ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [BJIN] คลังฟิคสั้นของบินฮวาน l #คลังmyxbase

    ลำดับตอนที่ #8 : [OS] Jinhwan's tale

    • อัปเดตล่าสุด 1 มิ.ย. 60


    เรื่องเล่าจากจินฮวาน

     


         คุณคิดว่ากว่าคนเราจะใช้คำว่าสนิทกันน่ะ ต้องใช้เวลาเท่าไหร่กัน ?

      

       ปีหนึ่ง สิบปี หนึ่งเดือน สามอาทิตย์ ทั้งชีวิตหรือแค่ชั่ววินาทีที่เจอหน้ากัน คุณอาจบอกผมกลับมาว่ามันต้องใช้เวลา แต่ก็ตอบไม่ได้ว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ผมก็เหมือนกัน


         กับบางคน ผมว่ามันอาจจะใช้เวลาสักอาทิตย์หรือมากกว่านั้น


         แต่พอเป็นเขา ผมคิดว่ามันคงจะทั้งชีวิตล่ะมั้ง...


         ลองอ่านดูสิ เรื่องราวเกี่ยวกับเขา ที่เข้ามาในชีวิตผมเพราะการ์ตูนเล่มเดียว

     


    “สรุปวันเสาร์ไปดูด้วยกันนะครับ”


         เขายังเอาแต่พูดแบบนั้นทุกครั้งที่เจอหน้ากันเพื่อจะย้ำกับตัวเองหรือเพื่ออะไรผมก็ไม่รู้ แต่ที่รู้คือผมเริ่มรู้สึกว่ามันเป็นการกระทำที่ชวนให้เบี้ยวนัดถ้าเขายังเอาแต่ถามผมอยู่แบบนั้น


         ผมไม่ได้รำคาญเขา ไม่หรอก เพราะตั้งแต่รู้จักกันเขาก็เป็นแบบนี้ แต่ที่รำคาญคือผมไม่ชอบที่สายตาคนรอบข้างมองเราสองแล้วก็หาโอกาสโห่แซวขึ้นมาก็เท่านั้น ผมไม่ได้รำคาญเขาเลย


    “นายจะถามทำไมหลายรอบ”


    “ก็คุณไม่ตอบตกลงสักทีนี่”


    “เฮ้อ”


         ผมถอนหายใจออกมาเป็นการจบบทสนทนา บทจะว่าซื่อเขาก็ซื่อซะจนผมเหนื่อยใจ ทำไมเขาเป็นแบบนี้แล้วผมยังมองว่ามันน่ารักได้นะ ไม่เข้าใจตัวเองเลย..


         เขาตัวสูงกว่าผมเป็นคืบ เป็นเด็กหลังห้องที่ท่าทางเกเรแล้วก็เหมือนจะมีเรื่องชกต่อยให้ได้ยินผ่านหูผมมาบ้าง เวลาเรียนก็เอาแต่หลับ คนละเรื่องกับเด็กหน้าห้องที่ตั้งใจเรียนแบบผม เรามีเรื่องอะไรให้แตกต่างกันหลายเรื่องและส่วนสูงก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่มอต้นนั่นแหละ คงเพราะอยู่คนละห้องเลยไม่ได้รู้จักกันมากนัก แต่พอขึ้นมามอปลายก็ได้มาอยู่ห้องเดียวกัน


         แต่ก็นั่นแหละ ผมกับเขาก็ยังไม่ได้รู้จักอะไรกันไปมากกว่าที่เป็นอยู่


         เขายังเป็นเด็กหลังห้องที่นิสัยดีกับเพื่อนคนอื่นๆในห้อง และผมกับเขาก็ไม่ได้มีบทสนทนาซึ่งกันและกัน


         จนอยู่วันนึง.. วันเปิดเทอมเข้ามอปลายปีสอง อากาศสบายๆตอนเช้าชวนให้ผมอยากเดินไปโรงเรียน เลยบอกให้คนขับรถจอดเยื้องรถไปทางฝั่งประถมมากกว่าจะให้จอดทางฝั่งมัธยมอย่างที่เคย ผมเดินพร้อมกับเดินอ่านการ์ตูนที่พึ่งได้มาตอนไปดูหนังกับแด๊ด


         อ่อ.. เกือบจะลืมบอกส่วนนี้ไป แด๊ดเป็นพ่อเลี้ยงที่เหมือนจะเป็นพ่อแท้ๆของผม ส่วนพ่อแท้ๆของผมท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกและเราก็ยังติดต่อกันอยู่บ้าง ผมว่าผมเติบโตมาด้วยความรักจากทั้งแม่ทั้งแด๊ดแล้วก็พ่อด้วย แต่ยังคงไม่รู้เหตุผลว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงตัดสินใจเลิกทางกัน


         แด๊ดเป็นนักธุรกิจจากอเมริกันแล้วมารักกับแม่ผมที่อยู่ในโซล ผมชอบท่านเพราะท่านดูเหมือนซานตาครอส ท่านใจดี แล้วก็ทำงานเป็นหนึ่งในกรรมการจัดการอะไรสักอย่างเกี่ยวกับโรงหนังในโซล ฐานะครอบครัวเราค่อนข้างดี ก็นั่นแหละ เท่านั้น...


