ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บันทึกบุคคล ที่โลกต้องรู้จัก

    ลำดับตอนที่ #2 : Adolf Hitler อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ตอนที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 276
      1
      6 ธ.ค. 53

    Adolf  Hitler

    ผู้นำเผด็จการผู้รัก(คลั่ง)ชาติ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์

     ฮิตเลอร์ 

    ถึงแม้จะไม่รู้ประวัติก็ต้องเคยได้ยินชื่อ 

    เขาเป็นบุคคลผู้หนึ่งที่ใครๆหลายๆคนรู้จักกันดี

    โดยเฉพาะในวงการซับนรกด้วย (เหอๆ ไม่เกี่ยวแฮะ)

    อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เกิดวันที่ 20 เมษายน ค.ศ.1889 เวลา 06.30 น. ที่ Braunau-am-Inn ในประเทศออสเตรีย บิดาชื่ออาลัวส์ ฮิตเลอร์ (Alois Hitler)  มารดาชื่อ คลารา ฮิตเลอร์ (Klara Hitler)เป็นภรรยาคนที่สาม   บิดาของเขามีอาชีพเป็นข้าราชการและก็อยากให้ฮิตเลอร์เป็นข้าราชการตามตัวเอง แต่ฮิตเลอร์ไม่ชอบอาชีพข้าราชการเอาซะเลยเพราะเขาอยากจะทำงานที่ใช้ความคิดของตัวเองมากกว่าที่จะต้องไปนั่งเฉยๆแล้วปฏิบัติตามระเบียบแบบแผน

    ในวัยเด็ก เขาไม่ค่อยได้ใช้เวลาร่วมกับครอบครัวแบบอบอุ่นซักเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่ชอบให้ใครมาวิพากวิจารณ์พ่อของเขาในทางที่ไม่ดี แม้คนในครอบครัวจะไม่ค่อยมีเวลาให้ แต่เมื่อมีโอกาส ก็จะคอยตามใจเขาเสมอ ให้เขาในทุกสิ่งที่ต้องการ  ฮิตเลอร์เป็นเด็กที่เคร่งศาสนา  มีความเฉลียวฉลาด แต่ขี้เกียจ ถึงอย่างไรก็ตาม เขาสอบได้คะแนนดีมาตลอด เพื่อนๆในห้องไว้วางใจให้เขาเป็นผู้นำ (หัวหน้าห้องนั่นแหละ)

    ครูชั้นมัธยมฯ คนเดียวที่ฮิตเลอร์ชื่นชอบ คือลีโอโพลด์ พอตช์ เขามักจะเล่าถึงชัยชนะต่างๆ ของเยอรมันเหนือฝรั่งเศส ในศึกปีค.ศ.1870-1871อยู่บ่อยๆ   ไปๆมาๆฮิตเลอร์ก็เริ่มจะชอบเยอรมันไปด้วย โดยมีออตโต วอน บิสมาร์ก นายกรัฐมนตรีของอาณาจักรเยอรมนี เป็นฮีโร่ในดวงใจ   ในความคิดของเขา เขาเห็นว่าเยอรมันได้ถูกชนชาติอื่นกลืนมาตลอด แม้แต่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย (ฮิตเลอร์อาศัยอยู่ในวัยหนุ่ม) กษัตริย์ของออสเตรียก็พยายามแก้ปัญหานี้ แต่ใช้วิธีการหันไปพึ่งเชคโกสโลวาเกีย โดยไม่สนใจแนวคิดรวมกับเยอรมัน  ทำให้อาชดยุค ฟรานซิส เฟอร์ดินันด์ มกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย โดนชาวเซอบส์ลอบสังหาร กลายเป็นจุดแตกหักที่ทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ตามมา

     ความฝันจริงๆของฮิตเลอร์ในตอนนั้นคือ จิตกร เขาสนใจศิลปะมากกว่าการเป็นข้าราชการ สนใจมากกว่าจะมานั่งอ่านหนังสือ สนใจมากกว่าอะไรทั้งสิ้น  ด้วยเหตุผลนี้ ฮิตเลอร์จึงหันไปศึกษาด้านศาสตร์การต่อสู้และศิลปะอย่างจริงๆจังๆ ทำให้ผลการเรียนของเขาเริ่มแย่ลง ส่งผลให้เขาโดนปลดตำแหน่งหัวหน้าห้อง และโดนบิดาดุด่าอย่างหนัก(เพราะกลัวว่าคะแนนการเรียนจะน้อยสอบข้าราชการไม่ติด อะไรประมาณนี้)  ฮิตเลอร์ก็เลยมุ่งมั่นแล้วตั้งเป้าหมายไว้สองอย่างคือ    หนึ่ง. จะต้องเป็นผู้ที่อยู่ในคณะชาตินิยม  สอง.จะศึกษาประวัติศาสตร์แบบเจาะลึก       

