ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [BJIN] คลังฟิคสั้นของบินฮวาน l #คลังmyxbase

    ลำดับตอนที่ #7 : [OS] Hanbin's tale

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ค. 60


     

     


         คุณเคยรู้สึกชอบใครสักคนขึ้นมาเฉยๆรึเปล่า ?


         ประมาณว่าอยู่ๆในสายตาตัวเองก็มีแต่คนคนนั้น ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร จะดื่มน้ำ เขียนหนังสือ ลบกระดาน หรือแค่เดินไปเปิดล็อคเกอร์นอกห้องก็ยังอยู่ในสายตาของคุณน่ะ


         คุณอาจเคย คุณอาจไม่เคย แต่ผมเคย


         มาสิ.. ผมจะเล่าให้คุณฟังเอง : )


         ส่วนนึงในชีวิตของผมที่มันมีคุณอยู่ในนั้นเต็มไปหมด...

     



         เรื่องมันเกิดขึ้นตอนเปิดเทอมของโรงเรียน วันแรกของการเป็นนักเรียนชั้นมอปลายปีสองเวลาเช้าตรู่ที่ผมยังคงมุดตัวเองอยู่ในผ้าห่มผืนหนาและคิดเอาไว้ว่าจะไปโรงเรียนสายประเดิมเปิดเทอม แต่นอนคิดไม่เท่าไหร่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะน้ำเย็นจัดที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน พอลืมตาขึ้นมาก็เจอน้องสาวตัวเองที่ยืนถือแก้วน้ำไว้ด้วยหน้าตาที่ผมดุไม่ลง


         คุณก็รู้... ผมแพ้น้องสาวตัวเองมากแค่ไหน


    “วันนี้บยอลเข้าอนุบาลหนึ่ง ฮันบินต้องไปส่งบยอล” น้องพูดกับผมทั้งที่หน้าตายังนิ่งอยู่แบบนั้น ผมขยุ้มผมตัวเองด้วยความหงุดหงิด แต่ก็ถูกของน้องอีกนั่นแหละ


         เป็นข้อตกลงที่ผมตกลง(กึ่งบังคับ)กับแม่ไว้ ผมจะเป็นฝ่ายไปส่งน้องที่โรงเรียนอนุบาลอีกฝั่งของโรงเรียนผมแลกกับค่าขนมที่เพิ่มขึ้นอาทิตย์ละ 7000 วอน จากปกติที่ผมจะได้ประมาณอาทิตย์ละสี่หมื่นวอน มันค่อนข้างจะเยอะสำหรับเด็กมอปลายปีสองอย่างผมและคุณ ผมรู้...


         เวลานี้ผมควรจะเอาเวลาคิดเรื่องเงินที่จะได้มาโฟกัสกับปัจจุบัน ให้ตายเถอะ ผมเกือบจะสบถคำหยาบออกมาต่อหน้าน้องแล้วตอนที่กดดูเวลาในโทรศัพท์ของตัวเอง มันพึ่งจะหกโมงเช้า.. ย้ำอีกครั้งว่าเป็นหกโมงเช้า ปกติผมเคยตื่นเวลานี้ซะที่ไหน เช้าสุดก็นู่น... เจ็ดโมงครึ่ง


         ผมกำลังเสียเวลานอนมากกว่าหนึ่งชั่วโมงโดยที่เจ้าตัวการยังยืนกระตุกผ้าห่มคลุมตัวผมอยู่เป็นระยะด้วยสายตาละห้อย แค่นี้ก็รู้สึกผิดแล้ว ผมไม่ชอบสายตาน้องแบบนี้เลย


    “ฮันบิน บยอลอยากไปโรงเรียนแล้ว”


    “โอเค..ฮันบินขอเวลาอาบน้ำครึ่งชั่วโมง”


    “ครึ่งชั่วโมงนี่เข็มนาฬิกาถึงเลขไหน”


    “อ่า..”