         ชีวิตของผมเป็นแบบที่เด็กมอปลายควรจะเป็น กลับบ้านมาทำการบ้าน อ่านหนังสือ เล่มเกมส์กับพวกเพื่อนๆบ้าง แล้วก็อ่านการ์ตูนญี่ปุ่นสักเล่มสองเล่มก่อนนอน ตื่นเช้ามาก็ไปโรงเรียน ตั้งใจเรียน คุยกับเพื่อนเรื่องการ์ตูนที่แชร์กัน ผมเป็นแค่เด็กมอห้าธรรมดาๆคนนึงที่ชอบการ์ตูน 


         ผมชอบอ่านแฟรี่เทล อ่านจนจะจบแล้วล่ะ พอมีภาคพิเศษที่เป็นหนังเข้ามาแด๊ดเลยพาไปดูด้วยกันก่อนที่หนังจะได้เข้าฉายอย่างเป็นทางการในประเทศเราพร้อมกับทีมงานของแด๊ดอีกไม่ถึงยี่สิบคน ผมเลยได้เล่มของแถมมาก่อนคนอื่นเขา นั่นเป็นสาเหตุที่วันเปิดเทอมผมถือติดมือมาอ่านตอนเดินไปโรงเรียน


         จนมีประโยคนึงดังขึ้นนั่นแหละ


    “หวัดดี..”


    “......”


    “เอ่อ..มาแต่เช้าเลยเนอะ”


         ผมมองเจ้าของเสียงด้วยสายตางงๆ แน่ล่ะใครจะไม่งง ไอ้คนที่อยู่ร่วมห้องกันมาเป็นปีแล้วยังไม่ได้รู้จักกัน อยู่ๆมาทักด้วยประโยคที่มันค่อนข้างดูเหมือนจะสนิทกันนั่น ผมเลยมองไปข้างหลังเผื่อว่าไอ้คนตรงหน้าจะไม่ได้ทักผม และข้างหลังก็มีกลุ่มนักเรียนหญิงอยู่


         เอาจริงๆ ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นเขาทักผม เพราะเราไม่ได้สนิทกันนี่นา เขาจะมาทักผมทำไมกัน


         และเรื่องมันก็เริ่มต้น ไม่ว่าจะทำอะไรผมก็ดูจะอยู่ในสายตาของเขาซะทุกอย่าง เวลาเดินสะดุดหรือแค่นั่งกินนมกับเพื่อน พอผมหันไปทางหลังห้องก็สบตากับเขาอยู่แบบนั้นหลายครั้ง เวลาแบบนั้นผ่านไปเป็นอาทิตย์จนผมเป็นฝ่ายเริ่มพูดกับเขา


         ผมบอกแล้ว ผมไม่ได้รำคาญเขาหรอก ผมรำคาญเสียงโห่แซวของพวกนั้นต่างหาก


         เราสองคนคุยกันบนดาดฟ้า มันเป็นครั้งแรกของผมที่ขึ้นไปที่นั่น วิวโล่งๆที่มองเห็นเรือนกระจกที่อยู่เกือบขอบโรงเรียนทำให้ผมพูดโง่ๆออกไปจนได้


         ผมให้เขาไปขโมยดอกไม้ของชมรมเกษตร...


         มันตลก มันบ้า แล้วผมก็คิดว่าเขาจะไม่ทำมันแน่ๆแต่เขาก็ยอมตกลงรับข้อตกลงของผม ผมเดินกลับห้องก่อนและคาบอื่นในวันนั้นเขาก็ไม่เข้าเรียนอีกเลย เขาหายไป แต่เพื่อนในห้องบอกว่าเขาไปนั่งอยู่ที่ชมรมเกษตร เขาเข้าไปได้ไงกันนะ เอาเถอะ...


