ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วิวาห์ขม

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 ฟ้าสดใส

    • อัปเดตล่าสุด 6 มี.ค. 53


    /> /> />

    บทที่ 3  ฟ้าสดใส

    หากเส้นขนานไม่ทางมาบรรจบกัน  ความรักของเราก็คงเป็นดั่งเส้นขนาน

                    แม้ว่าดินเนอร์จะเริ่มสองทุ่ม  แต่ญาดากลับใช้เวลาตลอดสองชั่วโมงในการแต่งตัว  ตั้งใจมากกว่างานรับรางวัลนักแสดงดาวรุ่ง  ทั้งคุณแม่และป้าเพ็ญต่างแซวจนเธอคิดไปไกล  แม้จะปฏิเสธไปว่าแค่เรื่องบังเอิญก็ตาม ชุดที่เธอเลือกมานั้นแม้จะเป็นแค่เสื้อแขนยาวเปิดไหล่สีขาวก็ตาม แต่มันกลับสร้างความอ่อนไหว น่ารักจนฐาปนีย์แซวว่าน่ารักเกินไป  ญาดาแทบหมดความมั่นใจกลัวว่าชายหนุ่มจะรู้ว่าเธอรอคอยงานสำคัญ

                    “พี่ล้อเล่นน่า  ถ้าน้องหยาใส่ชุดราตรีสีแดงเพลิงสิ  พี่จะว่าเวอร์  เนี่ยน่ารักสวยสมงานดินเนอร์กับหวานใจแล้ว”ฐาปนีย์ชิงบอกเมื่อเห็นญาดาเริ่มจะรื้อตู้เสื้อผ้าอีกครั้ง

                    “พี่ก้อยอ่ะ  หยายิ่งตื่น ๆอยู่ด้วย  นักข่าวก็เยอะ  หยาไม่รู้จะทำไงดีอ่ะ  แล้วหัวใจหยาก็เต้นแปลกอ่ะพี่  หยาจะเป็นโรคอะไรหรือเปล่า  หรือทำงานหนักไป  พี่ก้อยไปถามหมอให้หยาหน่อยสิ”

    พี่ก้อยของญาดา หัวเราะร่าเมื่อได้ยินความในใจของหญิงสาวอายุตั้งยี่สิบสี่  แต่ไม่เคยริเริ่มเรื่องพวกนี้  ญาดาเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้านเป็นหลานสาวคนสุดท้องของตระกูล  คุณย่าคุณยายจึงประคบประหงมเพราะไม่มีหลานสาจนใครไม่หล้าแตะ  ลุงป้าน้าอาก็รักและตามใจจนกลายเป็นคนเอาแต่ใจ  นายพลเห็นว่าไม่ไหว เพราะคุณหญิงวารีย์ก็เห็นดีเห็นงามจนลูกสาวของเขาเริ่มไม่ฟังอะไร  จึงจับส่งไปอยู่กับย่าใหญ่  ถึงจะหลงหลานไม่แพ้กันแต่ก็ยังดีว่าที่มีญาติเป็นโขยงมารุมเอาใจแบบนี้  แผนการส่งญาดาไปฝรั่งเศสจึงเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่อายุไม่ถึงสิบขวบเท่านั้นเอง

                    “มันก็เป็นอาการปกติของวัยรุ่นน่า  ไม่ต้องพึ่งหมอหรอก”ฐาปนีย์ขำ  ก่อนจะหัวเราะพรืดเมื่อหญิงสาวเอ่ยขึ้นมา


                    “แต่หยาเป็นผู้ใหญ่แล้วนะพี่  จะยี่สิบสี่อีกสามสี่เดือนแล้ว”

     

    .........................................................................

     

                    ดินเนอร์ของทั้งคู่จัดที่ภัตราคารของโรงแรม  เพราะสามารถกันนักข่าวได้ตามสิทธิของเจ้าของ  ทันทีที่จีระเห็นร่างระหงในชุดสีขาวสั้นสุด จนผู้ชายหลายคนจ้องตาไม่กระพริบ  ดีที่ส่วนบนยังเป็นแขนยาวถึงจะเปิดไหล่ก็ไม่ได้เน้นส่วนเนินอกเหมือนเช่นคืนแรก  จีระต้องยอมรับอย่างปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าญาดาเป็นผู้หญิงที่สวยสมเป็นผู้หญิงมากที่สุด  รอยยิ้มสวยยิ้มให้เขาแต่ไกล  เสียงแจ้วๆใสๆดังแก้วก้องกังวานถามอย่งน่ารัก