    ค.ศ. 1903 ผลการเรียนของฮิตเลอร์ย่ำแย่ถึงขั้นต้องซ้ำชั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาผลการเรียนดีมาตลอด จนในที่สุดพ่อเขาก็ไล่เขาออกจากบ้าน แต่ 3 วันให้หลังฮิตเลอร์ก็กลับมาที่บ้าน ต่อมาครอบครัวเขาก็ย้ายไปอยู่ที่เมืองลินซ์ (Linz) พ่อของเขาเสียชีวิตลงในวัย 65 ปี   ตอนนั้นครอบครัวไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากทางการเงิน แต่ฮิตเลอร์ยังคงไม่รักเรียนเช่นเดิม จนแม่ยอมให้ออกจากโรงเรียนตอนเขาอายุ 16 ปี 

    พออายุ 18 ปี ฮิตเลอร์ได้รับมรดกของพ่อ เขาใช้เงินเดินทางไปอยู่กับป้าของเขาในเวียนนา และหวังว่าจะไปเรียนศิลปะที่นั่น ตอนนั้นฮิตเลอร์มีความมั่นใจในตัวเองสูงมากกก เขามั่นใจว่าเขาจะต้องสอบได้ และได้เรียนเป็นจิตกรแน่นอน แต่เหตุการณ์กลับกัปตาลปัตร เชาสมัครสอบไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะคะแนนไม่ถึง...จากนั้นเขาย้ายไปสมัครที่โรงเรียนสถาปัตยกรรม แต่ไม่ได้อีก เพราะไม่มีใบรับรองจากโรงเรียนเก่า
    ฮิตเลอร์อับอายมากที่ล้มเหลวเช่นนี้ จนไม่กล้าบอกความจริงกับแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำเป็นอยู่ในเวียนนาต่อไปทำเนียนว่าตนเองเป็นนักเรียนศิลปะ

    ค.ศ. 1907 คลารา ฮิตเลอร์ (Klara Hitler) มารดาของฮิตเลอร์ เสียชีวิตลงในวัย 47 ปี ด้วยโรคมะเร็งเต้านม แพทย์ที่มารักษาเป็นหมอชาวยิวที่รักษาคนจน แต่หมอดันใช้ยาแรงรักษา ทำให้นางตายเร็วยิ่งขึ้น เป็นเรื่องที่ฮิตเลอร์เจ็บแค้นอยู่ในใจ   ในขณะเดียวกันการเสียชีวิตของแม่ทำให้ฮิตเลอร์เสียใจสุดซึ้ง เพราะรักแม่มากและมากกว่าพ่อ ตามประวัติศาสตร์ฮิตเลอร์ถือรูปแม่ไปทุกที่แม้กระทั่งวาระสุดท้ายรูปก็ยังอยู่ในมือ
    ต่อมาฮิตเลอร์ก็ผันตัวไปเป็นจิตรกรอิสระ   เขาทำผลงานขายให้กับคนยิวคนหนึ่ง มีขนมปังกินไปวันๆ



     

     ฮิตเลอร์เริ่มจะมีความรัก

      เธอเป็นหญิงที่สวยงามและมีฐานะดีพอสมควร แต่แล้วฮิตเลอร์ก็ต้องอกหักรักคุด  เพราะเธอคนนั้นคบอยู่กับหนุ่มชาวยิว และ ต่อมาไม่นานนักทั้งคู่ก็แต่งงานกัน ขณะที่ฮิตเลอร์ตกงาน   ในใจเขามีความแค้นอย่างมากในเวลานั้น



    (เดี๋ยวมาต่อ)..............

    ปีค.ศ.1909 เมื่อกรุงเวียนนาแห่งออสเตรีย ประกาศรับสมัครทหารเข้าประจำการ เนื่องจากเกลียดประเทศของตนเองอยู่ลึกๆ ฮิตเลอร์จึงหนีการเกณทหาร ด้วยการย้ายจากเวียนนาของออสเตรียไปเมืองมิวนิกในเยอรมนี แต่ก็หนีไม่พ้นถูกจับจนได้ สุดท้ายลงเอยแบบรอดตัว เมื่อตรวจร่างกายแล้ว พบว่าฮิตเลอร์ร่างกายอ่อนแอเกินไปที่จะรับใช้กองทัพ   แต่หลังจกนั้นฮิตเลอร์กลับมาเข้ารับการเกณฑ์ในเยอรมัน ชาติคู่รักคู่คิดแทน  นอกจากนี้ยังไปเป็นอาสาสมัครในกองทัพเยอรมนี ที่ขึ้นชื่อว่าดุดันและน่าเกรงขามของกษัตริย์วิลเฮล์ม ไกเซอร์  เพราะเขาชื่นชมอาณาจักรเยอรมนีที่เหนือกว่าออสเตรียมาตั้งแต่เด็ก เขาได้พบกับลัทธิชาตินิยม และลัทธิการแบ่งแยกเชื้อชาติ อันนำมาซึ่งชนวนแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มวลมนุษยชาติเคยรู้จัก

