ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    4 Story

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 27
      0
      2 ส.ค. 55

                    “...รู้ไหมว่าเจ้าทำอะไรลงไป ห้องสมุดนี้เป็นห้องสมุดประชาชน เจ้าจะชดใช้ยังไง ฮึ ตอบมา!!” เสียงฮึดฮัดบ่นเรื่องทรัพย์สินของบ้านเมืองยังดังขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่แยแสว่า ผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เก่าๆที่ใช้อ่านหนังสือจะเป็นอย่างไร

                    ตายแน่ๆ...ตายชัวร์อย่างไม่ต้องเก็บศพเลย จะให้ผมทำยังไงเล่า? ก็มันระเนระนาดซะขนาดนั้น ซินเฟลวบรรณารักษ์ของห้องสมุดแก่ๆกำลังสำรวจหนังสือที่ร่วงตกลงมาที่พื้นอย่างกระวนกระวาย

                    “ไม่ตอบ...ไม่ตอบ เห็นทีข้าจะต้องส่งเจ้าให้ราชการจัดการ ข้อหาทำลายทรัพย์สินส่วนรวมของวอล์ฟคอลเสียแล้ว”

                    “ไม่!!!” ผมตอบขึ้นทันควันอย่างไม่ต้องคิด เรื่องอะไรจะยอมให้จับได้ง่ายๆ คนจนๆก็มีศักดิ์ศรีนะเฟ้ย! ค่าประกันก็แพงแสนแพง โหดก็โหด อนาคตของผมยังอีกไกล เรื่องอะไรจะเสียเวลากับเรื่องพวกนี้กัน! ยิ่งไปกว่านั้นประเทศวอล์ฟคอลก็ไม่ได้ยุติธรรมอะไรนัก ใครมีอำนาจ มีสินบนพอก็ไม่มีความผิด แต่ ผม จน! ไม่มีอะไรจะมารับประกันได้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัยในคุก!!

                    “...งั้นก็จงรับโทษซะ เมื่อวันก่อนทางแฟนเทเซียเมืองหลวงนู่นได้ส่งพระราชองค์การจากพระเจ้าหลุยส์มาว่า เราต้องแต่งนิทานเป็นจำนวนสี่เรื่อง ข้าจึงคิดว่า...” ชายชราเดินออกมาจากเคาน์เตอร์ ร่างที่ไม่สู้คนนั้นทำให้ผมอยากเข้าไปอัดสักที!

                    “ให้ข้าแต่งหรือไง? ก็ข้าอ่านหนังสือไม่เป็น เขียนไม่ได้ จะให้ข้าทำไงเล่า ท่านมีวิธีให้ข้าทำได้หรือไง?!” ผมโวยวาย แล้วขยี้ผมสีน้ำตาลของตัวเองอย่างจนปัญญา ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าชีวิตคนจนๆอย่างผมจะมีวันได้แต่งนิทานกะเขา...ไม่สิ แค่อ่านยังไม่มีปัญญาเลย!

                    “ไม่ต้องห่วงข้ามีข้าจ้าง และคนสอนภาษาให้เจ้าแน่” ดวงตาสีเดียวกับผมของผมมองตาแก่เบื้องหน้าด้วยความรู้สึกฉงน ใครวะ? ซินเฟลวมองไปทางด้านขวาของตน ผมจึงมองตาม ก็พบผู้ชายร่างกำยำเหมือนกับเป็นนักมวย หรือไม่ก็กรรมกรงั้นแหละ เขาหันมามองผม ก่อนที่สายตาของเขาจะมองผมด้วยความเหยียดหยาม

                    “ไอ้...ไอ้ยักษ์นั่นน่ะนะ!” ดีใจอยู่ ที่ได้ค่าจ้าง แต่...เรียนกับยักษ์ นี่มันต่างจากนรกสักเท่าไหร่กัน! ซันเฟลวพยักหน้าเป็นเชิงว่า ใช่ นั่นทำให้ผมถึงกับลุกพรวดจากเก้าอี้ ไม่รงไม่รอแม่งแล้ว! เชิญเอาส่งให้ราชการบ้าบอนั่นไปเลย!

                    “ดื้อนักนะไอ้หนู ถ้าไม่อยากเรียนเจ้าก็ต้องเรียนเอง เรียนด้วยตัวเอง เจ้าคงไม่คิดที่จะเบี้ยวหรอกนะ...เพราะถ้าทุกคนรู้ว่าห้องสมุดพังระเนระนาดไม่เป็นท่า เขาจะว่าอย่างไรกันหนอ หากรู้ว่าเจ้าเป็นคนทำ...” บรรณารักษ์แก่ๆจิกคอเสื้อสีมอซอของผมเอาไว้ ทำให้ผมต้องดิ้นสุดชีวิต แต่เมื่อได้ยินว่าจะบอกชาวบ้าน ผมก็ยอมสยบแต่โดยดี บอกก็ได้โดนกระทืบเละน่ะสิ

                    “ก็ได้ ข้าทำก็ได้! กำหนดล่ะ!?” ชายชรายิ่มกริ่ม ก่อนที่จะเอ่ยออกมาว่า

                    “สี่ปีหน้า สี่เรื่อง เรื่องละไม่ต่ำกว่าสามร้อยหน้ากระดาษ”

                    “อ้ากกกกก~!!!!”