         ผมได้แต่ลุกขึ้นนั่งบนที่นอนแล้วหยิบนาฬิกาปลุกมาอธิบายให้น้องฟังแล้วชี้บอกว่าอันไหนเข็มสั้นเข็มยาวทวนให้อีกครั้ง แล้วชี้บอกน้องแบบฉลาดในด้านขี้โกงที่ตัวผมเองค่อนข้างถนัดเป็นอย่างยิ่ง


    “ดูนี่ ตอนนี้เข็มยาวมันอยู่เลขไหน”


    “เลขหนึ่งกำลังจะไปสอง”


    “ครึ่งชั่วโมงคือเข็มยาวจะไปถึงเลขสิบสอง”


    “......ฮันบิน”


    “หืม”


    “แม่บอกว่าครึ่งชั่วโมงคือเราต้องบวกเข็มยาวไปอีกหก ตอนนี้จะไปสอง บวกอีกหกก็ต้องไปถึงแปดสิ”


    “........”


    “....ฮันบินโกหกบยอล”


    “...”


    “...แต่ว่าวันนี้บยอลใจดี จะแถมให้ฮันบินละกันนะ”


    “เด็กดี”


    “งั้นบยอลรอฮันบินข้างล่างนะ”


    “อือ”


         เจ้าตัวเล็กในชุดอนุบาลวิ่งออกจากห้องนอนไปด้วยท่าทีร่าเริง ผมยิ้มให้กับความฉลาดของน้องตัวเองและเริ่มรู้สึกถึงความเปียกชื้นและความหนาวเย็นจากน้ำในแก้วของบยอล ผมควรไปอาบน้ำแต่งตัว ขี้เกียจนอนต่อแล้วสายจนต้องโดนบยอลมาสาดน้ำใส่อีกรอบ


         แม่กับพ่อนั่งกินข้าวพร้อมกับบยอลอยู่ด้านล่าง พ่อหัวเราะเมื่อเห็นผมหน้ายุ่งกว่าปกติแล้วจึงโยนขนมปังปิ้งสีน้ำตาลให้ผมมาแผ่นนึง มันมักเป็นแบบนี้เสมอ เสียงหัวเราะในตอนเช้าๆพร้อมกับพ่อแม่ที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ผมไม่คิดว่าตัวเองจะต้องการอะไรไปมากกว่านี้


         ผมกระดกน้ำส้มสีสดที่แม่วางไว้ให้ เอาตามจริงก็ไม่ชอบมันเท่าไหร่นักหรอก มันเปรี้ยวแล้วก็ทำให้ผมตาสว่าง และยังเป็นอุปสรรคที่จะขัดขวางการแอบนอนในคาบโฮมรูมของผมในทุกวันอีกด้วย แต่เพราะว่าแม่เป็นคนทำให้เลยต้องดื่มมันทุกวันพร้อมกับอาหารเช้าแบบง่ายๆ ปากผมยังคาบขนมปังไว้อีกแผ่นแม้ว่าจะพึ่งกินแฮม ไข่ดาว แล้วก็ไส้กรอกมา ผมแค่เอามาคาบไว้ให้ดูคูลๆไปงั้นแหละ


         (ซึ่งคุณบอกตอนหลังว่ามันดูเห่ยเป็นบ้า)


          ผมจูงมือน้องลงจากเนินมาที่แถวหน้าปากซอย ปกติผมจะเดินไกลออกไปอีกนิดเพื่อที่จะขึ้นรถเมล์ แต่วันนี้มีน้องไปด้วยวันแรกผมเลยพาน้องนั่งแท็กซี่ไปดีกว่า ไม่อยากเห็นน้องมาเบียดเสียดกับฝูงชนแบบที่ผมเจอ หลังจากวันนี้ค่อยคิดว่าจะเอาไงต่อ ผมอาจจะใช้บริการรถของโรงเรียนบยอลก็ได้ แต่คงต้องเป็นหลังจากที่เก็บเงินได้พอแล้ว


         แท็กซี่ราคาไม่ค่อยเป็นมิตรกับเงินในกระเป๋าผมเท่าไหร่นัก แค่ตอนเช้าเงินผมก็ปลิวไปหลายพันวอนแล้ว แต่ก็นั่นแหละ ไม่ได้หงุดหงิดอะไรนักหรอก ผมจ่ายเงินตอนที่เขาพาผมกับน้องมาส่งที่หน้าโรงเรียนฝ่ายอนุบาลและประถมศึกษา


    “ตอนเย็นห้ามกลับกับคนอื่นนอกจากพ่อนะบยอล”


    “อือ”


    “ฮันบินไปแล้วนะ”