    แล้วในที่สุดฮิตเลอร์ ก็ประสบความสำเร็จในการเข้าเป็นอาสาสมัครในกองทัพเยอรมัน และเขาก็ได้เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1   ทั้งๆที่เขามีปัญหาด้านสุขภาพ ในกองทัพนี่เอง ที่ทำให้ชีวิตที่เพ้อฝัน และขาดการเอาจริงเอาจังของเขาเปลี่ยนไป เขากลายเป็นคนที่มีระเบียบวินัย สนุกสนาน ร่าเริง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญ พร้อมที่จะรับภารกิจที่เต็มไปด้วยอันตราย จนได้รับเหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นที่ 2 (the Iron Cross Second Class) ซึ่งภายหลังถูกยกระดับให้เป็นเหรียญชั้นที่ 1 เป็นที่น่าสังเกตุคือ เขาได้รับการเสนอชื่อให้เข้ารับเหรียญกล้าหาญนี้ โดยฝ่ายเสนาธิการประจำกรมของเขา ซึ่งเป็นคนยิว

    สงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้สิ้นสุดลง พร้อมๆกับความพ่ายแพ้ของเยอรมัน ฮิตเลอร์เองก็ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากการถูกโจมตีด้วยแก๊สพิษจากฝ่ายอังกฤษ ฮิตเลอร์มีความเชื่อว่า ความพ่ายแพ้ของเขา และกองทัพเยอรมัน เกิดขึ้นมาจากศัตรูที่อยู่ภายใน เขาเชื่อว่าศัตรูที่อยู่ภายในนั้น หักหลังประเทศเยอรมัน พวกนั้นก็คือ พวกยิว พวกคอมมิวนิสต์ หรือมาร์กซิส และพวกนักการเมือง กองทัพเยอรมันถูกลดลงเหลือเพียง 100,000 คน เศรษฐกิจของประเทศเยอรมันถูกทิ้งให้อยู่ในสภาพที่สิ้นหวัง

    ค.ศ. 1916 เศรษฐกิจเยอรมันตกต่ำจากภาวะสงคราม บ้านเมืองจลาจลวุ่นวาย ข้าวยากหมากแพง ซึ่งทำให้ความกดดันนั้น ทำให้ฮิตเลอร์เกิดอุดมการณ์รักชาติขึ้นมา และเริ่มปลุกระดมชาวบ้านให้สู้ และอุดมการณ์อันแรงกล้าของฮิตเลอร์ ทำให้ฮิตเลอร์เริ่มเป็นที่รู้จักในวงแคบ และเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตการเมืองของฮิตเลอร์

    ในขณะเดียวกันลัทธิคอมมิวนิสต์ ก็เริ่มประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากการล้มราชวงศ์โรมานอฟ ของพระเจ้าซาร์ในประเทศรัสเซีย และแผ่ขยายเข้าสุ่เยอรมัน มีการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นในเยอรมัน   หนึ่งในนั้นคือพรรคนาซี โดยมี  Anton Drexler เป็นผู้นำพรรค

    Anton Drexler ประกาศว่า พรรคชาตินิยมของเขาจะไม่มีชนชั้นเหมือนพวกคอมมิวนิสต์ เป็นองค์กรสังคมนิยมชาตินิยม (คอมมิวนิส เองก็เป็นสังคมนิยมเช่นกัน แต่เป็นสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ ซึ่งอยู่ในซีกซ้ายจัด) มีการก่อตั้งลัทธิสังคมนิยมชาตินิยมขึ้น เรียกว่า National Socialist German Workers' Party หรือเขียนเป็นภาษาเยอรมันว่า National Sozialistische Deutsche Arbeiter Partei ภายหลังเรียกสั้น๐ว่า National Sozialist หรือ NAZI นั่นเอง