         ผมกลับมาบ้านในตอนเย็น แด็ดนั่งดูหนังสักเรื่องอยู่ในทีวีจอใหญ่แล้วทักผมตอนกลับบ้าน ผมตอบไปอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วเดินไปนอนพิงไหล่หนาๆของท่าน ท่านเหมือนซานตาครอส ผมบอกไปแล้วรึยังนะ ท่านตัวกลมๆ เวลายิ้มท่านก็ดูใจดี แต่เวลาจริงจังท่านก็ดูน่ากลัวเหมือนกัน


         เวลากลับบ้านแด๊ดจะใจดีกว่าที่ทำงานสักสองสามเท่า แต่แด๊ดก็ยังเป็นที่รักของพวกลูกน้อง ผมเลยภูมิใจในตัวท่านเหมือนที่ท่านภูมิใจในตัวผม


         ไหนว่าจะเล่าเรื่องเขาคนนั้น ผมวนกลับมาเล่าเรื่องแด๊ดอีกแล้ว..


    “วันนี้เป็นไงจินวาน”


    “ก็ดีครับ”


    “ดีแล้วทามมายจินวานทำท่าเหมือนหมาหงอย”


    “แด๊ด ยูรู้ได้ไงว่าหมาหงอยทำท่าแบบไหน”


    “แบบจินวานนี่ไง”


    “วันนี้จินวานจะยอมแด๊ดวันนึงแล้วกันนะ”


         ผมพูดพร้อมพิงไหล่แด๊ดอีกหน คราวนี้หลับตาลงซึมซับความอบอุ่นของพ่ออีกคนของตัวเองด้วย ทำไมผมรู้สึกผิดนะ แค่บอกให้เขาไปขโมยดอกไม้ ทำไมผมต้องมานั่งรู้สึกผิดด้วย..


         เขาแค่โดดเรียนทั้งวัน เขาแค่ไม่เข้าเรียน..


         อ่า.. ผมไม่ควรรู้สึกผิดใช่ไหม มันไม่เกี่ยวกับผมเลย


         แต่ก็รู้สึกผิดชะมัด ผมน่าจะยกแฟรี่เทลเล่มนั้นให้เขาไปอ่านตั้งแต่แรก...


    “จินวาน”


    “ครับ”


    “มีอะไรรึเปล่า วันนี้ยูดูหงอยแปลกๆ ไม่สมกับเป็นยูเลย”


    “แด๊ด การที่ไอรู้สึกผิดกับคนคนนึงนี่หมายความว่าไงหรอ”


    “ไอไม่รู้หรอก มันแปลได้หลายอย่างนะ”


    “..........”


    “แต่คนคนนั้นคงจะสำคัญกับยูน่าดูเลย จินฮวานของแด๊ดถึงได้รู้สึกผิดเป็นหมาหงอยแบบนี้”


         แด๊ดพูดพร้อมหัวเราะออกมา เหมือนซานต้าที่หัวเราะโฮ่ะ โฮ่ะในวันคริสมาสต์ ผมหัวเราะเบาๆตามแด๊ดเพราะตลกที่ตอนแด๊ดบอกว่าเขาสำคัญผมก็ดันพยักหน้าตอบไปแบบไม่รู้ตัวด้วย


         เขาคงสำคัญล่ะมั้ง...


    “แด๊ด”


    “หืม”


    “บัตรดราก้อนครายยังเหลืออยู่ไหม”


         นั่นเป็นตอนที่ผมตัดสินใจว่า ถ้าเขาพยายาม ผมก็จะพยายามเหมือนกัน


         แต่ถ้าถามตอนนี้ ผมคงจะย้อนเวลากลับไปเพื่อเกลี้ยกล่อมตัวเองให้คิดเกี่ยวกับเขาคนนั้นอีกรอบนึง บอกให้ตัวเองเก็บซองสีขาวที่ด้านในมีบัตรหนังไว้กับตัวผมเอง แล้วทำเมินเฉยกับคิมฮันบินคนนั้นต่อไป



    “แล้วสรุปจะไปดูกับผมรึเปล่า”


    “.....”


    “จินฮวาน ?”


    “ไป..ไปก็ได้ พอใจแล้วใช่ไหม”


    “อือ”


         เขาทำท่าพยักหน้าหงึกหงักอย่างดีใจ การแสดงออกเหมือนเด็กๆของเขาทำให้ผมเกือบจะหลุดขำออกมา จนลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้ ผมเคยรำคาญเขามากแค่ไหน


         ตอนนี้เลิกเรียนแล้ว เลิกเรียนมาสักพักแล้วด้วย ผมกำลังจะเดินไปหาแด๊ดที่ห้างใกล้ๆกันนี้โดยมีเขาเดินตามคุยอยู่ไม่ห่าง เราเหมือนเพื่อนสนิทในสายตาคนอื่น อาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆก็ได้ในอนาคต แต่ผมไม่อยากไปคาดหวังอะไรกับมันเท่าไหร่นักหรอก


    “นี่ ฮันบิน”


    “ครับ”


    “เราคุยกันแบบไม่ต้องสุภาพไม่ได้หรอ”


    “คุณหมายถึง ?”


