คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : CHAPTER 1 : TONIGHT.[UPDATE]
ใจกลางเมืองลอนดอน
ณ ประเทศอังกฤษ
20.45
น. โรงแรมแห่งหนึ่ง
เจเรมี่นอนพลิกกายอยู่บนเตียงแสนนุ่มด้วยสภาพเปลือยท่อนบนข้างกายมีหญิงสาวที่ตัวเปลือยไม่แพ้กันขดตัวอยู่ข้างหลัง
มือของหล่อนลูบไล้กอดจูบแผ่นหลังของเขาไปมาอย่างรักใคร รับรู้ได้เลยว่าพวกเขาเพิ่งจะเสร็จกิจกันไปไม่กี่ชั่วโมงก่อน
ครืดดดด...
โทรศัพท์ราคาแพงกรอบทองเกิดอาการสั่นอยู่บนหัวเตียง
ฝ่ายเจ้าของงัวเงียเอื้อมมือคว้าหยิบอย่างสะเปะสะปะ
หยิบมันมากดรับสายแล้วกรอกเสียงอันง่วงซึมของตัวเองลงไป
“I’m
super busy now.[ตอนนี้โคตรยุ่งเลยว่ะ]”
หญิงสาวร่างขาวเนียนนวลผ่องเริ่มเบียดตัวแนบชิดเขาก่อนเริ่มปลุกเร้าอารมณ์เพื่อเริ่มกิจกรรมรักรอบใหม่
และเจเรมี่ก็ไม่คิดจะปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย
[ให้ตาย...หยุดกิจกรรมบนเตียงแล้วมาสนใจฉันหน่อย]
ปลายสายพูดเสียงเอือมระอาเพราะได้ยินเสียงที่พวกเขากำลังทำอะไรกันอย่างชัดเจน
เจเรมี่ละจากริมฝีปากแสนนุ่มหวานแล้วหันมาสนใจคนปลายสายแทน
“มีอะไร”
แต่ดูเหมือนสาวน้อยจะไม่พอใจเพราะเริ่มกัดนู่นกัดนี่ตามร่างกายของเจเรมี่จนต้องร้องซี้ดเจ็บเบาๆ
[เราจับตัวคนยักยอกเงินได้แล้ว]
“หืม...เอาตัวมันมาให้ฉัน”
เจเรมีวางสายไปแล้วลุกขึ้นนั่งโดยสภาพเหลือเพียงกางเกงในตัวเดียว
หญิงสาวเกาะไหล่พร้อมกับขบเม้มหูเจเรมีที่มีต่างหูสีเงินอยู่
เจเรมีหัวเราะเบาๆก้มหยิบเสื้อของตัวเองที่อยู่ปลายเท้าขึ้นมาใส่แต่ไม่ได้ติดกระดุม
ลุกขึ้นยืนเดินไปหยิบกางเกงของตัวเองที่พาดอยู่กับเตียง
ก่อนก้มลงดูดปากหญิงสาวที่คลานมาหาเขาถึงที่
ยกมือขึ้นโบกลาแล้วเดินไปเปิดประตูออกไป เดินลงบันไดด้วยสภาพไม่เรียบร้อย
กระดุมเสื้อไม่ติด กางเกงไม่รูดซิป เซอร์เสียจนเขาไม่อยากเดินลงลิฟต์
เจเรมีเดินลงมาถึงชั้นโรงจอดรถ
ก่อนมีรถเปิดประทุนสีดำคันงามขับปาดหน้าไปจอดนิ่งอยู่ตรงหน้า
เจเรมีเปิดประตูด้านฝั่งคนนั่ง ก่อนคนขับจะขับออกไป
“จับตัวมันได้รึยัง”
เจเรมีเอนตัวพิงเบาะแล้วติดกระดุมเสื้อไปด้วย
“ตอนนี้อยู่แถวโกดังของเรา”
อเล็กซ์ตอบกลับมองเจเรมีผ่านกระจกก่อนละความสนใจหันมาจดจ่อถนนต่อ
“หรอ”
เจเรมีหลับตาพักผ่อนก่อนลืมตาขึ้นมามองรถสีดำสนิทสองคันที่ขับผ่านไปแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
“สมกับที่เป็นลูกน้องของฉันเลยนะ”
อเล็กซ์ขับเลี้ยวเข้าไปในโกดังของบริษัทรายใหญ่แห่งหนึ่ง
ลึกเข้าไปจนคนภายนอกมองเข้าไปไม่เห็น ก่อนรถจะจอดดับสนิทหน้าโกดัง เจเรมีเปิดประตูลงมาจากรถ
ลูกน้องที่ขับตามมาสองคันรีบวิ่งมาอารักขาเต็มที่
ลูกน้องคนหนึ่งเดินมายื่นบุหรี่ให้อย่างรู้ใจ
ห่างจากเจเรมีไปไกลเป็นโธมัสยืนถือปืนเล็งไปทางชายหนุ่มที่นั่งคุกเข่า
มือสั่นขาสั่น ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หวาดผวาตกใจเมื่อเห็นผู้ตัดสินชะตากรรมชีวิตของตัวเองกำลังเดินย่างกรายเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
“บอส-บอสเจเรมี!”
ชายหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่รีบคลานไปหาพร้อมกับเกาะขาขอโทษขอโพย
“ไง
จอห์นนี่ไม่ได้เจอกันนานเลย สบายดีไหม” เจเรมีก้มลงส่งยิ้มพรายไปให้
ฝ่ายจอห์นยิ้มกว้างดีใจที่นายของตนไม่โกรธอะไร
“อย่ามาจับตัวฉัน!”
เจเรมีสะบัดเตะออกไปจนร่างไถลไปไกล
เจเรมีก้มลงปัดขากางเกงตัวเองเหมือนจอห์นนี่เป็นตัวน่ารังเกียจสำหรับเขา
“ทรยศฉันแล้วยังกล้ามาขอโทษอีกหรอ
...ทุเรศลูกตา” เจเรมีทำสีหน้ารังเกียจเต็มที่ ยกมือขึ้นแบไปทางอเล็กซ์ แล้วดูเหมือนเขาจะเข้าใจในสิ่งที่เจเรมีต้องการบอก
ส่งปืนพกสีเงินที่เหน็บอยู่ข้างกายให้ เจเรมีรับมาชักเตรียมลั่นไกไปทางจอห์นนี่
จอห์นนี่หน้าตาเหลอหลา หวาดกลัว ตกใจ
ร้องดังลั่นเมื่อลูกน้องของเจเรมีเดินเข้ามาดึงแขนข้างสองข้างของตนให้ยื่นไปข้างหน้า
แล้วตรึงเอาไว้แน่น
“มือไหนเอ่ยที่จับเงินของฉัน...ข้างซ้ายรึเปล่านะ~”
ปัง!
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
อ๊ากกกกกกก”
จอห์นนี่ดิ้นพล่านที่มือข้างซ้ายของตนมีเลือดแดงฉาน
ความเจ็บปวดแล่นปลาบแทบขาดใจอยู่ตรงนี้ เส้นเลือดปูดบนใบหน้า
“อ้าว...ไม่ใช่หรอ
ถ้างั้นก็ข้างขวางั้นสิ ขอโทษนะ” เจเรมียิ้มหวานขอโทษขอโพย
ก่อนลั่นไกอีกครั้ง
ปัง!
“อ๊ากกกกกกกกกกก
อ๊าาาาาาาาา อ๊ากกกกกกกก”
จอห์นนี่กรีดร้องลั่นโกดัง ความเจ็บแล่นเข้าสู่สมองอีกครั้ง
ลูกน้องทั้งสองคนที่ตรึงแขนเอาไว้พากันปล่อยให้เป็นอิสระ
จอห์นนีร้องโอดครวญชักดิ้นชักงอ เจ็บจนชาไปหมด
“ยก
ยก ยก-โทษให้ด้วย”
จอห์นนี่ค่อยๆใช้คางคลานเข้ามาหาเจเรมีจนหน้าแทบแนบเข้ากับรองเท้าหนังราคาแพง
ค่อยๆเงยหน้าอ้อนวอนขอไว้ชีวิต
“เลียรองเท้าฉันสิ”
เจเรมียิ้มหวานแต่แฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์ ท้าทายคนใต้เท้า
จอห์นนี่ค่อยๆก้มลงเลียรองเท้าหนังของเจเรมีอย่างเชื่องช้า
ปากสั่นซีดจนน่ากลัว มือทั้งสองข้างถูกยิงทะลุจนเลือดท่วมมือ
เจเรมีผิวปากร้องว้าวในใจ
จอห์นนี่เงยหน้ามองส่งยิ้มแห้งๆซีดๆไปให้
ใบหน้าแทบจะซีดเพราะเสียเลือดมากเกินไป เจเรมียิ้มตอบ ขยับเท้าหนีส่งปืนไปให้อเล็กซ์
“อำพรางศพให้เนียนที่สุด”
เจเรมีสั่งเสียงเย็นชา ดั่งประดุจซาตาน
จอห์นนี่เงยหน้ามองตกใจร้องตะโกนขอไว้ชีวิตอย่างน่าเวทนา
เจเรมีหันหลังเดินกลับไปที่รถกับลูกน้องนับสิบคน
อเล็กซ์ชำเลืองมองตามเจเรมีที่ขึ้นรถไปแล้ว ยกปืนขึ้นยิงโดยที่ไม่มองเลยสักนิด
ปัง!
