ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานเหยี่ยวอมตะ

    ลำดับตอนที่ #2 : ภาค นักประดิษฐ์แห่งเมืองเมเปิ้ล 1

    • อัปเดตล่าสุด 24 มี.ค. 49



    บทที่ 1

    เมืองเมเปิ้ล นามว่าเมเปิ้ล เนื่องจากในอดีตรายล้อมไปด้วยต้นเมเปิ้ลที่ขึ้นเรียงรายตามคันนาทุ่งข้าวสาลีไปตลอดถนนซึ่งตัดเข้าสู่เมืองเมเปิ้ล

    ในปัจจุบันเมเปิ้ลเป็นเมืองกึ่งเกษตรกรรม มีตึกรามบ้านช่องตั้งเรียงอยู่มากมาย  บ้างก็เก่าอายุร่วมร้อยปี บ้างก็เพิ่งก่อสร้างไม่นาน อิฐยังคงสะอาดสะอ้านแข็งแรงและยังดูใหม่ ผิดกับตึกรามบ้านช่องที่ผ่านกาลเวลานานแล้ว อิฐเริ่มเป็นสีแดงสนิม มีตะไคร่ขึ้นเป็นหย่อมๆ ร้านค้าส่วนใหญ่สร้างด้วยไม้  อาคารบ้านเรือนในเมืองเมเปิ้ลนั้น มักมีลักษณะเรียบง่าย มีเพียงศาลากลางเมืองเมเปิ้ลซึ่งตั้งอยู่กลางเมืองเท่านั้นที่มีความสวยงามปราณีตยิ่งกว่าสิ่งก่อสร้างอื่น ถนนหนทางในเมืองเมเปิ้ลปูด้วยหินแผ่น ในตัวเมืองข้างทางมีโคมไฟตั้งอยู่เป็นระยะๆ

    ส่วนในตัวเมืองก็มีผู้คนขวักไขว่ไปมาครึกครื้น ในช่วงเวลาปกติ เมืองเมเปิ้ลเหมือนเมืองทั่วไป มีร้านค้า มีเกวียนบรรทุกของและรถม้าสัญจรไปมา แต่ยังต้องคอยหลบไก่ที่ชาวบ้านต้อนออกมาขายในตลาดนัด พากันกระโดดออกมานอกทางเป็นประจำ ไก่พวกนี้ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้เฉพาะเกวียนเท่านั้น ยังสร้างปัญหาให้กับรถม้า คนหาบของขาย ตลอดจนผู้สัญจรไปมา ซึ่งนอกจากที่จะต้องคอยหลบฝูงสัตว์ที่พากันวิ่งให้วุ่นแล้ว ยังต้องคอยระวังไม่ให้สะดุดล้มแผ่นหินบนถนนที่มีระดับสูงต่ำไม่เท่ากันอีกด้วย แต่ในความวุ่นวาย ก็ยังมีทั้งเสียงหัวเราะของเด็ก และเสียงร้องตะโกนของเหล่าพ่อค้าแม่ค้าดังมาไม่ขาดระยะ

    เหตุการณ์เหล่านี้มักเกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน มันผ่านเข้ามาในสายตาของโคน่าจนชินชา เธอมองผู้คนพากันเดินไปมาเพราะกิจธุระด้วยความเหนื่อยหน่าย นิ้วจับดินสอออกแบบเคาะลงบนกระดานวาดภาพเอียงๆ ด้วยจังหวะเนิบนาบ

              โคน่า โอรีอา เป็นลูกสาวของ โคเปีย โอรีอา นักประดิษฐ์สติเฟื่องของเมืองเมเปิ้ล ชายแก่ร่างเล็กท่าทางขี้โรค หลังโกง ผมของเขาเถิกเสียจนจะเรียกว่าล้าน มีเพียงผมสีแดงเป็นกระจุกที่บ้องหูทั้งสองข้างเท่านั้น นอกนั้นก็เป็นดวงตาหยีเล็กคมและจมูกซึ่งใหญ่เกินใบหน้า โคเปียเป็นเหมือนผู้ชายทั่วไป ที่มักรักงานมากกว่ารักบ้านตัวเอง เป็นผลให้แม่ของโคน่าทิ้งเธอไปตั้งแต่โคน่ายังไม่หัดพูด แต่นั่นกลับไม่มีผลอะไรกับโคเปีย เพราะงานเป็นหัวใจของเขา จึงน่าแปลกมากที่โคน่าสามารถโตขึ้นได้อย่างเด็กปกติทั่วไป แม้เธอจะทำอะไรได้ช้ากว่าเด็กทั่วไปก็ตาม