    ค.ศ. 1919 ฮิตเลอร์เข้าร่วมกับพรรคนาซี และในปีเดียวกันนี้ เยอรมันได้ทำสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ซึ่งเยอรมันเสียเปรียบอย่างชัดเจน ทำให้อุดมการณ์ของฮิตเลอร์โดดเด่นขึ้นมา ฮิตเลอร์จึงเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และพรรคนาซี ก็เริ่มมีคนเยอรมันสมัครเข้ามาร่วมเป็นจำนวนมาก

    ค.ศ. 1921 ฮิตเลอร์ได้เป็นหัวหน้าพรรคนาซี โดยพรรคนาซีในยุคฮิตเลอร์มีนโยบายต่อต้านชาวยิว และลัทธิสังคมนิยม

    11 พ.ย.  1923 ฮิตเลอร์และพลพรรคนาซีของเขาพยายามก่อการปฏิวัติ แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกตัดสินจำคุก ด้วยโทษ 5 ปี พร้อมกับพรรคพวกของเขา เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่ Munich Putch ในระหว่างจำคุกนี้ เขาได้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่า "การต่อสู้ของข้าพเจ้า" (Mein Kampf) ความพ่ายแพ้ของเขาในครั้งนี้ กลับทำให้เขาได้รับความนิยมมากขึ้น

    ค.ศ.1924 ฮิตเลอร์ อยู่ในคุกแค่ 9 เดือน ก็ได้รับการปล่อยตัว

    ค.ศ. 1927 ฮิตเลอร์ถูกสั่งห้ามปราศรัยในที่สาธารณะ สมาชิกพรรคนาซี มีอยู่ประมาณ 72,000 คน

     

    ปี 1928  ฮิตเลอร์เช่าวิลล่าที่ Obersalzberg ที่นี่เขาได้พบกับ Angela Raubal ซึ่งเข้ามาในฐานะแม่บ้าน ฮิตเลอร์ตกหลุมรักอย่างบ้าคลั่งกับเธอ

    แฮร์มาน เกอริง ซึ่งต่อมาเป็นผู้บัญชาการกองทัพอากาศเยอรมัน หรือ ลุฟวาฟ และ โจเซฟ เกบเบิล ซึ่งต่อมารับผิดชอบงานด้านการประชาสัมพันธ์ของพรรคนาซี ได้รับเลือกเข้าสู่สภาไรซ์สตาค

    พรรคนาซีเริ่มได้รับความนิยมอีกครั้งจากการนำทางของ Gregor Strasser ผู้ร่วมงานของฮิตเลอร์ ในขณะเดียวกัน เออร์เนส โรห์ม (Ernest Rohm) คนสนิทของฮิตเลอร์ ก็ได้ก่อตั้งกองกำลัง SA เพื่อเป็นกองกำลังส่วนตัวของฮิตเลอร์ แต่โรห์ม เริ่มทำตัวเป็นเอกเทศ และมีทีท่าว่าจะไม่สามารถควบคุมได้ กองกำลัง SA เองก็ดูเหมือนจะเชื่อฟังโรห์ม มากกว่า ฮิตเลอร์ ฮิตเลอร์จึงได้ตั้งไฮน์ริช ฮิมเลอร์ นักธุรกิจที่ร่างกายอ่อนแอ และล้มเหลว เป็นนักเพ้อฝัน จัดตั้งกองกำลังเอส เอส SS ขึ้น

    ค.ศ. 1929 ไฮน์ริช ฮิมเลอร์ เข้าร่วมกับฮิตเลอร์ และได้เป็นหัวหน้าหน่วย Waffen SS (Armed SS) ซึ่งเป็นหน่วยอารักขาของฮิตเลอร์ (Hitler bodyguarde) โดยในขณะนั้นมีจำนวนเพียง 200 คน แต่ก็เป็นสองร้อยคนที่คัดสรรมาเป็นอย่างอย่างดี เพื่อคานอำนาจกับหน่วย SA สมาชิกพรรคนาซี ที่มีอยู่ประมาณ 72,000 คนจากเดิม ได้เพิ่มเป็น 178,000 คน