กระสุนสีเงินเข้ากลางหน้าผากทะลุไปด้านหลัง
จอห์นนี่ล้มลงไปนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง
ลูกน้องสองสามคนรีบมาจัดการร่างไร้วิญญาณของจอห์นนี่ ส่วนอเล็กซ์เก็บปืนไว้ข้างในเสื้อสูท
หันหลังเดินกลับไปแล้วอ้อมมาด้านฝั่งคนขับ เปิดประตูเข้าไปนั่ง
“จอห์นนี่เป็นพี่ชายของแจ็คกี้...จะดีหรอถ้าหากฟิลิปส์รู้เรื่องเข้า”
อเล็กซ์ลองเชิงถามถึงแม้จะรู้คำตอบอยู่แล้ว
“ช่างปะไร
มันตายไปแล้ว เอากลับคืนมาไม่ได้” เจเรมียักไหล่ไม่ใส่ใจ ยกขาขึ้นพาดไปบนหน้ารถ
นั่งหลับตาอย่างสบายใจ
“สงสัยฉันต้องเอารองเท้านี่ไปทิ้งแล้วล่ะ...รีบขับหน่อย
พรุ่งนี้พ่อฉันเรียกตัว”
อเล็กซ์ตีสีหน้าเย็นชาเหยียบสปีดขับออกไป
เช้าต่อมา
อดีตมาเฟียอังกฤษรุ่นที่สาม
กำลังนั่งพักผ่อนอยู่ในห้องของตัวเองบนโซฟานวมตัวใหญ่พร้อมกับลูกชายคนเล็กที่เกิดกับภรรยาคนที่สาม
‘ฟิลิปส์ ดาร์วิน มัวร์’
ที่นั่งไขว่ห้างอ่านหนังสืออยู่ตรงข้าม
ปัง!
“แหม
แหม~ อยู่กับฟิลิปส์ด้วยหรอเนี่ย” เจเรมีเดินอารมณ์ดีเข้ามาในห้อง
สายตามองฟิลิปส์อย่างเป็นมิตร
ฟิลิปส์มองเจเรมีด้วยหางตาก่อนก้มลงอ่านหนังสือของตัวเองต่อ
“เสียมารยาท
บอกกี่ครั้งแล้วให้เคาะประตูก่อนเข้ามา สมบัติผู้ดีควรศึกษาด้วย” คนเป็นพ่อพูดเสียงเครียด
หน้าเคร่งขรึมตามฉบับคนที่ไม่เคยเจอเรื่องตลก
ฝ่ายคนโดนว่ากลับยักไหล่ไม่ใส่ใจ
ยืนมือล้วงกระเป๋ากางเกงมองพ่อตัวเอง
“ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะมีการลงทุนในอิตาลี”
คนเป็นพ่อพูดขึ้นมา
“จริงหรอ! ก็ไม่เลว ผมสนับสนุนเต็มที่ ผมคิดมานานแล้วนะเนี่ย พ่อรู้ใจผมจริงๆ”
เจเรมีเลียรอบริมฝีปากของตัวเองอย่างหื่นกระหายในอำนาจ
“แต่เราอาจจะมีปัญหากับมาเฟียอิตาลี
ฝ่ายนั้นเป็นเจ้าของโลกมืดในอิตาลีนะ” ฟิลิปส์พูดแทรกขึ้นมา
“อย่าปอดแหกไปหน่อยเลย
ฟิลิปส์ ฉันอยากจะทำมันจนควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว”
“แกจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับอิตาลีสักอย่าง
เจเรมี ฉันมีงานอื่นที่สำคัญกว่างานนี้มาแล้ว” คนเป็นพ่อขัดขึ้นมา
เจเรมีเลยเลือกที่จะเบ้ปากบอกปัด
“ขอผ่าน”
“งานนี้สบายมาก
เพื่อนฉันอยากได้บอดี้การ์ดสักคนให้ลูกชายตัวเองที่เพิ่งจะจบมา แค่แกไปดูแลให้แค่นั้น
หวังว่าแกจะทำให้ได้”
เจเรมีนิ่งคิดอยู่นาน
ก่อนจะเปิดปากถาม “หมอนั่นชื่ออะไร”
“เอียน
บารอน มาร์ช”
!?
เหมือนโลกหยุดหมุน
ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเจเรมีหยุดชะงัก เหมือนหัวใจแทบจะหยุดเต้น
เมื่อชื่อที่เขาไม่อยากได้ยินที่สุด ถูกเอื้อนเอ่ยออกมา
ชื่อไม่เคยลืมและทำใจลืมไม่ได้ ชื่อของคนที่ทำร้ายเขาจนแทบตกนรกทั้งเป็น
ชื่อของคนที่เขาเกลียด...ถึงขั้วหัวใจ
ฟิลิปส์ส่งเสียงหึในลำคอลุกขึ้นยืนมองเจเรมีด้วยสายตาแปลกๆ
“ผมจะไปอิตาลี
ขอให้โชคดีนะเจย์” ฟิลิปส์ยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ แล้วหันหลังเดินออกไปจากห้อง
“ฟิลิปส์!” เจเรมีร้องเรียกน้องชายตัวเองไว้ไม่ทัน หันขวับมามองพ่อด้วยสายตาโกรธๆ
“ผมไม่ทำ! ให้ตายก็ไม่ทำ!”