    “ไอ้คุณๆผมๆของนายเนี่ย เลิกใช้ไม่ได้หรอ”


    “ถ้าเลิกใช้มันจะทำให้สนิทกันไวขึ้นใช่รึเปล่าครับ”


    “..ก็น่าจะงั้นล่ะมั้ง”


    “..ผมก็คิดแบบนั้น”


    “.........”


    “แต่ว่า ก็ยังไม่อยากเลิกใช้อยู่ดี”


    “......”


    “ผมไม่อยากเรียกคุณเหมือนที่ผมเรียกเพื่อนตัวเองอ่ะ”


    “ทำไม ?”


    “เพราะคุณไม่ได้อยู่ในสถานะเดียวกับพวกนั้น”


    “........”


    “คุณเป็นคนพิเศษ”


    “พูดจาอะไรแบบนี้เป็นด้วยหรอ”


    “พ่อบอกว่าถ้าเจอคนที่ชอบให้พูดออกไปอย่างจริงใจ”


    “นายมัน....”


         ผมเดินก้าวห่างจากเขา ไม่ใช่ว่าเขินกับคำพูดอะไรของเขานักหรอก แค่ไม่ชินที่เขาพูดมันออกมาได้หน้าตาเฉยแบบนี้ต่างหาก คิมฮันบินเป็นผู้ชายประเภทไหนกันนะ แล้วคำที่ว่าคนที่ผมชอบที่ออกมาจากปากของเขาน่ะ มันหมายถึงคนที่ชอบในลักษณะแบบไหนกัน


         เขาชอบผมหรอ.. ชอบผมเพราะอะไรกันล่ะ ชอบผมตอนไหน เขาชอบผมแบบแฟนหรอ หรือชอบผมในแบบเพื่อน ชอบผมหรอ.. คำถามพวกนี้มันวนอยู่ในหัวผมไม่ยอมหยุด ในขณะที่เจ้าของคำพูดเงียบไปพร้อมกับเดินยิ้มอยู่ข้างผมแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งนั้น


         ผมบอกให้เขาเลิกเดินตามผมสักที แต่เขาก็เอาแต่บอกว่าเขาไม่ได้ตามผมมา เขาเองก็มีธุระที่นั่นเหมือนกัน ผมพยักหน้าฟังแต่ก็ไม่ได้เชื่อสนิทใจว่าเขาจะมามีธุระในวันที่ผมมีธุระที่นี่เหมือนกัน ผมเดินข้างเขาอยู่สักพัก พร้อมกับหันไปมองเขาบ้างเป็นครั้งคราว เขายังคงยิ้มให้ผมทุกครั้งที่เราสบตากันและเป็นผมเองที่หันหน้าหลบสายตานั่น


         ไม่ยุติธรรมเลย ผมไม่อยากสนิทกับเขาแล้ว


         รอยยิ้มของเขาทำให้ผมหายใจติดขัด เหมือนสมองจะหยุดสั่งการไปซะหมด เกิดอะไรขึ้นกันนะ ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย อย่างน้อยก็ตั้งแต่ตอนจำความได้ หัวใจเหมือนจะเต้นผิดจังหวะด้วย


         เขายังยิ้มให้ผม ผมรู้สึกได้แม้ว่าตอนนี้ผมเดินมองดูพื้นถนนแทนหน้าของเขา


         คอนเวิร์สสีแดงสองคู่กำลังก้าวไปเกือบจะพร้อมๆกัน ขาเขายาวชะมัด ผมเดินสองสามก้าวเขาก็ก้าวมาทันภายในชั่ววินาทีแล้ว แถมเราสองคนยังใส่รองเท้าเหมือนกันอีกต่างหาก


         ห้างสรรพสินค้าอยู่ข้างหน้า เขาเป็นฝ่ายบอกลาผมที่หน้าร้านหนังสือแล้วเดินไปร้านกาแฟที่อยู่ชั้นถัดไป เขาคงมาหาใครสักคน ผมก็ว่าซื้อหนังสือเสร็จจะเดินไปหาแด๊ดเหมือนกัน จะว่าไป เมื่อกี้ผมก็ไม่ได้บอกลาเขาเลย ผมเพียงแค่พยักหน้าตอบเขาแล้วเดินแยกออกมาเลยซะงั้น


         รู้สึกไม่ดีอีกแล้ว


         ไว้ถ้าได้เจอกันอีก ผมจะโบกมือบ๊ายบายเขาแล้วกันนะ...