    “อือ รักนะฮันบิน”


         ฮันบยอลเขย่งปลายเท้าจุ๊บแก้มผมบอกลา ในตอนที่ผมก้มลงไปส่งกระเป๋าและกำชับเจ้าตัวเล็ก ฮันบยอลเป็นเด็กดี ผมรู้และก็เป็นเด็กฉลาดที่น่าจะมากกว่าผมซะอีก ที่เหลือก็แค่ปล่อยให้น้องได้ใช้เวลาในโรงเรียน ผมก็ควรจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน


         คุณเคยถามผมว่าในเมื่อน้องกลับกับพ่อ ทำไมตอนมาทั้งผมกับน้องไม่มากับพ่อ คำตอบคือเวลาเข้างานของท่านคือ 10 โมงเช้า คุณพอจะเข้าใจรึเปล่าว่าทำไมผมกับน้องถึงต้องออกมาก่อน ? และผมก็ไม่คิดเรื่องขับรถมาเองด้วย ผมขี้เกียจ...


         วันไหนที่สายมากๆจนเลยคาบโฮมรูมตอนเช้า ผมก็มาเรียนครึ่งวันหลัง เท่านั้นเอง...


         ผมเดินทอดน่องไปตามฟุตบาทที่จะพาไปหน้าโรงเรียนของตัวเอง มันมีเวลาเหลือให้พอเดินเล่นชิวๆกว่าจะถึงคาบโฮมรูม และเปิดเทอมวันแรกก็คงไม่มีอะไรจะเรียนนักหรอก ผมถึงเดินโยกไปตามจังหวะเพลงจากเอ็มพีสามที่ฟังอยู่


         คุณรู้แล้วอาจจะขำ เพราะที่ผมฟังมาตลอดมันเป็นเพลงประกอบการ์ตูน ไม่ใช่เพลงสากลอย่างที่ใครๆคิดไว้ แปลก็ไม่ออกหรอกเพราะผมไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นแต่ก็อาศัยว่าฟังแล้วมันชวนให้รู้สึกสนุกเหมือนตอนที่ได้ดูหรืออ่านการ์ตูนเล่มนั้นอยู่


         ผมพึ่งเริ่มบ้าการ์ตูนเรื่องนึง แล้วก็ตามซื้อหนังสือมาได้ครึ่งทางในขณะที่มันใกล้จะจบแล้ว


         มันชื่อ แฟรี่เทล และผมรู้ว่าคุณคงรู้จักมันเป็นอย่างดี


         เป็นการ์ตูนที่เกี่ยวกับเวทย์มนต์ ตัวละครในเรื่องเป็นจอมเวทย์ แน่นอนว่าตัวละครโปรดของผมเป็นนัตสึ ตอนเขาใช้เวทย์ดราก้อนสเลเยอร์หรือมังกรไฟล่ะเท่อย่าบอกใครเชียว และตอนนี้ก็มีภาคหนังชื่อ Dragon Cry ออกมาด้วย


         ด้านหน้าผมก็มีแผ่นหลังเล็กๆที่ใส่ยูนิฟอร์มชุดเดียวกับผม ผมไม่ได้สนใจนักหรอกเพราะตอนนั้นคุณยังเป็นแค่หนึ่งในเพื่อนร่วมห้องประเภทที่ผมไม่รู้จัก ซึ่งจากช่วงก้าวที่ยาวกว่าทำให้ผมเดินแซงคุณไปได้ไม่ยาก


         ก็เป็นแบบนี้เหมือนเมื่อก่อน ถ้าไม่ติดว่าวันนี้ผมเห็นการ์ตูนที่อยู่ในมือคุณ


         ผมเกือบจะหลุดอุทานใส่คุณเลยรู้ไหม ในมือคุณนั่นมันการ์ตูนเล่มพิเศษที่แถมให้เฉพาะคนที่ไปดูภาคพิเศษที่กำลังจะเข้าฉายนี่นา มีแค่ไม่กี่คนที่ได้มันมาอ่านก่อน และที่ผมสงสัยคือคุณได้มันมาได้ไง..


