ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานผู้พิทักษ์ดาบศักดิ์สิทธิ์

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 : ผู้บุกรุก

    • อัปเดตล่าสุด 19 เม.ย. 48


    ผู้บุกรุก

    ____________________________



    “ไม่เคยมีคนสอนเจ้ารึไงว่าควรเข้าทางประตูน่ะ…”

        

    ลมพัดวูบ  ผมสีเงินปลิวไสวในความมืด  

        

    “เจ้าเป็นใคร” เกรย์พูด  ทำไมวันนี้โชคถึงไม่เข้าข้างเธอเลยนะ

        

    “เฮ้อ…ถึงเจ้าจะไม่ค่อยมีมารยาท  แต่ก็เอาเถอะ” ร่างผู้บุกรุกเอ่ยซ้ำ  ก่อนก้าวออกมาจากเงามืด  

        

    “ข้าชื่อ  ริสเปลล์”

        

    เกรย์เบิกหนังตาหนัก ๆ มองคนตรงหน้าอย่างใจเย็น  ชายหนุ่มร่างสูง   ผมเงินยาวรวบเป็นหางม้า    ชุดคลุมสีเดียวกับเรือนผมไหวน้อย ๆ ตามแรงลม  นัยน์ตาสีม่วงกวาดมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างพิจารนา   เรียวปากส่งยิ้มอย่างพึงใจ

        

    “เอาล่ะ  ท่านริสเปลล์”  เกรย์พูด   กล้ำกลืนความสะลึมสะลือไว้ชั่วครู่ก่อนพูดต่อ “แล้วมีใครเคยสอนท่านมั้ยว่าไม่ควรเข้าห้องคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต” นักฆ่าสาวเอ่ยเสียงเย็น  มือขวา กระตุกไปจับที่ด้ามดาบ

        

    “อ้อ…ไม่ต้องใช้นั่นหรอกนะ” ริสเปลล์พูดพลางชี้ไปที่มือของเกรย์ “ข้าแค่อยากมาคุย   และงานของข้าด่วนเกินกว่าจะรอเจ้าได้”

        

    “งั่นก็ไปทำงานของท่านต่อ   เชิญ!!!” เกรย์กึ่งไล่กึ่งส่ง  พลางผายมือไปทางประตู

        

    “ข้าจะไปทำงานต่อได้ยังไง  ในเมื่อ…งานของข้าขึ้นอยู่กับเจ้า” ริสเปลล์เอ่ยยิ้ม

        

    “หมายความว่าไง” เกรย์ถามเย็น ๆ   มือเตรียมชักดาบทุกเมื่อ

        

    “ข้ามีข่าวมาบอกเจ้า” ชายหนุ่มเข้าเรื่อง  

        

    “งั้นหรอ…จากใครล่ะ” เกรย์ถาม  

        

    “จากอาจารย์ข้า” ริสเปลล์ตอบ   ก่อนหันไปเร่งตะเกียง

        

    “ค่อยสว่างขึ้นหน่อย” เขาหันมายิ้มให้กับเกรย์ที่แทบจะเบิกตาไม่ขึ้นอยู่แล้ว

        

    “ไหนมาดูหน่อยซิว่าเจ้าเปลี่ยนไปมากแค่ไหนจากวันที่เราเจอกันครั้งสุดท้าย” ชายหนุ่มเอ่ย   ก่อนกวาดตาขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ที่เกรย์   จนเจ้าตัวทน

    ไม่ได้

        

    “ข้าจะเปลี่ยนไปจากที่ท่านเจอครั้งสุดท้ายได้ยังไงในเมื่อข้าไม่เคยเจอท่าน” เกรย์ตัดบทเสียงเรียบ

        

    “เคยสิ…เคยแน่   ตอนนั้นเจ้ายังเล็กอยู่เลย  ใช่…ทำไมจะไม่เคยล่ะ  ในเมื่อข้าเป็นคนนำเจ้ามาวางไว้ที่หน้าคฤหาสน์ที่ชานเมืองนั่นเอง” ริสเปลล์พูดพลางถอนหายใจ “ความผิดข้าเอง…ข้าน่าจะอยู่รอให้ไพรม์มารับเจ้าก่อน”