         ผมคิดไว้แบบนั้น แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะได้เจอเขาอีกจริงๆ เขายังยืนอยู่หน้าร้านกาแฟที่เขาเคยบอก และแด๊ดผมก็อยู่ด้านในร้านเหมือนกัน หุ่นสูงๆในชุดนักเรียนแบบผมกำลังยืนดูดช็อกโกแลตเย็นด้วยสีหน้าแบบบอกไม่ถูก แต่ผมคิดว่าเขาคงจะหงุดหงิดนิดหน่อย


         แต่ก็รู้สึกดีที่พอเขาหันมาเห็นผม เขาก็ยังยิ้มให้เหมือนก่อนหน้านี้


         ผมเห็นแด๊ดกำลังคุยกับคุณอาคนนึงผ่านกระจกหน้าร้านตอนที่เขาเดินเข้ามาหา เขาบ่นให้ผมฟังว่าพ่อของเขามาคุยงานที่นี่แล้วต้องกลับบ้านเองทั้งที่พ่อเขาบอกว่าจะรับกลับด้วยกัน ผมเลิกคิ้วมองเขาอย่างสงสัย แล้วก็ใช่... เหมือนจะรู้คำตอบแล้วว่าแด๊ดผมคุยอยู่กับใครเมื่อข้างในนั้นมีลูกค้าที่เป็นผู้ใหญ่อยู่แค่แด๊ดของผมกับคุณอาคนนั้น..


         ผมเลยโดนทิ้งไปด้วย


         แด๊ดส่งข้อความมาบอกว่าให้ผมนั่งแท็กซี่กลับก่อนเพราะเจอเพื่อนเก่าคงจะคุยกันอีกนาน ผมมองไปที่ฮันบิน เขายังคงไม่มีท่าทีว่าอยากจะกลับบ้านเท่าไหร่นัก ผมก็เหมือนกัน...


    “แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่อ่ะ มาหากาแฟกินหรอครับ ?”


    “มาหาแด๊ด”


    “นั่น พ่อคุณหรอ”


    “อือ คุณอาคนนั้นก็พ่อนายสินะ”


    “ครับ”


    “....สงสัยว่าเราจะโดนปล่อยเกาะทั้งคู่แล้วล่ะ”


    “งั้น..ไปหาอะไรกินกันไหมครับ”


    “??”


    “จะได้สนิทกันมากขึ้น”


    “ก็ได้บัตรหนังไปแล้ว นายจะยังต้องมาสนิทกับฉันทำไมอีก”


    “ผมไม่ได้อยากสนิทกับคุณเพราะแค่เรื่องนั้นสักหน่อย”


    “...”


    “ไปกันเถอะครับ ผมหิวแล้วล่ะ”


         เขาคว้ามือของผมไปในทันทีที่พูดจบ แด๊ดหันมามองก่อนจะพยักหน้ายิ้มให้แล้วหันกลับไปคุยต่อเหมือนเดิม อะไรกัน ผมคิดว่าแด๊ดจะหวงผมมากกว่านี้ซะอีก ฮันบินยังคงลากมือผมเดินไปตามร้านนู่นนั่นจนผมตาลาย แต่สุดท้ายก็มาจบที่ร้านราเม็งธรรมดาๆที่เกือบจะอยู่ริมสุดของห้าง


         คุณตาเจ้าของร้านทักทายคนตัวสูงข้างผมอย่างสนิทสนม เขาแอบกระซิบให้ผมฟังว่าผมเป็นคนแรกที่เขาพามาร้านนี้ด้วยกัน ปกติเขาจะแอบมากินที่นี่คนเดียวหลังเลิกเรียน ตลกที่มันทำให้ผมรู้สึกดี แต่ไม่ได้อยากแสดงอะไรออกไปให้เขาเห็น


         ราเม็งที่นี่อร่อยเกินคาด อย่างน้อยมันก็อร่อยมากกว่าที่ผมคิดไว้ตั้งเยอะ คนตรงหน้าสั่งชามที่สองมากินแล้ว ผมยังกินเส้นในชามแรกของตัวเองไม่หมดเลย ท่าทางเอร็ดอร่อยของเขาดูเหมือนเด็กจนผมคีบหมูในชามตัวเองไปให้เขา เขาเงยหน้ามองผมทั้งที่ยังเคี้ยวแก้มตุ้ยแล้วพยักหน้าขอบคุณผมสำหรับหมูชิ้นใหญ่นั่น


         เพราะเขาทำให้ผมรู้สึกเจริญอาหารมากกว่าปกติ ผมเลยให้หมูเขาไปแทนคำขอบคุณน่ะ..