                    “ฉันมาสายหรือเปล่าคะ”จีระเลื่อนเก้าอี้ให้ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ  ก่อนจะนั่งลงอีกฝั่งของโต๊ะ  แม้จะอยู่ในชุดเดิมแต่จีระก็ไม่ได้ลดความน่ามองลงไปเลย  สังเกตได้จากบรรดาสาวๆที่ชะเง้อมองเขาทั้งอย่างจงใจและเนียบเนียน

                    “เปล่าครับ  พอดีผมลงมาก่อนเวลานัดเท่านั้นเอง”จีระยิ้ม รับ  เรียกพนักงานมาสั่งอาหารให้ตนเองและหญิงสาว พร้อมเปิดไวน์แดงราคาห้าหลักหนึ่งขวด 

                    “คุณจีระมาที่นี่บ่อยหรือคะ”ญาดาเริ่มคุยเมื่อเกิดบรรยากาศเงียบขึ้น

                    “ไม่บ่อยครับ  พอดีคุณแม่อยากต่อเติมโรงแรม  พี่เลยมาดูแปลนให้”

                    “แล้วน้องหยาหล่ะครับ  มาถ่ายละครหรือ”เทียงโทนต่ำแต่นุ่มหูเอ่ยถาม แถมคำพูดที่สนิทสนมทำให้ญาดายิ้มมากขึ้น

                    “หยามาถ่ายโฆษณาค่ะ  พอดีว่ามันเป็นซีรีย์หลายชุด  เลยต้องถ่ายกันเป็นอาทิตย์” ทั้งคู่พูดคุยกันไปเรื่อย ๆจนอาหารค่ำมาเสริฟ์   เสียงเพลงเพราะขับกล่อมให้บรรยากาศดูอบอวลไปด้วยความสุข  เช่นเดียวกับจินใจพองฟูของหญิงสาว  จีระเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ  และเพียบพร้อม  จะผิดไหมถ้าหากคำพูดของคุณแม่ของเธอจะทำให้เธอเริ่มคิดอะไรกับผู้ชายตรงหน้าคนนี้ 

                    ถ้าหยาไม่ลองรัก  จะรู้ได้อย่างไรว่ารัก

                    “พี่จินชอบแกล้งหยา” หญิงสาวรู้สึกคุ้นเคยขึ้นเมื่อ ทั้งคู่เริ่มคุ้นอดีตของตนขึ้นมา  ต่างคนต่างพากันประติดประต่อ  จำได้บ้างไม่ได้บ้าง  แต่หากสองคนช่วยกันร้อยเรียงเรื่องราวก็เริ่มเด่นชัดขึ้น  จนหลายต่อหลายครั้งที่ทั้งคู่ต้องหัวเราะออกมา

                    “ก็ตอนนั้นหยาแก้มป่อง พุงพุ้ยเชียว  เหมือนตุ๊กตาไม่มีผิด”จีระนึกถึงภาพเหตุการณ์ครั้งนั้น 


                    “เลยจับหยามัดติดตัวเองเหรอคะ”หญิงสาวทำท่างอนตุ๊บป่อง  ยื่นปากออกมาอยากน่ารัก  แก้มป่องๆตอนเด็กเริ่มแสดงให้เห็นตอนนี้   และยิ่งยู่ปากมากขึ้นเมื่อตอนจีระขำไปพูดไป

                    “ก็ตอนนั้นพี่เคยเห็นชาวเขาเค้ามัดลูกไว้ข้างหลังนี่นา  พี่ก็อยากทำบ้างแต่ไม่มีตุ๊กตาให้พี่เล่นเลย”จีระเอานิ้วชี้จิ้มไปที่แก้มป่องๆเหมือนครั้งที่ทำตอนเด็ก

    แต่มันผิดที่ตอนนี้ทั้งคู่ไม่ได้อายุแค่สี่ห้าแล้ว 


                    “พี่ขอโทษ  พี่ไม่ได้ตั้งใจ”จีระเอ่ยเสียงเบา  จะว่าเขาลืมตัวหรือเมาไวน์ราคาแพงนี้ก็ได้  แต่เขาไม่ได้ตั้งใจทำแบบนั้นเลย 

     