     

                    และนั่นคือเรื่องเมื่อสามสิบนาทีก่อน บัดนี้ผมได้กำลังบิขนมปังแข็งๆ ปานจะกระทบหัวคนให้แตกได้ โยนเข้าปากอย่างสุดเซ็ง คนจนๆอย่างผมจะเอาอะไรนักหนากับอาหารการกิน ไม่ไปขอทานก็ดีแล้ว ว่าไปก็ฮึดฮัดกระฟัดกระเฟียดไป ผมว่าการเรียนหนังสือด้วยตนเองนั่นแหละ แย่!!!

                    ผมพลิกหนังสือ (ที่อ่านไม่ออกเลยแม้แต่ตัวเดียว) ดู ไม่รู้ว่ามันเป็นหนังสือของนักเรียนชั้นระดับไหน ตาแก่บอกแต่ว่า มันเป็นหนังสือสอนภาษา ถ้าอ่าน และเขียนเล่มนี้ได้ ผมก็จะเขียนนิทานนั่นได้! พูดจริงๆนะ...ชีวิตตลอดสิบปีของผมมันไม่เคยมีอะไรบ้าบอคอแตกอย่างนี้มาก่อนเลย!

                    ตลอดทาง แม่ค้า พ่อค้า มองผมด้วยสายตาเหยียดหยามมาโดยตลอด แต่เรื่องอะไรต้องสนสายตารังเกียจพวกนี้กัน แค่มีชีวิตอยู่ไปวันๆก็เป็นชีวิตที่ดีของผมแล้ว...บางทีการที่คิดว่าสักวันจะมีผู้ชายแต่งตัวดีเดินเข้ามาหา แล้วบอกว่า ...คุณเป็นทายาทของเศรษฐีประจำเมืองที่หายสาปสูญ อาจดี...ถ้ามันไม่ใช่ฉากๆหนึ่งในละคร

                    ซินเรย์เดินไปจนถึงบ้านของตน แต่ก็ยังคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงให้อ่านหนังสือออก อายุสิบปี แต่กลับอ่านหนังสือไม่ออกสักกะตัวหนึ่ง ทั้งๆที่เด็กอายุห้าขวบก็ยังพอจะอ่านได้แล้ว มันน่าสมเพชชีวิตของตัวเองขนาดไหน ญาติก็ไม่มี อยู่คนเดียวในบ้านมอซอ ทำจากสังกะสี ต้องมานั่งกลัวว่าพอพายุมาหลังคาจะหายไปหรือเปล่า???

                    “อ้าว เจ้าหนูเรย์...วันนี้ไม่ไปห้องสมุดเรอะ” คุณน้าที่สนิทกันเอ่ยถาม ผมหันไปมองค้อนขวับ จะไปได้ยังไงกัน เขาเพิ่งไล่เราออกมา จะเข้าไปอีกหรือไง??

                    “วันนี้ข้าไปมาแล้ว แล้วก็ถูกไล่ออกมาแล้วท่านน้า” เมื่อได้ยินจบ ชายหนุ่มวัยสามสิบนิดๆก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจใคร

                    “ฮ่าๆๆๆ!! เจ้าน่าจะอ่านหนังสือออกนะ เจ้าก็คงจะฉลาดเป็นกรดไปเลยล่ะ ...ใครๆเขาก็ใฝ่ฝันจะมาใช้ห้องสมุดของเรากันทั้งน้านน เจ้านี่ก็ทำเสียเรื่อง” ผมเบิกตากว้างอย่างตกอกตกใจปานจะเป็นลมพับ ว่าแล้วว่าทำไมทุกคนถึงได้มาที่นี่กันเยอะนัก ถ้าจำไม่ผิดทั่วทั้งโลก ที่นี่คงเป็นห้อง สมุดที่ใหญ่ และมีหนังสือเยอะที่สุดในโลก ถ้าไอ้แก่ซินเฟลวบอกราชการล่ะก็...

                    บรื๋ออ... คิดแล้วก็ขนลุกแล้ว...

                    “เอาเถอะท่านน้า ท่านสอนข้าเขียนอ่านหนังสือได้ไหม ข้าโดน...เอ่อ คือข้าอยากอ่านหนังสือเป็นน่ะ” ผมกลืนคำพูดที่ว่า โดนลงโทษเข้าคอไป แล้วหันมาแก้คำพูด คนที่เรียกว่าน้าพยักหน้าอย่างถูกใจ เขาโอบคอซินเรย์แล้วฉุดกระชากลากถูเข้าไปในบ้านของเขา