         เราสองคนใช้เวลาไปสักพักกับร้านราเม็ง แต่ท้องฟ้าด้านนอกที่เห็นจากด้านในก็ยังไม่มืดซะทีเดียว คราวนี้ผมเลยเป็นฝ่ายลากเขาไปร้านของหวานเอง ผมอยากมากินนานแล้ว แต่เพราะว่ามันเยอะเกินกว่าจะกินได้คนเดียว เลยไม่มีโอกาสได้มากินสักที


         ผมสั่งเมนูที่ผมอยากกินมา ของจริงมันเยอะจริงๆด้วย เป็นบิงซูสตอว์เบอร์รี่ที่เต็มไปด้วยเจ้าผลไม้ลูกแดงๆนั่นวางอยู่เต็มไปหมด ผมเห็นเขาทำตาโตตอนขนมนั่นมาเสิร์ฟ ผมเลยลองทำตาโตเลียนแบบเขาบ้าง เหตุการณ์จบด้วยเราสองคนที่ทำตาโตแล้วหัวเราะใส่กันกับท่าทางเด็กๆนั่น


         เขาเป็นคนตลกนะ.. ผมไม่อยากสนิทกับเขาเลย


         เวลายังเหลือเยอะกว่าที่คิดไว้ มันเลยพาเราสองคนมายืนอยู่หน้าบอร์ดในโรงหนัง ภาพยนตร์ที่กำลังจะฉายเรียงต่อกันเป็นพรืด น่าเสียดายที่บัตรดราก้อนครายนั่นเอาไปดูเลยไม่ได้ เรายังต้องรอวันเสาร์ที่จะถึง เขาเลยเสนอให้เราดูหนังสักเรื่องด้วยกันก่อน


         ผมชี้ไปที่หนังสยองขวัญ ส่วนเขาชี้ไปที่อะนิเมชั่นของดรีมเวิร์กเรื่องใหม่ที่เข้ามาไม่นาน


         คุณว่าเราจะได้ดูหนังเรื่องไหน ?


         ใช่ครับ... เราเข้ามาดูหนังสยองขวัญ โดยที่เขานั่งนิ่งอยู่ข้างผมมาสักพักแล้วตั้งแต่หนังเริ่มฉาย ท่าทางของเขาทำเอาผมหลุดขำจนลืมสนใจหนังไปเลย


         เขาคือคิมฮันบิน นิสัยแมนๆ ชอบเตะบอลในคาบพละกับเพื่อนของเขา เขากินจุ มีเรื่องชกต่อยกับคนอื่น แล้วก็ยังเป็นตัวหลักในทีมบอลของโรงเรียน สูงกว่าผมเป็นคืบ แต่เขากลัวผี...


         เขาทำให้ผมเอ็นดู


         เขายังคงนั่งนิ่งอยู่ข้างผม สะดุ้งเล็กน้อยเวลาผมขยับตัวหรือตอนที่หนังมีฉากให้ตกใจ เขาก็หลับตาปี๋พร้อมเอามือปิดหน้าไว้ หลังจากนั้นก็เอาแต่เอามือปิดตาตัวเองไว้แล้วแง้มมองหน้าจอฉายหนังผ่านทางช่องเล็กๆระหว่างนิ้วตัวเอง


         รู้สึกผิดเลยที่ผมพาเขามาดูอะไรพวกนี้ ...


         ช่วงที่นั่งกำลังดำเนินเรื่องไปตามปกติ และในฉากเป็นเวลากลางวันแล้ว เขาถึงวางมือลงบนที่วางแขนและถอนหายใจออกมา ผมยิ้มบางๆแล้วยื่นมือตัวเองไปกุมมือเขาไว้แบบที่แด๊ดเคยทำตอนผมกลัว  เขาหันมามองแล้วดึงมือตัวเองออกไป


         เขากำลังทำให้ผมใจแป้ว ถ้าไม่ติดว่าหลังจากนั้นเขาเป็นฝ่ายกุมมือผมไว้แล้วกระชับมันแน่นกว่าเดิมแทน ฮันบินไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่ดูไม่ค่อยกลัวเหมือนตอนแรกๆแล้ว ในความมืดสลัวที่มีแสงจากหนังที่ฉายอยู่เป็นระยะ ผมเห็นหน้าของเขาขึ้นสีแดงเรื่อๆ