              ในสมัยที่โคเปียยังมีชีวิตอยู่ เขาสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่เอาไว้มากมาย ทำให้ชาวเมืองเมเปิ้ลทั้งรักทั้งขยาด แต่ความขยาดมีมากกว่า โคเปียนักประดิษฐ์ผู้พ่อของโคน่ามีถิ่นพำนักคือห้องใต้หลังคาของตึกเก่าๆแห่งหนึ่งในเมืองเมเปิ้ล มันมีสภาพโทรมเต็มที กระเบื้องหลังคาก็หลุดจะครบทุกแผ่นอยู่แล้ว ถึงกระนั้นโคเปียและบุตรสาวก็ยังอยู่ที่นั่น เนื่องจากว่ามันมีค่าเช่าถูกมากเสียยิ่งกว่าราคาฟักทองสักกิโลเสียอีก แต่โคเปียก็ใช้บริการอย่างคุ้มเงินที่เสียไป ไม่ว่าจะเป็นการทดลองแปลกประหลาดในห้องใต้หลังคาตอนเที่ยงคืน เป็นผลให้เกิดเสียงดังไปจนถึงห้องใต้ดิน หรือแม้แต่ตอนที่แอ๊ปเปิ้ลซึ่งวางขายในตลาดนัดเกิดใหญ่เท่าลูกบอลลูนกระทันหันอย่างหาสาเหตุไม่ได้

              เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ชาวบ้านตั้งฉายา สติเฟื่อง ต่อชื่อโคเปียทุกครั้งที่เอ่ยถึงเขา ชาวบ้านต่างลำบากลำบนกับสิ่งที่โคเปียสร้างขึ้น จนกระทั่งเคยคิดจะขับไล่นายโคเปียออกจากเมือง แต่ก็ไม่สามารถทำได้สักที ก็คงเป็นเพราะความรักที่มีต่อนายโอรีอาคนนี้นั่นเองโดยเฉพาะความรักที่มาจากนายกเทศมนตรีของเมืองเมเปิ้ล

              นายกเทศมนตรีมอริส เป็นนายกเทศมนตรีของเมืองเมเปิ้ล เขามีหนวดกระจุ๋มกระจิ๋มใต้จมูก งอนเป็นเงาเรียบแปร้ ซึ่งยังพิสูจน์ไม่ได้ว่ามันเกี่ยวกับอะไรกับการที่ทำให้เขาไม่มีคอหรือเปล่า มอริสยังเป็นคนใกล้สติเฟื่องซึ่งเข้ากันได้ดีกับนายโคเปียทีเดียว

              มอริสชื่นชมโคเปียค่อนข้างมาก แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยยอมเสียเงินแม้แต่แดงเดียวให้กับโครงการประหลาดๆของโคเปีย สิ่งที่เขาสนใจคือสิ่งประดิษฐ์กลไกฟันเฟืองประหลาดของโคเปียเท่านั้น

              เป็นที่รู้กันว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งโคเปียได้รับว่าจ้างให้ออกแบบกลไกในศาลากลางเมืองเมเปิ้ล เพื่อป้องกันพวกขโมยซึ่งคิดจะเข้าไป โคเปียทำงานที่ได้รับเป็นอย่างดี กล่าวกันว่ผู้ถือพลการเข้าไป ไม่มีใครที่สามารถกลับออกมาได้อีก งานนี้โคเปียได้รับค่าตอบแทนจำนวนมากจากนายกเทศมนตรี ทำให้เขาอยู่สุขสบายไปชั่วระยะหนึ่ง แต่แล้วก็ต้องจนลงอีกเพราะนิสัยใช้เงินไม่เป็น