“แค่แกไปเป็นเพื่อนเล่นไม่กี่เดือน
ถึงวันแค่หนูเอียนแต่งงานพอ”
เจเรมีเจ็บแปลบกับประโยคหลัง
คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรสามารถพูดออกมาโดยไม่คิดถึงคนฟังเลยจริงๆ
“ถึงวันแต่งงานหรอ?
แล้วจากนั้นก็เฉดหัวผมใช่ไหม!
เห็นผมเป็นของเล่นรึยังไงละ!”
“เพื่อผลประโยชน์
เจเรมี ต่อให้มันเป็นเรื่องที่แกไม่อยากทำก็ตาม ฉันเคยสอนแกไปแล้ว จำไม่ได้หรือไง”
เพราะมันไม่ใช่แค่ทำเสร็จๆแล้วก็จบไปนะสิ! เจเรมีหัวเสียนึกอาฆาตพ่อตัวเองในใจ
เจเรมีมองพ่อตัวเองด้วยสายตาตัดพ้อ
ไม่รออยู่ฟังต่อเดินกระแทกเท้าออกจากห้องแถมปิดประตูห้องอย่างแรง
อเล็กซ์ที่ยืนพิงรออยู่หน้าห้องเดินตามมาขนาบข้าง
เจเรมีควักหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบเพื่อคลายความเครียด เดินมือล้วงกระเป๋าอารมณ์หงุดหงิด
ก่อนสายตาจะมองออกไปข้างนอกหน้าต่างชั้นสาม
ข้างนอกเต็มไปด้วยป่าล้อมรอบและมีสวนดอกไม้ไว้สำหรับเดินชมหรือนั่งเล่นอยู่ตรงโต๊ะเก้าอี้ที่ตั้งเอาไว้
เด็กหนุ่มวัยหน้าละอ่อน ใบหน้ายาวเรียวสวย ตากลมโตสีเฮเซลนัท
ริมฝีปากที่ยามยิ้มช่างน่าชวนมอง ทรงผมถูกตัดรับเข้ากับหน้าตัวเองเป็นอย่างดี
ทำให้น่ามองยิ่งขึ้นกำลังเดินชมสวนอยู่
สำหรับเจเรมีนั้นเป็นเด็กที่น่าเหยียบย่ำให้จมดิน
บีบรัดให้ตายคามือหรือไม่ก็ทรมานจนสามารถจดจำเขาไปจนวันตาย
เจเรมีเบ้ปากมองไม่พอใจแค่เห็นหน้าไกลๆ
ก็ทำให้เขาของขึ้นขนาดนี้แล้ว แต่ยังจะให้เขาไปเป็นบอดี้การ์ดอีกงั้นหรอ?
“คิดจะทรมานกันไปถึงไหน...อเล็กซ์ติดต่อฟิลิปส์ให้ฉัน”
อเล็กซ์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาฟิลิปส์ให้ทันที
แล้วจัดแจงนัดสถานที่ให้เสร็จสรรพ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เจเรมีเดินเข้าในห้องรับแขกที่เป็นห้องใหญ่ที่สุดของบ้านโดยมีฟิลิปส์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
เจเรมีเดินมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม สาวใช้ค่อยๆเดินมาเสิร์ฟของว่างให้อย่างรู้งาน
ส่วนอเล็กซ์ยืนอยู่ข้างหลังเจเรมีคอยเป็นบอดี้การ์ดให้
“เรามาคุยกันอย่างเป็นการเป็นงานดีกว่า”
ฟิลิปส์เงยหน้ามองด้วยสายตาเรียบนิ่ง
นิ่งจนไม่อาจจะรู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เจเรมียกกาแฟขึ้นมาชิมรสชาติ
“ได้ข่าวว่าเอียนสนิทกับนาย”
“ก็ไม่เท่าไหร่”
ฟิลิปส์เอนตัวพิงโซฟา “น้อยครั้งที่จะคุยกัน”
“โกหก”
เจเรมีพูดเสียงเย็นชา สายตาคมปลาบมีประกายโทสะเจือปนอยู่ด้วย
ฟิลิปส์จ้องมองกลับอย่างท้าทาย ก่อนจะเป็นฝ่ายยอมแพ้แทนเพราะเหนื่อย
“นายต้องการอะไร”
ฟิลิปส์พูดเข้าเรื่องหลักทันที
“ฉันหวังเอาไว้นานแล้วว่าจะลงทุนที่อิตาลี
แต่ไม่มีใครเปิดทางให้สักที แต่พอถึงวัน นายกลับเป็นคนได้ไปซะนี่
ฉันควรจะดีใจหรือเสียใจดีนะ”
เจเรมีหัวเราะสมเพชตัวเอง
ฟิลิปส์นั่งฟังนิ่งเขาบอกกับตัวเองว่าไม่ควรจะต่อปากต่อคำกับเจเรมีในตอนนี้เด็ดขาด
“อยากให้ทำอะไร”
“ในการลงทุนครั้งนี้ให้นายลงนามโดยใช้ชื่อฉัน
ถ้าทางอิตาลีไปได้ดี ฉันจะได้หลุดพ้นจากตาแก่นี่สักที” เจเรมีเผยรอยยิ้มเข้าเล่ห์
“แลกกับอะไร”
“นายอยากได้อะไร”
เจเรมีย้อถามอย่างสบายใจ ต่อให้ฟิลิปส์ขออะไรเขาให้ได้หมดแต่ยกเว้น...
