้ว อีกทั้งยังไม่มีการสูญเสียเลือดเนื้อของราษฎรเลยแม้แต่คนเดียว ท่านอ๋องคนเก่าถูกสังหารในขณะหลบหนี หลี่อ๋องจึงก่อตั้งราชวงค์ขึ้นใหม่ โดยเปลี่ยนจากตำแหน่งอ๋องเป็นฮ่องเต้ ผู้คนต่างพากันแซ่ซ้องเพราะถูกกดขี่อยู่ภายใต้การปกครองของท่านอ๋องคนเดิมที่เป็นทรราชมาเนิ่นนาน

    บิดามารับเธอและครอบครัวทั้งหมดย้ายไปฉางอัน ด้วยเพราะมีความดีความชอบอย่างมากจึงทำให้ฮ่องเต้แต่งตั้งบิดาเธอเป็นจิ้นเหออ๋อง หากแต่พระราชวังใหม่นั้นยังไม่ถูกสร้างขึ้น ครบครัวเธอจึงต้องอาศัยจวนของมหาเสนาบดีคนเก่าไปก่อน

    แต่เรื่องของแผนการบุกนั้นบิดาเธอไม่ได้บอกผู้ใด เพราะกลัวว่าเธออาจจะเป็นอันตรายและมันคงเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อจนเกินไปหากบอกว่าราชวงศ์ใหม่สามารถก่อตั้งขึ้นได้จากความช่วยเหลือของเด็กสามขวบ ซึ่งเธอก็เห็นด้วยกับการทำเช่นนี้ เธอรู้ดีจากประสบการณ์ในโลกที่แล้วว่าการประกาศตนว่าตนเองเก่งนั้นส่งผลร้ายมากกว่าดี

    พอถึงวัยห้าปีเธอก็อ่านตำราในห้องหนังสือของบิดาจนหมดทั้งยังสามารถท่องมันได้อย่างเชี่ยวชาญ เพราะอีกความสามารถหนึ่งของเธอในชีวิตใหม่แห่งนี้ก็คือการมีความทรงจำแบบภาพถ่าย เธอสามารถจดจำทุกอย่างได้เพียงผ่านตาแค่ครั้งเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องซับซ้อนถึงเพียงใดเธอก็สามารถทำความเข้าใจได้โดยง่าย

    และเพราะมีบิดาเป็นถึงอ๋องทำให้เธอเป็นที่หมายตาของแม่สื่อตั้งแต่เด็ก แต่หยางเยว่ซินไม่สนับสนุนการคลุมถุงชนจึงขอร้องให้บิดาปล่อยข่าวว่าเธอโง่งมและมีสติปัญญาอ่อนด้อยราวเด็กหนึ่งขวบ ทำให้เหล่าแม่สื่อนั้นม้วนเสื่อกลับแทบไม่ทัน มีเพียงคนในจวนเท่านั้นที่รู้ว่าเธอนั้นเฉลียวฉลาดเพียงใด

    อายุหกปีสามารถเล่นเครื่องดนตรีทั้ง 8 ได้อย่างเชี่ยวชาญ

    อายุเจ็ดปีสามารถตอบคำถามของฮ่องเต้ในการสอบเคอจวี่ของปีที่ผ่านมาได้อย่างถูกต้อง

    อายุแปดปีสามารถวาดภาพพระราชวังต้าหมิงที่เพิ่งสร้างสำเร็จเพื่อเป็นของขวัญให้แก่ฮ่องเต้ได้

    อายุเก้าปีวางแผนแก่ปัญหาภัยแล้งให้ฮ่องเต้ได้ จนได้รับพระราชทานตำแหน่งท่านหญิงขั้นหนึ่งมีศักดิ์เทียบเท่าองค์หญิงทุกประการ

    แม้ผู้คนต่างพากันสงสัยว่าเหตุใดเด็กหญิงที่มีสติปัญญาอ่อนด้อยจึงได้รับบรรดาศักดิ์อันสูงศักดิ์ถึงเพียงนี้ หากแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าตั้งคำถาม เพราะผู้คนล้วนรู้ดีว่าจิ้นเหออ๋องนั้นเป็นถึงพี่น้องร่วมสาบานกับฮ่องเต้ตั้งแต่สมัยเด็ก

    ตอนนี้เธออายุสิบปี ยังไม่มีผลงานใดๆเพิ่มเติมเพราะเธอกำลังสนใจเรื่องวรยุทธ์ เธอใช้เวลาเกือบ 3 ปีเพื่อขอบิดาเล่าเรียนวรยุทธ์หากแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมอนุญาต จนเมื่อปีก่อนได้ย้ายเข้ามาในวังเหวินเจี้ยนอันเป็นวังแห่งใหม่ที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ เธอจึงยอมเสี่ยงตายปีนกำแพงวังเพื่อที่จะฝึกวิชาตัวเบาด้วยตนเองนั่นแหละ บิดาถึงยอมให้องครักษ์มาสอนวรยุทธ์ให้แก่เธอ

    "ท่านหญิงเพคะ ท่านอ๋องเชิญท่านหญิงไปพบที่ห้องหนังสือเพคะ"

    เป็นนางกำนัลคนหนึ่งกล่าวขึ้นพร้อมย่อกายให้เธอที่ลุกขึ้นมาจากการนอนกลางวัน ผมสีน้ำหมึกยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงแต่ก็ไม่สามารถกลบความงดงามลงไปได้แม้แต่น้อย หยางเยว่ซินเช็ดมือที่เปียกจากการจุ่มลงไปในน้ำกับชายเสื้อของตนเองก่อนลุกขึ้นยืนและเดินลงมาจากศาลาโดยไม่สนใจทำผมให้เรียบร้อย

    เธอเดินมาจนถึงห้องหนังสือ แต่ในขณะที่กำลังจะเปิดประตูเข้าไปนั้นเธอได้ยินเสียงของบุรุษมากกว่าหนึ่งคนอยู่ด้านใน เด็กสาวถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนตัดสินใจนั่งลงที่พื้นและสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนแผดเสียงร้องออกมาดังลั่นวังเหวินเจี้ยน

    "ข้าจากินถังหูลู่ววววววววววววววว"

    แกล้งเป็นคนปัญญาอ่อนนี่มันเจ็บคอเหมือนกันนะ

     

    [1] อิงฮวา = ซากุระ
     

             
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×