         ผมอยากได้มันแทบจะบ้า แต่เพราะว่ารู้เรื่องทีหลังชาวบ้านเขาเลยกดจองบัตรไม่ทัน


         ผมตัดสินใจหยุดเดินแล้วยืนพิงกำแพงโรงเรียนรอคุณเดินมาแล้วค่อยเอ่ยปากทักอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด อ่า..คุณชื่ออะไรนะ.. ผมจำคุณไม่ได้เพราะคุณเป็นคนไร้ตัวตนในสมาชิกห้องเสมอ จริงก็ไม่ใช่ไร้ตัวตนหรอก ผมแค่ไม่ได้สนใจคุณเองนั่นแหละ


    “หวัดดี..”


    “......”


    “เอ่อ..มาแต่เช้าเลยเนอะ”


         คุณเงยหน้ามองผมพร้อมด้วยสีหน้าที่ไม่ได้เปลี่ยนไปนัก ผมยิ้มให้อย่างเก้อๆแล้วกลายเป็นยิ้มแห้งเมื่อเห็นว่าคุณหันหลังไปมองกลุ่มนักเรียนหญิงด้านหลังแล้วเดินต่อไปเหมือนไม่รู้จักผม


         ผมรวบรวมความกล้าในการทักคุณแล้วกลายเป็นว่าคุณคิดว่าผมทักพวกผู้หญิงด้านหลัง..


         เกิดมาคนหล่ออย่างผมไม่เคยรู้สึกหน้าแตกแบบนี้มาก่อนเลย


         นั่นแหละ...ครั้งแรกในการรู้สึกถึงการมีตัวตนของคุณในชีวิต



     

     

         อาทิตย์แรกในการใช้ชีวิตที่โรงเรียนไม่ได้น่าเบื่อแบบที่ผมคิด เพราะผมเอาแต่มองหาคุณในทุกครั้งแบบไม่รู้ตัว พยายามปลอบใจตัวเองว่าผมกำลังจะหาโอกาสในการอ่านการ์ตูนเล่มพิเศษนั่นแต่ลึกๆในใจก็รู้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น


         ผมยิ้มตามตอนที่เห็นว่าคุณสามารถตอบคำถามของอาจารย์ได้ ผมหัวเราะตอนที่คุณเดินแล้วสะดุดกับก้อนอิฐที่ปูไม่สนิทกัน ผมอมยิ้มตอนที่เห็นว่าคุณเบ้หน้าเวลาได้กินนมที่พวกเรามักจะได้มาในตอนเบรก ผมมองคุณตอนที่เล่นบาสอยู่สนามข้างๆจนโดนลูกบาสอัดเข้าหน้าแล้วเลือดกำเดาไหล


         อธิบายง่ายๆก็มองคุณในทุกอิริยาบถนั่นแหละ


         เหมือนคุณจะไม่ชอบเท่าไหร่ที่มันเป็นแบบนั้น เพราะเพื่อนๆในกลุ่มผมก็จับอาการผมได้แล้วเริ่มส่งเสียงแซวคุณเหมือนกัน ความจริงแล้วผมไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้นเลย แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้คุณฟังเพราะระหว่างเราไม่มีบทสนทนาอะไรเลย และอจะได้คุยกันคุณก็จะเป็นฝ่ายเดินหนีผมเสมอ


         จนวันที่คุณยกกองการบ้านจะไปส่งแล้วผมเดินไปช่วยนั่นแหละ คนอื่นก็แซวกันจนคุณเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา เสียงแผ่วเบาแบบที่ได้ยินแค่ผมกับคุณ


    “ขอคุยด้วยหน่อยสิ"


         คุณบอกแล้วเดินนำหน้าไปส่งการบ้านในห้องอาจารย์ เสียงกริ่งคาบแรกดังขึ้นแล้วและเราสองคนก็ยืนกันอยู่บนดาดฟ้าของตึกที่เราเรียนอยู่ ผมไม่รู้ว่ามันกว้างขนาดนี้ กว้างจนมองเห็นทุกที่ในโรงเรียนเลย คุณยืนทำหน้านิ่งๆแล้วถามผมที่กำลังทำหน้าเคลิบเคลิ้มกับสายลมและแสงแดดอยู่


         ถ้าคุยกับคุณผมต้องเรียกคุณว่าอะไรดีนะ จะเรียกจินฮวานไม่ก็นาย มันจะดูแปลกๆไหม ผมกำลังจะคิดมากอีกแล้ว ไม่เคยประหม่าแบบนี้เลย ปกติกับพวกผู้ชายคนอื่นหรือพวกเพื่อนๆผมคงจะใช้มึงกูไปแล้ว


         แต่เพราะมันเป็นคุณ ผมเลยคิดว่าคุณต้องพิเศษกว่าคนอื่นหน่อย


    “นายต้องการอะไร”


    “หืม??”


