คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : [OS] YOU คุณของผม
The only way to listen to
a record like that is to play it through
But all of this means
nothing.
All of this means nothing,
without you
“อ่า..ของเยอะชะมัดเลย” ผมบ่นแล้วหลับตาลง หวังว่ามันจะช่วยคลายความเหนื่อยจากการย้ายข้าวของพวกนี้ไปได้แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรนักหรอก
วิธีช่วยให้หายเหนื่อยคือผมควรจะไปนั่งพักสักที่ในร้านของพ่อ
แต่ถ้าทำแบบนั้นวันนี้ก็คงจะขนของไม่เสร็จและก็คงต้องมาเหนื่อยในวันพรุ่งนี้อีก
กล่องเล็กกล่องน้อยถูกผมลำเลียงไปไว้ชั้นบนของร้านที่ผมจะใช้เป็นที่หลับนอนตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
และก็กล่องเปล่าที่กองเต็มร้าน
เพราะผมต้องเก็บพวกเทปและแผ่นเสียงเต็มชั้นพวกนี้ใส่กล่องแล้วขนมันไปไว้ที่ไหนสักที่
ใจหายนิดๆที่จะไม่ได้เห็นพวกมันวางเรียงรายกันอยู่บนชั้นไม้เก่าๆรอบร้านอีกแล้ว
แต่อะไรอะไรมันก็ไม่เหมือนเดิมมาหลายต่อหลายวัน ผมอาจจะต้องใช้เวลาทำใจอีกสักพัก
พ่อผมเสียแล้ว...
ท่านจากผมไปอย่างสงบในค่ำคืนที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดาวนับไม่ถ้วน
และท่านก็เป็นดาวตกดวงนึงที่จะไม่ได้อยู่กับท้องฟ้าผืนกว้างนี้อีกต่อไป
ร้านให้เช่าแผ่นเสียงกับเทปเก่าๆของพ่อต้องปิดลงเพราะไม่มีคนสืบทอด
อย่างที่ผมบอกไปมันน่าใจหายแต่กับสมัยนี้ที่ผู้คนฟังเพลงผ่านทางช่องทางอื่นต่อให้เปิดต่อไปก็คงไม่ลูกค้าเข้ามาเพราะงั้นการปิดร้านเลยเป็นทางเลือกที่ผมตัดสินใจร่วมกับแม่
'ถ้าปิดร้านแล้ว ฮันบินลองไปอยู่บ้านพ่อดูไหม'
คำพูดง่ายๆของแม่พร้อมกับรอยยิ้มนั่นทำให้ผมตกลงที่จะย้ายจากบ้านในชานเมืองที่อยู่กับแม่มาอยู่ที่นี่ในระหว่างที่ตัวเองขอพักงานทำเพลงไว้ชั่วคราว
อีกอย่างมันก็ไม่ได้ลำบากอะไรเพราะเงินก็มีเหลือเฟือพอที่ผมจะหยุดหาแรงบันดาลใจให้ตัวเองไปสักสามสี่เดือน
แล้วตอนที่ผมเปิดประตูออกไปก็เจอคุณยืนอยู่ตรงนั้น หน้าประตูเหล็กที่ส่งเสียงดังตลอดเวลาตอนที่เลื่อนมันไปด้านซ้ายหรือขวา
คุณยืนอยู่ในชุดเสื้อไหมพรมสีอ่อนและกางเกงยีนส์เข้ารูปสีดำพร้อมกับแววตาสงสัยของคุณ
ผมเดาอายุของคุณจากสายตาไม่ได้เลย ถึงจะท่าทางของคุณจะดูเป็นผู้ใหญ่
แต่ส่วนสูงกับการแต่งตัวมันชวนให้ผมคิดว่าคุณยังคงเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยที่ไหนสักแห่ง
และคุณอาจจะอายุน้อยกว่าผมหเท่ากันกับ หรือมากกว่าผมก็ได้
เรียกง่ายๆว่าผมแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณเลยในตอนแรกที่เราพบกัน
ซึ่งมันก็ไม่แปลก เราเจอกันยังไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ
“คุณลุงไปไหนหรอ”
คุณพูดพร้อมกับขยับกระเป๋าสะพายข้างของตัวเองมาทางด้านหน้า
ผมทำสายตาสงสัยและคุณคงคิดว่าผมไม่ได้ยินที่คุณถามเมื่อกี้
คุณถึงถามมันย้ำอีกรอบให้ผมฟังทั้งที่ความจริงแล้วผมได้ยินชัดทุกถ้อยคำที่คุณพูดมาเลยล่ะ
“??”