        

    “หมายความว่าไง” เกรย์ถาม  เริ่มคิดว่าเรื่องนี้ชักไม่ชอบมาพากล

        

    “เริ่มไงดีล่ะ…”  ริสเปลล์พึมพำเกาหัวแกรก ๆ อย่างน่าหมั่นไส้

        

    “ง่าย ๆ  สั้น ๆ  กระชับและได้ใจความก็คือ  เจ้าเป็นผู้พิทักษ์ดาบไพออซ”

        

    เงียบ…เงียบ…

        

    “อ…อะไรนะ” เกรย์แทบติดอ่าง   เธอเกือบสาบานเลยว่าวันนี้เป็นวันที่น่าปวดหัวที่สุดที่เคยเจอมา

        

    “เจ้ารู้เรื่องสงครามพิลเกรมมั้ย” เกรย์พยักหน้า

        

    “สงครามตำนานเทพอสูร   เรื่องเมื่อสองพันปีก่อน” เกรย์เอ่ยเรียบ

        

    “ใช่ ๆ  นั่นแหละ…”

        

    …สงครามตำนานเทพอสูร…

        

    สองพันปีก่อน  ตอนที่แผ่นดินนี้ยังเป็นปึกแผ่นเดียวกัน  และมีเทพเป็นผุ้ปกครองสามแคว้น   คือเทพพิรานา  เทพแห่งสงคราม  เทวีไมเดล  เทวีแห่งฤดูกาล  และเทพเซียร์  เทพแห่งการทำนาย   ประชาชนอยู่อย่างสงบสุขร่วมกัน  ทั้งเอล์ฟ  มนุษย์  คนแคระ  ก็อบลิน  แฟรี่  และโทรล์  กาลเวลาผ่านไป  เป็นยุคเจริญสุดขีดของเหล่าผู้ไร้เวทย์ในแผ่นดิน  จนกระทั่งเทพซินเฟล  ผู้ดูแลวิญญาณก่อกบฎครั้งยิ่งใหญ่   สงครามที่กลืนกินทั้งดินแดนไว้ใต้กลียุค…

        

    กองทัพอสูรนับล้านยกพลขึ้นจากดินแดนใต้พิภพ เฮลล์ ผู้คนล้มตาย   ดินแดนแล้ว…ดินแดนเล่า  ถูกกลืนไว้ภายใต้เงามืดแห่งสงคราม…

        

    เทพมากมายเข้าร่วมสงครามนี้   แต่ไม่มีศาตราใดจะเทียบกับดาบไนท์แมร์ของซินเฟลได้   ดาบที่คมจนสามารถตัดผ่านราตรีได้   ว่องไวดุจเงา  และแข็งแกร่งกว่าเหล็กกล้าใดที่ก็อบลินหรือคนแคระหาได้

        

    เทพพิรานา  ผู้ปกครองหนึ่งในสามแคว้น  จึงร่วมกับเทพอีกสององค์  หลอมดาบที่สามารถเอาชนะดาบไนท์แมร์ได้  ดาบที่แข็งแกร่งกว่าพลังแห่งความมืด…ดาบไพออซ (ดาบแห่งศรัทธา)

        

    ด้วยอำนาจแห่งดาบไพออซและพรที่เทวีไมเดลมอบให้แก่ดาบ  กองทัพอสูรถูกกวาดล้าง   พวกที่เหลืออีกนับล้านถูกจับ   และเนรเทศไปยังห้วงมิติอื่น   พร้อมกับเทพผู้ทรยศ

        

    แต่ก่อนที่มิติจะถูกผนึก  เทพซินเฟลร่ายคำสาปสุดท้าย   คำสาบที่เอ่ยว่า…อีกสองพันปีนับจากวันที่ประตูมิตินี้จะถูกผนึก  ดาบไนท์แมร์จะกลับมา  พร้อมกับองครักษ์แห่งดาบที่ปลดปล่อยกองทัพอสูรและความชั่วร้ายทั้งมวล