         มันแย่กว่าตอนแรกซะอีก เพราะหลังจากนั้นผมไม่ได้สนใจหนังอีกเลย


         ผมเดินออกมาจากข้างนอกห้างพร้อมกับเขา มันมืดแล้วเพราะเราใช้เวลาไปกับโรงหนังหลายชั่วโมง แด๊ดกับพ่อของฮันบินไม่ได้อยู่ที่ร้านกาแฟนั่นแล้วตอนที่เราเดินผ่าน คงจะกลับบ้านไม่ก็ไปคุยกันต่อที่ร้านอาหารที่ไหนสักที่


         อากาศข้างนอกห้างเย็นสบายจนรู้สึกหนาวๆด้วยซ้ำ ผมกำลังจะโบกมือลาเขาแล้วจะเดินไปเรียกแท็กซี่กลับบ้าน ผมกำลังจะทำแบบนั้นนั่นแหละ ..


    “งั้นเจอกันที่โรงเรียนพรุ่งนี้


    “อืม..”


    “.........”


    “........”


    “แล้วนายจะกลับยังไง?”


    “ผมหรอ”


    “อือ”


    “ผมว่าจะกลับรถเมล์ คุณจะกลับแท็กซี่หรอ”


    “ใช่”


         เขาพยักหน้ารับรู้แล้วเงียบไป ผมไม่ได้พูดอะไรขึ้นมาต่ออีกเหมือนกัน เหมือนมันจะดูอึดอัดแต่ไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอก สายลมพัดเบาพร้อมกับผู้คนที่เดินไปมา และผมกับเขาที่ยืนอยู่ตรงข้ามกัน


    “.......”


    “.......”


    “.........”


         เขาเงียบ


         ผมเงียบ


         แล้วเขาก็เงียบต่อ


         มันตลกดี ที่ผมพอจะเดาได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เพราะผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน


    “ไปแล้วนะ”


    “คือว่า!


         เขาโพ่งขึ้นมา มันเสียงดังจนคนแถวนั้นหันมามองเขากันหมดแล้วเดินผ่านพวกเราไป ผมหัวเราะอีกรอบแล้วรอฟังว่าเขาจะพูดอะไรออกมา


    “ว่า?”


    “มันมีรถเมล์ที่ผ่านแถวบ้านคุณแล้ววนกลับมาแถวบ้านผมด้วย”


    “........”


    “ขึ้นรถเมล์กลับด้วยกันไหมครับ”


    “.......”


    “.......”


    “นึกว่าจะไม่ชวนซะแล้ว”


         ผมยิ้มให้เขา ยิ้มนานกว่าปกติ ยิ่งเห็นท่าทางโล่งใจของเขาก็อยากยิ้มออกมา เขาผายมือไปทางป้ายรถเมล์ให้ผมเดินนำไปก่อน เรายืนรอรถข้างกันและบทสนทนาเรื่องรอบตัวก็ออกมาจากปากของเขาไม่ขาดสาย รถเมล์ที่เราต้องขึ้นมาแล้ว เขาให้ผมขึ้นก่อนและจ่ายเงินให้ผมอีกครั้ง


         เขาจ่ายเงินให้ผมมากกว่าที่ผมจ่ายให้เขาซะอีก


         รถเมล์ไม่ได้แน่นและเต็มไปด้วยผู้คนอย่างที่ผมคิด มันยังมีที่นั่งให้ผมกับเขาอยู่ข้างหลัง เบาะคู่น่ะ.. และเราสองคนก็ได้นั่งคู่กันอีกครั้งเหมือนในโรงหนัง เรามองคนเดินขึ้นลงอยู่แบบนั้นท่ามกลางความเงียบ เวลาที่จะได้อยู่ข้างกันหมดเข้าไปทุกที บ้านผมอยู่ไม่ไกลจากที่ห้างนั่นนักหรอก มันใช้เวลานั่งไม่ถึงสิบนาทีบวกเพิ่มนิดหน่อยถ้ารถติด แต่ไม่รู้ว่าบ้านเขานี่สิ จะอยู่ไกลมากรึเปล่า


    “กว่ารถจะอ้อมกลับนายมันไม่ดึกหรอ”


    “ไม่เป็นไรครับ ผมโทรบอกแม่แล้วล่ะ”


    “......”


    “มันอาจใช้เวลามากกว่าเดิมแต่ได้นั่งข้างคุณแบบนี้ก็โอเค อีกอย่างผมก็อยากมาอยู่ส่งคุณแล้วด้วย”


    “บอกให้เลิกใช้คุณๆผมๆได้แล้ว ไม่รู้สึกแปลกๆมั่งรึไง”


    “มันเป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่ผมสามารถทำให้คุณพิเศษกว่าคนอื่นได้อ่ะ เพราะงั้นช่วยทนหน่อยนะครับ”


    “......”