“คุณลุงน่ะ คุณลุงที่เป็นเจ้าของร้าน”
“ท่านเสียแล้วครับ”
ผมตอบคุณด้วยน้ำเสียงเรียบๆก่อนจะต้องกระพริบตาปริบๆเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของคุณ
คุณดูตกใจกว่าผมตอนรู้ซะอีก คุณน้ำตาไหล ใช่.. ผมเห็นว่าคุณน้ำตาไหล
คุณเช็ดมันอย่างลวกๆแล้วเงยหน้าถามผมต่อ
“..ขอโทษที่เสียมารยาทนะ แล้วนายเป็น..??”
“ผมเป็นลูกชายของท่านครับ”
“อ๋อ..”
“....”
“..เสียใจด้วยนะ”
“ไม่หรอกครับ มันเป็นเรื่องที่สักวันนึงต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว
ผมทำใจได้แล้วล่ะ”
“ก็จริงของนาย”
“มีธุระอะไรที่นี่รึเปล่าครับ”
“ไม่เชิงธุระอะไรหรอก แค่ปกติจะแวะมาหาเพลงฟังแล้วคุยกับคุณลุงน่ะ”
คุณยิ้มให้ผม เป็นยิ้มเล็กที่พาให้ผมหยุดหายใจไปสัก 0.3 วินาที
“แล้วจะยังเปิดร้านนี่ต่อไหม”
“คงจะไม่แล้วล่ะครับ”
“.....”
“คงจะไม่มีลูกค้าเข้ามาหรอกครับ อีกอย่างก็เปิดไปก็ไม่มีคนมาคอยดู”
“แล้วนายล่ะ?”
“ผม?”
“ทำไมนายไม่ดูแลที่นี่แทนคุณลุงล่ะ”
คุณพูดขึ้นมาง่ายๆแล้วเดินเข้ามาในร้าน
สรรพนามที่คุณใช้เรียกผมมันค่อนข้างเป็นกันเองจนผมรู้สึกแปลกๆ
แต่มันก็แค่ช่วงแรกน่ะ.. หลังจากนั้นมันก็ทำให้ผมชินกับสิ่งที่คุณเป็น
คุณยังพูดออกมาเรื่อยๆ ผมที่ยืนอยู่หน้าประตูร้านในตอนแรกต้องเดินเข้ามาเพื่อฟังว่าคุณจะพูดอะไรต่อ
มันไม่ใช่คำพูดพิเศษอะไร
แต่ผมก็ว่ามันก็ช่วยให้ผมยิ้มออกมาได้กับคำพูดของคุณ
“ผมดูแลไม่ดีเท่าพ่อหรอกครับ”
“...น่าเสียดายออกถ้าจะปิดไปทั้งแบบนี้”
“........”
“อืม..น่าเสียดายจริงๆนั่นแหละ”
“....”
“นี่”
“ครับ?”
“นายจะทำอะไรกับบ้านหลังนี้รึเปล่า? อ้ะไม่สิ
หมายถึงว่าจะเคลื่อนย้ายเจ้าพวกนี้ไปไหนไหม”
คุณชี้ๆไปที่กองแผ่นเสียงและเทปที่ยังคงอยู่ที่เดิมเหมือนตอนเริ่มแรก ผมยิ้มให้กับสรรพนามที่คุณเรียกอีกครั้ง 'เจ้าพวกนี้' หรอ ผมพึ่งจะเคยได้ยินการเรียกแผ่นเสียงแบบนี้นี่แหละ
“คงไม่ได้ทำอะไรนอกจากเก็บเจ้าพวกนี้ของคุณใส่กล่องหรอกครับ”
“...ไม่ได้จะเปิดเป็นร้านอย่างอื่นหรอ”
“ครับ”
“งั้นถ้าฉันมาที่นี่ทุกวันได้ไหม”
“??”
“แบบว่ามาขอฟังเพลงที่นี่ทุกวันน่ะ”
“คุณหมายถึงคุณจะขอมาฟังเพลงฟรีๆทุกวันเลยงั้นหรอครับ”
ผมพูดแกล้งคุณด้วยใบหน้านิ่งๆของตัวเอง
ก่อนจะกลั้นขำเมื่อคุณทำท่าปฏิเสธเป็นพัลวันแล้วรีบพูดแก้ตัวในทันที กับงานที่ผมทำอยู่น่ะอาจจะได้พบปะกับผู้คนไม่เยอะเท่าไหร่ถ้าเทียบกับอาชีพอื่นเพราะวันๆอยู่แต่กับห้องอัดไม่ก็เจอแต่หน้าศิลปินและสต๊าฟในค่ายที่ทำงานอยู่
แต่คุณก็เป็นผู้ชายคนแรกที่ผมมองว่าคุณน่ารัก
คุณน่ารักเพราะผมมองว่าคุณน่ารัก ต่อให้ตอนหลังคุณจะบอกว่าไม่ชอบให้ผมชมว่าคุณน่ารัก
ผมก็ยังอยากพูดออกไปอยู่ดีว่าคุณน่ะน่ารัก
“.. นายจะคิดเงินฉันอย่างที่คุณลุงทำก็ได้”
“..........”