              สมัยนั้นโคน่าต้องเริ่มช่วยงานของพ่อเนื่องจากฐานะยากจน ถึงกระนั้นก็ช่วยได้แค่อยู่ไปวันๆ ไม่สามารถช่วยโคเปียซึ่งล้มป่วยลงในเวลาต่อมา ร่างกายทรุดโทรมอยู่เป็นนานปี และเสียชีวิตลงในเวลาต่อมา ท่ามกลางลูกสาวและฐานะยากจน สิ่งที่เหลือเอาไว้เป็นมรดกให้แก่โคน่ามีเพียงที่อยู่ใต้หลังคาและกลไกเต็มห้อง

              เรื่องนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว แต่มันยังชัดเจนอยู่ในสมองของโคน่าราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ทุกครั้งที่เธอมองรูปของพ่อที่ติดเอาไว้บนผนัง

              โคน่าเป็นผู้หญิงผมแดงเช่นเดียวกับบิดา ตัดสั้นเพียงต้นคอ แต่ไม่ได้ล้านเถิกแต่ประการใด ผิวของเธอขาวซีดเนื่องจากไม่ค่อยโดนแดด ตัวผอมเล็กดูขี้โรค มีเพียงมือเท่านั้นที่ดูแข็งแรงราวกับคีมเหล็ก ดวงตาดำสนิทคมกริบ จมูกเรียวเล็กผิดกับของพ่อตั้งอยู่ระหว่างดวงตา 

              โคน่าอยู่ในห้องใต้หลังคาของตึกมาตั้งแต่เกิด ชินตากับห้องรกๆและเครื่องจักรกลไกที่วางเกลื่อน ทุกๆวันเธอจะนั่งอยู่ตรงโต๊ะเขียนแบบข้างเตียง เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง พยายามออกแบบเครื่องจักรกลไกเป็นของเล่นออกขาย เพื่อช่วยพยุงฐานะทางการเงินของเธอซึ่งตกต่ำอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้

              โคน่าลุกขึ้นจากม้านั่งตัวเก่ากึกที่ใช้มาตั้งแต่รุ่นพ่อ เดินฝ่ากองฟันเฟืองซึ่งวางระเกะระกะ ไปยืนพิงหน้าต่างมองทัศนียภาพเบื้องล่าง มันช่างเป็นคนละโลกกันเหลือเกินในความคิดของโคน่า เหมือนเธอกำลังมองอีกโลกหนึ่งที่เธอไม่ได้อาศัยอยู่ มันประกอบด้วยสีเขียวสดใสและสีทองระยิบระยับ เสียงร้องเพลงและความครึกครื้น ผิดกับโลกสีเทาทึมๆ ที่เธออาศัยอยู่ มันสร้างขึ้นมาจากความเงียบเชียบ ฟันเฟืองซึ่งหมุนเป็นจังหวะดังเอี๊ยดอ๊าด กลิ่นฝุ่นของห้องเก่าๆ และเสียงอะไรบางอย่างหล่นกระทบพื้นหากหญิงสาวเดินแรงเกินไป

              โคน่าดึงเสื้อให้กระชับตัว เธอมองสภาพห้องอีกครั้งพลางถอนใจ อดไม่ได้ที่จะแอบมองไปยังร้านขายพรม ถ้าเธอมีเงินมากกว่านี้อีกสักนิด เธอจะซื้อพรมซักผืน ปูมันเอาไว้กลางห้อง ห้อง มันคงจะทำให้พื้นห้องอบอุ่นเวลาเธอเดินมากกว่าพื้นห้องที่เย็นชืดเย็นชาทุกกระเบียดนิ้ว หรือเธออาจมีผ้านวมดีๆซักผืน เวลานอนคงจะอุ่นและไม่ทำให้ปวดหลังเท่ากับนอนบนแผ่นไม้ หญิงสาวหัวเราะให้กับความคิดตัวเอง เธอเป็นนักประดิษฐ์ที่ยอดเยี่ยม พ่อของเธอก็เช่นกัน แต่พวกเขาก็ยังจนอยู่ดี เพราะคนในเมืองนี้พอใจกับความดั้งเดิมที่พวกเขามีอยู่ มันจะมีประโยชน์อะไรเล่า? ถ้านักประดิษฐ์ฝีมือเก่งกาจอยู่ในเมืองซึ่งเห็นกลไกเป็นของลึกลับน่าเกรงกลัวเหมือนมนต์ดำ นักประดิษฐ์ก็เลยไม่ต่างอะไรไปมากเสียกว่าคนบ้า