“เลิกยุ่งกับฉันสักที”
ฟิลิปส์เหมือนล่วงรู้ใจพี่ชายตนเอง เจเรมีชะงักก่อนปิดปากกลั้นหัวเราะเหมือนกับมันเป็นเรื่องตลกขบขัน
เจเรมีค่อยๆหยุดหัวเราะ
พลางเช็ดน้ำตาที่หางตาตัวเอง
“ฝันอยู่หรอไงฟิลิปส์”
เจเรมีแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย
ฟิลิปส์ยังคงมีใบหน้าที่เรียบนิ่งเหมือนรู้คำตอบอยู่ในใจอยู่แล้วก่อนจะเปลี่ยนคำตอบ
“ถ้าอย่างนั้นอย่าทำอะไร...ก็พอ”
เจเรมีอารมณ์สะดุดพูดอย่างฉุนกึก
“ฉันจะไปทำอะไรได้ล่ะ”
“ที่ให้ฉันทำแบบนี้ภายใต้ชื่อนายก็ไม่ได้ทำเพื่อ
‘เขา’ หรอ?” ฟิลิปส์ยิ้มมุมปากเหมือนหยอกล้อคนเป็นพี่
“หยุดพูดเรื่องนี้สักที”
เจเรมีกัดฟันกรอดพูดเสียงลอดไรฟัน
“หรือสัญญาที่เคยพูดเอาไว้กับ
‘เขา’ นั่นจะเป็นแค่เพียงลมปาก”
ฟิลิปส์ยังคงแหย่เล่นต่อไป
ปัง!
เจเรมีลุกขึ้นตบโต๊ะเสียงดังลั่น
สาวใช่ที่อยู่แถวนั้นต่างตื่นตระหนก หันไปกระซิบกระซาบพลางมองมาทางเจเรมีด้วย
“ฉันบอกว่าให้หยุดพูดไม่ได้ยินหรือไง!” เจเรมีตาวาวโรจน์
อเล็กซ์ต้องตบบ่าเบาๆสองสามทีเป็นการเตือนสติ เจเรมีนั่งลงส่งสายตาเย็นชา
บรรยากาศเริ่มหนักอึ้ง
ทำให้คนแถวนั้นเริ่มอึดอัดแต่ฟิลิปส์กลับนั่งนิ่งเฉยไม่ทุกข์ไม่ร้อน
ก่อนจากปากที่กัดฟันกรอดจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย
“นายคงไม่อยากให้แจ็คกี้รู้เรื่องบางเรื่องหรอกนะ”
“เจเรมี”
อเล็กซ์ห้ามปราม ฟิลิปส์หรี่ตาสงสัย
“หมายความว่าไง”
“เจเรมี”
อเล็กซ์เรียกเสียงแข็งเมื่อเจ้านายเริ่มเกินขอบเขต เจเรมียกมือขึ้นห้ามก่อนเริ่มพูด
“จอห์นนี่ยักยอกเงินฉัน ถูกจับได้เมื่อคืน”
ฟิลิปส์มีอาการตกใจเล็กน้อยก่อนเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบเหมือนเดิม
“แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน”
ฟิลิปส์ถามเสียงนิ่งแต่เพิ่มความกดดันในแววตา
“คิดว่าอยู่ไหนละ
โรงพยาบาลหรือ....หลุมศพ” เจเรมียิ้มร้ายบอกเป็นนัยๆ
ฟิลิปส์เบิกตาโตนิ่งอึ้งจ้องมองใบหน้าเจเรมีอย่างไม่เชื่อสายตา
ถึงจะรู้ดีอยู่แล้วแต่ชายคนนี้ไม่มีความเมตตากับใครเลยสักนิด
“ทำไมนาย...”