    “ยิ้มให้สิบสองครั้ง หัวเราะออกเสียงใส่เจ็ดครั้ง พูดชื่อฉันเกือบยี่สิบครั้ง และเพื่อนนายโห่แซวฉันกับนาย”


    “.........”


    “ทั้งหมดนี่เกิดภายในอาทิตย์เดียวหลังจากที่นายทักฉันวันนั้น”


    “อ้าว วันนั้นคุณรู้ด้วยหรอว่าผมทักคุณ”


    “รู้..แต่ฉันกับนายไม่รู้จักกันเลยไม่รู้ว่าจะตอบนายทำไม”


    “ผมรู้จักคุณนะ”


    “....”


    “คุณชื่อคิมจินฮวาน”


    “........”


    “ม่ะ..ไม่ได้ชื่อจินฮวานหรอ..”


    “นายมันแปลก”


         คุณมองผมไม่วางตา เอาเถอะ สายตาคุณมันไม่ได้น่ากลัวอะไรเลยรู้ไหม ผมเกือบหลุดขำออกมาเลยล่ะถ้าไม่ติดว่ายังอยากยืมแฟรี่เทลเล่มพิเศษจากคุณอยู่ คุณเป็นนักเรียนเรียนดีที่โดดเรียนมานั่งบนดาดฟ้ากับผมในคาบเช้าของวันอังคาร และบทสนทนาที่ออกจะห้วนๆสำหรับเราสองคน


    “ตกลงจะบอกได้รึยังว่าต้องการอะไร”


    “อยากยืมแฟรี่เทลอ่ะ”


    “ว่าไงนะ?..”


    “แฟรี่เทลภาคดราก้อนครายที่คุณอ่านวันนั้น”


    “สรุปว่าที่ทักนี่เพราะแฟรี่เทล ?”


    “อือ ..ขอยืมอ่านบ้างได้ไหม อยากอ่านอ่ะ”


    “แล้วนายไม่ได้ไปดูดราก้อนคราย ?”


    “ผมกดจองไม่ทัน มันขึ้นว่า sold out ไปแล้ว..”


    “เข้าใจล่ะ”


    “ตกลงจะให้ยืมหรอ”


    “ทำไมต้องให้”


    “อ้าว”


    “ก็เราไม่ได้สนิทกันป้ะวะ ทำไมต้องให้ยืม ?”


    “ถ้าสนิทกันแล้วคุณจะให้ยืมหรอ”


    “อือ”


    “งั้นเราก็สนิทกันตอนนี้เลยสิ”


    “.....”


         คุณทำท่าหัวเสียกับการสนทนาที่ต่อให้คุณยกเหตุผลอะไรมาผมก็พร้อมจะบอกว่าอยากสนิทกับคุณ ผมยิ้มออกมาแม้ว่าจะมีสายตาไม่ชอบใจจากคุณตามมา ผมรู้ว่าคุณปฏิเสธคนไม่เก่งหรอกจากการสังเกตมาอาทิตย์นึง คุณน่ะขี้เกรงใจจะตายรู้รึเปล่า


         พอดีกับผมเลย ผมเป็นคนไม่ค่อยเกรงใจชาวบ้านอยู่แล้วด้วย


    “งั้นถ้าอยากยืมก็ต้องมีข้อตกลง”


    “ว่ามา”


    “ไปขโมยดอกไม้ของชมรมเกษตรมา”


    “ห้ะ?”