                    “ไม่เป็นไรค่ะ  หยาเข้าใจ”ญาดารู้สึกเสียใจนิดหน่อย  ที่เห็นหน้าชายหนุ่มทำท่าทางแบบนั้น  ความรู้สึกผิดไม่ใช่สิ่งที่หญิงสาวอยากให้เป็น

     

                    “พรุ่งนี้พี่จินว่างไหมคะ”ญาดาเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นชายหนุ่มเริ่มเงียบ

                    “ก็มีดูไซต์งานตอนเช้าก็คงเสร็จแล้ว”


                    “หยาเห็นมีป้ายบอกไปทุ่งทานตะวันด้วย  ไม่รู้ว่าแถวนี้ก็มี  พี่จินพาหยาไปหน่อยสิคะ  หยายังไม่อยากกลับกรุงเทพฯ” จะว่าหน้าด้านหน้าทน  ญาดาก็ยอมรับ  พยายามทำเสียงไม่ให้สั่นไปมากกว่านี้  ทั้ง ๆใจมันตื่นเต้นไปหมด  มือทั้งสองข้างเย็นเยือกกลัวคำตอบของร่างสูง  แม้จะไม่เข้าใจว่าความรู้สึกของตนเรียกว่าความรักหรือเปล่า  แต่ความรู้สึกที่อยากอยู่กับชายคนนั้นนานๆ อยากได้ยินเสียงอยากเห็นหน้า  เรียกว่าความรัก 

     

    ญาดาก็ต้องยอมรับ ว่าเธอกำลังหลงรักผู้ชายคนนี้เข้าอย่างเต็มหัวใจ

     

                    “งั้นเดี๋ยวทานข้าวกลางวันด้วยกันแล้วค่อยออกไปก็แล้วกันนะ”จีระยิ้มให้อยากอบอุ่น  เมื่อเห็นลักยิ้มเต็มทั้งสองข้างของหญิงสาว  ความพยายามทำตัวสนิทสนมให้ญาดาเห็นว่าเขาเป็นได้เพียงพี่ชายได้เริ่มต้นขึ้น  โดยที่จีระไม่รู้เลยว่า

     

    ความอ่อนโยนที่มอบเฉกเช่นน้องสาว  มันจะทำให้ความสัมพันธ์อันบริสุทธิ์ของทั้งคู่จบลงอย่างไม่มีวันหวนคืน

     

    ......................................................................


                    ทันทีที่ก้าวสู่สนามสุวรรณภูมิ  แว่นตาก็ยิ้มร่าออกมา  ถึงบ้านเกิดเมืองนอนเสียที  ว่าที่ดอกเตอร์สาวยิ้มดีใจที่การสัมภาษณ์สอบชิงทุนเรียนต่อที่วอชิงตันได้รับการตอบรับ  ไม่เสียทีที่ยอมเอาเงินเก็บซื้อตั๋วขึ้นเครื่องบินข้ามทวีบไป  แว่นแก้วเป็นเด็กกำพร้า ยายที่เลี้ยงดูแว่นแก้วมา ญาติเพียงคนเดียวเสียไปช่วงที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยพอดี  ทำให้แว่นแก้วไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย  เสียเวลาไปหนึ่งปี  ก่อนจะสอบชิงทุนจากฝรั่งเศสได้ในฐานะเด็กด้อยโอกาสจากประเทศที่สาม  แว่นแก้วเลยมีโอกาสได้เรียนต่อกับเขาเสียที  เพราะความเพียรและฉลาดทำให้เธอได้รับทุนจนถึงปริญญาโท  ก่อนจะได้รับทาบทามมาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังในกรุงเทพ ฯ 

                    ทันทีที่มาถึงประเทศไทย  สิ่งแรกที่แว่นแก้วเลือกทำก็คือโทรหาเพื่อนรักเพียงคนเดียวของเธอ  สายตาภายใต้แว่นหนาจึงสอดส่องหาตู้โทรศัพท์สาธารณะ


                    “คิดว่าคนทั้งโลกมีมือถือหันหรือไงกัน”แว่นแก้วต้องลากกระเป๋าใบโตพร้อมกันสอดส่องหาตู้โทรศัพท์สาธารณะ  และแล้วไม่รู้โชคดีหรือร้ายที่บังเอิญเหลือเกิน  ที่ตู้หนึ่งเดียวนั้นมีชายหญิงคู่หนึ่งพลอดรักพิงข้างๆ ตู้โทรศัพท์สาธารณะพอดี  แว่นแก้วตัดสินรออยู่สักพักก็เห็นทั้งคู่แยกออกจากกัน  เธอจึงก้าวเข้าไปหา ได้อีกสามก้าว  ผู้ชายร่างสูงหน้าตาดีจัด  ผิวสีน้ำผึ้งก็โน้มตัวจูบฝรั่งผมสีบรอนด์อีกครั้งและดูว่าคงอีกนานกว่าจะแยกจากกัน