“แต่แค่เปิดร้านต่อได้ไหม”
“อืม..”
“.....”
“ก็ได้ครับ”
“........”
“แต่ว่าคุณต้องมาทุกวันนะครับ”
แล้วหลังจากนั้นคุณก็ก้าวเข้ามาในโลกของผม
ความจริงคุณแค่ก้าวเข้ามาในร้านของพ่อผม
ในตอนที่ผมเปิดประตูร้านค้างไว้แต่ก็เป็นผมอีกนั่นแหละที่เป็นคนเอาประตูเข้าโลกของผมไปอยู่แทนตรงนั้น
คุณก็เลยเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของผมได้ง่ายๆ
แต่คุณอาจจะไม่รู้ว่าผมปิดประตูนั่นแล้วล็อคไว้อย่างแน่นหนาเชียวล่ะ
ผมคงจะไม่ยอมให้คุณออกไปจากชีวิตของผมง่ายๆอย่างตอนแรกหรอกครับ
ผมเป็นคนขี้โกงแบบนี้แหละ
ต้องขอบคุณการที่คุณเป็นคนรักษาสัญญา
เพราะหลังจากนั้นผมก็เจอคุณมายืนรออยู่ที่หน้าร้านทุกวัน
การแต่งตัวของคุณเปลี่ยนไปเล็กน้อย
แต่ที่ไม่เปลี่ยนก็คงเป็นกระเป๋าสะพายข้างใบนั้นที่ผมเห็นคุณสะพายมาที่ร้านในทุกทุกวัน
ผมไม่รู้ว่ามันมีอะไรในนั้นบ้าง นอกจากเครื่องเล่นเทปเครื่องเท่าฝ่ามือที่คุณเอาออกมาให้ผมดูในเวลาที่คุณต้องการฟังเพลงจากเทปในร้าน
คุณทำหน้าแปลกใจตอนที่ผมบอกว่าจะไม่คิดเงินไม่ว่าคุณจะยืมหรือซื้อพวกเทปในร้านนี้
ผมไม่ได้อธิบายอะไรกับคุณไปนอกจากรอยยิ้มบางๆนั่น
คุณอาจจะไม่เข้าใจและผมก็อยากจะอธิบายให้คุณฟังในตอนนี้
ถ้าไม่มีคุณ
ผมคงจะไม่ได้ฟังเพลงอะไรพวกนี้กับคุณ
อาจจะต้องปล่อยให้เจ้าพวกนี้ของคุณอยู่ในกล่องตลอดไป
เพราะแบบนั้นเจ้าพวกนี้มันกลายเป็นของคุณในวันที่คุณก้าวเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตของผม
คุณทำให้ร้านเช่าเทปเก่าๆกลายเป็นที่ที่ทำให้ผมมีความสุขเพราะมีคุณอยู่ด้วย
จะว่าไป..เพราะสรรพนามคุณๆ ผมๆ หรือที่คุณเรียกว่าฉันกับนาย
อะไรพวกนั้นทำให้เราสองคนเลิกใส่ใจชื่อของกันและกันไปเลย คุณไม่ได้ถามชื่อผม
ส่วนผมก็ไม่ได้ถามชื่อคุณอย่างจริงจังเหมือนกัน
แต่ต่อให้ไม่รู้ชื่อ
ผมก็ยังเป็นผม คุณก็ยังเป็นคุณ
ทุกอย่างก็ยังดำเนินต่อไปแม้ว่าเราจะไม่รู้ชื่อกัน..
“ทำนองมันเป็นแบบนี้ นายพอจะรู้จักเพลงนี้ไหม”
วันนึงคุณมาหาผมไวกว่าปกติ
คุณฮึมฮัมด้วยเสียงของคุณเองออกมาเป็นทำนองเพลงให้ผมฟังแล้วถามผม
ผมว่ามันคุ้นหูแต่ก็ตอบไม่ได้ทันทีว่าเพลงที่คุณว่านั่นเป็นเพลงอะไร บางทีผมอาจจะลืมมันไปแล้วก็ได้
“ไปได้ยินมาจากไหนครับ”
“คลื่นวิทยุน่ะสิ ดีเจก็ไม่บอกเพลงด้วย”
“.....”