ฟิลิปส์พยายามข่มอารมณ์เต็มที่ “ถึงทำแบบนี้”
“ยิ่งเราให้อภัยมันเท่าไหร่มันยิ่งได้ใจมากเท่านั้น
ต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลมนั่นแหละดี” เจเรมีหยิบคุกกี้ขึ้นมากัดดังกรุบ
มองฟิลิปส์เหมือนถือไพ่เหนือกว่า...ศึกครั้งนี้เขาชนะใสใส
“ถ้าแจ็คกี้รู้เข้า”
“ใช่...ถ้าแจ็คกี้รู้เข้าละก็”
เจเรมีลุกขึ้นยืนโน้มตัวเข้าไปใกล้ฟิลิปส์ จนใบหน้าใกล้ชิดกันเหลือไม่กี่คืบ
กระซิบที่ข้างหูดั่งเสียงซาตานกระซิบ “นายจะทำยังไงละ ฟิลิปส์”
พูดจบก็ดึงตัวเองกลับมานั่งไขว่ห้างเคี้ยวคุกกี้อย่างไม่แยแส
ลอบมองปฏิกิริยาของฟิลิปส์ไปในตัว ฟิลิปส์นั่งนิ่งเงียบ
สายตาเหม่อลอยจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
...ง่ายเสียจริงๆ
เจเรมีลอบยิ้มเจ้าเล่ห์
“อยากทำอะไรก็ทำ”
ฟิลิปส์พูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย “ถ้านายอยากได้ธุรกิจนั่นนักฉันก็จะทำให้แลกกับเรื่องของแจ็คกี้กับ...”
ฟิลิปส์ลุกขึ้นยืนส่งสายตาเย็นชากลับเพื่อเสริมคำพูดของตัวเองและบอกเป็นนัยว่า ‘อย่าได้คิดจะทำอะไรไปมากกว่านี้’
ฟิลิปส์เดินออกจากห้องผ่านสาวใช้ที่ก้มหัวโค้งคำนับอยู่สามสี่คนโดยไม่ชายตามองสักนิด
เจเรมีมองตามไปแล้วส่งเสียงไม่พอใจส่งท้าย
ตีสีหน้าเย็นชาลุกขึ้นยืนตัวตรงแล้วเดินออกจากห้องไปอีกทาง
อเล็กซ์เดินตามออกมาด้วย
“ฉันคิดว่าเราไม่ควรมีปัญหากับฟิลิปส์”
อเล็กซ์พูดไปเดินไป
“หมอนั่นไม่กล้าทำอะไรหรอก”
เจเรมีตอบกลับรู้นิสัยของฟิลิปส์ดี ก็อยู่ด้วยกันมานานแค่ไหนแล้ว
“แต่พอถึงเวลา
งูตัวนั้นอาจจะมาแว้งกัดเราก็ได้”
“เราถึงต้องใช้งานให้เป็นไงละ”
เจเรมียิ้มร้าย
อเล็กซ์ส่ายหน้าเอือมระอา
เจเรมีไม่เคยใช้งานคนโดยไม่แฝงเจตนาร้ายเลยสักครั้ง
อเล็กซ์กับเจเรมีเดินผ่านมาถึงห้องโถงใหญ่
อีกทางประตูมีชายมาดผู้ดีแต่งตัวคล้ายเด็กเรียน ผมบลอนด์ทองระต้นคอเล็กน้อย
เดิมมาพร้อมกับบอดี้การ์ดที่ดูมีกล้ามนิดหน่อยเมื่อมองจากภายนอก
เจเรมีเดินผ่านพลางมองด้วยหางตา
ส่วนอีกคนที่เขามองกลับมองตรงไปข้างหน้าไม่แลเลยสักนิด จนสุดทางผ่านเจเรมีไป
เขาส่งเสียงหึในลำคอ ละสายตาจากร่างเล็กนั้นแล้วทำท่าหมั่นไส้ลับหลัง
“อยู่ดีกินดีจริงๆ”
เจเรมีทำหน้าบูดเบี้ยวพลางพูดไปด้วย ก่อนเดินออกจากคฤหาสน์ใหญ่ออกไปแบบไม่สบอารมณ์
“คุณหนูจะดีหรอครับที่ให้ผู้ชายคนนั้น-” ชายชุดดำบอดี้การ์ดร่างโตเกิดอาการระแวง
หนุ่มร่างเล็กยกมือขึ้นห้ามพูด
กลายเป็นผู้มีฐานะต่ำกว่าต้องยอมจำนนเงียบไป
“ถือซะว่ากำลังเล่นเกมคลายเครียดแล้วกัน”
พูดจบก็เดินเข้าไปพบลุงเพื่อทักทาย
ปึก!