        

    ประตูมิติถูกผนึกด้วยดาบไพออซ   แผ่นดินแยกตัวออกจากกันเป็นเกาะใหญ่สามเกาะ  เหลือเพียงเกาะเล็กตรงกลางที่เป็นที่ที่เทพพิรานาผลึกประตูมิติ   ว่ากันว่าประตูมิตินี้ถูกพิทักษ์โดยชนเผ่าวอลคารี่   เผ่าเดียวที่มีพลังอำนาจแห่งเทพ  เผ่าเดียวที่มีเวทย์มนต์  (ผู้คนในเผ่านี้เป็นลูกครึ่งเทพ  ดังนั้นจึงมีปีกแบบเทพซึ่งจะงอกเมื่ออายุสิบสามปี)   ในขณะเดียวกันผู้รอดชีวิตจากสงครามเริ่มสร้างสรรค์ยุคใหม่   ยุคที่รุ่งเรืองของผู้ไร้เวทย์   ยุคที่มีแต่สันติ  เวทย์มนต์ถูกลืมเลือนและเทพกลายเป็นตำนานไป

        

    ยังมีเรื่องเล่าต่อกันมาอีกว่า   เทพเซียร์ได้เอ่ยคำทำนายเกี่ยวกับกลียุคที่จะมาเยือนเมื่อดาบไนท์แมร์กลับมา  และมนต์ตราผนึกประตูมิติที่จะเสื่อมลง  เทพพิรานาส่งดาบไพออซกลับสู่แผ่นดินอีกครั้ง  พร้อมกับองครักษ์ดาบเช่นเดียวกับซินเฟล   องครักษ์ดาบที่จะเป็นผู้นำสันติมาสู่ดินแดนนี้อีกครั้ง   และปิดผนึกประตูมิติด้วยดาบแห่งศรัทธา…

        

    “แล้วเจ้า…” ริสเปลล์ชี้มายังเกรย์ “ก็คือองครักษ์ดาบที่จะต้องตามหาดาบไพออซที่หายไป”

        

    “มันเป็นแค่ตำนานไม่ใช่หรอ” เกรย์เอ่ย

        

    “งั้นหรอ…งั้นวอลคารี่สำหรับเจ้าก็เป็นแค่ตำนานเหมือนกันล่ะสิ” ริสเปลล์ถามพลางเลิกคิ้ว  เกรย์พยักหน้าช้าชัด

        

    “งั้นก็คิดใหม่ได้แล้ว…ข้านี่ล่ะวอลคารี่!!!”



    …เงียบ…

        

    ไม่มีสรรพเสียงใดลอดออกมาจากปากของนักฆ่าสาว  มีเพียงเสียงลมทะเลยามดึกพัดไหวไปมา

        

    “ว่าไง…ไม่เชื่อล่ะสิ” ริสเปลล์พูดยิ้มแย้ม  เกรย์พยักหน้าอีกครั้ง

        

    “ไหนล่ะหลักฐาน” เกรย์ถามเสียงเรียบ  หากแต่เจือความตะลึงเอาไว้

        

    “อยากดูรึ” ริสเปลล์ถามพลางเลิกคิ้ว   แต่ดวงตาสีทองและเขียวกำลังจ้องมองอย่างจริงจัง

        

    “เฮ้อ…” ชายหนุ่มถอนหายใจ “ไม่แสดงให้ดูเจ้าคงไม่เชื่อสินะ”

        

    วิ้ง!!!

        

    ร่างทั้งร่างของชายหนุ่มเรืองแสงสีฟ้าอ่อน  เกรย์เบิกตากว้างในขณะที่ริสเปลล์หลับตาลง  ร่างของเขาลอยขึ้นจากพื้นไม้ช้า ๆ  

        

    พั่บ!!!