    “ผมทำให้คุณอึดอัดหรอ”


    “ไม่หรอก ถ้าจะอึดอัดคงเป็นตั้งแต่แรกแล้วล่ะ”


    “ขอบคุณครับ”


    “ฉันต้องลงป้ายหน้านี่แล้วนะ..”


    “พรุ่งนี้”


    “??”


    “เดินไปโรงเรียนด้วยกันไหมครับ”


    “เดินไป?? โรงเรียน??”


    “หมายถึงผมจะรอที่แถวฝ่ายประถม”


    “...”


    “แล้วก็เดินไปโรงเรียนพร้อมกันน่ะ”


    “...อือ”


    "........."


    "ห้ามมาสายล่ะ"


    "............"


    "..............."


    “...นี่เราสนิทกันรึยังครับ”


    “..หึ ยังหรอกน่า”


    “......”


    “เจอกันพรุ่งนี้นะฮันบิน”


    “ครับ..ไว้เจอกันนะจินฮวาน”


         ผมยิ้มให้ผมตอนที่ผมเดินออกมารอตรงประตูรถ แล้วก็ยังโบกมือบ๊ายบายผมไม่หยุดตอนที่ผมลงมาจากรถแล้ว ผมโบกมือตอบเขากลับไปเหมือนกัน แล้วยืนมองจนกระทั่งรถลับสายตาไปแล้วก็ยังยืนมองอยู่แบบนั้น เขาไปแล้วไปพร้อมกับรถเมล์สีฟ้า เพื่อที่จะมาเจอกันใหม่ในวันพรุ่งนี้


         แค่เวลาไม่กี่ชั่วโมงเหมือนผมกับเขาจะสนิทมากกว่าสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมานี่ซะอีก จนลืมไปเลยว่าวันเสาร์นี้เรายังมีนัดดูดราก้อนคราย สาเหตุของเรื่องทั้งหมดอยู่


         ผมได้รู้จักเขามากขึ้น มากกว่าที่เขารู้จักผมด้วยซ้ำ แต่ผมก็ยังไม่คิดว่าเราสนิทกันหรอก...


         ผมแค่คิดไว้ว่าถ้าเขาชอบใครสักคน คนคนนั้นคงจะโชคดีมากแน่ๆ...


         แค่นั้นแหละ


         ผมชื่อจินฮวาน เป็นเด็กเรียนที่นั่งอยู่หน้าห้อง เด็กมอปลายปีสองโรงเรียนเดียวกับเขา ชอบอ่านแฟรี่เทลแล้วก็ตัวเตี้ยกว่าเขาประมาณคืบนึง ผมชอบของหวาน ไม่ชอบเรื่องชกต่อย และอีกเรื่อง..


         ผมกลัวการเปลี่ยนแปลง..


         ถ้าใช้คำว่าสนิทกันแล้ว สิ่งพวกนี้มันคงจะเปลี่ยนแปลงไปแน่ๆ และผมคงจะรู้สึกไม่ดีอีก ผมคงจะใช้เวลาทั้งชีวิตในการมองเขาหาเรื่องให้ได้สนิทกันไวๆ ทั้งที่เราก็เรียกว่าสนิทกันได้แล้ว..


         ผมชอบที่มันเป็นแบบนั้นนะ


         ความสัมพันธ์ของเราน่ะ ไม่ต้องไปหาคำมาจำกัดความหรอก


         แค่ผมกับเขา แค่นี้ก็คงพอ


     


         หวังว่าหลังจากนี้ผมจะมีความกล้าพอในการยื่นเรื่องราวพวกนี้ให้เขาได้อ่าน


         ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเรื่องราวของผม


     

     

       จินฮวาน.         



    e n d .


    ไม่ได้เขียนฟิคมาเกือบครึ่งเดือนรู้สึกเหมือนภาษาห้วนขึ้นแปลกๆเลยค่ะ  tt   tt

    จินฮวาน เป็นคนที่กลัวการเปลี่ยนแปลงค่ะ 

    พอรู้จักฮันบินชีวิตก็เหมือนจะเปลี่ยนแปลงไป ก็เลยกลัวว่าถ้าสนิทกัน มันจะเปลี่ยนแปลงไปมากกว่านี้อีก

    เป็นคาแรคเตอร์ที่หม่นๆและมีสีสันปนๆกันไปค่ะ

    .

    ป.ล. ถ้ามีคำผิดท้วงติงได้เลยนะคะ ไม่ได้เช็คละเอียดเท่าไหร่เลย

     รออ่านคอมเมนต์จากคุณอยู่นะคะ : )   


       T
    B
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×