    ค.ศ. 1930
    ฮิตเลอร์ได้รับทุนจาก Emil Kirdorf ผู้นำอุตสาหกรรมเหมืองแร่ของเยอรมัน เงินการเมือง และพิมพ์ใบปลิวปลุกจิตสำนึกของคนเยอรมันอย่างมากมาย ส่งผลให้พรรคนาซีมีสมาชิกเพิ่มเป็นกว่าครึ่งล้านคน พรรคนาซีประสบความสำเร็จอย่างมาก จากนโยบายที่ฮิตเลอร์ใช้ โดยพรรคนาซีได้รับเสียงถึง 6,500,000 เสียง ได้ที่นั่งถึง 107 ที่นั่งในสภา เป็นพรรคใหญ่อันดับสอง ไม่เพียงแต่พรรคนาซีเท่านั้น ที่ประสบความสำเร็จ พรรคคอมมิวนิสต์ก็เช่นเดียวกัน ที่ได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นจากเดิม 23 ที่นั่งเป็น 77 ที่นั่ง แสดงให้เห็นว่าประชาชนเยอรมันเริ่มแตกออกเป็นสองฝ่าย เพื่อหาทางสู้กับวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ ผู้นำพรรคนาซีทั้งหกคน ประกอบด้วย ฮิตเลอร์ สตราสเวอร์ โรห์ม เกอริงเกิบเบิล และ ฟริค ต่างช่วยกันบริหารงานพรรค และขยายขอบเขตออกไปอย่างกว้างขวาง

    ค.ศ. 1932 ในการเลือกตั้งในเยอรมนี พรรคนาซีได้รับเลือก 230 ที่นั่ง จาก 608 ที่นั่งในสภาขณะนั้น ทำให้อำนาจฮิตเลอร์มีสูงขึ้น จากการบริหารที่ผิดพลาดของ เกอริง ที่ได้รับเลือกเป็นประธานสภา ได้นำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ ส่งผลให้ที่นั่งของพรรคนาซีลดลงเหลือ 196 ที่นั่งจากทั้งหมด 584 ที่นั่ง ในขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์กลับได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นเป็น 100 ที่นั่ง

    ค.ศ. 1933 ฮิตเลอร์ยกเลิกสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในรัฐธรรมนูญ และได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

     

    แล้วไปๆมาๆ ฮิตเลอร์ก็รู้ความจริงว่า เออร์เนส โรห์ม คนสนิทของเขา  เป็นเกย์ แล้วก็ไม่ได้ก่อตั้งหน่อยกำลัง SA ขึ้นมาเพื่อเป็นกองกำลังส่วนตัวฮิตเลอร์เพียงอย่างเดียว เขามีจุดประสงค์แอบแฝงคือเอาไว้หาเด็กหนุ่มมาเป็นคู่ขา

     (!! O-o~)

    จนวันที่ 6 มิ.ย. 1934  ชะตาโรห์มและองกรณ์ SA ก็ขาด  ฮิตเลอร์สั่งให้หน่วยทหาร เอส เอส ไป ที่ โรงแรม  Tegernsee พอทหารผลักประตูเดินเข้าไปในห้อง ก็เจอโรห์มกับคู่ขา กำลังทำกิจกรรมเย็บผ้าเข้าด้ายเข้าเข็มกันอยู่  ด้วยความที่ไม่อยากจะขัดจังหวะ กองกำลังทหาร สาวเท้าเดินเข้าไป วางปืนไว้บนโต๊ะ แล้วบอกกับโรห์มประมาณว่า เพื่อให้เป็นเกียร์ติยศยิงหัวตัวเองซะ จากนั้นก็เดินออกมา   ปรากฏว่าผ่านไปสิบนาที จะเป็นเพราะมัวแต่ล่ำล่าคู่ขาอยู่หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ไม่มีเสียงปืนดังออกมาซักที  ทหารเอส เอส เดินเข้าไปเอาปืนจ่อหัวโรห์มเสียชีวิต พร้อมกันนั้น หัวหน้าหน่วย SA ก็ถูกจับตัว บ้างถูกขัง บ้างถูกสังหารโดยทหารเอส เอส ซึ่งได้ก้าวขึ้นมาแทนกองกำลัง SA กองกำลังเอส เอส ถูกฝึกขึ้นมาเพื่อให้จงรักภักดีต่อฮิตเลอร์อย่างปราศจากคำถามใดๆทั้งสิ้น และเขาก็ภูมิใจในหน่วยนี้เป็นอย่างมาก  

     

    เดือนเม.ย. ประธานาธิบดีฮินเดนเบอร์ก (Hindenburg) เริ่มจะป่วยออดๆแอดๆ  เขาเสียชีวิตในวันที่ 2 สิงหาคม 1934 สามชั่วโมงหลังจากนั้น ฮิตเลอร์ได้ประกาศรวมตำแหน่งประธานาธิบดีและและข้าด้วยกันและตั้งตัวเองเป็นประมุขของรัฐและผู้บัญชาการทหารสูงสุด หรือที่เรียกว่า ผู้นำ (Fuehrer) เยอรมันก้าวเข้าสู่ความเป็นเผด็จการสมบูรณ์แบบนับแต่นั้นเป็นต้นมา

    2 Be Con............... 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×