                    “ทำไมไม่เปิดโรงแรมเสียเลยล่ะ”แว่นแก้วแค่คิดในใจเท่านั้น  แระโยคที่พูดออกมาจริงๆคือ

                    “ขอโทษนะคะ  ฉันขอให้โทรศัพท์หน่อยนะคะ” ไม่อยากจะคิดหรอกจะ  แต่สายตาเหยียดของคนทั้งคู่ทำให้แว่นแก้วนึกรังเกียจขึ้นมา  ภาษาอังกฤษอันแสนคุ้นเคยดังขึ้น

     

                    “แล้วอย่าลืมไปเยี่ยมฉันบ้างนะคะ  มาร์ค  ฉันคงคิดถึงคุณแทบคลั่งแน่ๆ” หญิงสาวฝรั่งคนนั้นพูดพรางดมซอกคอของชายหนุ่มไปพลางๆ  แว่นแก้วคิดอาการนั้นได้แค่นี้

                    “แน่นอนซินดี้  ผมไม่เคยเจอใครร้อนแรงอย่างคุณมาก่อน”

                    “สัญญานะคะ  ที่รัก  ถ้าคุณไม่ไป  ซินดี้จะกลับมาอีกครั้งเพื่อทวงสัญญาของคุณนะคะ”แล้วทั้งคู่ก็จูบดูดดื่มอีกครั้ง  ห่างตู้โทรศัพท์สาธารณะที่แว่นแก้วยืนอยู่ไม่เกินสองเมตร ทั้งคู่คลอเคลียหันกันครู่เดียวพร้อมคำหวานแสลงหูแว่นแก้ว  หญิงสาวฝรั่งทรงโตคนนั้นก็จากลับตาไป ขณะที่แว่นตาเพิ่งเปิดหาเบอร์ของเพื่อนรักเจอ 

                    “มองอะไรยัยเบ๊อะ  อย่างเธอไม่ได้ขึ้นเตียงกับฉันหรอกนะ”

     

    ประโยคดังกล่าวมาจากผู้ชายที่แว่นแก้วเคยคิดเมื่อนาทีก่อนนั้นว่า  หน้าตาหล่อจัด  แต่คำพูดที่เอ่ยออกมานั้นทำให้แว่นแก้วคิดอะไรไม่ออก  ยังไม่ทันได้พูดอะไรมากมาย  ก็มีผู้หญิงไทยอีกคนวิ่งเข้ามากอดร่างสูงเอาไว้

     

                    “เมศคะ  อยู่นี่เอง  มิวคิดว่าเมศล้อเล่นนะเนี่ย” ยังไม่ทันได้พูดตอบอะไร  ผู้ชายหน้าตาดีแต่นิสัยแย่คนนั้นก็กอดหญิงสาวร่างเล็กแต่ทรงโตเกือบเท่าคนก่อนหน้านี้แน่น  ต่างพลัดกันหอมแก้มซ้ายขวาไปมา  จนแว่นแก้วออกอาการคล้ายเมาเครื่องเล็กน้อย


                    “มิวเห็นผมเป็นคนยังไงกัน  แฟนกลับมาทั้งทีก็ต้องมารับสิ  ว่าแต่ว่า  คุณบอกจะกลับพรุ่งนี้นี่นา  ไหงกลับมาก่อนล่ะ  เนี่ยถ้าผมไม่ให้เลขาเช็คเที่ยวบิน ไม่รู้จริง ๆนะคะ  ว่าคุณจะเซอร์ไพส์ผมอย่างนี้น่ะ”เสียงทุ้มตอบเอาใจ  สร้างรอบยิ้มให้หญิงสาว

     

    ตอแหล !!  แต่แว่นแก้วคิดได้แค่นั้นจริงๆ


                    “แล้วช่วงที่มิวไม่อยู่  เมศแอบเหลวไหลหรือเปล่าคะ  มิวมีสายเยอะแยะเต็มไปหมดนะคะ สารภาพมาซะดีๆ”หญิงสาวรู้ดีว่า  เธอเล่นกับไปอยู่  ปรเมศร้ายพอๆ กับเสือไม่รู้จักอิ่ม  แต่เธอก็มีค่ามากพอที่จะไม่อยากเป็นแค่ตัวสำรอง