ผมเงียบไปเพราะส่วนหนึ่งก็เอ็นดูไปกับการที่คุณยังเลือกที่จะอยู่กับอะไรเก่าๆ
อย่างการฟังเทปหรือฟังวิทยุ มันน่ารักอีกแล้วแต่ผมไม่ได้พูดมันออกไปเพราะยังไม่อยากเห็นคุณทำท่าขัดใจกับคำพูดผม
แต่ก็นั่นแหละ
เวลาแบบนี้ผมก็ยังมองว่าสิ่งที่คุณเป็นมันน่ารัก
“ฉันน่าจะเลิกฟังคลื่นนี้แต่ก็เลิกไม่ได้สักที”
“.....”
“นายต้องมาลำบากตามหาเพลงกับฉันไปด้วยเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“รู้สึกผิดเลยเนี่ย”
“พอจะจำเนื้อเพลงได้ไหมละครับ?”
“จำไม่ได้แฮะ มันค้างๆในหัวน่ะ”
“.......”
“ช่างมันเถอะ วันนี้มีเพลงอะไรแนะนำบ้าง”
“ขอโทษนะครับที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก”
ภาพของคุณที่เอาแต่ฮึมฮัมเป็นทำนองเพลงนั้นไม่หยุดแม้ว่าผมจะเอาเทปเพลงอื่นให้คุณฟัง
ภาพพวกนั้นมันแล่นอยู่ในความคิดของผมทั้งคืน จนคืนนั้นผมก็อดไม่ได้ที่จะออกจากห้องนอนแล้วฮึมฮัมทำนองเพลงนั้นตามคุณไปด้วย
ตอนนี้มันเลยเที่ยงคืนไปมากโขแล้ว
แต่ผมก็ยังยืนค้นเทปและบรรดาแผ่นเสียงที่คุณตามหา
และผมก็เจอมันจนได้หลังจากที่ค้นอยู่สักพัก
มันวางอยู่มุมห้องที่เกือบจะทิ้งไว้ร้างๆ
เสียงดนตรีจากเครื่องเล่นในร้านดังออกมาคล้ายกับที่ผมได้ยินมาจากคุณ
ผมเลยกดปุ่มหยุดเล่น และเอามันวางไว้บนโต๊ะตัวเก่ารอที่จะเอาให้คุณในตอนเย็น
ผมรู้สึกดีชะมัด
ทั้งที่มันเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆแต่ก็ทำให้ผมไม่อยากจะนอนเลย
อยากจะให้เวลาผ่านไปไวๆแล้วจะได้เจอหน้าคุณสักที
วันต่อมาคุณมาช้ากว่าปกติ
เพราะมันทำให้ผมต้องชะเง้อคอมองหาคุณนานกว่าทุกครั้ง
แต่มันพิเศษตรงที่คุณถือของกินพร้อมกับเครื่องดื่มในถุงมาเต็มมือ
“รู้จักกันมาสักพักแล้ว ยังไม่เคยกินข้าวด้วยกันเลย”
คุณพูดแล้วเตรียมของกินเองเสร็จสรรพโดยไม่ให้ผมเข้าไปยุ่ง
เย็นวันนั้นนอกจากในร้านจะตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอาหารแล้วยังมีเสียงเพลงจากเพลงที่เขาตามหาเมื่อวานเปิดคลอไปด้วย
มื้ออาหารธรรมดาๆ
แต่พอเห็นคุณเคี้ยวแก้มตุ้ยๆอยู่ตรงข้ามผมกลับรู้สึกว่ามันเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในโลก
และเพราะมื้ออาหารนี่ด้วยทำให้คุณกลับบ้านเย็นกว่าทุกวัน
แต่คุณก็ไม่มีท่าทีว่าจะรีบเร่งอะไรอย่างที่เคย จนผมต้องเป็นฝ่ายเริ่มถามคุณก่อน
“กลับบ้านเย็นแบบนี้ที่บ้านไม่ว่าอะไรหรอครับ”
“ฉันไม่มีคนที่บ้านหรอก”
“......”
“แบบว่าเป็นลูกคนเดียว ส่วนพ่อแม่ท่านเสียกันไปหมดแล้วน่ะ”
“อ๋อ”
“แต่ว่าจะไม่ทันรถบัสเที่ยวสุดท้ายนี่สิ”
“....”