         คุณก็ยังเป็นคุณ ข้อเสนอของคุณมันยากยิ่งกว่าไปขอยืมข้อสอบจากอาจารย์ซะอีก ใครใครในโรงเรียนก็รู้ว่าชมรมเกษตรหวงดอกไม้ในเรือนกระจกมากแค่ไหน ถ้าจะให้ไปขโมยคงไม่ต่างกับการบอกให้ไปฆ่าตัวตาย ทำไมคุณใจร้ายจังเลยนะ


         ผมพยักหน้ารับข้อเสนอนั่น ถึงคุณจะฉลาดแต่มันก็มีเรื่องที่คุณไม่รู้อยู่เหมือนกัน ผมมีเพื่อนอยู่ที่ชมรมเกษตร ไม่ใช่เพื่อนสนิทที่ถึงขั้นเดินไปกินข้าวด้วยกันในตอนเที่ยง แต่เราเป็นเพื่อนสนิทกันเพราะผมชอบนัดมันเล่นเกมส์ออนไลน์ด้วยกันบ่อยๆ มันเป็นคนเก่งคอมพิวเตอร์แต่ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าไปอยู่ชมรมเกษตรทำไม


         คุณลงจากดาดฟ้าไปแล้ว คงจะเดินกลับห้องเรียนอย่างที่บอกไว้ ผมมองตามแผ่นหลังของคุณที่ไกลออกไป ไกลออกไป จนหายลับไปแล้วถึงได้เดินตามทางที่คุณเดินเพื่อไปชมรมเกษตร


         ผมโดดเรียนทั้งวันเลย มันคงจะดีถ้าเห็นคุณชะเง้อมองหาผมแบบที่ผมชะเง้อมองหาคุณบ้าง แอร์เย็นๆในห้องของชมรมเกษตรบวกกับการจ้องมองดอกไม้ด้านในผ่านกระจกใสช่วยให้ผมฆ่าเวลาไปได้เยอะ เพื่อนคนที่ว่าตอนนี้นั่งเรียนอยู่ในห้องแต่ก็ยอมบอกที่ซ่อนกุญแจชมรมให้ผมแล้วบอกว่าจะตัดดอกอะไรก็ตัดไปเลย เรื่องมันจบง่ายกว่าที่ผมคิดซะอีก


          คุณบอกแค่ว่าให้ผมขโมยดอกไม้ แต่ไม่ได้เจาะจงดอกไม้มา แสดงว่าผมจะขโมยดอกไม้ดอกไหนก็ได้อย่างนั้นสินะ แต่ก็กลายเป็นว่าผมใช้เวลาที่เหลือในการนั่งหาความหมายของดอกไม้ในโทรศัพท์ว่าดอกไม้แบบไหนที่เหมาะกับคุณ


         จากการยืมการ์ตูนกลายมาเป็นเรื่องดอกไม้ได้ยังไงกัน คุณเป็นคนที่วิเศษชะมัด เปลี่ยนเรื่องที่ผมสนใจอยู่ได้ง่ายๆเลย แต่ก็แปลกอีกนั่นแหละ เรื่องที่ผมสนใจมากที่สุดก็ยังคงเป็นคุณ


         ผมถ่ายรูปคู่ตอนตัวเองกำลังจะตัดดอกไม้ ชูสองนิ้วที่ตัวเองทำเป็นอยู่ท่าเดียว เพราะไม่รู้ว่าจะตัดดอกอะไร ผมเลยตัดดอกโคลเวอร์ที่ขึ้นกระจัดกระจายอยู่นอกเรือนกระจกแทน มันมีความหมายนะ ผมอยากให้คุณเป็นคนโชคดี โชคดีในทุกทุกเรื่อง 


         แบบผม..ที่โชคดีได้รู้จักคุณ

         

         อีกอย่างผมหาใบที่มันเป็นสี่แฉกไม่เจอ คิดว่าดอกขาวๆของมันคงแทนกันได้ใช่ไหมนะ ความหมายมันจะเปลี่ยนไปรึเปล่า แล้วคุณจะชอบมันไหม ?


         สุดท้ายผมก็ไม่ได้บอกความหมายคุณไปหรอก และก็ไม่ได้ให้ดอกไม้ไปด้วย เพราะวันต่อมาคุณก็ไม่ได้มาโรงเรียน เป็นนักเรียนเรียนหน้าห้องที่ขาดเรียนบ่อยกว่านักเรียนหลังห้องอย่างผมซะอีก เพื่อนของคุณบอกว่าคุณไปหาพ่อของคุณที่ที่ทำงานแล้วจัดการอะไรสักอย่าง ผมไม่ได้ตั้งใจฟังเพราะไม่ว่ายังไงมันก็หมายถึงว่าวันนี้คุณไม่มาโรงเรียน