              หญิงสาวมองไปตามร้านค้า เจ้าของต่างออกมายืนหน้าร้าน พากันอวดอ้างสรรพคุณของสินค้ากับลูกค้า เธอมองเลยเข้าไปยังสินค้าในร้าน ทั้งร้านเสื้อผ้าซึ่งมีเสื้อผ้าสวยๆงามๆ มันเป็นความหวังอันสูงส่งของผู้หญิงทีเดียวกับการที่จะได้ใส่เสื้อผ้าสวยงาม ดูชุดราตรีสีบานเย็นนั่นสิ ถ้าเธอจะได้ใส่มันบ้าง เธอจะดูเป็นอย่างไร เธอจะมีสิทธิ์ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงน้ำชาบ้างรึเปล่า? บางทีโคน่าก็หัวเราะความฝันเล็กๆของตัวเอง มันงี่เง่า และฟุ้งซ่านสิ้นดี แต่ทว่าลึกๆ เธอต้องยอมรับ ว่าบางครั้งเธอก็ต้องการจะมีมันบ้างเหลือเกิน แต่มันไม่สามารถเป็นไปได้ไปมากกว่าความฝัน โคน่าไม่เคยใส่เสื้อผ้าใหม่ เธอใส่ชุดต่อจากพ่อเสมอ แต่ละตัวหลวมโครกและเปื้อนน้ำมัน แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อความฝันนั้นเราสามารถซื้ออะไรก็ได้ แต่พอตื่นขึ้นมามันน่าเจ็บใจ เมื่อรู้ว่าแท้จริงแล้วเราไม่มีอะไรเลย

              เสียงนาฬิกายังเดินเป็นจังหวะ แล้วนกตัวเล็กก็กระโดดออกมาจากนาฬิการ้อง กุ๊กกู หลายครั้งก่อนจะถูกดึงหายเข้าไปในนาฬิกาดังเดิม โคน่าสะดุ้งขึ้น ไม่ใช่เพราะเสียงของเจ้านกจากนาฬิกา แต่เป็นเพราะเสียงร้องลั่นโกลาหลจากถนน เธอชะโงกหน้ามองลงไปยังเบื้องล่างที่กำเนิดเสียง

              ทันใดนั้นโคน่าเห็นผู้ชายคนหนึ่งออกวิ่งไปตามถนน เสื้อของเขาปลิวสะบัดคลุมหน้าคลุมตาขณะวิ่ง แต่ที่เป็นจุดเด่นยิ่งกว่าอะไร คือการมีคนอีกเกือบโขยงวิ่งตามมาเป็นพรวน ยิ่งเสียงร้องตะคอกไล่ตามหลังชายผู้นั้นแล้วด้วยยิ่งทำให้โคน่าสนใจเหตุการณ์ยิ่งขึ้น

    พวกเขาไล่ตามกันทำไม? โคน่าพึมพำ นั่นคุณจอร์จเจ้าของร้านอาหารนี่นา ผู้ชายคนนั้นไปทำอะไรเอาไว้ล่ะเนี่ย? โคน่าใคร่ครวญ สายตายังไม่ละไปจากเหตุการณ์ตรงหน้า เหล่าผู้อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองดูกันเป็นตาเดียว ชายหนุ่มผู้ถูกตามวิ่งลัดหายไปในซอยแห่งหนึ่ง ขบวนผู้ตามล่าก็ตามเขาอย่างไม่ลดละ พร้อมๆกับเสียงร้องอื้ออึงวิจารณ์กันสารพัด แต่ไม่นานนัก พวกเขาก็พากันลืมเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วหันมาจดจ่อกับงานของตัวเองอีกครั้ง