     

                    “โธ่  มิว  ผมคลั่งคุณจะแย่อยู่แล้ว  ไปถามใคร ๆเลยก็แล้วผมไม่เคยวอแวกับใครเลยจริงๆนะ “

     

    เพราะผมขลุกอยู่แต่ห้องนอนไง  ปรเมศคิด

     

                    “มิวไม่เชื่อหรอกค่ะ”แล้วสายตาหญิงสาวคนนั้นก็สังเกตเห็นอีกร่างหนึ่งข้าง ๆไม่ใกล้ไม่ไกลปรเมศ  แม้หน้าตาจะห่างไกลสเป๊คของแฟนหนุ่ม  แต่ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงก็สมควรระวังบ้าง 


                    “แล้วเอ่อ...เธอเป็นใครคะ”แว่นแก้วแอบได้ยินเสียงกระซิบถามชายหนุ่มร่างสูง  ในใจภาวนาให้เพื่อนรักรับโทรศัพท์เสียที  แล้วสายตาทั้งสองคู่ก็สบตากับเธอ

                    “แต่เด็กมัธยมน่า....อีกอย่างเห่ย ๆแบบนี้คุณคิดว่าผมจะแอ้มได้ไงกัน  ดูถูกผมมากนะรู้ไหมครับ”แล้วชายหนุ่มก็โน้มตัวซุกหน้ากับซอกคอของหญิงสาวกริยาคล้ายๆ กับที่ฝรั่งคนนั้นปฏิบัติกับชายหนุ่มไม่มีผิด


                    “เขาได้ยินนะคะเมศ  ปากร้ายจริงๆเลยคุณเนี่ยย”เหมือนจะดุ  แต่แววตากลับไม่โกรธเคือง  ยัยตอแหลนี่เหมาะกับนายมักมากนี่จริงๆ ตอแหลทั้งคู่


    แว่นตาคงไม่ยุ่งเกี่ยวใครก่อนถ้าไม่มีใครมายุ่ง  เหยียบแผ่นดินเกิดครั้งแรกแล้วมีเรื่องไม่ควรเกิดขึ้น  เป็นลางร้าย  แต่แว่นแก้วก็ทนไม่ไหวเหมือนกันนะ


                    “นี่ๆ คุณแล้วแม่ซินดี้ฝรั่งผมบรอนด์คนที่คุณจูบตะกี้ไม่ใช่แฟนคุณเหรอ  ฉันเห็นคุณฟัดกันตั้งนาน  แล้วนี่ใครอีกหละ  จะไทย ญี่ปุ่น  ฝรั่งเอาให้แน่สิคุณเนี่ยยย  อ้อ...แล้วที่บอกว่าอยากโจ๊ะกับฉันเมื่อกี้  ขอปฏิเสธก็แล้วกันนะ  เมียคุณมาแล้วนี่นาเนอะ ”

     

    จะโทษก็โทษที่แว่นแก้วไม่ได้อยู่ไทยนานเถอะนะ  การสื่อภาษาถึงค่อนข้างแย่แบบนั้น  แม้ใจจริงจะแอบเถียงว่าได้เกรดสี่ทุกครั้งตอนเรียนก็ตาม  แว่นแก้วหันหลังกลับทันทีหลังปล่อยระเบิด  ไม่รอให้หน้าอึ้งๆ ของทั้งคู่พูดอะไรหรอก  โทรศัพท์นะโทรก็ได้  ตอนนี้ขอแค่สะใจกับไอ้บ้ากามนั้นก่อน  รอยยิ้มเล็ก ๆปรากกขึ้นก่อนจะเต็มแก้มนวล  ตาสองข้างหยีน่ารักแต่กลับอยู่ใต้แว่นหน่าเต๊อะทันทีที่ได้ยินเสียงคล้านคนทะเลาะกันอยู่ด้านหลัง

     

    ถือว่าเป็นเคราะห์เล็กเคราะห์น้อยก็แล้วกันนะที่เจอคนแบบนั้น.....แต่ขอให้ได้เจอกันอีกเลย

    นายนั่นเป็นประเภทที่แว่นแก้วเกลียดมากที่สุดในโลกเลยจริงๆ 




     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×