         แล้วเจ้าดอกไม้นี่ผมจะทำยังไงกับมันดี จะแช่น้ำก็กลัวปลายก้านมันจะช้ำแล้วก็จะเน่า ผมเลยเอามันเก็บไว้ในหนังสือชีววิทยาเล่มหนาเตอะที่ไม่เคยได้อ่าน


         และผมก็โดดเรียนอีกครั้ง


         ใช่...  ถ้าคุณรู้ก็คงจะทุบผมด้วยหนังสือเล่มใหญ่ๆที่คุณอ่านไม่ก็มองด้วยสายตาไม่ชอบใจแน่ๆ แต่ผมก็โดดเรียนแล้วนี่นา ผมขอที่อยู่คุณจากเพื่อนของคุณแล้วกระโดดผ่านรั้วหลังโรงเรียนตอนพักเที่ยง ออกจะเป็นการแสดงตัวไปนิดกับการใส่ยูนิฟอร์มโรงเรียนเดินไปไหนมาไหนตอนที่โรงเรียนยังไม่เลิก ผมเลยแวะเข้าร้านหนังสือร้านโปรดที่อยู่ระหว่างทางไปบ้านคุณพอดีหวังว่าจะซื้อแฟรี่เทลให้ตัวเองก่อนไปหาคุณ


         ผมกำลังจะคิดว่าตัวเองตาฝาด แต่ขยี้ตาหลายครั้งก็ยังเห็นอยู่เหมือนเดิม ผมเห็นคุณยืนอยู่ที่ชั้นการ์ตูนที่ผมกำลังจะเดินไป คุณยืนเลือกการ์ตูนอย่างตั้งใจแล้วก็ยืนอยู่แบบนั้น จนผมเดินเข้าไปคุณถึงหันมามองแล้วกลับเลือกการ์ตูนต่อ

     

        เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นคุณอยู่ในชุดธรรมดา เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์ขาสามส่วน บวกกับรองเท้าคอนเวิร์สสีแดง ผมก้มมองรองเท้าที่ตัวเองใส่อยู่ อ่า.. มันเป็นคอนเวิร์สสีแดงเหมือนกันเลย ให้ความรู้สึกเหมือนคุณกับผมกำลังใส่รองเท้าคู่


         เขินจัง.. อยู่ๆผมก็เขินขึ้นมาล่ะ..


    “อ่านถึงเล่มไหนแล้ว”


         ผมสะดุ้งนิดหน่อยที่คุณเป็นฝ่ายเปิดการสนทนาทั้งที่ปกติคุณจะไม่พูดอะไรออกมานักเพราะไม่ชอบผม ผมสบตาคุณอย่างเหลอหลาแล้วจึงเอานิ้วไปจิ้มเล่มล่าสุดที่อ่านไป


         เล่ม 21 ..


         ใช่แล้วตอนนี้มันออกมาจนจะเล่ม 60 แล้ว ผมก็ยังอ่านถึงแค่เล่ม 21 ถึงได้ต้องทำข้อตกลงในการมาส่งน้องแลกกับเงินที่เพิ่มขึ้นมานั่นไง ผมจะสามารถซื้อหนังสือเพิ่มได้อาทิตย์ละสามเล่มเชียวนะ


    “อ่านช้าจังนะ.. “


    “อือ..”


         ผมพยักหน้าตอบคุณ อยู่ๆบรรยากาศก็ดูเป็นกันเองมากกว่าบนดาดฟ้า คุณไม่ได้หน้าบึ้งเหมือนวันนั้น แถมยังยิ้มบางๆออกมาด้วย ผมหยุดมองคุณจนคุณเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาอีกรอบ


    “วันนี้โรงเรียนไม่ได้หยุดนี่ ทำไมนายมาอยู่ที่นี่”


    “แล้วคุณล่ะ..”


    “ฉันมาทำธุระ”


    “..ผมก็เหมือนกัน”


    “....”