              ส่วนโคน่านั้นมองดูเหตุการณ์เมื่อสักครู่ตั้งแต่ต้นจนจบ

    งี่เง่าชะมัด เธอส่ายหน้า ความเซ็งก่อตัวขึ้นโดยที่ไม่สามารถหาเหตุผลได้ เธอกลับมานั่งลงบนม้านั่งของตนอย่างเบื่อหน่าย หลังจากนั้นจึงจับดินสอออกแบบวาดแบบต่อ โคน่าเริ่มจมอยู่ในห้วงสมาธิ เธอค่อยๆวาดตัวเฟืองช้าอย่างตั้งอกตั้งใจเกินจำเป็น รู้สึกขุ่นเคืองน้อยลงเมื่อมาอยู่ต่อหน้ากระดาษออกแบบ ใช่แล้วมันนานแค่ไหนแล้วนะ นานสักเท่าไหนแล้วตั้งแต่พ่อยังอยู่ น้อยเสียจริงที่โคน่าจะได้เล่นกับพ่อ ในความทรงจำของเธอมีแต่ภาพพ่อนั่งอยู่ที่โต๊ะออกแบบ หนูน้อยโคน่าใส่เสื้อเปื้อนน้ำมัน สองแก้มเปื้อนฝุ่นเป็นดวง สองมือจับเฟืองหลายตัว เธอปามันลงกับพื้น แล้วเดินต้วมเตี้ยมไปหาพ่อ อ้อนให้พ่ออุ้ม โคเปียเหลือบมองลงมายังตัวลูกสาวเพียงชั่วครู่ ไม่แม้แต่ลดตาลงจากพิมพ์เขียว เขายกตัวโคน่าขึ้นไปนั่งบนต้นขา ก่อนจะวาดแบบฟันเฟืองต่อไป

    พิมพ์เขียว เด็กน้อยโคน่าเรียก วาดนิ้วเล็กๆลงบนนั้น

    ใช่พิมพ์เขียว โคเปียรับคำลูกสาว เขาเหลือบมองเธออีกครั้งพลางดึงเสื้อหลวมโครกขึ้นมาเช็ดน้ำมูกให้

    แล้วแกรู้รึเปล่า? โคน่าว่าอะไรอยู่ในพิมพ์เขียว

    “กลไก…”

    ในกลไกมีอะไร?

    เฟืองเล็กๆโตๆหลายอัน โคน่าน้อยพูดช้าๆ อย่างเด็กหัดพูด ทั้งที่ตอนนั้นเธออายุเกือบ 5 ขวบแล้ว

    ใช่แล้วมันทำเป็นอะไร?

    “เป็น…เป็น…” หนูน้อยโคน่าอึกอัก เพราะไม่รู้จักคำว่า ‘เกวียน’ เธอไม่สามารถบอกพ่อได้ว่าสิ่งที่เธอเห็นคืออะไร ทั้งที่เธอเห็นมันแล่นผ่านหน้าต่างทุกวัน เธออ้าปากพยายามจะพูดหลายครั้ง น้ำตาคลอออกมาตามดวงตา ด้วยความลำบากใจที่ไม่สามารถบอกได้ โคเปียถอนใจสั้นๆ อย่างคร้านจะบอก การเลี้ยงเด็กไม่เหมาะกับเขาเสียเลย

    มันคือเกวียนแบบใหม่ล่าสุด

    “เกวียน!” หนูน้อยโคน่าได้ศัพท์ใหม่แล้ว เกวียน! เกวียน

    “ใช่…เกวียน”

    “พ่อ…อะไรคือ ใหม่ ล่า สุด”