        

    ปีกสีขาวบริสุทธิ์คู่หนึ่งสยายออกจากกลางหลัง   ปีกเหมือนปีกนกนางนวล  แต่ใหญ่จนสามารถยกคนขึ้นได้

        

    “ไง..” ริสเปลล์เอ่ยถามเมื่อเท้าแตะพื้น   เกรย์ตะลึงงัน

        

    “เชื่อรึยังล่ะ” ริสเปลล์ถามอีกครั้ง  เกรย์สะบัดหน้าหนีอย่างไม่ให้คำตอบ

        

    “แล้วไง…ถ้าท่านเป็นวอลคารี่  แล้วมันจะเกี่ยวกับข้าตรงไหนล่ะ” เกรย์ถาม  ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้น

        

    “เฮ้อ..” ริสเปลล์ถอนหายใจอีกครั้ง “เกี่ยวสิ…เกี่ยวกับทั้งสามทวีปเลยล่ะ   ตอนนี้เจ้าอาจจะยังไม่รู้สึก…แต่เวทย์มนต์ชั่วร้ายที่ซินเฟลร่ายผนึกไว้มันเริ่มทำงานแล้ว  เจ้ายังไม่ต้องตามหาดาบตอนนี้   แต่ถึงยังไงวันนั้นมันก็ต้องมาถึงอยู่ดี   เพราะมันคือชะตา…ชะตาที่กำหนดให้เจ้าเป็นองครักษ์แห่งดาบ”

        

    “แล้วท่านรู้ได้ยังไงว่าข้าเป็นองครักษ์แห่งดาบจริง” เกรย์กระชากเสียง   แต่ริสเปลล์ตอบยิ้ม

        

    “ดวงตาไงล่ะ” เกรย์เงยหน้าขึ้น  นัยน์ตาสองสีของเธอมองชายหนุ่มอย่างสงสัย

        

    “ตาสีทองและเขียว   คือสัญลักษณ์บอกว่าเจ้าคือองครักษ์ดาบ” ริสเปลล์เอ่ย

        

    “เอาเถอะ…ตอนนี้เจ้าก็ไม่มีที่ไปแล้ว” ชายหนุ่มเปรย

        

    “หมายความว่าไง” เกรย์หรี่ตาลง

        

    “ไม่เห็นรึไง…ราคลอฟที่เจ้าเคารพนับถือน่ะ   ทรยศเจ้าซะแล้ว  ตอนนี้เจ้านั่นคงไปป่าวประกาศว่าเจ้าเป็นคนทรยศอย่างไม่ต้องสงสัย” วอลคารี่หนุ่มเอ่ยอย่างรู้ดี   เกรย์หลุบตาลง

        

    “ท่านราคลอฟ…ทรยศ” เกรย์กัดฟันพึมพำ

        

    “เจ้าจะเดินทางไปเรื่อย ๆ ก็ได้   คิดซะว่าไปเที่ยวเล่นเพราะไม่มีอะไรทำ” ริสเปลล์พูดอย่างปราณี

        

    “หึ…ข้าก็ไม่คิดจะหาดาบอะไรนั่นอยู่แล้วล่ะ” เกรย์พูดพลางยิ้มเย็น

        

    “ตามใจเจ้าเถอะ…หมดธุระแล้ว  ข้าไปก่อนล่ะ” ริสเปลล์พูด  เดินไปที่ระเบียง

        

    “อือ” เกรย์พึมพำรับเบา ๆ

        

    “รักษาตัวด้วยนะ…เอมมิเกรย์” คำสุดท้ายแผ่วเบาก่อนที่ปีกกว้างสีขาวจะยกร่างทั้งร่างลอยหายวับไปในราตรี

        

    เกรย์ยืนแข็งอยู่ตรงนั้นซักพัก   ก่อนร่างบางจะทิ้งตัวอย่างเหนื่อยอ่อนบนที่นอนขนนกนุ่มฟู  แล้วผล่อยหลับไปอย่างรวดเร็ว   ในโสตดังก้องคำที่ว่า

        

    …ชะตากำหนดให้เจ้าเป็นองครักษ์ดาบ!!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×