                    “อ๊ะ ท่านพ่อคะ พาใครมา...ซินเรย์! ดีใจจังที่ได้พบเจ้า ข้าเหงาจะแย่...” เสียงของเด็กหญิงอายุเท่าๆกับผมดังขึ้นภายในบ้าน เมื่อหล่อนพบว่าพ่อของเจ้าตัวกลับมาพร้อมๆกับเพื่อนเล่น ผมก็ชอบเล่นกับเลเวอรีนนะ แต่เจ้าหล่อนดูจะไร้เดียงสากว่าผู้หญิงในวัยเดียวกันมาก เรียกได้ว่าท่านน้าเลี้ยงเธอมาได้อย่างบริสุทธิ์ที่สุด

                    “อ๋อ พอดีเจ้าซินเรย์จะมาเรียนหนังสือที่บ้านเราลูก รีน” ท่านน้าปล่อยผมลง ก่อนที่จะให้ผมนั่งเก้าอี้สบายๆ เลเวอรีน หรือรีนยิ้มอย่างชอบใจ รีนนิสัยดีมากดีกว่าเด็กวัยเดียวกันหลายเท่าตัว อาจจะเป็นเพราะท่านพ่อของเธอก็ไม่ได้รังเกียจอะไรผมด้วยกระมัง

                    “จริงเหรอคะ! ดีจัง ลูกจะได้มีเพื่อนเล่นแล้ว” รีนเอ่ยอย่างดีใจจนผมปฎิเสธไม่ออก รีนเป็นคนไร้เดียงสาอย่างว่า และสุขภาพของเธอก็ออกจะสามวันดีสี่วันไข้ ผมจึงไม่ได้มาเล่นกับรีนบ่อยๆนัก แค่บางครั้งบางคราวเท่านั้น เพราะผมก็ไม่ได้รังเกียจอะไรเธอแม้แต่น้อย ท่านน้าส่งยิ้มให้รีนเป็นคำตอบ

                    “ข้าก็ดีใจเหมือนกันรีน...แต่หลังจากที่ข้าเรียนเสร็จนะ” รีนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เฮ้อ ยังไงผมก็ต้องแพ้รอยยิ้มสดใสนี่อีกแล้ว ซินเรย์ลอบส่ายหน้าอย่างระอาตัวเอง

                    “เรียนพรุ่งนี้นะ วันนี้น้ายุ่งๆคงสอนไม่ได้ ได้ใช่ไหม?”

                    “ครับ ท่านน้า ยังไงก็ได้ครับ”

     

                    ในที่สุด...ผมก็จะได้เรียนกับคนอื่นเขาบ้างสักที จะได้อ่านหนังสือออกบ้าง ยังดีกว่าให้ไอ้ยักษ์ที่ตาแก่แนะนำนั่นละกัน สอนไปสอนมาเดี๋ยวได้กลายเป็นกระสอบทรายหรอก คิดไปคิดมาแล้วมันก็ต้องบอกว่า...ไม่น่าทำห้องสมุดพังเลยเรา... ซินเรย์เดินออกมาจากบ้านของท่านน้าแล้ว และกำลังจะเข้าบ้านของตนเอง เมื่อเข้าไปในบ้าน ก็พบตุ๊กแก 2 ตัว(?) กับเสื่อ ผ้าปูที่นอน หมอนเก่าๆ ผ้าห่มปุปะ คนจนก็อย่างนี้ล่ะ ตอนแรกก็ไม่มีผ้าห่มหรอกนะ แต่ท่านน้าให้ผมมาน่ะ

                    บอกแล้วไง ว่าท่านน้าคนนี้น่ะ เอ็นดู และเป็นมิตรกับผมที่สุดในบรรดาทุกคนที่ผมเคยเจอ

                    “โอ้พระเจ้าท่านเอเธน่า ไม่เคยคิดว่าจะได้เรียนกับเขาบ้างเลย” ซินเรย์บ่นพึมพำ แล้วทรุดตัวลงบนเก้าอี้ที่ใกล้พังเต็มที แต่ผมก็ไม่สนใจหรอก วันนี้มีอะไรกินเป็นอาหารเย็นมั่ง (วะ) เนี่ย หิวจะ(ตายห่า) แย่แล้ว ว่าแล้วผมก็เดินไปเปิดตู้กับข้าว อ้อ! ไม่ต้องถามนะว่าสภาพมันเป็นยังไง ผมมองกวาดไปบนชั้นก็พบว่า...

                    “สุดยอด! มื้อนี้ข้ามีขนมปังกับแยม แล้วก็มีแยมกับขนมปังแน่ะ เยอะดีจริง!!”

                    “ซินเรย์~ ท่านพ่อให้ชวนเจ้าไปทานข้าวด้วยกันน่ะ...อ้าว มีขนมปังกินแล้วเหรอ งั้นข้า...” รีนวิ่งโร่เข้ามาหาผม โดยที่ผมแทบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ท่าทางวันนี้จะสุขภาพดีแฮะ

                    “อ๊ะ ไม่ใช่นะ! อันนี้มันเสียแล้วน่ะ ท่านพ่อของเจ้าชวนข้าไปทานข้าวด้วยกันเหรอ?”

                    รีนพยักหน้าหงึกๆพลางแย้มรอยยิ้ม

                    “เดี๋ยวผมขอใส่รองเท้าก่อนนะ แล้วจะตามไป”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×