    แกโตขึ้นเดี๋ยวก็รู้เองแหละ” โคเปียบอกปัดอย่างรำคาญ แล้วเขาก็วางเธอลงกับพื้นห้อง

    ไปอ่านหนังสือซะ พ่อสอนแกให้อ่านแล้วนี่ อย่ามากวนพ่อหน่อยเลย ว่าแล้วโคเปียก็หันไปทำงานของตัวเองตามเดิม ในตอนนั้นหนูน้อยโคน่ารู้สึกน้อยใจพ่อเป็นอย่างมากที่ชอบซักไซ้ไล่เรียงตน แถมยังชอบปล่อยเธอให้นั่งอยู่กับกองพิมพ์เขียว แทนที่จะยอมซื้อตุ๊กตาให้อย่างเด็กผู้หญิงคนอื่น เธอเคยโกรธพ่อ เคยคิดจะไม่พูดกับพ่อ! แต่ทุกครั้งที่เธอไม่พูดกับพ่อ พ่อก็มีวิธีทำให้เธอพูดทุกที เธอเคยโกรธพ่อ ที่ชอบซักถาม แต่หลังจากนั้นหลายปีเธอถึงรู้ว่านั่นเป็นวิธีของพ่อที่จะสอนศัพท์ใหม่ๆให้กับเธอ พ่อสอนให้เธอค้นคว้าเอง โดยเริ่มจากคำว่า ใหม่ล่าสุด แต่ทันทีที่เธอรู้ว่าคำว่า ใหม่ล่าสุด แปลว่าอะไร พ่อก็ไม่มีเวลาฟังเธอบอกเสียแล้ว

     

    .พ่อในสายตาเธอคือผู้ชายที่วุ่นวายที่สุดในโลก.

     

    .พ่อคือผู้ชายที่ทำให้แม่หนีไป.

     

    .และพ่อเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่คอยดูแลเธอตลอดเวลา.

     

              โคน่าไม่อยากต้องยอมรับเลยว่า แม้ว่าพ่อจะตายไปหลายปีแล้ว แต่เธอก็คิดถึงเขามาก พ่อไม่เคยแสดงความรู้สึกอะไรกับความลำบากที่ตัวเจอ พ่อคือต้นไม้ที่เธอพึ่งได้ และการอยู่คนเดียวทำให้เธอเหงาเหลือเกิน

              โคน่าแนบศีรษะลงไปบนโต๊ะเขียนแบบ พ่อนั่งอยู่ที่นี่หลายสิบปี น้ำตาของหญิงสาวค่อยๆเอ่อล้นออกมา เธอกัดหัวดินสอเขียนแบบด้วยความเคยชิน แล้วหลับตาลงพร้อมกับความรู้สึกปวดศีรษะหนึบๆ

              แต่แล้วเสียงทุบประตูก็ดังขึ้น ทำให้หญิงสาวต้องสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เสียงทุบรุนแรงราวกับจะพังประตูเสียให้ได้ หญิงสาวกระโดดลุกขึ้นอย่างตื่นตกใจ

    ให้ตายเถอะ! เธอร้องในใจ ทั้งตกใจและละอายใจ

    ต้องเป็นเจ้าของตึกแน่ๆเลย จะบอกเขายังไงดีล่ะ? ในเมื่อเรายังไม่มีเงินเลย โคน่าลุกขึ้นใช้หลังมือปาดน้ำตา แล้วกระโดดข้ามเครื่องกลไกต่างๆ มาหยุดลงหน้าประตูอย่างนิ่มนวล ก่อนมองเข้าไปในช่องโหว่บนประตู เพื่อดูว่าใช่เจ้าของตึกหรือไม่ แต่ผิดคาด เมื่อภาพที่เห็นกลับเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เขากำลังมองมายังช่องโหว่ของประตูเช่นเดียวกัน

    นาย? โคน่าร้องอย่างแปลกใจ พลางยกมือขึ้นชี้ชายหนุ่มผ่านช่องโหว่

              ทว่าชายแปลกหน้ากลับยิ้มให้โคน่า ยกมือโบกไปมาเป็นสัญญาณให้เปิดประตูให้ ด้วยความแปลกใจเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิดที่โดนรบกวนความสงบ เธอกระชากประตูเก่าๆออก

    ฉันว่านายมาผิดห้องแล้วล่ะ…” โคน่าเท้าสะเอว แล้วพูดออกไปด้วยเสียงอันดัง แต่ยังไม่ทันจะจบประโยคดี ชายหนุ่มก็ถือดีก็กระโดดเข้ามาในห้องเธอและยื้อลูกบิดออกไปจากมือของโคน่า ก่อนจะกระแทกประตูปิดด้วยความรวดเร็ว



    to be continued....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×