เสียงกระแทกแก้วดังปึกบนโต๊ะอาหารในภัตตาคารชื่อดังระดับห้าดาวดังขึ้น
เจเรมีทำหน้าเบื่อโลกเต็มที่ ฝ่ายที่ถูกชวนมาก็ไม่แพ้กัน เขากำลังมีปาร์ตี้สำคัญแต่กลับต้องมานั่งสวีทหวานกับเพศผู้ด้วยกันเสมือนคู่รักอยู่ตรงนี้
“ฉันก็อยากจะรู้นักนะว่าลูกมาเฟียมีอำนาจอย่างนายจะมานั่งเบื่อโลกในร้านระดับแพงหูฉี่”
โธมัสเปรยขึ้นมา
“อย่างนายไม่รู้อะไรหรอก
ฉันต้องไปพัวพันกับเกมของพ่อที่สร้างขึ้นมาเพื่อเล่นตลกกับหัวใจของฉันน่ะ”
เจเรมีฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
โธมัสแยกเขี้ยวยิงฟัน
รู้สึกเสียดายสุดขีดที่ต้องสละปาร์ตี้สุดมันส์มานั่งฟังปัญหาคนอกหักพร่ำเพ้อกลางวันแสกๆ
“จะเล่นตลกเล่นแป้กอะไรก็ช่างเถอะ
ฉันไม่เห็นอยากจะรู้ด้วยเลยนะไอ้ปั๊บปี้เลิฟของนายกับหนุ่มน้อยน่ารักเนี่ย” โธมัสนั่งจิ้มเนื้อเสต็กเข้าปาก
“ปั๊บปี้เลิฟ?
น่ารัก? เฮอะ!”
เจเรมีแค่นเสียงประชด
“อย่ามาปากอย่างใจอย่างนะ!” โธมัสแยกเขี้ยวขู่ฟ่อพลางจะเอาส้อมจิ้มตาอยู่รอมร่อ
เขาเบื่อพวกไอ้ปากไม่ตรงกับใจที่สุด
“ฉันมีปาร์ตี้สระว่ายน้ำสุดเหวี่ยงกับแม่เสือสาวอยู่
รีบเมาเร็วๆเข้า” โธมัสทำหน้าสีหน้าดุดัน ส่วนเจเรมีเบ้ปากหมั่นไส้
อเล็กซ์ยืนรินไวน์ใส่แก้วให้ซึ่งกลายเป็นบริกรจำเป็นสำหรับเจเรมีไปแล้ว
“แต่เมื่อเช้านี้ฉันเห็นว่าหมอนั่นเข้าไปพบบอสด้วยนี่
นายได้เจอไหม”
เจเมีชะงักกึกเท้าคางทำหน้าเซ็ง
ยกไวน์ขึ้นดื่มหมดแก้วแล้วลุกขึ้นเดินหนีออกไป
“เฮ้ย! ไอ้บ้านี่ แล้วค่าอาหารแพงหูฉี่ฉีกกระเป๋านี่ละ?!”
โธมัสโวยวายขึ้นมาดังลั่น เจเรมีหยุดยืนหันไปยักคิ้วหลิ่วตาใส่ “จ่ายเองเลย
โทษฐานทำฉันเสียใจ”
พูดจบก็เดินออกไปโดยมีอเล็กซ์เดินตามหลังออกมาด้วย
ส่วนอีกคนก็นั่งนิ่งค้างเพราะค่าอาหารที่ทำเอากระเป๋าเขาแฟบในวันเดียวนี่! ไอ้บ้าเจเรมี ฝากไว้ก่อนเถอะ!
“โว้ย! เซ็ง” เจเรมีทำหน้าบูดหยุดยืนรออยู่หน้าร้าน รอรถมารับจากลูกน้อง
ส่วนอเล็กซ์ยืนสีหน้าเรียบนิ่งอยู่ข้างๆไม่พูดไม่จา
เจเรมีแทบจะขยี้หัวตัวเองเพราะคิดหาทางเรื่องนี้ไม่ออก ได้แต่ระบายไปกับบุหรี่
ปล่อยไปกับควัน สงสัยคืนนี้เขาต้องไปหาเสือสาวอีกสักคืนแล้วสิ
รถลีมูซีนคันดำจอดเทียบท่าอยู่ตรงหน้า
อเล็กซ์เดินไปเปิดประตูด้านข้างให้ เจเรมีก้าวขึ้นไปนั่ง
อเล็กซ์ปิดประตูแล้วเดินอ้อมเดินมาเปิดประตูอีกด้านหนึ่งเข้าไปนั่ง
ก่อนรถจะแล่นออกไป
“คืนนี้ติดต่อให้อีกสักคืน”
เจเรมีพ่นควันบุหรี่
“งดสักวันเถอะ
นายอาจจะเป็นเอดส์ตายได้นะ” อเล็กซ์พูดติดตลก
เจเรมียิ้มมุมปากก่อนจะบอกลูกน้องให้ตรงไปจอดที่คอนโดของตัวเอง
เพื่อเตรียมตัวสำหรับการล่าสาวในค่ำคืนนี้
คลับชื่อดัง
XXX
รถเปิดประทุนสีดำคันโปรดของเจเรมีมาจอดอยู่หน้าผับ
ฝ่ายพนักงานต้อนรับมองเห็นและจำได้ก็รีบวิ่งมาเปิดประตูให้คนที่นั่งอยู่ในนั้นได้ลงมา