    “ผมมาหาคุณ ธุระของผมคือมาหาคุณ”


    “มาหาฉันทำไม”


    “ดอกไม้”


         ผมเปิดกระเป๋าแล้วหยิบหนังสือชีวะวิทยาออกมายื่นให้คุณ คุณทำหน้างงนิดหน่อยจนผมบอกให้เปิดออก ดอกโคลเวอร์นอนอยู่ตรงนั้น แบนไปนิดแต่ก็ยังดูออกว่าเป็นอะไร คุณหัวเราะออกมาตอนที่เห็นมันแล้วจึงก้มหยิบซองสีขาวในกระเป๋ากางเกงออกมายื่นให้ผมบ้างเหมือนกัน


    “เอาไปสิ”


    “???”


    "ทีแรกคิดว่าจะเอาไปให้พรุ่งนี้ แต่ไหนๆก็เจอนายแล้วนี่นะ"


         ผมรับมาเปิดไว้แล้วมองคุณสลับกับเจ้าซองขาวนี่ มือสั่นไปหมดตอนที่เปิดซองแล้วเจอของที่ไม่คิดว่าตัวเองจะได้มาก่อน


         บัตรดูภาพยนต์ [Fairytail] Dragon Cry แบบ VIP สองใบ พร้อมกับของที่ระลึกที่จะได้ตอนที่ไปดู


         มันเจ๋งชะมัด ผมหยุดยิ้มไม่ได้เลย...


    “เอาไปดูกับเพื่อนนายก็ได้”


    “....”


    “อุตส่าห์ไปขอแด๊ดมาให้ อย่าลืมไปนะ”


         คุณพูดพร้อมคืนหนังสือให้ผม ในมือคุณมีช่อดอกโคลเวอร์ที่แบนๆอยู่ ใบหน้าคุณยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอะไรนักและคุณก็ทำท่าจะเดินออกไปแล้วถ้าไม่ติดว่าผมคว้าแขนคุณไว้ น่าอายนิดหน่อยถ้าจะให้พูดตอนนี้ แค่เวลาสัปดาห์กว่าๆเอง แล้วเราก็เป็นเพื่อนร่วมห้องกันด้วย


    “คุณ..”


    “.......”


    “ไปดูด้วยกันสิ”


    “ฉันดูแล้ว”


    “ถ้าดูหนังด้วยกันก็จะได้สนิทกันมากขึ้น”


    “.........”


    “เรามาสนิทกันเถอะครับ”

     

         คุณอาจจะมองว่าที่ผมอยากสนิทกับคุณมันเป็นเพราะเรื่องการ์ตูน ความจริงแล้วมันก็ใช่ แต่ก็เป็นแค่เรื่องบังหน้าเท่านั้นแหละครับ การ์ตูนมันทำให้ผมสนิทกับคุณได้ง่ายขึ้น ผมอยากสนิทกับคุณ สนิทแบบที่เราคุยกันได้ทุกเรื่องและผมก็อยากรู้เรื่องของคุณให้มากกว่าที่เป็นอยู่นี่ มันอาจจะได้มีโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์ไปทางไหนสักทาง อย่างน้อยมันก็ดีกว่าการที่เป็นแค่เพื่อนร่วมห้องที่แทบจะไม่ได้คุยกันแบบตอนนั้น แล้วก็แอบหวังให้มันพัฒนาไปในทางที่คุณจะชอบผมแบบที่ผมชอบคุณน่ะครับ


         ความจริงเรื่องราวก่อนหน้านี้และต่อจากที่ได้ไปดูหนังด้วยกันมันมีอีกเยอะแยะ ถ้าให้ผมเล่าคุณคงจะเบื่อซะก่อนเพราะมันมีแต่เรื่องที่เกี่ยวกับคุณ คุณ คุณ มีแต่คุณทั้งนั้นเลย


         ก็สายตาผมมีแต่คุณนี่นา..


         ไว้สนิทกันอย่างที่คุณบอกเมื่อไหร่ ผมจะเล่าให้คุณฟังทุกเรื่องเลย : )




    e n d.



    แด่ การอยากดูดราก้อนครายแต่เป็นเด็กต่างจังหวัด...

    แด่ ดอกโคลเวอร์ที่ไม่รู้ว่าเกี่ยวอะไรกับแฟรี่เทล

    แด่ แฟรี่เทลที่จะจบแล้วแต่พึ่งอ่านถึงเล่ม 48

    แด่ ฮันบินและจินฮวานที่เป็นตัวแทนของเราในการเล่าเรื่องราว

    .

    แด่ คนอ่านที่กำลังอ่านอยู่

    รักนะคะ 


       T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×