“งั้นฉันกลับล่ะนะ”
“ครับ”
“เจอกันพรุ่งนี้”
คุณยิ้มแล้วก็จากไปเหมือนทุกวัน
กลายเป็นผมเองที่รู้สึกโลภมากขึ้นอยากจะอยู่กับคุณให้นานขึ้น วันแล้ววันเล่า
ต่อให้คุณมาไวแค่ไหนก็ต้องกลับก่อนที่จะไม่ทันรถบัสเที่ยวสุดท้าย
ซึ่งหลังๆผมก็ได้เดินไปส่งคุณที่ท่ารถบัสบ่อยๆ
“ได้อยู่ที่ร้านกับนายแป๊บเดียวเอง”
“.......”
“ถ้าได้อยู่นานๆก็ดีสิ”
“ลอง..ย้ายมาอยู่แถวนี้ดูไหมครับ”
“อืม..”
“....”
“ยากอ่ะ”
“......”
“แต่ก็น่าสนใจ จะเก็บไปคิดแล้วกันนะ”
แล้ววันนั้นก็เป็นวันที่ผมภาวนาให้รถบัสมาช้าๆแม้ว่ามันจะแล่นตรงตามเวลาของมันทุกวัน
ภาพรอยยิ้มของคุณยังไม่จางหายไปจากความทรงจำของผมเลย
รวมถึงตอนที่ผมประทับจูบลงที่ริมฝีปากสีหวานของคุณก็ด้วย
นึกทีไรก็ยังตื่นเต้นทุกครั้ง คุณก็คงเหมือนกัน
เพราะใบหน้าที่ค่อยๆขึ้นสีแดงของคุณก็ไม่ได้จางหายไปไหน ยังคงเล่นซ้ำๆอยู่ในความจำของผม
เราจูบกันในเงามืดของต้นไม้ระหว่างทางไปรอรถ
เราจูบกันทั้งที่ตอนนั้นเราไม่รู้จักชื่ออีกฝ่ายด้วยซ้ำ...
แล้ววันต่อมาคุณก็มาที่ร้านเหมือนเดิม ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม
เรามอบจูบให้กันในบางครั้งและมันก็ทำให้หัวใจเต้นแรงกว่าปกติ และเราก็ได้รู้จักกันและกันมากกว่าเดิม
ผมรู้แล้วว่าคุณชื่อจินฮวาน ในขณะที่ตัวคุณก็รู้ว่าผมชื่อฮันบิน
แต่สรรพนามที่เราใช้ระหว่างกันก็ยังเป็นเหมือนเดิมกับวันวาน คุณกับผม
นายกับฉัน ยังเป็นแบบนั้นเรื่อยมา
ซึ่งนานๆทีจะมีคำว่าฮันบินหรือจินฮวานจากปากอีกฝ่าย
เป็นแบบนี้วันแล้ววันเล่า
เป็นอาทิตย์ เป็นเดือน เป็นปี
และผมก็ขอบคุณที่มันเป็นแบบนั้น
ขอบคุณที่คุณเข้ามาในชีวิตของผม
ทุกอย่างมันคงไม่มีความหมายอะไรถ้าไม่มีคุณอยู่ด้วย
แม้ว่าสิ่งที่ผมเขียนลงไปทั้งหมดนี้ คุณอาจจะไม่ได้อ่านมันเลยก็ตามเพราะผมซ่อนมันไว้ในที่ที่คุณจะไม่มีวันหาเจอ ในใต้สุดของหัวใจผม และจุดลึกสุดของห้วงความคิด
แต่แผ่นเสียงและเทปในร้าน
เจ้าพวกนั้นของคุณก็ยังเล่นต่อไป
และผมก็ยังรักคุณเหมือนครั้งแรกที่เราเจอกัน
รัก.
คิมฮันบิน (ของคุณ)
e n d .
เป็นวันช็อตที่ได้แนวคิดมาจากตอนที่อยู่ๆก็เจอเพลงที่ไม่มีชื่อเพลงอยู่ในคอมพิวเตอร์ตัวเองค่ะ
รู้จักก็ไม่รู้จัก จะถามใครเขาก็ไม่รู้จักเหมือนกัน เป็นอารมณ์ที่ค้างอยู่ในหัวตลอดเวลาเลย
อีกอย่างอยากลองเขียนบรรยายเป็นผมกับคุณด้วยเลยออกมาแบบที่เห็น
ถ้าชอบอย่าลืมคอมเมนต์ให้กำลังใจนะคะ
เจอกันตอนหน้าค่ะ : )
ความคิดเห็น