แล้วทักทายอย่างเป็นกันเอง
“ยินดีต้อนรับครับบอสเจเรมี”
พนักงานต้อนรับโค้งคำนับ
เจเรมีตบบ่าดังปึกสองสามทีแล้วเดินผ่านเข้าไปข้างในที่มีเสียงเพลงดังกระหึ่ม
ชายหญิงต่างนั่งดริงค์บ้าง โยกเต้นส่ายเอวกันบ้าง เจเรมีและอเล็กซ์เดินผ่านเข้ามานั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ที่ประจำของพวกเขาและดูเหมือนบาร์เทนเดอร์จะรู้ใจเขาซะด้วย
“แบบเดิมสินะครับ
มาร์ตินี่”
เจเรมียิ้มรับเอื้อมมือยกขึ้นดื่ม
แต่จริงๆคืนนี้เขาไม่ได้อยากจะดื่มมันเลย
“แหม
แหม วันนี้สาวเยอะเป็นพิเศษเลยนะ” เจเรมีสอดส่องมองหาเหยื่อ
อเล็กซ์มองตามก่อนละสายตาหันหลังให้ไม่สนใจอีก
เจเรมีโยกตัวเต้นตามจังหวะเสียงเพลง
เสียงกระซิบกระซาบกับสายตาของสาวๆส่งมาให้อย่างบ้าคลั่ง
เจเรมียักคิ้วหลิ่วตาไปตามแบบฉบับมาเฟียเพลย์บอย
เจเรมียิ้มเจ้าล์ยกมาร์ตินี่ขึ้นดื่มก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นสาวที่ตรงสเป็คของตัวเองนั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
เจเรมีวางแก้วลงเลียริมฝีปากอย่างหื่นกระหาย
เดินเข้าไปหาอย่างเชื่องช้า อเล็กซ์มองตามไปเพื่อไม่ให้คลาดสายตา
ส่วนคนแถวนั้นที่เห็นเจเรมีเดินมาก็หลบกันเป็นแถบเพราะรู้ว่า
จิ้งจอกตัวนี้เจอเหยื่อแล้ว ฝ่ายหญิงสาวที่เจเรมีหมายปองเอาไว้
ดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้สึกตัวหันมามองก่อนส่งยิ้มให้
“Hi.” เจเรมีนั่งลงข้างๆโดยตัวแทบจะชิดกัน
“Hi,
Jeremih.” หญิงสาวผมทองยาวสลวยเอ่ยทักทาย
เจเรมีชะงักไปเล็กน้อย...คนรู้จักหรอนี่
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
เจเรมีเนียนตามน้ำ
“ก็นายไม่มาที่คลับนี้เลยนี่
เห็นเพื่อนฉันบอกว่านายชอบไปอีกคลับที่มันดังๆนั่น” หญิงสาวสลับขาไขว่ห้าง
เจเรมีมองตามการกระทำแล้วยิ้มหื่น
“แถวนั้นมีสาวๆ
เยอะนี่นะ” เจเรมีเอื้อมมือไปเล่นผมของหญิงสาว
“ทำให้คิดถึงแย่เลย”
หญิงสาวกระซิบข้างหู
เจเรมียิ้มพอใจดูเหมือนคืนนี้เขาจะได้เหยื่อซะแล้วสิ
“ถ้างั้นคืนนี้...”
เจเรมีเว้นว่าง แต่ดูเหมือนหญิงสาวเข้าใจ
“วันนี้คงว่าง”
หญิงสาวใช้นิ้วลากไล้ตั้งแต่ต้นคอจนมาหยุดอยู่ที่หน้าอกของเจเรมี
“ก็ดีเลยสิ”
เจเรมียิ้มชั่วร้ายก่อนจะ....
“ดีกับผีสิ”
ซ่า!
ค็อกเทลสีใสถูกสาดเข้าใส่หน้าเจเรมีเต็มๆ
ฝ่ายหญิงสาวที่นั่งข้างๆร้องตกใจ เจเรมีกะพริบตาปริบๆงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ยกมือขึ้นลูบหน้าไล่ความเปียกชื้นออกไป
มองสภาพของตัวเองที่เปียกเลอะไปเกือบครึ่งตัว
เจเรมีรีบเงยหน้ามองหนุ่มร่างบางผมบลอนด์ทองกำลังถือแก้วค็อกเทลอยู่
เจเรมีกัดฟันกรอด
เกิดอารมณ์ประทุขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เอ่ยชื่อของผู้กระทำลอดไรฟัน
“เอียน!!!”
TBC
ความคิดเห็น